Menu

Showing posts with label Social. Show all posts
Showing posts with label Social. Show all posts

Thursday, May 20, 2010

Burned


ผมตื่นมาเห็นกรุงเทพมหานครจมหายไปในกลุ่มควันที่พวยพุ่ง

และได้แต่นั่งดูกรุงเทพมหานครมอดไหม้ไปในกองเพลิงยามค่ำคืน

Thursday, October 15, 2009

HOME - Blog Action Day 2009


เมื่อวันที่ 5 มิถุนายนที่ผ่านมานี้มีหนังสารคดีที่เปิดฉายพร้อมกัน 181 ประเทศทั่วโลก เป็นสถิติการเปิดตัวหนังที่เข้าฉายพร้อมกันมากที่สุดในโลก สารคดีเรื่องนั้นชื่อว่า 'Home'

Home เป็นสารคดีที่ถ่ายภูมิประเทศต่างๆทั่วโลกจากมุมสูงพร้อมการบรรยายประกอบเกี่ยวกับระบบนิเวศของโลก และผลกระทบที่มนุษย์สร้างให้กับระบบที่สมดุลนั้น ไม่ว่าเป็นผลจากการทำกสิกรรมที่ทำให้วงจรน้ำเสียไป การค้นพบน้ำมัน(ในสารคดีใช้คำเรียกน้ำมันที่ผมชอบมากๆว่า 'pocket of sunlight')ที่ทำให้เกิดการเผาไหม้ในเชิงอุตสาหกรรมหนัก ส่งผลให้เกิดความไม่เสมอภาคทางการเกษตรระหว่างเกษตรกรที่ใช้แรงงานกับเครื่องจักร การทำปศุสัตว์แบบใหญ่มหาศาลที่ต้องใช้ทรัพยากรอาหารราว 50% ของผลผลิตอาหารทั่วโลก (เยอะอย่างไม่น่าเชื่อ ในขณะที่มีผู้คนอดอยากในโลกนี้มากขึ้นเรื่อยๆ) มีภาพของเรือเดินสมุทรที่ทุกวันนี้สามารถแล่นผ่านน้ำแข็งขั้วโลกที่แตกเป็นชิ้นเล็กๆน้อยๆเพราะภาวะโลกร้อน และความเสี่ยงที่น้ำแข็งที่กรีนแลนด์และไซบีเรียละลายจะทำให้ก๊าซมีเทนใต้น้ำแข็งเหล่านั้นถูกปล่อยออกมา ส่งผลหนักหนากว่าคาร์บอน 20 เท่า

ความพิเศษของหนังสารคดีเรื่องนี้คือการที่ผู้ผลิตหนังเลือกที่จะเผยแพร่หนังภายใต้ข้อตกลงของ Creative Commons หรือการไม่มีลิขสิทธิ์แบบเต็มรูปแบบ เพราะต้องการให้หนังเรื่องนี้ได้รับการเผยแพร่ออกไปมากที่สุด ทุกคนสามารถดาวน์โหลด อัพโหลด ไรท์ใส่ดีวีดีแล้วส่งต่อให้เพื่อน เอาไปเปิดฉายตามที่สาธารณะได้เต็มที่ เพราะสาระของมันคือการที่ให้คนหมู่มากได้รับรู้ถึงปัญหาที่ใหญ่หลวงมากกว่าปัญหาผลประโยชน์จากลิขสิทธิ์ (ผมซื้อแผ่นแม่สายมาดู)

ผมดูสารคดีเรื่องนี้จบด้วยความอึ้งมากกว่าดู Inconvenient Truth มากๆ รู้สึกว่าตัวเราเล็กนิดเดียวแต่กลับสร้างปัญหาที่ใหญ่ขนาดที่เชื่อว่าคงไม่มีทางฟื้นฟูกลับสู่สภาพแต่ก่อนได้อีกแล้ว

แต่ความดีของ Home ที่ Inconvenient Truth ไม่มีคือคำตอบในตอนท้ายให้เราได้รู้ว่ายังมีความหวังและควรทำอย่างไรให้เราสามารถอยู่บนโลกนี้ต่อไปได้แบบไม่เดือดร้อนธรรมชาติ

ก็ขอให้หามาดูกัน จะได้รู้ว่าเรื่อง Climate Change ที่เป็นประเด็นที่ชาวบล็อกทั่วโลกจะเขียนกันในวันนี้มันไม่ใช่เรื่องเล่นๆเลย

Link:
http://en.wikipedia.org/wiki/Home_%282009_film%29
http://www.youtube.com/user/homeproject <--- แนะนำให้เริ่มดูจากที่นี่

Friday, June 19, 2009

Riding Facebook Wave



ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าไม่ได้มาอัพเดทนานมาก นั่นเป็นเพราะกำลังอินอยู่กับ facebook มากๆ
อันที่จริงเราสมัคร facebook ไว้นานมากแล้ว ราวๆ 2-3 ปี แต่ก็ไม่ได้เล่นมันเลย
ตอนนั้นรู้สึกว่าระบบ application มันซับซ้อนและรกหน้า profile ของเรามากๆ
นั่นเป็นเพราะเราคุ้นกับการบริหารหน้า profile ส่วนตัวให้เป็นตามที่ต้องการ
ก็เหมือนๆที่ทำกันใน myspace หรือ hi5 นั่นแหละ ทุกคนก็แต่งให้หน้าของตัวเองเป็นตัวเองที่สุด

แต่ facebook มันไม่ใช่แบบนั้น ซึ่งก็ต้องยอมรับว่าตอนนั้นไม่เข้าใจเลย
เราพยายาม 'ควบคุม' ให้หน้า profile เราแสดงข้อมูลอย่างที่เราต้องการเท่านั้น
ซึ่งไปๆมาๆมันทำให้เรารู้สึกว่ามันปรับอะไรยากเหลือเกิน ก็เลยเลิกราไปนาน
จนกระทั่งได้รับ email จาก facebook ถี่ขึ้นเรื่อยๆในช่วงหลัง ทำให้รู้ได้ว่ามันกำลัง 'มา'
ก็เลยคิดว่าจะให้โอกาสมันลองดูอีกซักทีเหมือนกับตอนที่ให้โอกาส hi5 อีกทีเมื่อปีก่อน

ด้วยความที่ facebook ปรับลักษณะการใช้งานให้เข้าใจได้ง่ายขึ้นเยอะ
และเราศึกษาเว็บมามากขึ้นด้วยทำให้เห็นประโยชน์ที่แท้จริงของมัน
หน้าที่สำคัญที่สุดของ facebook ไม่ใช่ profile แต่เป็นหน้า news feed ที่อัพเดทเพื่อนเราต่างหาก
(เราอาจจะเป็นคนสุดท้ายที่รู้ตัวก็ได้นะเนี่ย)
ถ้า hi5 กับ myspace เอาตัวเราเองเป็นที่ตั้ง facebook ก็คือสิ่งตรงกันข้ามที่เอาเรื่องคนอื่นมาใส่ให้เรา
เรามีหน้าที่แค่คอยดูว่าคนอื่นทำอะไรแล้วก็ไปคอมเม้นท์ทักทายเรื่องเหล่านั้นของเค้า
ถ้าอยากอัพเดทตัวเองก็ทำได้แบบง่ายๆ เรียบๆ และให้คนอื่นรับรู้มากกว่าความพอใจของตัวเอง

เทียบแล้ว hi5 อาจจะเหมาะสมกับการทำ branding ให้คนรับรู้ว่าเราคือใคร
แต่ถ้าอยากสื่อสารให้ได้ผล facebook ดูจะเป็นช่องทางที่หวังผลตอบรับได้ดีกว่ามาก
นั่นเพราะว่าผู้รับสารพร้อม(และรอคอยด้วยซ้ำ)ที่จะรับข่าวสารใหม่ๆอยู่เสมอ

สาเหตุที่ผู้ใช้ facebook ชาวไทยมีการเติบโตที่รวดเร็วน่าจะเกิดจาก:
1. กลุ่มคนไทยในต่างประเทศโดยเฉพาะสหรัฐที่เล่นกันเยอะตามคนอื่นในประเทศ ส่งผลให้เพื่อนที่อยู่เมืองไทยลองเล่นตาม และขยายวงกว้างไปในที่สุด
2. การปรับการใช้งานให้ง่ายขึ้นเรื่อยๆ ไม่ซับซ้อนเหมือนแต่ก่อน
3. interface ภาษาไทยที่นับว่าเป็นเว็บที่แปลได้ดีที่สุดเท่าที่เจอมาเลย
4. application การทำ quiz ที่แพร่หลายมากๆจริงๆ
5. จำนวนนักการตลาดที่หันมาใช้ facebook เป็นช่องทางการโฆษณาอย่างชัดเจน เนื่องจากสามารถกำหนดกลุ่มเป้าหมายได้โดยละเอียดมาก (selective communication) และควบคุมงบประมาณการประชาสัมพันธ์ได้อย่างสมบูรณ์

ด้วยเหตุเหล่านี้น่าจะส่งผลให้ปีนี้เป็นปีที่ facebook มีอัตราการเติบโตในประเทศไทยสูงที่สุด
คาดว่าคนไทยที่เล่น hi5 ไม่ต่ำกว่า 30% จะมีบัญชี facebook อยู่ด้วยภายในสิ้นปีนี้

ส่วนตัวเราก็ขอหมกมุ่นอยู่กับมันอีกสักนิดละกัน เพราะเราเจอโอกาสมากมายจริงๆในนั้น

... แล้วเดี๋ยวก็จะกลับมาอีกทีดังเดิม


Note:
- จำนวนผู้ใช้ facebook ที่อยู่ในประเทศไทย 648,800 ราย แบ่งเป็น

เพศ:
ชาย 266,000 ราย
หญิง 359,780 ราย
ไม่ระบุ 23,020
ราย

อายุ:
13-18 ปี 87,800 ราย
19-23 ปี 183,040 ราย
24-30 ปี
216,480 ราย
31-40 ปี
113,240 ราย
41 ปีขึ้นไป 49,340 ราย
ไม่ระบุ 48,240 ราย

ใครจะเอาข้อมูลพวกนี้ไปใช้ทำอะไรก็ยินดีนะ

Wednesday, April 29, 2009

Only Change is Certain


[image by: จิตต์ จงมั่นคง]

รูปข้างบนนี้มีชื่อว่า "เมื่อพายุโหม" เป็นผลงานชนะเลิศรางวัลถ้วยพระราชทานพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จากนิทรรศการภาพถ่ายศิลปะนานาชาติครั้งที่ 2 โดยสมาคมภาพถ่ายแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ เมื่อปี 2505 ผลงานของอาจารย์จิตต์ จงมั่นคง ศิลปินแห่งชาติ สาขาทัศนศิลป์(ถ่ายภาพศิลปะ) พ.ศ. 2538 ซึ่งถึงแก่กรรมไปเมื่อต้นเดือนที่ผ่านมานี้ และเผอิญว่าหลานของอาจารย์จิตต์เป็นเพื่อนสนิทคนหนึ่งของเรา เลยทำให้เราได้พบเจอร่วมโต๊ะอาหารพูดคุยกับท่านอยู่บ้าง และได้เรียกท่านว่า 'คุณปู่'

ครั้งแรกๆที่เราเจอปู่เราก็ไม่รู้หรอกว่าปู่เป็นปูชนียบุคคลด้านถ่ายภาพของไทย ไม่รู้ว่าเป็นศิลปินแห่งชาติ และไม่รู้ว่าภาพในบ้านเพื่อนเป็นผลงานของปู่เอง จนกระทั่งวันนึงได้ยินคนพูดถึงปู่และรูปที่แขวนอยู่โดดเด่นที่สุดในบ้าน นั่นก็คือรูปที่อยู่ด้านบนนี้เอง เราถึงได้รู้ว่าปู่ที่เรารู้จักเป็นบุคคลระดับตำนานของไทย หลังจากนั้นเลยภูมิใจทุกครั้งที่ได้นั่งกินข้าวกับปู่หรือว่าเวลาที่ปู่ถ่ายรูปให้ (ถึงแม้จะไม่เคยเห็นรูปที่อัดออกมาก็เถอะ)

เรื่องราวของรูปข้างบนนี้แบบสรุปให้ฟังคือ มันเป็นเทคนิคการตัดแต่งภาพ 2 ภาพเข้าด้วยกัน คือรูปคนถ่อเรือที่ถ่ายที่คลองบางรัก ฉากหลังเป็นเพียงบ้านริมคลองเกะกะรกตา กับภาพเมฆฝนอีกภาพหนึ่ง ซึ่งต้องใช้ความละเอียด พยายาม และเทคนิคสูงมากๆในยุคสมัยที่บ้านคนทั่วๆไปยังไม่มีคอมพิวเตอร์ด้วยซ้ำ (Photoshop พึ่งจะเกิดขึ้นในปี 2531)

สิ่งที่อยากจะบอกคือถ้าเด็กสมัยนี้ที่เกิดมาพร้อมกับกล้องดิจิตอลและโปรแกรมปรับแต่งภาพที่ทำมาให้ใช้ได้ง่ายมากๆมาเห็นรูปนี้ อาจจะไม่รู้สึกถึงความยิ่งใหญ่ของมันเลยก็ได้ เพราะคงจะคิดว่าใครก็สามารถทำได้เหมือนๆกัน และนั่นก็ทำให้เราเกิดความสงสัยขึ้นมาว่าความรู้สึกของช่างภาพที่ทำงานในห้องมืดมาตลอดชีวิตที่มีต่อโปรแกรมแต่งภาพบนคอมพิวเตอร์นั้นเป็นยังไง -- จะเป็นความชื่นชมความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี หรือ ความรู้สึกหวั่นใจว่าคุณค่าของผลงานตัวเองจะลดลงไปในอนาคต

ที่เราสงสัยแบบนี้เพราะว่ามีโปรแกรมที่กำลังฮิตขึ้นมาชื่อว่า Poladroid ที่เป็นโปรแกรมแปลงรูปดิจิตอลให้กลายเป็นรูปเสมือนรูปถ่ายจากกล้อง Polaroid ทั้งสี กรอบรูป และ effect ต่างๆเช่นรอยนิ้วมือบนรูป ซึ่่งเราที่พึ่งจะเริ่มเล่นกล้อง instant ของ Fuji อยู่รู้สึกว่า ต่อไปคนจะรู้ได้ยังไงว่ารูปของเราเป็นรูปที่เราถ่ายมาด้วยกล้อง instant จริงๆ ไม่ได้เป็นการแต่งโดยโปรแกรม (มันเป็นเหมือนศักดิ์ศรีนะจะว่าไป เพราะเราก็รู้สึกว่าเราลงทุนกับค่าฟิล์ม instant แต่ละรูปไปไม่น้อยเลย)

ถ้ามาคิดดูดีๆก็คงเหมือนช่างภาพฟิล์มตอนกล้องดิจิตอลพึ่งพัฒนา ซึ่งตอนนั้นคนทั่วไปก็คงรู้สึกดีเพราะมันลดค่าใช้จ่ายในการซื้อฟิล์มไปได้เยอะมาก หรือเหมือนความรู้สึกของ sound engineer ที่ทำงานแบบ analog มาตลอดจนกระทั่งมีการบันทึกเสียงแบบดิจิตอล หรือแม้กระทั่งพ่อครัวทำอาหารที่มาเจอกับอาหารสำเร็จรูปเป็นครั้งแรก ซึ่งเหล่านี้แต่ละคนคงมีคำตอบไม่ต่างกัน เช่นเราเชื่อว่าปู่ หรืออาจารย์จิตต์ คงไม่ได้ต่อต้านกระแส digital processing เท่าไหร่ (อาจจะตื่นเต้นด้วยซ้ำ) แต่ในที่สุดแล้วความเปลี่ยนแปลงนั้นคงไม่สามารถเลี่ยงได้ ไม่ว่าคนทำงานมาก่อนจะรู้สึกยังไงมันไม่ใช่เรื่องสำคัญเลย ไม่ว่าคุณจะเป็นใครมาก่อนก็ตาม ... มันคือความรู้สึกความต้องการของคนใช้งานหมู่มากต่างหากที่จะกำหนดทิศทางของความเปลี่ยนแปลงได้

แค่นั้นเองจริงๆ


Link:
- อ่านเรื่องราวโดยละเอียดของรูป เมื่อพายุโหม ที่นี่
- อ่านบทสัมภาษณ์ อ.จิตต์ จงมั่นคง ที่นี่

Tuesday, February 24, 2009

Feces



เราได้หนังสือเล่มข้างบนนี้มานานแล้วเหมือนกัน และอ่านจบทันทีในวันแรกที่ซื้อมา
ส่วนหนึ่งเป็นเพราะมันรูปเยอะและบาง แต่ว่าเราอ่านเร็วเพราะเนื้อหามันดีจริงๆ
หนังสือพูดเรื่องคนกับอึ ว่ามีความสัมพันธ์กันยังไง เราละเลยไม่ให้ความสำคัญมันยังไง
เคยมีคนพูดไว้แล้วว่าอึเป็นเครื่องบอกสุขภาพ แต่หนังสือเล่มนี้ทำให้เข้าใจง่ายขึ้นอีก
ถึงแม้มือจะไม่เคยได้สัมผัสกับอึ แต่เราก็เข้าใจเวลาหนังสือพูดถึงลักษณะความหยุ่นของอึ
ถ้ามีโอกาสก็ลองหาอ่านดูละกันนะ มันดีจริงๆ (พูดซ้ำ)

ส่วนอีกเรื่องใกล้เคียงกับอึคือเรื่องของ'ขี้'
จริงๆเรื่องขี้นี้เราตั้งใจจะไม่พูดถึง อย่างน้อยก็ในบล็อกแห่งนี้
แต่ว่าบางที'ขี้'มันก็มาเยอะเกินไป เราจะสมมุติบทสนทนาให้ดู

A: คุณทำอะไรอยู่
B: ผมกำลังทำธุระ
A: ขี้อยู่หรอครับ
B: ...
A: งั้นไปขี้ต่อเถอะครับ
B: ...

2-3 วันต่อมา

A: คุณอยู่ที่ไหน
B: ผมอยู่ที่นี่
A: ไปขี้หรอครับ
B: ... ... คุณอยู่ไหนล่ะ
A: ผมอยู่นั่นครับ ผมมาขี้
B: ...
A: ผมอยากจะเลิกขี้ ขี้ให้น้อยลง เพราะช่วงนี้ขี้เยอะมาก
B: ก็ดีครับ
A: แต่ถึงผมอยากเลิกขี้ก็คงทำไม่ได้เพราะผมเป็นคนชอบขี้ ผมก็คงต้องขี้ต่อไป
B: ...
A: ผมมีถ่ายวิดีโอตัวเองตอนขี้ไว้ด้วยนะ คุณอยากดูมั้ย
B: คิดว่าคงไม่ครับ

เห็นไหม ว่าบางทีถ้าขี้เยอะมากๆมันก็ดูไม่มีเหตุผลเอาซะเลย

Note:
- ถ้ายังไม่รู้ละก็ เราแถยกเอาหนังสือเรื่องอึมาพูดถึงก่อน เพราะเราจะพูดเรื่องขี้นะ
- และเรื่องบทสนทนาเรื่องขี้ที่เราเล่านี่ก็ไม่ใช่ขี้จริงๆหรอกนะ ขี้มันอาจจะเป็น symbolic ของคำอื่นๆที่คล้ายๆกัน
- แต่หนังสือนั้นมันดีจริงๆนะ

Friday, October 31, 2008

Not Enough Food for Everyone


[image by: Zerone Eric Ouano @ flickr]

ขอสำนึกผิดต่อสมาพันธ์ผู้เขียน blog ในฐานะที่ลงทะเบียนใน Blog Action Day เอาไว้แล้วไม่ได้เขียน
เพราะว่าตอนนั้นไม่รู้จริงๆว่าจะเขียนยังไงในเรื่อง poverty (แม้แต่จะแถยังทำไม่ได้)
แต่ตอนนี้พอจะนึกออกบ้างแล้วว่าจะเขียนเกี่ยวกับอะไรได้ ลองดูละกันนะ

เราคิดว่าการกินบุฟเฟต์เริ่มเป็นส่วนหนึ่งในวัฒนธรรมการกินของชาวไทยตั้งแต่ปี 2000 เป็นต้นมา
เมื่อก่อนบุฟเฟต์จะอยู่แต่ในโรงแรมซะส่วนใหญ่ แล้วก็มีร้านอาหารญี่ปุ่นเจ้าหนึ่งทำให้กระแสนิยมมากขึ้น
แต่ช่วงการเติบโตเป็นวัฒนธรรมคงเป็นพวกบุฟเฟต์หมูกระทะที่เข้าถึงกลุ่มผู้บริโภครากหญ้าอย่างทั่่วถึง
จ่ายเงินเพียงไม่ถึงร้อย หรือร้อยต้นๆก็ได้กินอาหารในปริมาณที่ปกติจะกินได้ 4-5 มื้อ
และช่วงปีนี้ยิ่งเข้าสู่จุดพีคเมื่อร้านอาหารหลายร้านผันตัวเองไปขายบุฟเฟต์
ไม่ว่าจะเป็นอาหารเวียดนาม พิซซ่า เนื้อย่าง ไอศกรีม (นี่คือการสะกดเป็นคำไทยแบบถูกต้อง) หรือก๋วยเตี๋ยว
ซึ่งจริงๆของพวกนี้ในสามัญสำนึกปกติเราคงไม่ได้อยากจะกินเยอะมากมายอะไรหรอก
แต่พอได้ยินคำว่าบุฟเฟต์ก็เหมือนหน้ามืดอยากกินขึ้นมา และพอกินก็จะกินเผื่ออีก 4 มื้อข้างหน้าด้วย
เหมือนกับซื้อของโปรโมชั่นตามมินิมาร์ท แบบ 2 ชิ้นถูกกว่า ทั้งที่ตอนแรกอาจจะไม่ได้อยากซื้อซักชิ้น

จริงๆการกินบุฟเฟต์ก็ไม่ใช่ไปเบียดเบียนทรัพยากรอาหารของใครหรอกนะ
เพราะปัญหาที่มีคนขาดแคลนอาหารมันอยู่ที่การกระจา่ย supply และรายได้ไม่เพียงพอ
และถ้ามีปัญญาจะกิน (ปัญญาในที่นี้คือเงินและความจุกระเพาะอาหาร) ก็กินไปเถอะ
แต่ว่าถ้าวันไหนไม่ได้หิวอดอยากมากมาย แค่เห็นคำว่าบุฟเฟต์เลยอยากกินขึ้นมา
ลองคิดดูหน่อยมั้ยว่า เงินที่จะเอาไปกินอิ่มเกินต้องการนั้น เอาไปทำให้เกิดประโยชน์มากกว่านี้ได้มั้ย
(อย่างน้อยเก็บออมไม่ให้ตัวเองอดอยากในภายภาคหน้าก็ยังดีนะ)

Note:
- เขียนไม่ค่อยเป็นตัวเองเลย

Tuesday, September 23, 2008

Golden Generation


[image by: lerk7]

วันก่อนเราพูดกับเพื่อนเราว่ารู้สึกโชคดีที่ได้เกิดและโตมาในยุคของเรา
ได้เห็นเทคโนโลยีค่อยๆพัฒนาเร็วขึ้น และเร็วขึ้นเรื่อยๆ
เห็น computer เปลี่ยนจากอุปกรณ์สำนักงานชั้นสูงจนเป็นกลายเครื่องใช้สามัญ
ทันใช้ DOS แล้วเปลี่ยนเป็น Windows จนอีกหน่อยทุกอย่างคงเป็น Surface Computing
ได้ใช้อินเตอร์เนทตั้งแต่ยุคแรก เห็น Dot-Com Boom และ Dot-Com Bust จนฟื้นตัวอีกครั้ง
ผ่านช่วง cycle เศรษฐกิจช่วงรุ่งเรือง ช่วงตกต่ำ ช่วงฟื้นตัว ช่วงวิกฤติการเงินโลก
ทันชีวิตการสอบเอนทรานซ์แบบเก่า (ถึงจะไม่ได้ทำอะไรมาก และไม่รู้ว่าแบบใหม่เป็นยังไง)
ดนตรี alternative และ britpop เข้ามาในช่วงอายุที่ดีที่สุดของการฟังเพลง

แล้วเราก็คิดขึ้นมาว่าคนในทุกยุคก็คงคิดเหมือนๆกันละมั้ง

แต่ถ้าเกิดเร็วกว่านี้คงพลาดความน่าตื่นตะลึงของวิทยาการใหม่ๆ และขอบเขตความคิดมนุษย์
แต่ถ้าเกิดช้ากว่านี้คงไม่มีความรู้สึกตื่นเต้นกับอะไรสักอย่างในโลกนี้ เพราะมันเป็นเรื่องธรรมดาไปหมด


Note:
- งานศิลปะ(?)แบบ collage(?) ที่เห็นด้านบนนี้เราทำเองนะ ช่วยชื่นชมในความพยายามด้วย
- Inspiration ของหัวข้อนี้เกิดจากการดู Back to the Future เมื่อเร็วๆนี้อีกครั้ง

Thursday, August 21, 2008

Poverty Strikes


Poverty Strikes - Blog Action Day 2008

เมื่อวันที่ 15 ตุลาคมของปีที่แล้ว มี Blogger ทั่วโลกจำนวน 20,603 คนพร้อมใจกันเขียนเรื่องสิ่งแวดล้อม
พวกเขา(และพวกเรา)เข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งในโครงการ Blog Action Day ครั้งแรก
ผลตอบรับที่เป็นรูปธรรมอาจยังไม่ปรากฏเพราะเรายังคงพบเจอปัญหาสิ่งแวดล้อมอยู่
แต่ว่าปัญหาสิ่งแวดล้อมในปีที่ผ่านมามันไม่ใช่เรื่องไกลตัวอีกต่อไป
ตอนนี้ทุกคนรู้แล้วว่าสิ่งแวดล้อมมีปัญหา และต้องช่วยกันหาทางแก้ไข
เราเชื่อว่าสิ่งที่ Blogger ทุกคนร่วมมือกันทำในวันนั้นมีส่วนให้คนในสังคมรับรู้เพิ่มไม่น้อย

มาปีนี้โครงการ Blog Action Day เริ่มต้นเปิดตัวอีกครั้งเมื่อวันที่ 15 สิงหาคมที่พึ่งผ่านมา
ประเด็นของปีนี้คือ Poverty หรือ ปัญหาความขาดแคลน
ไม่จำกัดเฉพาะความยากจนเท่านั้น
แต่รวมถึงการขาดแคลนอาหาร
ขาดแคลนสาธารณูปโภค
ขาดแคลนสุขอนามัย
ขาดแคลนการศึกษา
ขาดแคลนชุมชนที่ดี
และขาดแคลนโอกาส

ทั้งหมดที่พูดมานี้ใครๆก็พูดได้ และพอรู้ว่ามีปัญหา
แต่ถ้าพูดตรงๆเราเองไม่เคยรับรู้ว่าปัญหาพวกนี้มันมีเยอะแค่ไหน หนักหนาแค่ไหน
เรารู้สึกว่ามันฟังดูไกลตัว นึกไม่ออกว่ากลุ่มคนไหนบ้างที่เจอปัญหานี้จริงๆ
แนวทางการแก้ไขยิ่งฟังดูยากเย็น และเป็นเรื่องในอุดมคติมาก
ดังนั้นความตั้งใจของเราก่อนจะถึงวัน Blog Action Day จริงคือ
จะต้องหาความรู้ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับปัญหานี้ให้มาก
เพื่อที่จะมาบอกเล่าได้อย่างมีประเด็น ไม่ใช่แค่พูดพร่ำเพ้อแบบรู้ไม่จริง

ในเวบไซต์ของ Blog Action Day เอง ก็มีการจัดเตรียม reference และ resource ให้ค้นคว้ากัน
เราลองไปดูๆแล้วบางอันน่าสนใจ และบางอันก็น่าสนใจมากเป็นพิเศษ
ถ้าใครไม่รู้ว่าจะดูอันไหนดี เราแนะนำซัก 2 อันให้ก่อน

อันแรกคือ The Girl Effect - แนวคิดที่ส่งเสริมให้ผู้หญิงมีบทบาทในชุมชนมากขึ้น
(ส่วนตัวเราชอบวิดีโอตอนเปิดตัวของเวบไซต์นี้ อยากให้ลองดู)

อีกอันคือ The Uncultured Project - เป็นช่องรายการทำเองช่องหนึ่งใน YouTube
เรื่องจริงของนักศึกษาปริญญาโท Notre Dame ที่ลาออกจากการเรียนกลางคัน
เขาเอาเงินที่เก็บสะสมไว้ซื้อ XBOX360 ไปซื้อกล้องวิดีโอ และบินไปบังคลาเทศ
ไม่มีแผนการ ไม่มีประสบการณ์งานอาสาช่วยเหลือ ไม่มีความพร้อมใดๆทั้งนั้น
มีแค่แนวคิดว่า:
"It's about doing one's part (and inspiring others) to make the world a better place."


ในชีวิตของเราอาจจะไม่มีโอกาสทำอะไรที่ยิ่งใหญ่และทุ่มเทขนาดนั้น
แต่อย่างน้อยการนำเรื่องดีๆมาบอกเล่าต่อก็อาจจะทำให้เกิดผลลัพธ์ที่ยิ่งใหญ่ก็ได้
ถ้าใครคิดเหมือนกัน ก็ขอเชิญเข้าร่วม Blog Action Day ปีนี้ได้เลย!




Note:
- Blog Action Day ปีนี้ หลังจากเริ่มไปได้ 5 วัน ตอนนี้มีคนเข้าร่วมแล้ว 2,455 คนนะ

Thursday, February 28, 2008

The Social Rules


[image by: Birger Hoppe @ flickr]

สังคมมันมีกฎกติกาของมัน แต่ไม่ได้ถูกเขียนเอาไว้
แต่ละคนก็เลยตีความกันไปเอง และเลือกปฏิบัติเป็นอย่างๆ
อะไรที่คนหมู่มากทำก็คิดว่าดี ของที่เห็นคำทำแล้วรู้สึกไม่ดีก็บอกว่าแย่
แต่ละคนก็มีเหตุผลของตัวเองกันทั้งนั้น

เหมือนที่เคยเขียนไว้เรื่อง "Keys of Virtue"
แต่ละข้อที่บอกไว้มันก็เป็นคุณงามความดีในมุมมองของคนบางกลุ่ม
คนบางคนเค้าอาจจะหัวเราะเยาะคนที่เป็นแบบนั้นก็ได้
บอกไม่ได้หรอกว่าใครผิดใครไม่ผิด และคิดแบบไหนถึงจะถูก

แต่อย่างหนึ่งที่เรารู้มาและเราคิดว่ามันจริง(สำหรับเรา)ก็คือ
"อะไรก็ตามที่ทำแล้วรู้สึกดี ให้สงสัยไว้ก่อนว่ามันไม่ใช่เรื่องดี"

Note:
- เดี๋ยวจะมาเขียนต่อเรื่องประโยคที่ว่านี่ทีหลัง

Wednesday, February 6, 2008

The Soup Question


[image by: mister bend @ flickr]

เราชอบหนังเรื่อง Finding Forrester และพึ่งดูจบไปอีกรอบเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา
มีหนังอยู่ไม่กี่เรื่องที่เราดูซ้ำเรื่อยๆแล้วยังให้ความรู้สึกดีเหมือนตอนที่ดูครั้งแรก

Finding Forrester พูดถึงหลายอย่างเกี๋ยวกับการหาที่ที่เหมาะสมของตัวเองในสังคม
และมีประโยคหนึ่งที่เราชอบมากๆ ในขณะที่คนจำพวกหนึ่งไม่มีวันเข้าใจมัน
"The object of a question is to obtain information that matters only to us."
ในหนังจะมีคำถามที่ถูกเรียกว่า Soup Question คือคำถามที่มีคุณสมบัติตามที่บอกไว้ข้างบนนี้
เราก็เชื่อแบบนั้นเหมือนกัน อาจจะเพราะว่าเราไม่ชอบการคุยสัพเพเหระเพียงเพื่อให้มีการพูดคุย
เวลาได้ยินคำถามแบบนั้นมันทำให้รู้สึกรำคาญ รังเกียจ และเบื่อหน่ายมากๆ
ที่แย่คือ ในบ้านเรามีคนแบบนี้อยู่ไม่น้อย ทำให้คำถามที่ไม่ใช่ Soup Question อยู่ในชีวิตเยอะมาก
ยกตัวอย่างคำถามที่เราจะได้ยิน - - "ยังจำภาษาเยอรมันได้บ้างมั้ย?"
คำถามแบบนี้จะถูกถามขึ้นมาลอยๆ และพอมีคำตอบไม่ว่าแบบไหนก็จะผ่านไปแบบลอยๆ
ประโยชน์ของคำตอบที่ได้มันคืออะไร รู้แล้วเอาไปทำอะไรต่อได้
ที่แย่ไปกว่านั้นคือเวลาที่ถูกถามจากคนที่ไม่ได้อยู่ในวงจรชีวิตปกติของเรา
พวกคนที่ไม่ได้เจอกันมานาน และอาจจะไม่เจอกันไปอีกนาน

คนพวกนี้ที่ถาม เค้าก็ถามแค่เพราะอยากจะหาทาง connect กับเราแต่ไม่ได้ใส่ใจในคำตอบของคำถาม
เค้าไม่ได้สนใจอยากรู้หรอกว่าคุณกินอะไรมาตอนเที่ยง แต่อยากให้คุณเห็นตัวตนของเค้ามากกว่า

แต่มันก็มีคำถามที่ถามเรื่องของคนอื่น เพราะว่าสนใจที่จะรู้เรื่องราวของคนนั้นจริงๆอยู่เช่นกัน
การถามคนรักของคุณว่าเหนื่อยมั้ย คุณถามออกไปเพราะคุณมีความห่วงใย
การถามความคิดของคนที่คุณชื่นชอบมันก็มีความหมายต่อตัวคุณ เพราะความคิดของเค้ามี value ต่อคุณ

สำหรับเราแล้ว เราอยากให้ในสังคมมี Soup Question เยอะๆ และคำถามแบบแค่ขอให้ได้พูดลดหายไป

... อย่างน้อยเริ่มจากในบ้านก็ยังดี

Thursday, January 10, 2008

Monkey Business


[image by wufgaeng against censorship @ flickr]


คำว่า Monkey Business จริงๆแล้วแปลว่าการกระทำที่ซุกซน หรือมีเลศนัย
แต่คราวนี้จะพูดถึง Monkey Business ที่เป็นความหมายแบบตรงตัวเลย
นั่นก็คือเรื่องของธุรกิจและเศรษฐศาสตร์ในสังคมของพวกลิง
แถมยังเป็นธุรกิจเรื่อง sex อีกต่างหาก

Michael D. Gumert (PhD.) ได้ตีพิมพ์งานวิจัยของเขา และกลายเป็นหัวข้อใน Time.com
เขาเฝ้าสังเกตฝูงลิงที่อินโดนีเซียราว 50 ตัวอยู่ 20 กว่าเดือน และพบรูปแบบพฤติกรรมของลิงพวกนี้

เขาบอกว่าลิงตัวผู้จะต้องมีของมาแลกเปลี่ยนกับตัวเมียในการที่จะมี sex ด้วย (ร่วมผสมพันธุ์นั่นแหละ)
ของที่เอามาแลกก็คือการหาเห็บหมัดบนตัวตัวเมียให้ และต้องทำให้ก่อนที่จะเริ่มผสมพันธุ์กัน
ตัวเมียที่ได้รับการบริการจากตัวผู้ก็จะตอบแทนคืนด้วยการยอมให้ตัวผู้มี sex ด้วยในอัตราที่เพิ่มขึ้น 1.5-3.5 เท่า
นี่มันก็คือรูปแบบของ service barter ดีๆนี่เอง แถมเป็นในเรื่องที่คนคุ้นเคยอย่างดี

ที่น่าสนใจกว่านั้นก็คือจำนวนของลิงในฝูง (supply) จะมีผลต่อระยะเวลาที่ตัวผู้จะจับเห็บให้ (price)
ถ้าในฝูงมีลิงตัวเมียเยอะ ตัวผู้ก็จะไม่ค่อยตั้งใจที่จะหาเห็บให้นัก ทำให้แบบเร็วๆลวกๆ
แต่ถ้าลิงตัวเมียมีน้อย ตัวผู้ก็ต้องหาเห็บให้นานเป็นพิเศษ
แม้แต่ลิงก็ยังใช้หลักเศรษฐศาสตร์ Demand-Supply แบบเดียวกับคนอย่างเราๆเหมือนกัน

พฤติกรรมของคนก็ไม่ได้ต่างไปจากลิงพวกนี้ด้วยเช่นกัน
ถ้าหากคนคนนึงมีคนรักแค่คนเดียว เค้าก็จะดูแลคนรักคนนั้นเป็นพิเศษ - ไม่ว่าเพื่อหวังผลอะไรก็ตาม
แต่ถ้าเกิดมีกิ๊กเยอะ ก็จะไม่ค่อยมาดูแลใส่ใจแต่ละคนเป็นพิเศษนัก
เพราะโอกาสที่เค้าจะได้ x (เติม action ลงไปเอง) นั้นมีมากขึ้น จึงไม่เห็นถึงความจำเป็นที่ต้องไปหาเห็บให้ใคร

จากการวิจัยนี้ทำให้สรุป(เอาเอง)ได้ว่า คนนั้นน่าจะมีการพัฒนาหรือวิวัฒนาการจากลิง
โดยสิ่งที่เราได้รับมานอกจากรูปร่างที่คล้ายคลึงกันแล้ว ก็ยังมีแนวคิดทางด้านเศรษฐศาสตร์
.. และอีกเรื่องหนึ่งก็คือการซื้อ-ขาย sex ด้วยไง

Wednesday, January 9, 2008

A Useless Statement


[image by: michaelcooper @ flickr]

ถ้าใครไม่เคยสงสัยก็ควรจะสงสัยกันได้แล้วว่า เนคไท(Necktie)มันมีไว้ทำอะไร
ถ้า search คำว่า necktie คู่กับ useless จะได้ผลลัพธ์กลับมา 55,900 อัน
แต่ถ้า search necktie คู่กับ useful กลับได้มาถึง 113,000 อัน!!
คิดแบบไม่คิดอะไรก็จะเดาเอาว่าเนคไทนี่มันคงมีประโยชน์เหมือนกันนะ
(ขอคิดก่อนว่าจะเขียนยังไงต่อดี เพราะไม่คิดว่าผลมันจะออกมาแบบนี้)
.
.
.


ช่างมันละกัน - จะเขียนไปแบบที่ตั้งใจเอาไว้อยู่ดีว่าเนคไทมันเป็นเครื่องแต่งกายที่ไร้ประโยชน์ที่สุด
ไม่ใช่แค่ไร้ประโยชน์มากที่สุดอันหนึ่ง แต่เป็นไร้ประโยชน์ที่สุดเลย
แบบที่ถ้ามีการจัดอันดับประโยชน์ของเครื่องแต่งกายทั้งหมด มันจะมาเป็นอันดับสุดท้าย
ถ้าไม่เชื่ออยากให้ลอง list ประโยชน์ของมันให้ไว้ในคอมเมนท์หน่อย
ขอแค่ซัก 2 ข้อเราก็อาจจะเปลี่ยนใจแล้วล่ะ

มาลองไล่เรียงประวัติของมันกันหน่อยนะ ว่าเนคไทมีที่มายังไง ตั้งแต่ตอนไหน (อ้างอิง: wikipedia)
ตั้งแต่สมัยราชวงศ์ Qin (ฉิน) ชนชั้นนักรบจะมีผืนผ้ามาผูกคอไว้เป็นสัญลักษณ์ของบรรดาศักดิ์
เนื่องจากสมัยนั้นผ้าธรรมดายังหายาก การจะไปหาผ้ามาผูกคออย่างไม่เกิดประโยชน์จึงถือเป็นการแสดงความรวย
และการที่ชนชั้นนักรบของจีน หรือชาติอื่นๆในภายหลังนิยมผูกมันก็เป็นการแสดงออกของความเข้มแข็งของเพศชาย
ให้พูดง่ายๆก็คือ มันเป็นของที่ถูกประดิษฐ์(?)มาเพื่อแสดงออกถึงความรวยและความเป็นชายเท่านั้นเอง

นักวิชาการยังพยายามให้เหตุผลเพิ่มเติมถึงเรื่องการแสดงความเป็นชายด้วยเนคไทเพิ่มเติมให้อีก
ด้วยรูปทรงของเนคไท และการห้อยจากคอลงมา มันเปรียบเสมือนลักษณะอวัยวะของเพศชาย
อีกทั้งปลายแหลมของมันก็ยังชี้ไปที่อวัยวะนั้นอีกด้วย เพื่อเป็นการยืนยันว่าเราผู้พบเห็นเข้าใจถูกต้องแล้ว
(นอกจากเนคไทแล้ว กีตาร์ก็เป็นอีกตัวอย่างของสัญลักษณ์เพศชาย - โปรดสังเกตจากรูปร่าง)

มาคิดดูในยุคปัจจุบันนี้หน่อยว่ามันมีประโยชน์อะไร หรือมันไร้ประโยชน์ยังไงบ้าง
ประโยชน์:
- ซับเหงื่อ ซับเลือด (ผ้ายาวๆที่ไม่น่าซับได้ดีราคาแพงได้เป็นหมื่น - พกผ้าเช็ดหน้าดีกว่ามั้ย)
- รัดแขนหรือขาเวลาถูกงูกัด (เผื่อว่างูจะทะลึ่งเลื้อยเข้ามาในออฟฟิศ หรือคุณจะทะลึ่งผูกไทเดินในป่า)
- ผูกหัวเวลากินเหล้าหลังเลิกงาน (ไม่รู้เหมือนกันว่าทำแล้วดียังไง)
- เป็นอาวุธลอบรัดคอคนจากด้านหลัง (ช่างตรงข้ามกับสัญลักษณ์นักรบกล้าหาญในยุคก่อนจริงๆ)

ไร้ประโยชน์:
- ดูตลกบนเสื้อเชิ้ต ยิ่งตลกบนเสื้อยืด และอย่าได้คิดใส่กับเสื้อกล้าม หรือไม่ใส่เสื้อเลยเด็ดขาด
- ในยุคนี้ พอใส่เนคไทแล้วดูเหมือนเป็นทาศขององค์กร (corporate slave)
- ใส่ให้ดูไม่เข้ากับบุคลิก ไม่เข้ากับเสื้อผ้าชิ้นอื่นๆได้ง่ายกว่าทำให้ดูดี
- วีธีผูกซับซ้อนซ่อนเงื่อน (ลองคิดดูว่าถ้าเราต้องจำวิธีใส่เสื้อแบบต่างๆชีวิตจะยากแค่ไหน)

เอาอีกแล้ว list ปรโยชน์มาได้เกินสองข้อ แถมเขียนประโยชน์ได้เท่ากับความไร้ประโยชน์อีก
สงสัยต้องลองกลับไปคิดใหม่ วางแผนให้ดีๆก่อนจะเขียนอะไรแล้วสินะ
(หรือว่าเนคไทมีประโยชน์จริงๆกันแน่? - ไม่หรอกมั้ง)

Note:
- ที่ IKEA เค้าห้าม (ย้ำว่าห้าม) พนักงานใส่เนคไทมาทำงาน ... จะมีคนที่รู้สึกเดือดร้อนมั้ยนะ

Friday, January 4, 2008

The Lord of the Debt


[image by: Daveybot @ flickr]

"Need to have or Nice to have?" -- แฟนเราพูดประโยคที่มีคนพูดให้ฟังมาอีกที
เป็นประโยคเตือนสติที่ดีก่อนที่จะตัดสินใจจ่ายเงินทำอะไรในยุคที่ผู้คนจำนวนมากมีหนี้ท่วมหัว
มีบริการกู้ยืม-สินเชื่อ-เครดิต หรือชื่ออะไรๆก็ตามออกมาเยอะมาก แต่ใจความของมันก็คือ"หนี้"
มันคือการใช้เงินที่เราไม่ได้มีอยู่ไปก่อน เพื่อความต้องการเพียงชั่วขณะนั้น ก่อนที่จะไปขวนขวายหาทางจ่ายภายหลัง
และเกือบจะแน่นอนว่าถ้าตอนนี้ไม่มีปัญญาจ่าย การจะหาเงินมาจ่ายทีหลังนั้นแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย

เราเคยได้ดูรายการข่าวเกี่ยวกับกลุ่มผู้ติดหนี้บัตรเครดิตและไม่สามารถหาเงินมาจ่ายได้
ลักษณะเหมือนกันของคนเหล่านี้คือขาดความยับยั้งใจ ขาดการไตร่ตรองก่อนตัดสินใจซื้อของใดๆ
สิ่งที่ตามมาก็คือไม่รู้ตัวว่าเป็นหนี้ และไม่ยอมรับสภาความเป็นลูกหนี้นั้น
รับไม่ได้ที่โดนเจ้าหนี้โทรมาทวงเงิน ทั้งกับตัวเอง คนในครอบครัว หรือที่ทำงาน
ถึงขนาดมีการร้องเรียนหน่วยงานต่างๆ และจะฟ้องร้องเจ้าหนี้ว่าไม่มีสิทธิ์มาทวงแบบนั้น ... ดีมั้ยล่ะ

จะโทษสังคม สื่อ หรือกระแสทุนนิยมอะไรก็ช่าง ความจริงคือ เมื่อเราไม่มีเงินก็ไม่ควรใช้
เพราะว่าเกือบทุกคนย่อมคิดว่าเดี๋ยวก็หาทางมาจ่ายคืนได้ -- คำว่า "จ่ายคืน" นั้นแหละที่สำคัญมาก
เมื่อไหร่ที่ต้องจ่ายคืน นั่นแปลว่าตอนนี้ไม่มีเงิน และควรยอมรับว่าเมื่อเงินไม่เพียงพอก็ไม่ควรใช้

เคยมีกระทู้คุยกันเรื่องเกม ไปๆมาๆก็มีคนถามว่ามีกี่คนที่ซื้อเกมของจริงกันบ้าง
เดาไม่ยากว่าคนซื้อของปลอมมากกว่าอยู่แล้ว แต่ว่ามีคนที่ซื้อของปลอมที่ออกมาด่าสินค้าของจริงนี่สิ
เขาบอกว่าเงินเดือน 8,000-9,000 จะให้ซื้อเกมราคา 500-600 เดือนละ 2-3 เกมได้ยังไง
ตรงนี้แหละที่เป็นปัญหา คนที่เงินเดือนเท่านั้นกลับไม่รู้ตัวว่าเป็นกลุ่มผู้บริโภคที่ไม่สมควรซื้อเกมมาเล่นด้วยซ้ำ
มันไม่ใช่สินค้าที่ target มาที่ตัวเขาแต่แรก และการเอาเงินเดือนมาอ้างเป็นเหตุผลซื้อของปลอมก็ไม่ใช่ที่
ผู้บริโภคที่มีพฤติกรรมเหมาะสมไม่มีใครเค้าซื้อเกมเดือนละ 10 เกม หรือเพลงเดือนละ 100 อัลบั้มหรอก
แต่เค้าต้องรู้จักหาข้อมูล-คัด-เลือก ก่อนที่จะตัดสินใจจ่ายเงิน ต้องรู้ตัวว่าของนั้นคุ้มค่าและจำเป็นแค่ไหน

พูดเรื่องหนี้ เรื่องรายได้ แล้วก็อยากพูดเรื่องเงินเก็บหรือการออมสักหน่อย พอดีไปอยู่ในวงสนทนาเรื่องนี้มา
เค้าบอกว่าคนสมัยนี้ (โดยเฉพาะผู้หญิง) ดูเหมือนจะสนใจเรื่องการออมมากขึ้น แต่กลับมีการออมจริงน้อย
ปัจจัยน่าจะมีเรื่องความหลากหลายของหนี้ที่มีให้เลือกเป็นส่วนกระกอบสำคัญ และที่เหลือก็เป็นเรื่องขาดการวางแผน
มีคนบอกให้ลองคิดดูเล่นๆ: ถ้าให้เก็บเงินเดือนละ 20,000 คิดว่าเยอะมั้ย? (เยอะ - เงินเดือนเราทำไม่ได้)
แต่การเก็บเดือนละ 20,000 เนี่ยจะทำให้ปีนึงมีเงินเก็บ 240,000 ถ้าเก็บเท่านี้สิบปีจะได้ 2,400,000
บวกเพิ่มโบนัส และเงินเดือนที่เพิ่มขึ้นอาจจะทำให้มีเงินใกล้ๆ 3,500,000 ได้ -- ถามว่าเยอะมั้ย: ไม่เลย!
การที่ทำงานไปอีกสิบปีเก็บเงินได้ 3.5 ล้านนี่มันออกจะน้อยด้วยซ้ำ ยังไม่สามารถซื้อบ้านในยุคปัจจุบันได้เลย
แบบนี้เรายังต้องทำงานไปอีกกี่ปีกว่าเราจะมีเงินเก็บพอที่จะเลิกทำงานได้?? คงนานจนไม่อยากนึกเลยล่ะ

ถ้าแบบนี้ก็ควรจะต้องมาคิดกันก่อนว่าอยากทำงานจนถึงอายุเท่าไหร่ และค่าใช้จ่ายในช่วงชีวิตที่เหลือต้องใช้เท่าไหร่
แล้วก็คิดย้อนกลับมาว่าต้องมีเงินเก็บในแต่ละช่วงเป็นเท่าไหร่ และสำคัญที่สุดคือทำยังไงถึงจะมีเงินเก็บให้ได้เท่านั้น
จริงๆการออมรูปแบบต่างๆมันมีข้อดี/เสียต่างกันไป บางอันลดหย่อนภาษีได้ บางอันให้ความคุ้มครองสุขภาพ
แต่ทุกวันนี้คนที่รู้ข้อมูลทั้งหมดและให้คำแนะนำด้านการออมและด้านการบริหารเงินส่วนตัวได้นั้นมีน้อยจริงๆ
คนที่รู้(มากบ้างน้อยบ้าง) ก็ทำงานให้กับสถาบันการเงิน และแนะนำแต่ product การออมที่บริษัทตัวเองมี

ข้อคิดที่ได้จากการเขียน entry วันนี้คือ:
- ถามตัวเองว่าสิ่งที่เราทำกันอยู่ทุกวันนี้มันจะทำให้เรามีชีวิตแบบที่เราต้องการได้จริงหรือไม่
- คิดว่าทำยังไงถึงจะทำให้เงินที่เราพอจะออมได้ในแต่ละเดือนงอกเงยไปเท่าที่เราต้องการจริงๆได้
- น่าจะมีบริการให้คำปรึกษาด้าน personal wealth management แบบเป็นกลาง

จบเท่านี้ครับ

Tuesday, December 25, 2007

Job Seekers in Demand


[image by: whiteyxc514 @ flickr]

มีบริษัทอยู่แห่งหนึ่งจู่ๆก็เปิดสมัครรับพนักงานหลายอัตราด้วยกัน
รับตั้งแต่ระดับเจ้าหน้าที่ไปจนถึงระดับผู้บริหารขั้นสูงในทุกแผนก
ราวกับว่าพนักงานของทั้งบริษัทโดนโละออกยกชุดกันเลย
ทีนี้เขาก็ติดต่อเรามาให้ไปร่วมงานด้วย และเจาะจงว่าต้องเป็นเราเท่านั้น
คาดว่าเพราะเขากลัวว่าจะมีบริษัทคู่แข่งแย่งตัวเราไป ซึ่งนั่นจะทำให้เขาแย่แน่ๆ
เขาก็เลยเสนอตำแหน่งมาให้เราตำแหน่งหนึ่ง ซึ่งดูเผินๆก็เหมาะกับความสามารถ
แต่ว่ามันไม่ใช่ตำแหน่งที่เราต้องการ เพราะมันไม่เท่เอาซะเลย แถมบทบาทก็น้อย
ลองคิดซะว่าเป็น ผู้อำนวยการฝ่ายรักษาความสะอาดอาคาร ก็แล้วกัน จะได้เห็นภาพ
ไอ้เราก็ดันเล่นตัวแล้วเห็นว่าเป็นคนสำคัญขึ้นมาแล้ว เลยขอต่อรองซะหน่อย
"ไม่อยากทำงานรักษาความสะอาด ขอเป็นผู้อำนวยการฝ่ายการเงินได้มั้ย มันใหญ่โตดี"
"...ถ้าไม่ได้ อย่างน้อยๆก็ต้องเป็นระดับเดียวกัน ฝ่ายผลิตก็ได้ การตลาดก็ได้"
"...แต่ต่ำกว่าแผนกบริการลูกค้าลงมาไม่เอานะ มันเล็กไป น่าเบื่อ"

คิดๆดูมันเป็นไปได้นะที่เราจะต่อรอง เพราะเขาต้องการตัวเรานี่นา
และเราก็ดันเห็นแก่ตัวขนาดไม่สนใจเลยว่าที่ขอไปเหมาะกับความสามารถตัวเองมั้ย
แล้วเราจะทำงานได้ดีมั้ย จะทำให้บริษัทเจริญรุ่งเรืองมั้ย
เจ้าของบริษัทและผู้ถือหุ้นของบริษัทนี้จะเป็นอย่างไรกันต่อไป

โชคดีนะที่บริษัทนี้แค่ถูกสมมุติขึ้นมา และสถานการณ์นี้ไม่ได้เกิดขึ้นจริงๆ
เพราะว่าจะมีผู้บริหารที่หน้ามืดตามัวมาจ้างคนอย่างเราได้ยังไงกัน จริงมั้ย?


กลับไปดูข่าวการเมืองไทยกันต่อดีกว่า สนุกกว่าเรื่องสมมุติแบบนี้ตั้งเยอะ

Tuesday, December 18, 2007

How Old Are You?


[image by: ursulav @ deviantART]

คุณแก่กันแค่ไหนแล้ว? ไม่ได้ถามถึงอายุแต่ถามถึงความคิดอ่าน
ไม่ได้หมายความว่าแก่แล้วดีและเด็กแล้วจะไม่ดีนะ
แต่มันเป็นแค่มุมมองของคนที่มีอายุเยอะขึ้นแล้วเท่านั้นเอง

เด็กผู้ชายมัธยมจนถึงมหา'ลัยรวมตัวกันไปไหนต่อไหนกลุ่มใหญ่ๆ
แต่ก่อนเราก็เคยเป็นเด็กผู้ชายที่ไปไหนมาไหนกับเพื่อน
ตอนนั้นก็รู้สึกว่าเวลาไปเที่ยวเป็นกลุ่มมันมี"พลัง"ดี
แต่ตอนนี้รู้สึกมันเป็นภาพที่รกตาต่อคนที่พบเจอผ่านไปผ่านมา

เห็นคนที่แต่งรถมากมาย ท่อเสียงดัง เครื่องเสียงกังวานไพศาล
อันนี้เราไม่เคยทำ แต่ว่าแต่ก่อนก็รู้สึกโอเคกับบางอย่างอยู่บ้าง
แต่เดี๋ยวนี้รู้สึกว่าเหล่านั้นมันไม่ใช่สาระของรถนี่นา

ผู้หญิงสาวหน้าตามีชาติตระกูลยืนสูบบุหรี่เป็นกลุ่ม 3 คนขึ้นไปหน้าตึก
จริงๆถ้าเป็นคนเดียวเราก็เฉยๆนะ แต่พอเป็นกลุ่มมันดูน่าสลดอย่างบอกไม่ถูก
ผู้หญิงกับบุหรี่มันทำให้ดู cool ได้นะ แต่ไม่ใช่แบบนี้แน่ๆ

คนกินเหล้าแค่เพราะว่ารู้สึกว่าสังคม(เพื่อน)คาดหวังให้กิน
เราไม่เคยเป็นอีกเช่นกัน อาจจะเพราะไม่ค่อยมีสังคมอยู่แล้ว
แต่ถ้าเราไม่ดื่มด่ำกับอารมณ์ของการกินเหล้า มันก็แค่เท่ากับทำร้ายตับตัวเองไปเปล่าๆ

ลองดู list อีกที เหมือนกับว่าเราไม่ชอบการกระทำในลักษณะพฤติกรรมกลุ่มละมั้ง
อะไรที่ทำเพื่อคิดว่าตอบสนองความคาดหวังทางสังคมอย่างผิวเผินมันทำให้เรารำคาญ

แต่ก่อนเห็นพ่อชอบแวะดูร้านต้นไม้ก็เบื่อๆ แต่เดี๋ยวนี้เริ่มเข้าใจแล้วล่ะว่ามันดียังไง
พ่อเคยบอกไว้ว่า คนหนุ่มสาวจะชอบดอกไม้ พอโตขึ้นมาจะชอบดูใบไม้
เมื่อโตอีกหน่อยจะชอบกิ่งก้านของมัน และก็เริ่มดูที่โครงลำต้นของมัน
สุดท้ายสิ่งที่เราดูและชื่นชมก็คือตอของมัน


Note:
- อย่างหนึ่งที่ทำให้รู้สึกว่าโชคดีคือการที่เราโตมาในยุคและสภาพแวดล้อมที่ฟังเพลงเพื่อเล่นดนตรี ไม่ใช่ฟังเพื่อแสดงออกถึงความอยู่ในกระแสนิยม

Monday, December 17, 2007

A Man with a Face of a Rotten Foot


[image by: Sebastian Niedlich (Grabthar) @ flickr]

ขออภัยอย่างสุดชีวิตหากภาพข้างบนทำให้ท่านผู้อ่านทานอาหารไม่ลง
แต่นี่คือภาพเสมือน (จริงๆอาจจะแค่คล้าย) กับใบหน้าของบุคคลที่เรารู้จักเร็วๆนี้

เหตุการณ์สมมุติ ณ สถานที่สาธารณะแห่งหนึ่ง ตัวละครดังต่อไปนี้:
เรา (เพศชาย-นามสมมุติ) เป็นตัวเดินเรื่อง
A (เพศหญิง-นามสมมุติ) เป็นเพื่อนเรา
B (เพศชาย-นามสมมุติ) เป็นแฟน A

เรานัดทำงานกับ A โดย A พา B มาด้วย
เราคุยงานกับ A ได้สักพักก็เห็น B เงียบ
ก็เลยทำสิ่งที่ไม่เป็นตัวเองออกไป นั่นก็คือการเอ่ยทัก B ก่อน
เรา: ชื่ออะไรนะครับ
B: …
A: เค้าชื่อ B … และคนนี้“เรา”นะ
B: …

B: (หลังจากเงียบได้ที่แล้ว) โทษนะครับ นี่รุ่นไหนนะครับ
รา: ... (งงกับคำถาม) ยังไงนะครับ
A: เฮ้ย เค้าเป็นรุ่นพี่เรา
B: ... (หน้ามันถามว่า มึงตอบกูมาสิว่ารุ่นไหน)
เรา: อ่อ รุ่นนี้ๆนั้นๆครับ
B: อ่อ ... งึกๆ(เสียงพยักหน้า)

เราก็เลยทำอย่างอื่นไปซักพัก

เรา: (ไม่เข็ด) ทำงานอยู่ที่เดียวกันรึเปล่าครับ
B: …
A: ใช่แล้ว
B: … แต่อยู่ตรงส่วนนี้ๆนั้นๆ
เรา: อ่อ ถามดูพอดีมีเพื่อนอยู่ที่นั่นเหมือนกัน แต่ทำตรงนู้นๆ
A: อ๋อ .. แต่อันนั้นมันยังงั้นงี้นะ ... “เรา”ไม่ลองไปทำบ้างล่ะ
เรา: ไม่เอาล่ะ มันเข้างานเช้ายังกะไปโรงเรียน
A: ฮ่าๆ

และทุกคนก็ไม่ได้พูดอะไรราว 30 วินาที

B: (เหมือนมันเงียบมานานได้ที่แล้ว) แล้วนี่เคยทำงานรึเปล่าครับเนี่ย
เรา: (กูเข้าใจคำถามถูกรึเปล่านะ ไม่ค่อยแน่ใจ เลยถามไปแบบดีๆ) ว่าไงนะครับ
B: เคยทำงานรึเปล่าครับ
เรา: (จี๊ดเบาๆในตอนนั้น) ฮ่ะๆ ผมไม่เหมือนคนทำงานหรอครับ
B: เปล่าครับ เห็นใส่ยีนส์
เรา: ฮ่ะๆๆ

และโทรศัพท์ก็ดังขึ้นมาพอดี เลยปล่อยให้แฟนมันตอบแทนไป
พอวางโทรศัพท์เราก็ทำเฉยๆปล่อยผ่านๆไป

แต่ในใจได้หยิบยืมคำพูดของไอ้โทรศัพท์โรคจิตมาใช้ว่า:

เหี้ยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย


... ก็จบเท่านี้ละครับ ไม่ต้องบอกหรอกครับว่าเราควรโมโหมั้ย
เพราะตอนนั้นไม่ได้โมโห แต่มาโมโหพอกลับถึงบ้านแล้ว
ถึงขนาดต้องมาเขียนระบายเลยทันที


เหี้ยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย
อารายยยย ของงงงงง มึงงงงงงงงงงงง

Monday, December 10, 2007

To Feel Good is Not Bad


[image by: Rob Gruhl @ flickr]

Is there a selfless good deed?

ใครบางคนอยากรู้ว่ามีความดีอะไรที่ทำแล้วไม่รู้สึกดีรึเปล่า
การกระทำที่ดูเหมือน selfless หรือสละตนเพื่อคนอื่นนั้น
บ่อยครั้งเราก็จะได้ความรู้สึกดีๆบางอย่างตามกลับมา
ไม่ว่าจะเป็นการช่วยเหลือทำงานให้คนอื่นแม้จะเหนื่อยแค่ไหน
หรือการเสียสละเงินทองให้คนอื่น หรือการสละที่นั่งให้คนชรา
ทุกอย่างเหล่านี้เราทำแล้วเราก็รู้สึกดีอยู่ลึกๆในใจอยู่ดี

ถ้าอย่างนั้นอะไรล่ะที่เป็น selfless good deed จริงๆ
ในซีรีส์เรื่อง Friends ก็เคยมีคำถามนี้เหมือนกัน
โดยมีคำตอบที่ให้ไว้ในตอนจบนั่นก็คือ ...
การยอมให้คนที่เรารักได้สมหวังในรักกับคนที่เขารัก
แต่เรามาคิดดูว่านั่นก็ไม่น่าจะใช่คำตอบที่ดีนัก
เพราะสิ่งที่เราทำมันไม่ใช่ good deed ซะทีเดียว
หากเราไปขัดขวางไม่ให้ใครรักใครซักคนน่าจะเป็น bad deed ด้วยซ้ำ
มันก็เลยดูเป็นแค่เรื่องที่ควรจะกระทำแค่นั้นเอง

มาลองตั้งคำถามที่ตัวคำถามเองแทน
ว่ามันจำเป็นแค่ไหนที่ good deed ที่ทำจะต้อง selfless
ขอแค่มันเป็นเรื่องที่ดี ที่ทำให้คนอื่นรู้สึกดี ก็น่าจะพอแล้ว
เราจะรู้สึกดีรึไม่แค่ไหนมันไม่ได้สำคัญหรอก

จริงๆมันเหมือนเป็นเสน่ห์ของการทำดีด้วยซ้ำ
เพราะการสร้างความรู้สึกดีให้คนอื่นมันไม่ต้องหักลบจากความรู้สึกดีของใคร
แถมคนที่รับความรู้สึกดีๆนั้นส่วนมากก็อยากจะทำความดีต่อไปอีก
จนในที่สุดมันน่าจะเกิดเป็นสังคมที่รู้จักการทำ good deed ให้กันเป็นปกติ

... คนทำดีให้กันแล้วรู้สึกดีมันไม่ดียังไงกัน?

Note:
- ภาพข้างบนเป็นตัวอย่างกิจกรรมของ Free Hugs Campaign (เดาส่งๆว่าเป็นที่เกาหลี) เป็นโครงการที่ให้เราส่งผ่านความรู้สึกดีๆให้กับคนแปลกหน้าตามท้องถนนโดยการให้กอด ... ง่ายๆแต่ได้ผลมหาศาล

Thursday, November 22, 2007

Interpersonal Skill Deficiency


[image by: graph93 @ deviantART]

สืบเนื่องจากข้อความบน blog ของน้องคนหนึ่งที่เราไม่เคยร่วมงานด้วย
แต่เราชอบของที่เค้าเขียน ก็เลยใส่เอาไว้ใน blog ring ของเราด้านข้าง
ขอ quote ข้อความจาก entry ของเค้ามาให้ลองอ่านกันหน่อยนะ

“กูจะเหี้ยของกูแบบนี้….ใครจะทำไม
มึงจะเหี้ยกันแบบไหน…มึงก็เหี้ยของมึงไป
ทำไมกูเหี้ยแบบนี้…มันก็เรื่องของกูไง
มึงจะเหี้ยขนาดไหน…กูไม่สนใจ
กูเป็นของกูแบบนี้…แล้วก็จะเหี้ยกันต่อไป
.
.
.
เชิญเหี้ยกันตามสบาย…เหี้ยกันตามอรรถภาพ”


โดย the Strongline


เราอ่านแล้วเราก็รู้สึกว่าเราก็มีความคิดคล้ายๆแบบนี้เหมือนกัน
มีประโยคนึงที่เราใช้พูดในใจอยู่เรื่อยๆ วันนี้ก็เลยอยากเอามาบอกไว้งั้นเอง
เป็นพื้นฐานของแนวทางการสร้างสถานะทางสังคมของเรา

"ผมไม่ได้คาดหวังให้คุณมาชอบผม เพราะฉะนั้นไม่ต้องมาบอกว่าผมควรเป็นยังไง
และผมก็ไม่ได้ต้องการจะชอบคุณเพราะฉะนั้นก็ไม่ต้องพยายามมาทำตัวให้ผมชอบเหมือนกัน
ผมจะเกลียดคุณมันก็เป็นเรื่องของผมและถ้าคุณจะเกลียดผมก็เชิญตามสบาย"
หมายเหตุ: บางวันสามารถเอา กู-มึง มาใส่ได้ตามความเหมาะสมทางอารมณ์ของเวลานั้นๆ

ใจความของมันก็คือ คนเราไม่ได้อยู่เพื่อทำให้คนอื่นทุกคนชอบ
คนเรามันก็มีดีมีเลว ไม่ต้องพยายามเสนอแต่เรื่องดีๆแล้วเรื่องเลวๆเอาไปซ่อน
คนที่พยายามทำให้คนอื่นชอบมากที่สุดก็เหมือนหลอกตัวเอง
คนอื่นชื่นชมเราแล้วมันดียังไง คนอื่นด่าเราแล้วมันแย่ยังไง
จริงๆแล้วมันก็ไม่ได้มีอะไรสำคัญเรื่องถูกชอบหรือถูกเกลียด

แต่เรื่องที่สำคัญคือถึงจะเกลียดใครแค่ไหนก็ตาม
เรายังต้องรู้จักการให้เกียรติและเคารพกัน
เพราะว่ามันเป็นคนละเรื่องกัน

Note:
- งานเสร็จไปอย่างนึงแล้ว ... เหลืออีก 4 ... เฮ่อ
- ตอนแรกกะจะไปยืม Transformers มาเปิดไว้เป็น background ตอนทำงานดึกๆ แต่ไปเห็น poster ของ Premonition เข้าแล้วหยุดยืนดูอยู่นานมาก ก็เลยยืมมาแทนซะงั้น เอารูปมาให้ลองดูมั่ง เผื่อจะรู้สึกเหมือนกัน

Friday, November 16, 2007

Life is but a Joke

ชีวิตคนมันเป็นเรื่องตลก ไม่ใช่ตลกแบบหัวเราะก๊าก แต่ตลกแบบแดกดันเสียดสี (irony)
เราใช้ชีวิตอยู่ด้วยการมองเรื่องตลกเหล่านั้นผ่านเข้ามาในชีวิต และร่วมแสดงไปกับมัน
จะลองยกตัวอย่างให้คิดตามกันดู เอาเรื่องใกล้ตัวที่สุดเลยคือเรื่องใจของเราเอง
ถ้าถามขึ้นมาตอนนี้เลยว่า ใจของเรามีใครเป็นคนควบคุม?
แน่นอนว่ามันคววรจะเป็น: ใจเราเอง ตัวเราเอง ควบคุมเอง
แล้วมันเป็นแบบนั้นจริงๆรึเปล่าล่ะ?

เราควบคุมความคิดได้ และถ้ามีการบริหารใจมากพอก็จะสามารถควบคุมความรู้สึกได้ด้วย
แต่ว่าไม่ว่าจะทำได้เก่งแค่ไหน สุดท้ายใจเรากลับถูกควบคุมโดยปัจจัยภายนอกแทน
คุณอาจจะศรัทธาในตัวคุณเองและความสามารถของคุณ ศรัทธาความคิดตัวเอง
คุณอาจจะมองโลกในแง่ดีและหาความสุขในเรื่องต่างๆในชีวิตได้เสมอ
ความเชื่อมั่น ความรู้สึกดี ความคิดในเชิงบวก คุณต้องก่อสร้างมันขึ้นมาเอง
ทีนี้ ความตลกในบทเรียนนี้ก็คือ คนที่จะทำให้มันพังหายไปกลับไม่ใช่ตัวคุณ
คนรอบตัว สังคม และเหตุการณ์ที่คุณไม่ได้ควบคุมต่างหากที่จะทำลายคุณ
อยู่ดีๆคุณคงไม่รู้สึกแย่กับตัวเองถ้าไม่ถูกอะไรมากระทบใจ
แต่พอรู้สึกแย่แล้วจะกลับมารู้สึกดีให้ได้นั้น กลับต้องใช้ความพยายามของตัวเองอีก
ลองคิดดูสิว่ามันยุติธรรมมั้ย? มันมีเหตุผลมั้ย? แล้วแบบนี้มันจะไม่ตลกได้ยังไง?

ถ้าหากทุกอย่างบนโลกนี้ดำรงอยู่ด้วยเหตุผล ซึ่งเราเชื่ออย่างนั้นจริงๆ
ความไม่สมเหตุผลนี้ล่ะ มันมีอยู่บนหลักเหตุผลว่าอะไรกัน
เราไม่เชื่อว่าความทุกข์ยากลำบากในชีวิตเป็นบททดสอบอะไรอย่างที่บางคนพูดกัน
คนบางคนรู้สึกแย่กับตัวเอง ท้อแท้เมื่อเจออุปสรรค เค้าจะรู้สึกบ้างมั้ยว่ามันเป็นบททดสอบ
บางทีมันอาจจะง่ายกว่านั้น มันอาจจะเป็น Survival of the Fittest
หากเราไม่สามารถเตรียมความพร้อมและปรับสภาวะใจเราให้เปลี่ยนไปตามสถานการณ์
หากเราเอาด้านแข็งของใจเราไปชนกับตัวแปรที่เข้ามาทำลายใจเรา ใจเราก็คงจะต้องมีรอยช้ำ

ความช้ำในที่นี้ก็คือความรู้สึกแย่ที่เกิดขึ้นในใจ เมื่อเราเอาใจเราตั้งรับเรื่องที่เข้ามา
ถ้าอย่างนั้นทำยังไงใจเราถึงจะไม่ช้ำถ้าเจออะไรมาทำลาย?
คิดง่ายๆคือเสริมใจให้แข็งเข้าไว้ แล้วสะท้อนมันออกไปให้ไกลที่สุด
เราไม่ได้เรียนฟิสิกส์มา แต่เชื่อว่าการที่จะสะท้อนอะไรออกไปได้นั้น
วัตถุที่ตั้งรับจะต้องดูดซับแรงเอาไว้ก่อนและใช้แรงต้านที่มากกว่าผลักมันออกไป
ถ้าครั้งสองครั้งคงไม่เป็นไร แต่เชื่อจริงๆหรอว่ามันจะมาแค่ไม่กี่ทีแบบนั้น
บ่อยๆเข้าใจเราก็คงร้าว และต้องแตกในที่สุด

สาเหตุที่เราคอยปัดป้องเรื่องร้ายๆให้พ้นตัวเป็นเพราะเรากลัว
กลัวว่าเราจะเสียความรู้สึกดีๆที่มี กลัวเพราะไม่รู้ว่าเราจะรู้สึกยังไง
ถ้างั้นลองทำอีกวิธีนึงดู ค่อยๆปล่อยให้มันเข้ามาในใจแทน
ไม่ใช่ให้มันเข้ามาทำร้ายเรา แค่เอาเข้ามาเพื่อดูให้รู้ว่ามันคืออะไร
ให้รู้ว่ามันเกิดจากอะไร และจะทำให้เราเจ็บได้ยังไง
พอเรารู้เราก็ไม่ต้องกลัว ไม่ต้องกังวล ไม่ต้องระแวง
ที่สำคัญคือเราจะรู้วิธีที่จะจัดการกับมันได้

คนที่เข้ามาอ่าน Blog นี้คงไม่มีใครปราศจากความรู้สึกโดยสิ้นเชิง
แต่การที่เรารับเอาเรื่องไม่พึงประสงค์มากลั่นออกเป็นความรู้สึกแย่ๆ
แล้วเอาความรู้สึกแย่นั้นมาปรุงแต่งจนรู้สึกแย่ลงไปอีก นั่นมันก็เป็นเรื่องตลกเหมือนกัน
เราต้องเรียนรู้ที่จะยอมรับว่าไม่มีทุกอย่างเป็นได้ตามใจเราต้องการ
ทำให้ตัวเองเข้าใจให้ได้ว่าความรู้สึกแย่ๆทุกอย่างมันเป็นเรื่องปกติ
รู้สึกมัน รู้ตัวว่ารู้สึกมัน แล้วก็ปล่อยให้มันผ่านออกไป


มันธรรมดาอยู่แล้วที่เราจะเจ็บ เศร้า เสียใจ ท้อแท้ กลัว หรือกังวล
แต่มองให้มันเป็นเรื่องตลกซะ ... แล้วก็เข้าใจมัน


I do not fear difficulties
I do not fear hardship
I do not fear poverty
I do not fear sickness
I do not fear ignorance
I do not fear pain
I do not fear suffering
I do not fear despair
I do not fear loneliness
I do not fear sadness

I fear that I will not have this strength

Note:
- รีบเขียนให้จบเพราะจะรีบออกจากออฟฟิศ อาจจะทำให้ดูงุนงงในตอนหลัง แถมไม่มีรูปไว้แก้เลี่ยนอีก ถ้าทำได้จะกลับมาแก้ใหม่