Menu

Showing posts with label Internet. Show all posts
Showing posts with label Internet. Show all posts

Friday, June 19, 2009

Riding Facebook Wave



ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าไม่ได้มาอัพเดทนานมาก นั่นเป็นเพราะกำลังอินอยู่กับ facebook มากๆ
อันที่จริงเราสมัคร facebook ไว้นานมากแล้ว ราวๆ 2-3 ปี แต่ก็ไม่ได้เล่นมันเลย
ตอนนั้นรู้สึกว่าระบบ application มันซับซ้อนและรกหน้า profile ของเรามากๆ
นั่นเป็นเพราะเราคุ้นกับการบริหารหน้า profile ส่วนตัวให้เป็นตามที่ต้องการ
ก็เหมือนๆที่ทำกันใน myspace หรือ hi5 นั่นแหละ ทุกคนก็แต่งให้หน้าของตัวเองเป็นตัวเองที่สุด

แต่ facebook มันไม่ใช่แบบนั้น ซึ่งก็ต้องยอมรับว่าตอนนั้นไม่เข้าใจเลย
เราพยายาม 'ควบคุม' ให้หน้า profile เราแสดงข้อมูลอย่างที่เราต้องการเท่านั้น
ซึ่งไปๆมาๆมันทำให้เรารู้สึกว่ามันปรับอะไรยากเหลือเกิน ก็เลยเลิกราไปนาน
จนกระทั่งได้รับ email จาก facebook ถี่ขึ้นเรื่อยๆในช่วงหลัง ทำให้รู้ได้ว่ามันกำลัง 'มา'
ก็เลยคิดว่าจะให้โอกาสมันลองดูอีกซักทีเหมือนกับตอนที่ให้โอกาส hi5 อีกทีเมื่อปีก่อน

ด้วยความที่ facebook ปรับลักษณะการใช้งานให้เข้าใจได้ง่ายขึ้นเยอะ
และเราศึกษาเว็บมามากขึ้นด้วยทำให้เห็นประโยชน์ที่แท้จริงของมัน
หน้าที่สำคัญที่สุดของ facebook ไม่ใช่ profile แต่เป็นหน้า news feed ที่อัพเดทเพื่อนเราต่างหาก
(เราอาจจะเป็นคนสุดท้ายที่รู้ตัวก็ได้นะเนี่ย)
ถ้า hi5 กับ myspace เอาตัวเราเองเป็นที่ตั้ง facebook ก็คือสิ่งตรงกันข้ามที่เอาเรื่องคนอื่นมาใส่ให้เรา
เรามีหน้าที่แค่คอยดูว่าคนอื่นทำอะไรแล้วก็ไปคอมเม้นท์ทักทายเรื่องเหล่านั้นของเค้า
ถ้าอยากอัพเดทตัวเองก็ทำได้แบบง่ายๆ เรียบๆ และให้คนอื่นรับรู้มากกว่าความพอใจของตัวเอง

เทียบแล้ว hi5 อาจจะเหมาะสมกับการทำ branding ให้คนรับรู้ว่าเราคือใคร
แต่ถ้าอยากสื่อสารให้ได้ผล facebook ดูจะเป็นช่องทางที่หวังผลตอบรับได้ดีกว่ามาก
นั่นเพราะว่าผู้รับสารพร้อม(และรอคอยด้วยซ้ำ)ที่จะรับข่าวสารใหม่ๆอยู่เสมอ

สาเหตุที่ผู้ใช้ facebook ชาวไทยมีการเติบโตที่รวดเร็วน่าจะเกิดจาก:
1. กลุ่มคนไทยในต่างประเทศโดยเฉพาะสหรัฐที่เล่นกันเยอะตามคนอื่นในประเทศ ส่งผลให้เพื่อนที่อยู่เมืองไทยลองเล่นตาม และขยายวงกว้างไปในที่สุด
2. การปรับการใช้งานให้ง่ายขึ้นเรื่อยๆ ไม่ซับซ้อนเหมือนแต่ก่อน
3. interface ภาษาไทยที่นับว่าเป็นเว็บที่แปลได้ดีที่สุดเท่าที่เจอมาเลย
4. application การทำ quiz ที่แพร่หลายมากๆจริงๆ
5. จำนวนนักการตลาดที่หันมาใช้ facebook เป็นช่องทางการโฆษณาอย่างชัดเจน เนื่องจากสามารถกำหนดกลุ่มเป้าหมายได้โดยละเอียดมาก (selective communication) และควบคุมงบประมาณการประชาสัมพันธ์ได้อย่างสมบูรณ์

ด้วยเหตุเหล่านี้น่าจะส่งผลให้ปีนี้เป็นปีที่ facebook มีอัตราการเติบโตในประเทศไทยสูงที่สุด
คาดว่าคนไทยที่เล่น hi5 ไม่ต่ำกว่า 30% จะมีบัญชี facebook อยู่ด้วยภายในสิ้นปีนี้

ส่วนตัวเราก็ขอหมกมุ่นอยู่กับมันอีกสักนิดละกัน เพราะเราเจอโอกาสมากมายจริงๆในนั้น

... แล้วเดี๋ยวก็จะกลับมาอีกทีดังเดิม


Note:
- จำนวนผู้ใช้ facebook ที่อยู่ในประเทศไทย 648,800 ราย แบ่งเป็น

เพศ:
ชาย 266,000 ราย
หญิง 359,780 ราย
ไม่ระบุ 23,020
ราย

อายุ:
13-18 ปี 87,800 ราย
19-23 ปี 183,040 ราย
24-30 ปี
216,480 ราย
31-40 ปี
113,240 ราย
41 ปีขึ้นไป 49,340 ราย
ไม่ระบุ 48,240 ราย

ใครจะเอาข้อมูลพวกนี้ไปใช้ทำอะไรก็ยินดีนะ

Thursday, April 30, 2009

Twitter is the Answer

entry นี้ตั้งใจว่าจะเข้ามาบ่นสั้นๆเรื่องเล็กๆน้อยๆ
แต่ถ้าทำแบบนั้นอาจขัดกับความเป็น blog ที่น่าจะต้องตั้งใจเขียนสักหน่อย (ถึงหลังๆดูไม่ตั้งใจ)

เล่น twitter ดีมั้ยวะเนี่ย??

Thursday, April 23, 2009

Porcelain

นานๆเข้า Facebook ของตัวเองซักที เหลือบไปเห็น note อันนึงของคุณ Phir ที่เขียนไว้ซักพักแล้ว
เป็นเกมที่สนุกดูเลยลองทำดู และคิดว่าคนคงเข้ามา blog มากกว่า Facebook อยู่แล้วเลยลอกมาแปะซะ

เล่นด้วยกันนะ ทุกท่าน :)

---------------------------------------------------------------------

Rules :
1. Put your music player on shuffle (entire music library)
2. For each question, press the next button to get your answer.
3. YOU MUST WRITE THAT SONG NAME DOWN NO MATTER HOW SILLY IT SOUNDS!
4. Tag as many friends as you want who might enjoy doing the game as well as the person you got the game from.

Thai Sub: กติกานะจ๊ะ
1. เอาเพลงทั้งหมดที่มีใส่ library
2.ในการตอบคำถามแต่ละข้อ ให้กด Next ที่เครื่องเล่น/โปรแกรม player
3. ตอบคำถามโดยการเขียนชื่อเพลงที่ปรากฏขึ้นมา โดยไม่ต้องสนว่างี่เง่าแค่ไหน
4. บอกต่อด้วย (มึงจะเขียนภาษาอังกฤษซะยาวทำไม)

cos readings could get really boring so here goes some shuffling fun! :)

(Note: เนื่องจากไม่ได้อยู่ในที่ๆมีครบทุกเพลงใน Library เลยจะขอใช้เฉพาะเพลงใน iPod Nano 1,433 เพลงแทน)


1.IF SOMEONE SAYS "IS THIS OKAY" YOU SAY?
P R E C I O U S (Yuna Ito) - - - เริ่มต้นก็เท่แล้ว

2.WHAT WOULD BEST DESCRIBE YOUR PERSONALITY?
นิยาย (Moderndog) - - - เท่ขึ้นไปอีก

3.WHAT DO YOU LIKE IN A GUY/GIRL?
ลองคิดดู (Scrubb) - - - ยังคิดอยู่

4.HOW DO YOU FEEL TODAY?
Seria Feliz (Julieta Venega) - - - (translation: be happy)

5.WHAT IS YOUR LIFE'S PURPOSE?
ภารตะ Hero (Saturday Seiko) - - - เพ้อเจ้อมากครับ

6.WHAT IS YOUR MOTTO?
นิยามรัก (บัว+แคล Bossa Blossom)

7.WHAT DO YOUR FRIENDS THINK OF YOU?
いい日だったね。[li-Hi-Dattane] (Depapepe) - - - (translation: It was a good day)

8.WHAT DO YOU THINK ABOUT VERY OFTEN?
ตุ๊กตาหน้ารถ (Lula) - - - : )

9.WHAT IS 2 + 2?
Alzheimer (Supersub) - - - ชอบ ดูโง่ดี

10.WHAT DO YOU THINK OF YOUR BEST FRIEND?
Sem Parar (T-Square) - - - (translation: without stopping)

11.WHAT DO YOU THINK OF THE PERSON YOU LIKE?
เธอจะอยู่กับฉันตลอดไป (Clash) - - - หล่อมาก!!!! ให้ตายเถอะ

12.WHAT IS YOUR LIFE STORY?
AEIOU (Charlotte Sometimes) - - - ชีวิตเปรียบเสมือนสระภาษาอังกฤษ

13.WHAT DO YOU WANT TO BE WHEN YOU GROW UP?
What if ... (The Lighning Seeds) - - - ไม่มีคำตอบใดๆ

14.WHAT DO YOU THINK WHEN YOU SEE THE PERSON YOU LIKE?
เมื่อไหร่จะได้พบ (When?) (Friday) - - - ถึงเจอแล้วก็ยังจะถามอยู่ดี

15.WHAT DO YOUR PARENTS THINK OF YOU?
มองตาไม่รู้ใจ (ฝน นภัส จิวะกิดาการ) - - - น่าจะจริง

16.WHAT WILL YOU DANCE TO AT YOUR WEDDING?
ดาวตก (T-Bone) - - - จะทำจริงๆนะเนี่ย

17.WHAT WILL THEY PLAY AT YOUR FUNERAL?
Sense of Adventure (Matthew Sweet) - - - นี่ก็น่าทำ

18.WHAT IS YOUR HOBBY/INTEREST?
I'm Fed Up! (Alizee) - - - ถ้าจะแถว่า "อิ่มเหี้ยๆ" ก็จะใกล้เคียงความจริงมากขึ้น

19.WHAT IS YOUR BIGGEST SECRET?
Smog Moon (Matthew Sweet)

20.WHAT DO YOU THINK OF YOUR FRIENDS?
Goodbye My Lover [Live] (James Blunt)

21.WHAT'S THE WORST THING THAT COULD HAPPEN?
นานๆนะๆ (Lula) - - - ตีความกันเอาเอง

22.HOW WILL YOU DIE?
Fences (Paramore) - - - นึกแล้วน่ากลัวนะครับ

23.WHAT IS THE ONE THING YOU REGRET?
Endless Song of Happiness (Yael Naim) - - - why?

24.WHAT MAKES YOU LAUGH?
เพื่อนแท้ (เอิ้น พิยะดา & The Gang) - - - หล่ออีกแล้ว

25.WHAT MAKES YOU CRY?
Be My Baby (The Lighning Seeds)

26.WILL YOU EVER GET MARRIED?
Smells Like Teen Spirit (Nirvana) - - - 555 ไม่สื่อความ แต่ตลกตอนเพลงนี้ขึ้นมา

27.DOES ANYONE LIKE YOU?
ดวงดาวในบ่อน้ำ Reflection of the Stars (Armchair)

28.IF YOU COULD GO BACK IN TIME, WHAT WOULD YOU CHANGE?
We are the Pipettes (The Pipettes) - - - ชอบ the Pipettes ครับ ไม่เปลี่ยน

29.WHAT HURTS RIGHT NOW?
Circle Life (จุ๋ย จุ๋ยส์)

30.WHAT WILL YOU POST THIS AS?
Porcelain (Moby) - - - เอาคำตอบข้อนี้ไป post เป็นชื่อ entry นะ

---------------------------------------------------------------------

เพลงไทย เพลงใหม่ และเพลงสนามหลวงเต็มไปหมด
ความจริงผมฟังเพลงหลากหลายกว่านี้นะครับ -___-

Thursday, April 2, 2009

Series, Misery, Trends

ขณะนี้ เว็บขายของออนไลน์ Trendyday.com ที่เราทำงานอยู่จะมีการปรับชื่อหมวดสินค้าให้เป็นภาษาไทย
เลยต้องเช็คดูว่าคำบางคำ คนสะกด search หายังไง จะได้หามาเจอเว็บของเราได้
เครื่องมือที่มีประโยชน์มากคือ Google Trends ที่จะบอกให้รู้ได้ว่าtrend ของคำๆนึงที่คน search เป็นยังไง
ดูแล้วก็เศร้าใจว่าทำไมคนไทยเขียนหนังสือกันแย่ลงเรื่อยๆ

ยกตัวอย่างคำว่า Series ที่เราคิดว่ายังไงๆก็ต้องสะกดแบบนี้ --> ซีรี่ส์
แต่โดนเถียงมาว่าต้องสะกดแบบนี้ถึงจะถูก --> ซีรี่ย์
เราก็คิดว่าจะเป็นไปได้ไงฟะ จะเอาย.ยักษ์มาจากไหนในคำว่า series เลยลองมาเช็คดู

ปรากฏว่า ....


เออ ยอมก็ได้



และด้วยความทำตัวว่างงานเลยลอง search ดัชนีความทุกข์ของคนไทยดูเล่นๆ


คนไทยเหนื่อยมากในเดือน ก.ค. ของปีที่ผ่านมา
ในขณะที่ trend ความเบื่อพึ่งจะ peak ไปเมื่อเดือน ก.พ. ของปีนี้
trend ในอนาคตความเหนื่อยกำลังกลับมา
ความเครียดกำลังทรงตัว
ความหิวและความง่วงยังมีไม่เยอะ แต่รักษาระดับไว้ได้ตลอด

จบข่าว

Wednesday, March 25, 2009

Repetitive Strain Injury

ขอฝาก entry นี้ให้ทุกๆคนที่ใช้คอมพิวเตอร์ประจำสม่ำเสมอ

เมื่อวานนี้เราเกิดอาการปวดไหล่ข้างขวาอย่างรุนแรงมาก
อีกทั้งมีอาการชาที่แขนขวาทำให้ขยับแขนได้ไม่สะดวก
จากการวินิจฉัยด้วยตนเองแล้ว นี่คืออาการที่เกิดจากการวางมือไว้ที่เมาส์ไว้เป็นเวลานานอย่างต่อเนื่อง
จะมีปวดตึงมากขึ้นหากเอามือขึ้นมาวางบนเมาส์ หรือกิจกรรมอื่นๆที่ต้องยกมือลักษณะองศาเดียวกันนี้
ยกตัวอย่างเช่น การเขียนหนังสือ การจับพวงมาลัยรถ การกดน้ำชำระโถปัสสาวะชาย การหมุนลูกบิดประตู
กิจกรรมอื่นๆที่น่าจะทำไม่ได้เช่นกันเช่น การเล่นซูโม่ หรือแม้แต่การเต้นรำแบบวอลทซ์หรือแทงโก้

คงเป็นเพราะท่ามาตรฐานของเราเวลานั่งที่คอมคือ มือขวาอยู่บนเมาส์
ส่วนมือซ้ายจะวางนิ้วนาง-กลาง-ชี้ไว้บนปุ่ม A-S-D ตามลำดับ (Damn that Counterstrike!)
และเราก็เป็นคนที่อยู่หน้าคอมเกือบตลอด ที่ทำงาน ที่มหาลัย ที่บ้าน เป็นแบบนี้มาตั้งแต่มีคอมที่บ้าน
แต่ถึงคนอื่นจะไม่ได้อยู่ในท่าที่ว่าบ่อยและนานเท่าเรา ก็อย่าประมาทละกัน
เพราะคนที่ทำงานหน้าคอมนานๆก็น่าจะมีความเสี่ยงที่จะเกิดอาการนี้ได้เสมอ
ต้องรู้จักหยุดพัก เดินไปเดินมา บริหารแขน คอ สายตา เป็นระยะๆ

ไม่อย่างนั้นอาจจะต้องงดเว้นการเต้นแทงโก้ไปซักระยะ


Note:
- เมื่อคืนใช้กระเป๋าน้ำร้อนประคบก็ดีขึ้นนิดหน่อย แต่ไม่หายขาด คาดว่าอาการนี้คงต้องไปฝังเข็ม
- ชื่ออาการนี้เรียกเป็นภาษาอังกฤษว่า Repetitive Strain Injury [อ่านข้อมูลเพิ่มได้ที่นี่]

Tuesday, March 24, 2009

Geeky Dilemma

พยายามสร้าง blog ใหม่อยู่หลายหนหลายแห่ง
ไม่ว่าจะเป็น wordpress, livejournal, exteen, หรือ trendyday
แต่ก็ยังไม่ถูกใจซักที่ แม้แต่ใน blogger นี้เองก็เถอะ
เราพยายามหาที่ๆมีความยืดหยุ่น ทำอะไรได้มากๆเท่าที่อยากทำ
หรือทำอะไรที่อาจจะอยากทำในอนาคตต่อไปได้ด้วย
ยังไงๆก็ยังไม่ลงตัว

คิดไปคิดมาก็เลยพาตัวเองไปอีก step นึงซะเลย
นั่นคือจะทำ wiki!

... จะไหวมั้ยเนี่ย (นั่งทำมาทั้งคืนแล้ว อยากลองทำขึ้นให้ได้ภายในสุดสัปดาห์หน้านี้)


Note:
- entry นี้แค่แสดงความ geek เฉยๆ ไม่มีอะไร

Wednesday, March 4, 2009

Thanks Again Yarinda



หลังจากที่เคยขอบคุณ ญารินดา บุญนาค ไปแล้วเมื่อ 27 สิงหาคม 2550
วันนี้ก็อยากขอบคุณอีกครั้ง ในอีกเหตุผลนึง
คือหลังจากเขียนถึงศิลปินคนนี้ไปในครั้งนั้น
ชื่อและรูปของเธอก็พาคนเข้ามา blog แห่งนี้แทบทุกวัน
โดยเฉพาะช่วงนี้ที่เธอกำลังเล่นหนังเรื่อง 'ความจำสั้น แต่รักฉันยาว'
ทำให้ชื่อของเธอถูก search อยู่เยอะเป็นพิเศษ
(50% ของ traffic เว็บเราตอนนี้มาจากรูปญารินดา)

ก็ขอขอบคุณมาอีกวาระหนึ่งนะครับ ญารินดา บุญนาค

Note:
- เปล่านี่ ไม่ได้จงใจเขียนชื่อเธอเยอะเพราะหวังผลอะไรหรอก
- รู้สึกว่าเมื่อก่อนเขียนดีกว่าตอนนี้เยอะ ต้องกลับมาเขียนเยอะๆแฮะ

Thursday, August 21, 2008

Poverty Strikes


Poverty Strikes - Blog Action Day 2008

เมื่อวันที่ 15 ตุลาคมของปีที่แล้ว มี Blogger ทั่วโลกจำนวน 20,603 คนพร้อมใจกันเขียนเรื่องสิ่งแวดล้อม
พวกเขา(และพวกเรา)เข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งในโครงการ Blog Action Day ครั้งแรก
ผลตอบรับที่เป็นรูปธรรมอาจยังไม่ปรากฏเพราะเรายังคงพบเจอปัญหาสิ่งแวดล้อมอยู่
แต่ว่าปัญหาสิ่งแวดล้อมในปีที่ผ่านมามันไม่ใช่เรื่องไกลตัวอีกต่อไป
ตอนนี้ทุกคนรู้แล้วว่าสิ่งแวดล้อมมีปัญหา และต้องช่วยกันหาทางแก้ไข
เราเชื่อว่าสิ่งที่ Blogger ทุกคนร่วมมือกันทำในวันนั้นมีส่วนให้คนในสังคมรับรู้เพิ่มไม่น้อย

มาปีนี้โครงการ Blog Action Day เริ่มต้นเปิดตัวอีกครั้งเมื่อวันที่ 15 สิงหาคมที่พึ่งผ่านมา
ประเด็นของปีนี้คือ Poverty หรือ ปัญหาความขาดแคลน
ไม่จำกัดเฉพาะความยากจนเท่านั้น
แต่รวมถึงการขาดแคลนอาหาร
ขาดแคลนสาธารณูปโภค
ขาดแคลนสุขอนามัย
ขาดแคลนการศึกษา
ขาดแคลนชุมชนที่ดี
และขาดแคลนโอกาส

ทั้งหมดที่พูดมานี้ใครๆก็พูดได้ และพอรู้ว่ามีปัญหา
แต่ถ้าพูดตรงๆเราเองไม่เคยรับรู้ว่าปัญหาพวกนี้มันมีเยอะแค่ไหน หนักหนาแค่ไหน
เรารู้สึกว่ามันฟังดูไกลตัว นึกไม่ออกว่ากลุ่มคนไหนบ้างที่เจอปัญหานี้จริงๆ
แนวทางการแก้ไขยิ่งฟังดูยากเย็น และเป็นเรื่องในอุดมคติมาก
ดังนั้นความตั้งใจของเราก่อนจะถึงวัน Blog Action Day จริงคือ
จะต้องหาความรู้ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับปัญหานี้ให้มาก
เพื่อที่จะมาบอกเล่าได้อย่างมีประเด็น ไม่ใช่แค่พูดพร่ำเพ้อแบบรู้ไม่จริง

ในเวบไซต์ของ Blog Action Day เอง ก็มีการจัดเตรียม reference และ resource ให้ค้นคว้ากัน
เราลองไปดูๆแล้วบางอันน่าสนใจ และบางอันก็น่าสนใจมากเป็นพิเศษ
ถ้าใครไม่รู้ว่าจะดูอันไหนดี เราแนะนำซัก 2 อันให้ก่อน

อันแรกคือ The Girl Effect - แนวคิดที่ส่งเสริมให้ผู้หญิงมีบทบาทในชุมชนมากขึ้น
(ส่วนตัวเราชอบวิดีโอตอนเปิดตัวของเวบไซต์นี้ อยากให้ลองดู)

อีกอันคือ The Uncultured Project - เป็นช่องรายการทำเองช่องหนึ่งใน YouTube
เรื่องจริงของนักศึกษาปริญญาโท Notre Dame ที่ลาออกจากการเรียนกลางคัน
เขาเอาเงินที่เก็บสะสมไว้ซื้อ XBOX360 ไปซื้อกล้องวิดีโอ และบินไปบังคลาเทศ
ไม่มีแผนการ ไม่มีประสบการณ์งานอาสาช่วยเหลือ ไม่มีความพร้อมใดๆทั้งนั้น
มีแค่แนวคิดว่า:
"It's about doing one's part (and inspiring others) to make the world a better place."


ในชีวิตของเราอาจจะไม่มีโอกาสทำอะไรที่ยิ่งใหญ่และทุ่มเทขนาดนั้น
แต่อย่างน้อยการนำเรื่องดีๆมาบอกเล่าต่อก็อาจจะทำให้เกิดผลลัพธ์ที่ยิ่งใหญ่ก็ได้
ถ้าใครคิดเหมือนกัน ก็ขอเชิญเข้าร่วม Blog Action Day ปีนี้ได้เลย!




Note:
- Blog Action Day ปีนี้ หลังจากเริ่มไปได้ 5 วัน ตอนนี้มีคนเข้าร่วมแล้ว 2,455 คนนะ

Wednesday, March 26, 2008

Cyber-Chicken

ไม่รู้ทำไมวันนี้อยากกิน Chester's Grill ขึ้นมา
เลยลอง google หาเวบไซต์เพราะจะเช็คหาเบอร์โทรสั่ง
พอเข้าไปเจอเวบแล้วตะลึง ตะลึง ตะลึง
มีเวบไทยที่ดูตั้งใจทำขนาดนี้เลยรึเนี่ย (ตั้งใจกว่าเวบ Happy อีก)

ลองไปดูกันได้ครับที่ http://www.chestersgrill.co.th/

Thursday, November 29, 2007

Social Bug

ประกาศๆ

กำลังจะยกเลิก account บน hi5 แล้ว เนื่องจากได้รับเมล์ว่ามีคนรับ add request เราเยอะมาก ซึ่งคนเหล่านั้นไม่ได้รู้จักเลย และไม่มีทางแน่ๆที่เราจะไปขอ add คนที่ไม่รู้จักก่อน ซึ่งทำให้คิดได้ว่า 1. มี bug หรือ ไวรัสในระบบ hi5 หรือ 2. มีคนเข้า account เรา ซึ่งทั้งสองทางก็ไม่น่ายินดีทั้งนั้น ที่สำคัญคือ ...

it hurts my pride as an anti-social!!!!

(สามารถฟ้องร้องได้มั้ยนะ ... เสีย brand equity)

Monday, November 26, 2007

Digital Property


[image by: blarygake @ flickr]

Warning: Long and Serious Entry - บทความวันนี้ยาวและจริงจังเป็นพิเศษ หากต้องการความบันเทิงกรุณาอ่านบทความอื่นๆแทน

"Life finds a way"

นี่คือประโยคจาก Jurassic Park และสามารถใช้ได้จริงเสมอตราบที่ยังมีสิ่งมีชีวิตอยู่
เราคิดว่าสิ่งมีชีวิตทุกอย่างอยู่ด้วยปรัชญาของประโยคนี้เหมือนกันหมด
แต่ว่าวันนี้ไม่ได้จะเขียนเรื่องธรรมชาติหรือเรื่องชีวิตหรอก
ตรงข้ามด้วยซ้ำ จะมาเขียนเรื่องของที่ไม่มีชีวิต และไม่มีกระทั่งตัวตน
ต่อยอดบทความของ phir เรื่องทรัพย์สินทางปัญญา (Intellectual Property : IP)

แต่เพราะว่าเราไม่ได้เรียนด้านกฎหมายมาเหมือน phir เราก็จะขอเขียนในแง่มุมที่เราถนัดกว่าแทน
เราอยากจะเสนอมุมมองเกี่ยวกับผลงานสร้างสรรค์ในเชิงบริหารจัดการ (Management) แทน

เรื่องของการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา ว่าด้วยเทคโนโลยีที่มันก้าวหน้าไปมากทำให้ผู้ที่จะทำการละเมิดนั้นสามารถทำได้ง่ายขึ้นเรื่อยๆ ผู้ที่เสียประโยชน์โดยตรงก็คือบริษัทหรือบุคคลที่เป็นผู้สร้างสรรค์ความคิดนั้นขึ้นมา มาตรการตอบโต้หรือป้องกันตนของกลุ่มผู้เสียประโยชน์เหล่านี้ที่จะใช้กันส่วนใหญ่จะมีอยู่สองทางด้วยกันคือ 1.ใช้ข้อได้เปรียบทางกฎหมายของการเป็นเจ้าของสิทธิ์ทางความคิดนั้นเพื่อป้องกันหรือเอาผิดจากผู้ที่มาละเมิด หรือ 2.พัฒนาสินค้าหรือบริการของตัวเองให้ถูกลอกเลียนให้ยากขึ้น เช่นทำให้มันซับซ้อนขึ้นหรือเอาเทคโนโลยีบางอย่างเข้าไปเป็นส่วนประกอบไม่ให้ถูกลอกเลียนหรือทำซ้ำ

ซึ่งทั้งสองวิธีที่ว่านี้ก็ฟังดูสมเหตุสมผลดี เมื่อคิดจากฐานะผู้ผลิตว่าเราเป็นผู้ลำบากพัฒนาความคิดขึ้นมาและมีต้นทุนในการผลักดันความคิดนั้นออกมาสู่ตลาด (Commercialization) มันมีทั้งค่าจ้างผู้วิจัยพัฒนา ค่าวัตถุดิบหรือวัสดุสิ้นเปลืองต่างๆ รวมไปถึงค่าใช้จ่ายในการดำเนินการ และการโฆษณาประชาสัมพันธ์อีกที่เราจะต้องหารายได้มาชดเชย เราย่อมไม่ต้องการให้บุคคลอื่นมาฉกฉวยโอกาสแย่งรายได้ไปจากเราง่ายๆเพียงแค่ทำซ้ำหรือคัดลอกความคิดของเราไปขายในราคาที่ถูกกว่ามากโดยอาจจะมีเพียงแค่ต้นทุนการผลิตเท่านั้น ดังนั้นเราจึงต้องหาทางปกป้องตัวเองจากความเสี่ยงที่จะถูกฉกฉวยโอกาสแบบนี้โดยการใช้ กฎหมาย หรือ เทคโนโลยี ดังกล่าว

เราเห็นด้วยว่าผู้ที่เป็นเจ้าของความคิดย่อมสมควรได้รับการปกป้อง ถ้าหากสินค้านั้นมันเป็นสิ่งของจับต้องได้ (Physical Goods) เช่นกระเป๋าแบรนด์เนมจากยุโรปที่มักถูกผู้ผลิตจากจีนหรือเกาหลีลอกเลียนอยู่เสมอ โดยเฉพาะปัจจุบันนี้ผู้ผลิตของเลียนแบบเหล่านี้สามารถไปหาวัตถุดิบและผู้ผลิตเดียวกับเจ้าของ brand ได้จนทำให้คุณภาพนั้นเรียกได้ว่าแทบจะเหมือนกันเลยทีเดียว แต่ผู้ลอกเลียนจากจีนและเกาหลีนี้ไม่ต้องเสียค่าจ้างนักออกแบบ และค่าใช้จ่ายในการทำ branding เลยแม้แต่นิดเดียว แค่ผลิตออกมาก็มีคนทำการตลาดให้อยู่แล้ว รอแค่ขายอย่างเดียวในราคาที่ถูกกว่ามาก กรณีนี้เราคิดว่าเจ้าของแบรนด์ควรจะได้รับการปกป้อง เพราะว่ากระเป๋าของจริงที่ถูกผลิตขึ้นมาหากไม่สามารถขายได้ก็จะทำให้บริษัทเกิดการขาดทุน (และยังเสียทรัพยากรธรรมชาติไปอีกด้วย)

แต่ว่าในกรณีของสินค้าที่เป็น digital นั้นสภาพแวดล้อมของธุรกิจมันต่างออกไป เนื่องจากต้นทุนในการผลิตเพิ่มต่อหน่วยนั้นแทบจะไม่มีเลย (มีค่าไฟ ค่าเสื่อมของอุปกรณ์ และอาจจะมีค่าสื่อในการจัดเก็บข้อมูล) กลับกัน หากยิ่งผลิต (จริงๆควรใช้คำว่าคัดลอกและกระจาย) ได้มากขึ้นกลับยิ่งทำให้ต้นทุนต่อหน่วยลดต่ำลง (เช่นค่าจ้างพนักงาน นักวิจัย ค่าโฆษณา ค่าเช่าสำนักงาน) ซึ่งสินค้าที่เราจะนับรวมเป็น digital นั้นไม่ใช่แค่สินค้าที่เป็น computer software เท่านั้น แต่รวมไปถึงสื่อชนิดต่างๆที่สามารถแปลงให้เป็น digital format ได้เช่น ภาพถ่าย ภาพยนตร์ ดนตรี หรือหนังสือ

สินค้าเหล่านี้ผู้ผลิตจะรู้สึกว่ามีความเสี่ยงต่อการถูกลอกเลียนมากกว่าสินค้าชนิดอื่นๆ เพราะว่าเมื่อเป็น digital แล้วการลอกเลียนนั้นก็คือการ copy บนคอมพิวเตอร์นั่นแหละ ทำได้ง่ายแค่ไหน? คนที่เข้ามา blog นี้ได้คงทำกันเป็นทุกคน และเพราะว่ามันง่ายขนาดนั้นผู้ผลิตจึงต้องดิ้นรนหาทางป้องกันตนเองจากภัยคุกคามนี้ทั้งจากการใช้กฎหมายคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญา (IP Law) และเทคโนโลยีเพื่อป้องกันการถูก copy รูปแบบต่างๆ ซึ่งอย่างที่บอกว่าคิดในแง่ผู้ผลิตนั้น การป้องกันตนเองก็อาจจะมองว่าถูกต้องแล้ว แต่ว่าหากมองในแง่การพัฒนาธุรกิจแล้วอาจถือได้ว่าเป็นการฝืนกลไกของตลาดแทนก็ได้

มีกลุ่มคนไม่น้อย (ส่วนใหญ่จะเป็น geek และ computer nerd) ที่เชื่อว่า “Bits are made to be copied” นั่นหมายความว่าการที่เรามีการบันทึกข้อมูลลงคอมพิวเตอร์เป็น digital format ลงบน medium ต่างๆนั้น เราทำเพื่อลดต้นทุนของการคัดลอกทั้งในแง่ของเงิน เวลา ทรัพยากร และความพยายาม ดังนั้นหากเราผลิตสินค้าที่เป็น digital ออกมาแต่ว่าห้ามไม่ให้คัดลอกแล้ว นั่นไม่เท่ากับขัดวัตถุประสงค์ของตัวเทคโนโลยีเองหรอกหรือ

เราไม่เถียงว่าคนสร้างสรรค์ผลงานใดๆขึ้นมาควรจะได้รับผลตอบแทนเต็มที่เมื่อผลิตชิ้นงานออกมาสู่ตลาด แต่ว่าโครงสร้างรายได้หรือ Revenue Model ของงานสร้างสรรค์มันไม่ได้จำกัดอยู่ที่การขายต่อหน่วย (per unit sales) เท่านั้น มันยังมีหนทางอีกมากที่จะสร้างรายได้โดยการใช้ประโยชน์จากข้อดีจาก digital distribution นี้อีก

จะขอเจาะไปที่อุตสาหกรรมดนตรีโดยเฉพาะ เนื่องจากมีความรู้ความเข้าใจอยู่บ้าง และกำลังทำรายงานเรื่องนี้พอดี แน่นอนว่าการเข้ามาของ digital distribution รูปแบบต่างๆในวงการเพลง ถูกกฎหมายบ้าง ละเมิดลิขสิทธิ์บ้าง ทั้ง Full-Song Download, File-Sharing, Music Streaming, Online Broadcasting และแน่นอนรวมถึงแผ่นผี แผ่นMP3 มันไปกระทบยอดขายซึ่งเป็นรายได้ทางตรงแบบจังๆ การที่เราหาเพลงฟังฟรีได้มันย่อมทำให้ยอดขายสินค้าลิขสิทธิ์ที่ต้นทุนสูงกว่าและราคาสูงกว่าลดลง แต่บริษัทในอุตสาหกรรมนี้เคยมองรึเปล่าว่าเพราะอะไรคนถึงไม่ซื้อ บางทีเราได้รับของ sample ฟรีที่เค้าแจกๆ เราก็ยังกลับไปซื้ออีกทั้งๆที่ไม่มีใครบังคับ อาจจะเถียงว่าเพราะมันเป็นสินค้า physical ใช้แล้วหมดไป แต่นั่นไม่ใช่เหตุผลหลักอย่างเดียวหรอก

หลักการตลาดพื้นฐานมากๆเลยบอกไว้ว่าในการที่ผู้บริโภคจะซื้ออะไรซักอย่าง Value MUST exceed price หรือมูลค่าที่ผู้ซื้อได้รับนั้นต้องมากกว่าเงินที่จ่ายออกไป หากเราไม่ซื้ออะไรย่อมหมายความว่าเราคิดว่าคุณค่าที่เราได้รับกลับมามันไม่คุ้มค่าเงิน และเราอาจมีทางเลือกอื่นที่ตอบสนอง need เดียวกันนั้นได้ในราคาที่คุ้มค่ากว่า (mp3) ดังนั้นหากคิดว่ายอดขาย CD เป็นเครื่องวัดความสำเร็จหรือเป็นแหล่งรายได้สำคัญที่จะเสียไปไม่ได้เลย ผู้ผลิต(ค่ายเพลง)ก็ต้องหาวิธีเพิ่ม value เข้าไปในตัวสินค้าโดยตรงผ่านขั้นตอนต่างๆใน value chain ที่ทำให้เกิดมูลค่าเพิ่มขึ้นต่อสินค้าสำเร็จนั้น เช่นอาจมี exclusive privilege พิเศษสำหรับผู้ซื้อ CD ของแท้ ซึ่งเป็น value ที่เฉพาะเจ้าของสิทธิจะให้ได้เท่านั้น เช่นสิทธิในตัวศิลปิน (note: packaging อาจมี value contribution โดยตรงต่อตัวสินค้า แต่ว่าไม่ใช่ exclusive value เพราะถ้าคนทำของปลอมอยากทำให้ดีก็ทำได้เหมือนกัน)

อีกแนวทางที่ไม่ค่อยถูกยกขึ้นมาเป็นประเด็นทางออกคือการปรับ business model และ revenue model ของธุรกิจนี้แทน แหล่งรายได้ของบริษัทค่ายเพลงหลักๆนอกจากยอดขาย Tape, CD, VCD, DVD, etc. แล้วก็จะมีรายได้จากการอนุญาตให้ผู้อื่นได้สิทธิในการเผยแพร่ในเชิงพานิชย์ (Publisher's Rights), การบริหารงานจ้างศิลปิน (Artist Management), การจัดกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับศิลปิน (Concerts & Activities), การออกสินค้าต่างๆที่เกี่ยวกับศิลปิน (Merchandising) และหากไม่นับการขาย CD แล้ว ช่องทางรายได้อื่นแทบจะไม่ได้รับผลกระทบในเชิงลบจาก digital distribution เลยด้วยซ้ำ กลับกัน บางช่องทางสามารถใช้ digital distribution ช่วยส่งเสริมได้ซะอีก หากเราไม่คิดเพียงว่าผู้ที่จ่ายเงินให้กับเราคือผู้ที่ฟังเพลงเท่านั้น

จริงๆ value ของเพลงต่อคนที่เป็นคนฟังเพลงทั่วๆไปนั้นมีไม่มากเท่าไหร่นักหรอก มันเป็นแค่ของที่เราอยากได้อยากฟังเมื่อต้องการความผ่อนคลายหรือความสุนทรีย์ value มันอาจจะตีเป็นตัวเลขได้ไม่ชัดเจนแต่ที่แน่ๆเพลงหนึ่งเพลงไม่ใช่สินค้าชนิดเดียวที่จะตอบสนอง need นี้ได้ เพลงอื่นก็สามารถทำได้ และสินค้าอย่างอื่นก็อาจจะทำได้เช่นกัน ดังนั้นหากจะมุ่งหวังขายเพลงให้กับคนฟังเพลงอาจจะเป็นเรื่องยาก แต่ว่าเพลงๆเดียวกันนี้อาจถูกมองโดยคนกลุ่มอื่นๆว่ามี value อื่นที่มากกว่านั้นไปอีก เช่นการนำมาใช้ประกอบโฆษณาหรือละคร หรือการนำศิลปินไปแสดงเพลงนั้นๆในร้านอาหาร ซึ่ง value มันจะมากขึ้นเมื่อเพลงนี้ได้รับความนิยมมากขึ้น และความนิยมจะมากได้ก็ต่อเมื่อมันเข้าถึงคนกลุมใหญ่ สุดท้ายการเข้าถึงคนกลุ่มใหญ่ได้โดยไม่ต้องใช้ต้นทุนสูงมีวิธีอะไรบ้างก็ลองคิดดูเอาเองละกัน

วิธีการหาประโยชน์ในสภาพแวดล้อมของ digital distribution ยังมีอีกมาก แต่ว่าหากเราไปขัดขวางผู้บริโภคไม่ให้ได้รับประโยชน์จากมันไม่ว่าจะโดยการใช้เทคโนโลยีหรือกฎหมายเข้าว่า มันก็เท่ากับไปขัดขวางกลไกการพัฒนาตลาด เราไม่ควรไปริดรอนสิทธิของผู้บริโภค(แม้สิทธินั้นอาจจะมิชอบก็ตาม)โดยไม่มีทางออกที่ดีกว่าหรือเทียบเท่ากับสิทธิปัจจุบันของพวกเขา และไม่ว่าจะห้ามยังไง พวกเขาก็ต้องหาทางเอาสิทธิเก่านั้นกลับมาจนได้ กลุ่มผู้ประกอบการต่างหากที่ต้องหาทางปรับตัวเพื่ออยู่ให้ได้ในสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงไป

อย่างที่บอกไว้ตอนเปิดประเด็นครับ ... Life finds a way

Note:
- ถ้าคิดว่าเราเขียนยาวหรือเครียดไปก็ขอโทษด้วย แต่จริงๆยังยาวและเครียดกว่านี้ได้อีกมาก

Friday, October 19, 2007

hyü : NOT at FF#7


ด้วยความคลาดเคลื่อนบางอย่าง จึงทำให้ไม่สามารถไปแสดงตัวให้คนเห็นได้ในงาน Fat Fest ครั้งที่ 7 ตามที่ได้บอกไว้ก่อนหน้านี้
ยังไงก็ตาม อาจจะไปปรากฏตัวหรือสิงสู่ในบูธของคนอื่นในงานแทน ซึ่งยังไม่แน่นอนว่าบูธใครคนไหน
ราวๆต้นปีหน้าคงได้เจอกันจริงๆซะที

Friday, October 12, 2007

Unite Our Blogs



เห็นรูปสีเข้มๆด้านบนขวาของ Blog นี้มั้ย (สีดำนะ ไม่ใช่สีแดง)
นั่นเป็น Banner ของ Blog Action Day
มันคือโครงการที่รณรงค์ให้ blogger ทั่วโลกแสดงออกร่วมกัน
ให้ blogger ที่เข้าร่วมโครงการเขียน blog เรื่องเดียวกันในวันเดียวกันของปี
วันนั้นคือ 15 ตุลาคมนี้ และหัวข้อก็คือ สิ่งแวดล้อม
เขียน blog ยังไงก็ได้ให้เกี่ยวกับเรื่องของสิ่งแวดล้อม
จะแถแค่ไหน จะมีวิธีถ่ายทอดยังไง จะเป็นมุมมองไหนประเด็นอะไร
ขอแค่เป็นสิ่งแวดล้อมก็พอ

สาเหตุที่ปีนี้เลือกสิ่งแวดล้อมเป็นหัวข้อก็เพราะเป็นประเด็นเร่งด่วนสำคัญที่สุด
ถ้าหากใครไม่รู้ว่าจะเขียนเกี่ยวกับอะไร เค้าก็เตรียมแหล่งข้อมูลไว้ให้เราไปอ่านดู
สาเหตุและประโยชน์ของมันจริงๆคงเป็นตรงนี้แหละ ที่เลือกให้ blogger เป็นผู้ริเริ่ม
เพราะนิสัยในการจะเขียน blog ที่ดีเราต้องมีการหาข้อมูลเพื่อเอามาคิด-เขียน
โดยหวังว่าเมื่อเราอ่านมากพอเราจะอยากลงมือทำ และบอกต่อให้คนอื่นๆ โดยไม่จำกัดเฉพาะทาง blog เท่านั้น

ดังนั้นแล้ว เรามาค้นคว้าและบอกต่อให้คนรู้กันเถอะ
เริ่มจาก blog ring เล็กๆของพวกเรานี่แหละ

Wednesday, October 10, 2007

Frustration - the Band (and flickr's awesome-ness)


http://www.flickr.com/photos/le-hiboo/402261428/
Originally uploaded by
Rod Le-hibOO.com

ภาพนี้กับภาพของ Entry ก่อนนี้มีความเหมือนกันอยู่อย่าง
คือมันถูก search ขึ้นมาจากคำว่า frustration ใน http://www.flickr.com/
นี่เป็นรูปของวงดนตรีชื่อ Frustration เห็นแล้วอยากเอามาใช้ประกอบ blog เลย
แต่เจ้าของรูปเค้า set เอาไว้ไม่ให้เห็น URL code ของรูป
แต่เรามาค้นพบทีหลังว่ามี feature ให้สามารถ Blog มันผ่านเวบได้อยู่ดี
ก็เลยลองซะ ... หน้าตาคนร้องมันช่างกวนตีนดีจริงๆ

จริงๆเวบไซต์ flickr นี่เป็น collaboration platform ยุคแรกๆเลยนะ
ตอนนี้มันพัฒนาไปมาก จนทำให้เราเล่นกับรูปบนเวบไซต์นั้นได้เยอะมาก
เราสามารถสั่งพิมพ์ภาพที่ชอบออกมาเป็นรูปใส่กรอบ (ยังธรรมดา)
หรือสั่งทำเป็น Postcard (เอ๋??)
หรือสั่งทำเป็น mini card ขนาดครึ่งนามบัตร (เอ๋??)
หรือสั่งให้พิมพ์ออกมาบนผืนผ้าใบ (เอ๋!??)
หรือทำเป็นหนังสือภาพ (เอ๋!!??)
หรือจัด layout ภาพ + ตัวหนังสือ พิมพ์ออกเป็นเล่มเพื่อขายทาง online (!!!????)

และนี่คือความมหัศจรรย์เล็กๆน้อยๆของ web 2.0 และ collaboration platform



ตอนแรกพูดเรื่องอะไรนะ ลืมไปแล้ว

Wednesday, September 19, 2007

hyü : Preface



Hue [hyü]
-noun

1. a gradation or variety of a color; tint: pale hues.
2. the property of light by which the color of an object is classified as red, blue, green, or yellow in reference to the spectrum.
3. color: all the hues of the rainbow.
4. form or appearance.
5. complexion.

—Related forms
hueless, -adjective




เนื่องจากคงไม่มีคนเข้า Blog นี้มากกว่านี้อีกแล้ว
และไหนๆรูปก็ไปอยู่บน Blog ของพีร์แล้ว
เลยถือโอกาสนับตั้งแต่ตอนนี้ ค่อยๆแนะนำให้ทุกคนได้รู้จัก
โปรเจกต์ล่าสุด และ(น่าจะ)เอาจริงเอาจังที่สุดเท่าที่เคยคิดทำมา
เจอกันเต็มๆงาน Fat Fest #7 ครับผม

ระหว่างนี้คอยเข้ามาอ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่ครับ

Note:
- พี่พีอย่าลืมจองบูธให้ผมด้วยนะครับ ขอบคุณครับผม
- Definition by Dictionary.com

Tuesday, September 4, 2007

Stop the Floods




รู้สึกว่าช่วงนี้ผู้คนจะกลับมานิยม hi5 กันอีกครั้ง
เราคิดว่ามีเหตุผลหลักๆอยู่สามประการด้วยกัน
ข้อแรกคือพวก theme และ widget ที่มีออกมามากขึ้น
บรรดาของเล่นต่างๆที่นำมาแปะตกแต่ง profile ได้
ทั้งพวก glitter effect และ avatar น่ารักๆ
หรือแม้แต่การเอาเพลงหรือวิดีโอมาใส่เอาไว้
พวกนี้ทำให้ profile เราดูวูบวาบมากขึ้น คนเข้ามาก็ไม่ได้เจอแต่อะไรนิ่งๆ

ปัจจัยข้อสองคือพัฒนาการของตัวระบบ hi5 เอง
ทางเวบพยายามเพิ่มความสะดวกในการใช้งาน
โดยเฉพาะในการเชื่อมโยง (connect) กับเพื่อนคนอื่นๆ
และเพื่อนของคนอื่นอีกที ... และเพื่อนของเพื่อนของคนอื่นอีกที
ระบบแบบนี้ทำให้สังคม social networking โตขึ้นเรื่อยๆ
เห็นได้ชัดจากการปรับหน้า home ใหม่ให้เราเลือก add “เพื่อน”ได้ง่ายมากๆ

และเหตุผลสุดท้ายที่เราคิดว่าเป็นข้อที่มีส่วนสำคัญที่สุด
นั่นคือการที่สังคม hi5 ได้หลุดเข้าไปสู่สังคมกระแสหลักของอินเตอร์เนท
จากที่ในช่วงแรกมีแต่กลุ่มผู้ใช้งานอินเตอร์เนทระดับกลาง (intermediate) ขึ้นไป
ยุคแรกคนเล่น hi5 (และอื่นๆเช่น myspace) จะอยู่ในช่วงอายุ 15 – 30 ปี
ตอนนี้ช่วงอายุคนเล่นขยายออกกว้างขึ้นมาก อยู่ในช่วง 10 – 50 ปี
เมื่อวานนี้เราได้ยินอาเสี่ยคนนึงคุยกับ“เด็ก”ของเขาเรื่องcommentกันใน hi5
ซึ่งเราถือว่าเป็นปรากฏการณ์ใหม่มากๆ เราไม่เคยคิดว่าอาเสี่ยจะคุยเรื่อง hi5
เราไม่เคยคิดด้วยซ้ำว่าคนพวกนี้จะเล่นอินเตอร์เนท!

คาดว่ากลุ่มผู้ใช้จะขยายตัวมากขึ้นไปอีกสักระยะก่อนที่จะเงียบหายไป
ยกเว้นว่า hi5 จะพัฒนาขึ้นไปอีกขั้นให้เลือกภาษาไทยในเมนูการใช้งานได้
ถ้าเป็นอย่างนั้นกลุ่มอายุและการศึกษาของผู้ใช้น่าจะขยายขึ้นไปได้อีก
จริงๆตอนนี้มีเวบไทยที่หนึ่งที่ทำของแบบเดียวกันอยู่
แต่ด้วยกลุ่มผู้ใช้ที่ยังไม่มากนัก น่าจะทำให้สังคมยังหลวมๆ ไม่แน่นเหมือน hi5 และจะหายไปในที่สุด

ขอพูดถึงอีกอย่างที่ตอนนี้กำลัง“อิน”มากใน hi5 นั่นคือการ comment
มีทั้งการแลก comment กันเหมือนพูดคุย
และการ comment ด้วย widget ไว้ใน profile ของเพื่อน
ซึ่งทั้งสองอย่างนี้ ... ทำให้เรารำคาญมาก
จริงๆเหตุผลลึกๆของทั้งสองอย่างคือทำให้คนสนใจ ผู้ให้ comment
แต่มันเบี่ยงเบนเหตุผลจริงๆของการ comment
นั่นคือการให้ “ความเห็น” เกี่ยวกับเจ้าของ profile นั้นๆ
ถ้าหากจะพูดคุยทำไมไม่ส่ง Message ซึ่งระบบเตรียมไว้ให้
หรือถ้ากลัวคนอื่นไม่เห็นว่าคุยอะไรกัน ก็เขียนใน Scrapbook ที่เขาก็เตรียมให้เช่นกันสิ
ส่วนไอ้การมาโฆษณาตนเองด้วยการใส่ widget เอาไว้นี่
เราถือว่ามันเป็นการกระทำที่ “หยาบคาย” มากๆ
มันเป็นการทำลายหน้าตาของ profile คนๆนึงที่ตั้งใจทำเอาไว้เลย
ทำให้หน้า profile ของคนอื่นรก และกิน resource ของ host โดยไม่จำเป็น
(เรื่อง resource มันจะโยงไปถึงเรื่องทรัพยากรธรรมชาติด้วย แต่มันไกลจากประเด็นนี้)
เพียงเพื่อความต้องการส่วนตัวของตนเองเท่านั้น

ถามว่ามันเป็นเรื่องสำคัญมั้ย เราว่าจริงๆก็อาจจะไม่ค่อยหรอก
เพราะเราก็เลือกที่จะปล่อยมันผ่านไปโดยไม่ต้องไปสนใจก็ได้

แต่เราแค่เป็นห่วงสภาพสังคมที่ผู้คนทำอะไรโดยปราศจากความเคารพต่อคนอื่น


ก็แค่นั้นเอง


Note:
- มีคนบอกว่าชื่อภาษาไทยของ hi5 คือ www.สวัสดีฮ่า.com
- ขออภัยล่วงหน้าสำหรับใครก็ตามที่มา comment อะไรที่ไม่มีประเด็นเอาไว้ในหน้า profile เรา จะขอลบโดยไม่บอกกล่าวนะ
- ตัวเลขเรื่องช่วงอายุผู้ใช้มาจากการประมาณการของเราเอง ไม่สามารถนำไปอ้างอิงในการทำรายงานใดๆได้