Menu

Showing posts with label Music. Show all posts
Showing posts with label Music. Show all posts

Tuesday, December 20, 2011

Don't Do Drugs


[image: rulebreakr @ deviantART]


ผมไม่ได้เห็นด้วยกับพี่เสกว่าการเสพยามันเป็นเรื่องปกติธรรมดาของคนเป็นศิลปิน
แต่ผมก็ไม่เห็นด้วยกับอีกหลายคนที่ออกมาบอกว่าศิลปินไม่ต้องเสพยาก็สามารถทำงานเพลงได้

จริงๆแล้วจะเสพยาหรือไม่เสพยามันไม่ใช่เงื่อนไขของงานเพลงที่ออกมาเลย
แต่มันเป็นเงื่อนไขของบุคคลที่จะทำงาน ไม่เฉพาะแค่งานเพลงเท่านั้น
หรือพูดให้ชัดๆคือ มันเป็นเงื่อนไขของการใช้ชีวิตของแต่ละบุคคล

ย้ำว่า ของแต่ละบุคคล

ต้องเสพยาถึงจะทำเพลงดีๆได้ ... ก็ถูกของพี่ครับ
ไม่ต้องเสพยาก็ทำเพลงเจ๋งๆได้ ... ก็ถูกของพี่อีกคนครับ

เพราะว่ามันเป็นเรื่องของแต่ละคน ยากับงานมันไม่ได้มีความสัมพันธ์อะไรทั้งนั้น

สำหรับคนที่ไม่ติดยา เขาก็สามารถหาแรงบันดาลใจได้จากแหล่งต่างๆ และคิดงานดีๆออกมาได้
แต่ก็มีบางคนที่รู้สึกว่าต้องอาศัยพึ่งแรงกระตุ้นจากยาเสพติด เพราะมันเป็นเงื่อนไขของใจเขา


ผมเลยไม่เห็นด้วยกับคนที่ตัดสินพี่เสกด้วยการเอาวิถีของตนเองเป็นมาตรฐาน
และผมก็ไม่เห็นด้วยกับพี่เสกที่พูดเหมือนกับว่าวิถีชีวิตอย่างตนเองคือเรื่องปกติ

... เพราะโลกนี้ไม่เห็นจะมีอะไรที่เรียกได้ว่าปกติสักอย่าง

Note:
- ผมเริ่มเขียน เรื่องนี้ด้วยความตั้งใจว่าจะโพสต์เป็น status บน facebook ... แต่ยิ่งเขียนมันยิ่งยาว เลยถือโอกาสหยิบบล็อกขึ้นมาปัดฝุ่นสักหน่อย ... หวังว่าทุกท่านยังสบายดีนะครับ
- หลังๆพื้นที่ตอนท้ายตรงนี้เป็นเหมือนเป็นที่ๆมีไว้ให้ผมตอกย้ำตัวเองว่าไม่ ได้เขียนมานานแสนนานแค่ไหน ... เช่นว่า  entry นี้ห่างจาก entry ก่อนหน้า 229 วัน(!) เป็นต้น

Tuesday, November 9, 2010

Fat Impression


[image: Sittichai Jittatad @ deephead.com]

งานแฟตกับผมนับว่ามีความผูกพันกันมายาวนานพอสมควร แม้ว่าผมจะไม่ใช่กลุ่มผู้บุกเบิกที่ไปเทศกาลดนตรีนี้ตั้งแต่หนแรกที่โรงงานยาสูบก็ตาม แต่หากนับจำนวนชั่วโมงที่อยู่ในงานนี้ ผมค่อนข้างมั่นใจว่าไม่น้อยกว่าใครแน่นอน แม้กระทั่งทีมงานก็เถอะ เพราะว่าผมมักจะต้องไปตั้งแต่วัน set up + soundcheck ในวันงานจริงก็จะไปตั้งแต่เช้าของวันแรก (เช้าตรู่ในบางครั้ง) และอยู่กระทั่งปิดงานวันที่สอง จนคนงานเข้ามาเก็บกวาดสถานที่นั่นแหละถึงจะได้กลับ

ผมไม่สามารถตอบได้ว่าผมชอบงานแฟตมากน้อยเพียงใด เพราะความรู้สึกที่มีต่อเทศกาลนี้มันเปลี่ยนไปอยู่ตลอด บางมุมผมก็ชอบที่เรามีงานที่ทำให้ได้ดูโชว์ดนตรีแปลกๆจำนวนเยอะๆในงานเดียว ในราคาไม่แพง (หรือฟรีในครั้งแรกๆ) การจัดคอนเสิร์ตพร้อมกันหลายๆเวทีให้เราต้องตัดสินใจเลือกดูได้แค่วงเดียวในช่วงเวลาหนึ่งก็เป็นเสน่ห์อย่างหนึ่ง theme งานและสถานที่ที่เปลี่ยนไปตลอดทุกครั้งก็ทำให้ชื่นชมความพยายามของทีมงาน(ไม่ว่าสุดท้ายจะได้ผลตอบรับที่ดีหรือไม่ก็ตาม) และมีน้อยงานนักที่เราจะได้พบเพื่อนร่วมรสนิยม และพูดคุยกับศิลปินได้อย่างใกล้ชิดอย่างงานแฟต

กลับกันในอีกหลายๆมุมก็มีเรื่องที่ไม่ชอบอยู่เช่นกัน เช่นการที่ศิลปินอิสระบางท่านมองว่ามันเป็นงานสำคัญที่สุดประจำปีจนหลายคนที่ผมรู้จักต้องพยายามเร่งให้งานเสร็จทันขายในงานแฟตเหมือนว่าเส้นทางการเป็นศิลปินขึ้นอยู่กับงานนี้งานเดียวเท่านั้น หรือบางทีก็มีคนที่ตั้งหน้าตั้งตาจะมาหาผลกำไรจากงานเพียงอย่างเดียวโดยละเลยความกลมกลืนกับงานไปเสียสนิท รวมไปถึงความตั้งใจของศิลปินหรือค่ายเพลงที่จะมานำเสนอผลงานในเทศกาลนี้ที่ถดถอยลงไป สังเกตได้จากบูธที่ว่างเปล่าหลังประตูเข้างานเปิดแล้ว ต่างจากงานครั้งแรกๆที่ค่ายเพลงดูจะตื่นเต้นกับการได้มาร่วมงานแบบนี้มาก ซึ่งนั่นก็อาจเป็นเพราะปัจจุบันมีสิ่งที่ถูกเรียกว่าเทศกาลดนตรีเกิดขึ้นแทบทุกเดือนจนไม่เหลือความน่าตื่นเต้นแล้วก็เป็นได้

และที่คนอย่างผมจะไม่บ่นไม่ได้ก็คือเรื่องของกลุ่มคนจำนวนมากที่เข้ามายังงานเพียงเพื่อแสดงออกถึงอัตตาความ cool ในรูปแบบของตนเองโดยไม่สนใจว่าวัตถุประสงค์หรือกฎเกณ์ภายในงานเป็นอย่างไร

หากเหมือนว่าผมเริ่มเข้าสู่วัยกลางคนที่มองอดีตเป็นเรื่องสวยงามกว่าเหตุการณ์ปัจจุบัน และมีมุมมองปฏิเสธค่านิยมและพฤติกรรมของคนรุ่นใหม่ก็ไม่ผิดนัก เพราะผมก็ยังมีความอยากส่วนตัวที่ให้คนรักเรื่องราวของดนตรีให้ถึงแก่นของมันมากกว่าการเสพมันแบบฉาบฉวย ซึ่งมันคงไม่มีวันเป็นความจริงได้เพราะไม่ว่าอย่างไรยุคสมัยใดกระแสความฉาบฉวยนั้นย่อมเป็นกลุ่มเป้าหมายหลักอันเป็นตัวผลักดันทิศทางของธุรกิจต่างๆซึ่งเป็นแหล่งเงินทุนที่ทำให้เกิดงานที่ไม่น่าจะทำเงินจากกลุ่มคนเพียงหยิบมือได้

ที่เขียนมาข้างต้นนั้น ความตั้งใจแรกมันควรจะเป็นบทเกริ่นนำของสิ่งที่ผมกำลังจะเขียนต่อไป นั่นก็คือความทรงจำของผมเกี่ยวกับงานแฟตในแต่ละครั้งที่ผ่านมา แต่มองไล่ย้อนกลับขึ้นไปก็รู้สึกว่ามันเริ่มยาวกว่า entry ปกติที่ผมเคยๆเขียน หากเขียนต่อไปมันก็คงจะยาวอย่างมหาศาลเพราะความทรงจำในแต่ละปีนั้นมันช่างเยอะเหลือเกิน ขืนเขียนทั้งหมดไปคงไม่ทำให้ใครรู้สึกดีกับมันแน่ๆ

... ก็ขอยกไปไว้โอกาสหน้าละกัน

(ยินดีให้ติดตามอ่านตอนต่อไป)

Note:
- ลองทำสิ่งเนิร์ดๆด้วยการนับชั่วโมงที่อยู่ในงานแฟตแต่ละปีดู นับเฉพาะวัน set up และวันงานเท่านั้น (ไม่นับวันสำรวจสถานที่) ผลออกมาดังนี้:

ครั้งที่ 1 โรงงานยาสูบ
ระยะเวลาที่อยู่ในงานโดยประมาณ: 0 ชั่วโมง

ครั้งที่ 2 ห้างอิมพีเรียล ลาดพร้าว
ระยะเวลาที่อยู่ในงานโดยประมาณ: 0 ชั่วโมง

ครั้งที่ 3 สวนสยาม
ระยะเวลาที่อยู่ในงานโดยประมาณ: 48 ชั่วโมง

ครั้งที่ 4 สนามม้านางเลิ้ง
ระยะเวลาที่อยู่ในงานโดยประมาณ: 46 ชั่วโมง

ครั้งที่ 5 แดนเนรมิต
ระยะเวลาที่อยู่ในงานโดยประมาณ: 33 ชั่วโมง

ครั้งที่ 6 IMPACT Challenger Hall
ระยะเวลาที่อยู่ในงานโดยประมาณ: 35 ชั่วโมง

ครั้งที่ 7 IMPACT Challenger Hall
ระยะเวลาที่อยู่ในงานโดยประมาณ: 0 ชั่วโมง

ครั้งที่ 8 IMPACT Challenger Hall
ระยะเวลาที่อยู่ในงานโดยประมาณ: 32 ชั่วโมง

ครั้งที่ 9 IMPACT Challenger Hall
ระยะเวลาที่อยู่ในงานโดยประมาณ: 31 ชั่วโมง

ครั้งที่ 10 ลานทะเลสาบเมืองทองธานี
ระยะเวลาที่อยู่ในงานโดยประมาณ: 12 ชั่วโมง


รวมทั้งสิ้น 237 ชั่วโมง -- เยอะประมาณคนที่ไปงานทั้งสองวันทุกปี และอยู่ในงานตั้งแต่ประตูเปิดจนปิดงาน

- ภาพด้านบนเป็นภาพที่ผมชอบมากจากงานแฟตครั้งที่ 9 ถ่ายโดยคุณ สิทธิชัย จิตตะทัต (ช่างภาพสารคดีของกลุ่มช่างภาพ Hanuman และเว็บไซต์ deephead.com) -- เป็นภาพวันซาวด์เช็ค ขณะที่แม่บ้านกำลังทำความสะอาดพื้นที่ และต่างสงสัยว่าศิลปินที่ขึ้นมาซาวด์เช็คคนแล้วคนเล่าเหล่านั้นเป็นใครกัน

Monday, September 21, 2009

Tell Me Why


[image by: Daniel Y. Go @ flickr)

หยุดเขียนบล็อกไปพักใหญ่ๆ น่าจะเป็นการห่างหายที่นานที่สุดตั้งแต่เริ่มเขียนเมื่อปี 2005
สาเหตุของการหยุดไปสรุปได้ใจความที่สุดคือความขี้เกียจของเราเอง ไม่เฉพาะเขียนบล็อก แต่เป็นทุกเรื่อง
แต่จะพยายามจะกลับมาเขียนให้ได้บ่อยเท่าๆเดิมอีกครั้ง ตั้งใจว่าอาทิตย์นึงไม่อยากต่ำกว่า 4 entry

เหตุที่คิดจะกลับมาเขียนก็เพราะว่าแผนการที่วางไว้ในอนาคตจะต้องกลับมาเขียน(แบบฉลาด)เยอะมากๆ
ไม่ว่าจะเขียนเป็นบล็อก เขียนเรื่องที่คิด เขียนแสดงความเห็น เขียนรายงานข่าว เขียน เขียน เขียน และ เขียนอีกหลายที
ถ้าไม่ดึงนิสัยและอารมณ์รักการคิดแล้วเขียนให้กลับมาอยู่ในระดับเดิมน่าจะทำให้เกิดปัญหาแน่นอน

ลองเลยละกัน กับหนึ่งในหลายเรื่องที่ draft เอาไว้:

Tell Me Why

ช่วง 2-3 ปีมานี้ผมตั้งคำถามอยู่บ่อยๆว่าทำไมทุกวันนี้วงการดนตรีมันเสื่อมถอยลงทุกวัน
ถ้าถามหลายๆคนก็น่าจะรู้สึกแบบเดียวกัน แต่นี่ไม่ใช่การต่อว่าคนหรือบริษัทไหนนะ
ผมเชื่อว่าเกือบทุกคนที่ทำงานในแวดวงดนตรีรักงานด้านนี้ และให้ใจกับมันเต็มที่
เพราะเอาจริงๆมันไม่ใช่งานที่รายได้ดีกลับมาคุ้มความเหนื่อยเลย -- ถ้าใจไม่รักอยู่ไม่ได้หรอก

ถ้าแกรมมี่เอาเงินที่มีอยู่ทุกวันนี้ไปลงทุนทำอย่างอื่นจะรวยกว่านี้มั้ย? เป็นไปได้มากๆ
ถ้าวันนี้คุณไพบูลย์ ดำรงชัยธรรม พูดออกจากปากมาว่า "ปีนี้เรางดทำเพลงแล้วเอาเงินค่าเพลงค่าโปรโมทไปสร้างคอนโดดีกว่า"
มั่นใจเลยว่ามันจะต้องเป็นคอนโดหน้าตาดีมากๆ(ที่ผมไม่มีปัญญาซื้อได้) ที่จะทำกำไรให้แกรมมี่มหาศาลกว่าที่เพลงทำได้นัก
แน่นอนว่ามันคงไม่มีทางเกิดเหตุการณ์นี้ขึ้น (การงดทำเพลงนะ แต่การไปสร้างคอนโดนั่นก็ไม่แน่ เพราะถึงไม่งดก็มีเงินมากพอ)
เพราะว่าเพลงมันคือตัวผลักดันให้ธุรกิจทุกส่วนในแกรมมี่เดินไปได้ ไม่ว่าจะวิทยุ โทรทัศน์ Digital Content หรือ Artist Management
พูดได้ว่าไม่มีเพลง ก็ไม่มีบริษัท จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ จำกัด (มหาชน) และราคาหุ้นร่วงลงเร็วกว่าคุณจะพูดคำว่า"ตก"จบคำด้วยซ้ำ

แต่อีกเหตุผลนึงที่ผมคิดว่าจะไม่เกิดเหตุการณ์นั้นขึ้นก็เพราะว่าทุกคนที่ทำงานรักวงการนี้
ผมคนนึงล่ะที่รักการเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องกับงานสร้างสรรค์ ถึงจะไม่ได้ทำเองเพราะฝีมือไม่พอ
ชอบการพูดคุยกับคนที่ทำงานด้านนี้เหมือนกัน เพราะเรามีมุมมองที่น่าสนใจมาเล่าให้ฟังกันได้ตลอด
ชอบบรรยากาศการทำงานที่หาไม่ได้จากงานสายอื่นๆเลยจริงๆ
คุณไพบูลย์ คุณเล็ก-บุษบา หรือผู้บริหารไม่ว่าระดับไหนก็คงรู้สึกเดียวกัน ว่ามันเป็นเหมือนบ้านหลังใหญ่
คนที่เราเจอก็คือสมาชิกของครอบครัว งานที่เราทำก็เป็นเหมือนงานดูแลบ้าน
ความสุขของเราคือเวลาเปิดบ้านให้คนอื่นเข้ามาเยี่ยมชมแล้วเค้ามีความสุขเราก็มีความสุขด้วย

แล้วถ้าทุกคนเป็นแบบนั้นจริงๆ(ซึ่งผมคิดว่า 90% เป็นงั้นจริงๆ) ทำไมเวลาเปิดวิทยุถึงได้ฟังแต่เพลงน่าเบื่อขนาดนี้
ศิลปิน นักร้อง นักดนตรี นักแต่งเพลง คนทำเบื้องหลัง คนทำงานก็เก่งขึ้นเรื่อยๆ อุปกรณ์การทำงานก็มีแต่พัฒนาขึ้น
แต่เพลงที่ถูกโปรโมทมันให้ความรู้สึกแห้งๆ แข็งๆ เซ็งๆ ทุกอย่างดูสำเร็จรูปไปหมด
จากประสบการณ์ที่ผมได้สัมผัสมานิดหน่อย ผมให้เหตุผลกับมันว่ามันเป็นเรื่องข้อจำกัดของคำๆเดียวว่า 'ธุรกิจ'

เมื่อเพลงถูกผลักดันจนกลายเป็นอาชีพ เป็นกิจการที่ทำเงินเลี้ยงชีพคนคนนึงหรือหลายพันคนได้
มันก็มีข้อผูกมัดและความกดดันที่จะต้องให้เพลงทุกเพลงที่ทำขึ้นมันทำเงินให้ได้ต่อไปอีกเรื่อยๆ
มีอยู่วันนึงผมนั่งกินข้าวอยู่แถวบ้านและบังเอิญมีโปรดิวเซอร์ท่านนึงนั่งคุยกับนักดนตรีรุ่นน้องโต๊ะติดกันพอดิบพอดี
ความเสือกทำให้ผมได้ยินเค้าคุยกันเรื่องเพลงที่กำลังแต่งอยู่ ยกตัวอย่างประโยคนึงของบทสนทนามาให้ดูกัน:
"ไอ้เพลงนี้นะ ถ้าร้องแบบปกติก็จะเป็น xx-yy-zz
แต่ถ้าตรงคำว่า yy เราใส่เอื้อนเสียงเข้าไปอีกนิด
เหมือนกับที่เพลง ABC ทำ มันก็จะฟังดูมีสเน่ห์ ติดหู และคนชอบได้"

ผมเคยได้ยินประโยคทำนองนี้มาหลายทีแล้วเหมือนกัน แต่วันนั้นผมสงสัยขึ้นมาว่าทำไมต้องพยายามหาทางให้คนชอบตลอด
นิดๆหน่อยๆก็ยังโอเค แต่พอมาทำแบบเป็นล่ำเป็นสัน เก็บทุกเม็ดในทุกเพลง เพลงมันก็เริ่มฟังดูจอมปลอมไปหมด
และส่วนใหญ่โปรดิวเซอร์นักแต่งเพลงพวกนี้นี่แหละที่เขียนเพลงเก็บไว้ใน song bank ของค่ายต่างๆ
พอมีนักร้องที่ร้องเพลงพอได้ หน้าตาดูดี ก็หยิบเพลงที่มีเนื้อหาเหมาะกับบุคลิกเข้ามาสวม ทำดนตรีใหม่ซะหน่อย พร้อมโปรโมททันที

พูดตรงๆผมทำใจยอมรับได้ที่จะมีศิลปินที่ขายหน้าตาที่หาเพลงที่คนอื่นทำไว้มาร้อง เพราะประเทศไหนๆก็ไม่ต่างกัน
แต่ว่าทำไมศิลปินที่มีความสามารถทำเพลงเองได้ถึงทำเพลงที่ออกมาให้ความรู้สึกแบบเดียวกันเลย

... มันเกิดอะไรขึ้นกับดนตรีที่ออกมาจากความรู้สึกจริงๆ บอกผมหน่อย?

Monday, August 31, 2009

Very Odd!

อ๊อด อ๊อด!

สละเวลางานประมาณ 10 นาทีเพื่อเพลงแห่งวินาทีนี้ ขอบคุณ The Richman Toy ที่เป็นแรงบันดาลใจให้ผม publish อะไรบนบล็อกนี้อีกครั้งหลังจากเอาแต่ draft มานาน

Note:
- upload รูปเข้า blogger ตรงๆนี่ทำให้รูปแย่ลงเยอะเลยแฮะ

Thursday, July 9, 2009

Long Weekend of Thoughts


[collage by: lerk7]

Saturday:
  • Nawamin City Avenue บนถนนนวมินทร์อยู่ห่างจาก The Crystal เลียบทางด่วนรามอินทราไม่เกิน 4 กิโลเมตร แต่คนที่ไปเดินเล่นและใช้บริการต่างกันอย่างมาก
  • ทั้งสองที่ที่ว่านี่ห่างจากตลาดปัฐวิกรณ์บนถนนนวมินทร์ราวๆ 7 กิโลเมตร แต่คนที่อยู่ที่นั่นยิ่งต่างออกไปอย่างมาก
  • ตลาดปัฐวิกรณ์คือหลักฐานว่ามีคนจำนวนมากอยากทำอะไรเป็นของตัวเองแต่ไม่ประสบความสำเร็จ
Sunday:
  • ในเวลา 4 ชั่วโมงคุณสามารถโหลดเพลงแบบละเมิดลิขสิทธิ์โดยไม่ต้องวางแผนล่วงหน้าว่าวันนี้อยากได้เพลงอะไรได้ราวๆ 40 อัลบั้ม ด้วยอินเตอร์เนทที่เร็ว 1Mbps
  • ของเล่นที่ชื่อว่าฟิงเกอร์บอร์ด (ไม่ใช่ช่องระหว่างเฟร็ทกีตาร์ที่เรากดคอร์ดกันนะ) กำลังกลับมาฮิตแบบเงียบๆ และเล่นโคตรยากแต่คุ้มค่าที่จะฝึกฝน ส่วนสาเหตุของการกลับมาน่าจะเป็นเพราะมันกลายเป็น app ใน iPhone + iPod Touch ละมั้ง
  • เนื้อที่ร้าน กิว กิว เต้ อร่อยก็จริง แต่ไม่อร่อยขนาดที่เราจะทรมานตัวเองไปร้านนี้อีกเป็นหนที่สอง และสภาพโดยรวมไม่ทำให้รู้สึกยินดีจะจ่ายเงินค่าเนื้อจานละ 2,500 บาทแน่ๆ (ไม่ว่าเนื้อมันจะดีและเยอะแค่ไหน)
  • คนบางคนสามารถเปลี่ยนไปได้อย่างมากเพียงแค่เปลี่ยนสายงานได้ไม่ถึงครึ่งปี
  • คนบางคนกลัวการเป็นคนไม่สำคัญจนต้องพยายามทำทุกวิถีทางให้ถูกสังเกตและมีคนรับฟัง ถ้าต้องการแบบนั้นจริงไปอยู่บน youtube ดีกว่ามั้ย??
  • ความเหี้ยไม่ต้องการเหตุผลมารองรับ คนบางคนรู้ตัวว่าผิดก็ยังสามารถเหี้ยใส่คนที่ไม่ผิดได้หน้าตาเฉย
Monday:
  • อยากแนะนำให้ทุกท่านรู้จัก Lucky ฟิล์มสี 35mm คุณภาพดีราคาถูก 40 บาทต่อม้วนเท่านั้น
  • ถนนจากกรุงเทพไปกาญจนบุรีเป็นถนนที่ขับสบายมากๆ ในบรรดาถนนออกต่างจังหวัดนี่น่าจะเป็นถนนที่เราชอบที่สุด
  • ไม่มีหนังสือแนะนำสถานที่ท่องเที่ยวกาญจนบุรีขายในจังหวัดกาญจนบุรี (จริงๆแล้วมี แต่หายากมากๆ)
  • มีหลายคนบอกว่าผัดไทยที่ร้าน ซุ่นเฮง ณ สี่แยกลาดหญ้า กาญจนบุรี อร่อยมาก (บางคนถึงกับบอกว่าอร่อยที่สุดในโลก) แต่สำหรับเรานี่เป็นอีกหลักฐานว่าโลกนี้มีสื่งที่เหี้ยแบบไม่อายฟ้าดิน เพื่อการเอาใจคน 10 กว่าคน คนอีกราว 30 คนที่มาถึงก่อน ต้องรอมันกินจนเสร็จอิ่มคิดเงินกลับบ้าน -- แน่นอนว่าเราไม่รอและเขวี้ยงเงินค่าเป๊ปซี่ 1 ขวด น้ำแข็ง 1 ถังและค่าหลบฝน 1 ชั่วโมงใส่ร้านมันไป
  • ถึงเราจะไม่ได้กิน เราก็มั่นใจว่านี่ไม่ต่างจากผัดไทยประตูผี ข้าวเหนียวมะม่วงป้าเจือ โรตีตลาดหัวหิน โรตีสายไหมอยุธยา เครปป้าพร หรือร้านไหนๆที่คนไปรอนานๆแบบไม่มีเหตุผล ทั้งๆที่ร้านข้างๆหรือร้านแถวบ้านมันอร่อยเท่ากัน
  • เกิดความสงสัยขึ้นมาว่ามีคนพยายามเดินทางไปสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆเพียงเพื่อดื่มเหล้าและทำลายบรรยากาศคนอื่นๆ แค่นั้นจริงๆหรือ?
  • ตอนนี้เราสามารถถ่ายรูปด้วยกล้อง Fuji Instax Mini 7s ได้โดยไม่ต้องเล็งผ่าน viewfinder อย่างแม่นยำสุดๆ
  • ร้านคีรีธารา ริมแม่น้ำแควอาหารไม่ได้วิเศษเลิศเลอ แต่บริการโคตรจะดีเลยครับ
  • ถ้าอยากลองดูรีสอร์ทที่ไม่ลงทุนเยอะแต่ไม่ขี้เหร่แนะนำให้ไปอินจันทรี (Inchan Tree) ใกล้ๆสะพานข้ามแม่น้ำแคว
Tuesday:
  • ผึ้ง เป็นแมลงที่ไวต่อกลิ่นน้ำหวานมาก แยมส้มมาตั้งบนโต๊ะไม่ถึง 1 นาทีมีผึ้งมารุมที่จานเราแล้วเกือบครึ่งรัง (ถ้ารังนั้นมีแค่ 20 ตัว) และพยายามจะมาเกาะกินคราบแยมบนปากเราด้วย
  • นั่งดู หม่ำ on Stage จากช่องเคเบิ้ลในห้องพัก ได้ฟังน้าแอ๊ดร้องเพลงทะเลใจแล้วน้ำตาซึม คนอื่นว่าไงไม่รู้ แต่ถ้าถึงวันที่จะไม่มีโอกาสได้ฟังได้ดูคาราบาวสดๆอีกเราคงเสียใจมากแน่นอน
  • กาญจนบุรีสามารถพัฒนาให้เป็นจังหวัดที่น่าไปมากๆได้ ขอแค่คนเริ่มไปลงทุนกัน (ไปลงทุนกันเถอะ)
  • หลังจากปตท.ไปเทคโอเวอร์กิจการปั๊ม Jet อรรถรสในการขับรถทางไกลข้ามจังหวัดก็ลดลงไปเยอะมากๆ เพราะคุณจะหมดโอกาสพูดว่า “ขอแวะเจ๊ตหน่อย” กับเพื่อนร่วมทาง
  • Union Mall ลาดพร้าวมีคนไปเยอะขึ้นแล้ว อย่างน้อยๆก็หาที่จอดรถยากขึ้นล่ะ ไม่รู้รถคนมาดูหรือรถคนขาย แต่เราไปหาซื้อแม็กกาซีนเก่าต่างประเทศที่ชั้น 3 (ใครรู้จักว่าที่ไหนมีเยอะๆช่วยบอกด้วย)
  • ยิ่งฟังอัลบั้ม‘ทิงนองนอย’ ของโมเดิร์นด็อกก็ยิ่งชอบ ยิ่งรู้สึกว่ามีอะไรให้คิดต่ออีกเยอะจริงๆ

Friday, June 26, 2009

Dark Side Story


[image by: eco-photography @ flickr]

ธีรดล แกสตั้น เคยบอกเอาไว้ในหนังสือ Flure Therapy ใจความคร่าวๆคือ
การที่เขาไปร่วมงาน(คอนเสิร์ต)กับอรอรีย์ จุฬารัตน์เป็นเสมือนการปลดปล่อยความบ้าในตัว
ชำระด้านมืดของตัวเองเพื่อให้สามารถกลับมาทำเพลงกับฟลัวร์ได้อย่างเป็นฟลัวร์เต็มที่

เราว่าทุกคนก็มีด้านมืดในใจทั้งนั้น มากบ้างน้อยบ้าง เก็บอยู่บ้างไม่อยู่บ้าง
ซึ่งคำว่าด้านมืดนั้นไม่ได้แปลว่าด้านที่เลวร้าย หรือน่าหวาดกลัวเสมอไปหรอก
สำหรับเราด้านมืดคือความเป็นตัวของตัวเอง ที่ฝืนกับภาระหน้าที่ที่รับผิดชอบอยู่
ทุกคนมีความฝัน มีอุดมคติ แต่บทบาทของตนในสังคมมักไม่เปิดโอกาสให้แสดงออกมา
ดังนั้นถ้ามีโอกาสที่สามารถทำแบบนั้นได้ ก็ย่อมอยากจะระบายปลดปล่อยมันออกมาให้สุด
ก่อนที่จะต้องกลับไปสวมหมวกบทบาทที่สังคมคาดหวังไว้อีกครั้งหนึ่ง

ในชั้นเรียนวิชาการตลาด อาจารย์ท่านหนึ่งได้พูดเอาไว้ว่า
คนเราส่วนใหญ่จะมีรองเท้าอยู่สามคู่

คู่แรกเป็นรองเท้าที่ใส่ไปทำงานเป็นประจำ
คู่ที่สองเป็นรองเท้าสวยๆไว้ใส่เฉพาะเวลาไปออกงาน
และคู่ที่สามคือรองเท้าแบบห่วยๆใส่สบายๆในวันว่าง
ความหมายของรองเท้าคู่แรกก็คือบุคลิกของเราที่เป็นไปตามบทบาททางสังคม
รองเท้าคู่ที่สองคือภาพลักษณ์ที่เราอยากจะแสดงให้คนอื่นเชื่อว่าเราเป็นอย่างไร
และคู่ที่สามคือตัวตนจริงๆอย่างที่เราเป็น โดยไม่ได้คำนึงว่าคนอื่นคิดอย่างไร

สัดส่วนความบ่อยในการใส่รองเท้าแต่ละแบบของแต่ละคนย่อมไม่เท่ากัน
บางคนใช้เวลาอยู่กับรองเท้าคู่แรก อีกคนนึงก็พยายามจะใส่คู่ที่สองตลอดเวลา
อาจจะมีคนกลุ่มนึงที่โชคดีที่สามารถใส่คู่ที่สามได้บ่อยๆ หรือแม้แต่สามารถใส่ไปทำงานได้
หลายๆคนอาจจะคิดว่านั่นน่าอิจฉา (ในแวบแรกเราก็คิดเหมือนกัน) แต่พอมาคิดดูดีๆแล้วไม่เลย
เพราะถ้างั้นก็ต้องพยายามทำบุคลิกให้เข้ากับรองเท้าบ้านๆคู่นั้นอยู่ดี
เพราะกลายเป็นว่าสังคมคาดหวังให้เราใส่คู่นั้นอยู่ตลอด
เวลา
ไม่ว่ารองเท้าแบบไหนใส่นานๆโดยไม่เปลี่ยนเลยมันก็คงจะไม่ดีทั้งนั้น

พอคิดยังงี้แล้ว คนที่น่าอิจฉาน่าจะเป็นคนอย่างธีรดลนี่แหละ
รองเท้าคู่แรกก็สบายเท้าดี แต่ก็ยังมีโอกาสให้ใส่รองเท้าคู่ที่สามได้บ่อยๆด้วย


Note:
- ไม่เข้ามาเขียนนานๆ เล่นเอาเกือบลืมวิธีใส่รูปประกอบแน่ะ

Thursday, April 23, 2009

Porcelain

นานๆเข้า Facebook ของตัวเองซักที เหลือบไปเห็น note อันนึงของคุณ Phir ที่เขียนไว้ซักพักแล้ว
เป็นเกมที่สนุกดูเลยลองทำดู และคิดว่าคนคงเข้ามา blog มากกว่า Facebook อยู่แล้วเลยลอกมาแปะซะ

เล่นด้วยกันนะ ทุกท่าน :)

---------------------------------------------------------------------

Rules :
1. Put your music player on shuffle (entire music library)
2. For each question, press the next button to get your answer.
3. YOU MUST WRITE THAT SONG NAME DOWN NO MATTER HOW SILLY IT SOUNDS!
4. Tag as many friends as you want who might enjoy doing the game as well as the person you got the game from.

Thai Sub: กติกานะจ๊ะ
1. เอาเพลงทั้งหมดที่มีใส่ library
2.ในการตอบคำถามแต่ละข้อ ให้กด Next ที่เครื่องเล่น/โปรแกรม player
3. ตอบคำถามโดยการเขียนชื่อเพลงที่ปรากฏขึ้นมา โดยไม่ต้องสนว่างี่เง่าแค่ไหน
4. บอกต่อด้วย (มึงจะเขียนภาษาอังกฤษซะยาวทำไม)

cos readings could get really boring so here goes some shuffling fun! :)

(Note: เนื่องจากไม่ได้อยู่ในที่ๆมีครบทุกเพลงใน Library เลยจะขอใช้เฉพาะเพลงใน iPod Nano 1,433 เพลงแทน)


1.IF SOMEONE SAYS "IS THIS OKAY" YOU SAY?
P R E C I O U S (Yuna Ito) - - - เริ่มต้นก็เท่แล้ว

2.WHAT WOULD BEST DESCRIBE YOUR PERSONALITY?
นิยาย (Moderndog) - - - เท่ขึ้นไปอีก

3.WHAT DO YOU LIKE IN A GUY/GIRL?
ลองคิดดู (Scrubb) - - - ยังคิดอยู่

4.HOW DO YOU FEEL TODAY?
Seria Feliz (Julieta Venega) - - - (translation: be happy)

5.WHAT IS YOUR LIFE'S PURPOSE?
ภารตะ Hero (Saturday Seiko) - - - เพ้อเจ้อมากครับ

6.WHAT IS YOUR MOTTO?
นิยามรัก (บัว+แคล Bossa Blossom)

7.WHAT DO YOUR FRIENDS THINK OF YOU?
いい日だったね。[li-Hi-Dattane] (Depapepe) - - - (translation: It was a good day)

8.WHAT DO YOU THINK ABOUT VERY OFTEN?
ตุ๊กตาหน้ารถ (Lula) - - - : )

9.WHAT IS 2 + 2?
Alzheimer (Supersub) - - - ชอบ ดูโง่ดี

10.WHAT DO YOU THINK OF YOUR BEST FRIEND?
Sem Parar (T-Square) - - - (translation: without stopping)

11.WHAT DO YOU THINK OF THE PERSON YOU LIKE?
เธอจะอยู่กับฉันตลอดไป (Clash) - - - หล่อมาก!!!! ให้ตายเถอะ

12.WHAT IS YOUR LIFE STORY?
AEIOU (Charlotte Sometimes) - - - ชีวิตเปรียบเสมือนสระภาษาอังกฤษ

13.WHAT DO YOU WANT TO BE WHEN YOU GROW UP?
What if ... (The Lighning Seeds) - - - ไม่มีคำตอบใดๆ

14.WHAT DO YOU THINK WHEN YOU SEE THE PERSON YOU LIKE?
เมื่อไหร่จะได้พบ (When?) (Friday) - - - ถึงเจอแล้วก็ยังจะถามอยู่ดี

15.WHAT DO YOUR PARENTS THINK OF YOU?
มองตาไม่รู้ใจ (ฝน นภัส จิวะกิดาการ) - - - น่าจะจริง

16.WHAT WILL YOU DANCE TO AT YOUR WEDDING?
ดาวตก (T-Bone) - - - จะทำจริงๆนะเนี่ย

17.WHAT WILL THEY PLAY AT YOUR FUNERAL?
Sense of Adventure (Matthew Sweet) - - - นี่ก็น่าทำ

18.WHAT IS YOUR HOBBY/INTEREST?
I'm Fed Up! (Alizee) - - - ถ้าจะแถว่า "อิ่มเหี้ยๆ" ก็จะใกล้เคียงความจริงมากขึ้น

19.WHAT IS YOUR BIGGEST SECRET?
Smog Moon (Matthew Sweet)

20.WHAT DO YOU THINK OF YOUR FRIENDS?
Goodbye My Lover [Live] (James Blunt)

21.WHAT'S THE WORST THING THAT COULD HAPPEN?
นานๆนะๆ (Lula) - - - ตีความกันเอาเอง

22.HOW WILL YOU DIE?
Fences (Paramore) - - - นึกแล้วน่ากลัวนะครับ

23.WHAT IS THE ONE THING YOU REGRET?
Endless Song of Happiness (Yael Naim) - - - why?

24.WHAT MAKES YOU LAUGH?
เพื่อนแท้ (เอิ้น พิยะดา & The Gang) - - - หล่ออีกแล้ว

25.WHAT MAKES YOU CRY?
Be My Baby (The Lighning Seeds)

26.WILL YOU EVER GET MARRIED?
Smells Like Teen Spirit (Nirvana) - - - 555 ไม่สื่อความ แต่ตลกตอนเพลงนี้ขึ้นมา

27.DOES ANYONE LIKE YOU?
ดวงดาวในบ่อน้ำ Reflection of the Stars (Armchair)

28.IF YOU COULD GO BACK IN TIME, WHAT WOULD YOU CHANGE?
We are the Pipettes (The Pipettes) - - - ชอบ the Pipettes ครับ ไม่เปลี่ยน

29.WHAT HURTS RIGHT NOW?
Circle Life (จุ๋ย จุ๋ยส์)

30.WHAT WILL YOU POST THIS AS?
Porcelain (Moby) - - - เอาคำตอบข้อนี้ไป post เป็นชื่อ entry นะ

---------------------------------------------------------------------

เพลงไทย เพลงใหม่ และเพลงสนามหลวงเต็มไปหมด
ความจริงผมฟังเพลงหลากหลายกว่านี้นะครับ -___-

Wednesday, April 22, 2009

Flure Therapy


[image from Se-Ed]

ครั้งแรกที่เห็นหนังสือเล่มข้างบนนี้ไม่ได้มีความคิดว่ามันจะเป็นหนังสือที่พูดถึงวงดนตรีชื่อ Flure เลย
เพราะปกกับชื่อหนังสือไม่ได้สื่อถึงอารมณ์ของวงในแบบที่เรารู้จักแม้แต่นิดเดียว

Flure เป็นวงที่เราติดตามแบบไม่ได้ใกล้ชิดมาก แต่สนใจข่าวคราวอยู่เสมอ
เหตุผลสำคัญที่สุดของการติดตามคือ สมาชิกคนหนึ่งของวงเคยเป็นเพื่อนร่วมวงของเรา
และอีกหลายๆคนในวงก็คุ้นๆหน้ากันมาเป็นสิบปี
ส่วนเหตุผลที่รองๆลงมาคือเราชอบเพลงของพวกเค้าบางเพลง
เหตุผลรองลงมาอีกนิดคือมีชื่อเราในปกอัลบั้มแรกด้วย (ลองหากันเอาเอง)

ที่ผ่านมาภาพวง Flure ในแบบที่เรารู้จักคุ้นเคยคืออัลบั้มแรก
เพราะเรารู้ตัวตนของคนที่เรารู้จักว่ามันดิบ มันพล่าน
พออัลบั้มที่สองเรารู้ว่ามันละเมียดขึ้น มันโตขึ้น
แต่มันไม่ใช่ภาพในแบบที่เราคุ้นเคยก็เลยไม่ค่อยสนใจเท่าไหร่
ชุดที่สามยิ่งแล้วใหญ่ ไม่หามาฟังเลย เพราะเพลงที่โปรโมทมันราบเรียบมาก

อยู่มาวันนึงเมื่อปีที่แล้ว (2008) ไม่รู้ทำไมเราถึงหยิบ DDT เล่มเก่า (ปี 2007) ในออฟฟิศมาอ่าน
เป็นเล่มที่สัมภาษณ์ Flure พอดี และด้วยเหตุผลที่พูดๆมาข้างบนก็เลยอ่านแบบทุกตัวอักษร
บทสัมภาษณ์นี้ทำให้เรารู้สึกว่า "พวกมันพูดจาดีว่ะ"
(ขออนุญาตเรียกวงนี้ว่า'มัน'ด้วยความสนิทสนมครั้งก่อนเก่า)
มันมีจุดยืนของวงดนตรีที่ชัดเจน
พวกมันมีที่มา มีการเติบโต
พวกมันจริงจังกับของที่มันทำจริงๆ
เวลามันพูดเรื่องการทำดนตรีมันพูดละเอียดมากแบบไม่แคร์ว่าคนจะไม่อิน
มันไม่ตอบคำถามแบบห่วงลุค แต่มันแคร์ตัวตนของแต่ละคนและของวง

ความรู้สึกลึกๆตอนอ่านจบคือ "เด็กที่กำลังเล่นดนตรีน่าจะได้อ่านอะไรแบบนี้"
เพราะพวกมันมี 'จิตวิญญาณ' (กรุณาอย่าเห็นคำนี้เป็นเรื่องตลก เพราะกำลังพิมพ์ด้วยน้ำเสียงในหัวที่จริงจัง)
อยากให้ความตั้งใจในแบบของพวกมันทำให้เด็กบางคนเอาเยี่ยงอย่างบ้าง

กลับมาที่หนังสือเล่มนี้ ที่ปกกับชื่อหนังสือเหมาะจะเป็นหนังสือของ BrandAge มากกว่า
แต่ว่าเนื้อหาข้างในก็จัดว่าหนักใช้ได้เลย ถึงจะพูดถึงเรื่องราวของวงมากกว่าการทำงาน
(อ่านแล้วจะเหมือนกับอ่านการ์ตูนเรื่อง Beck ที่พูดถึงวงดนตรีที่เต็มไปด้วยปัญหา)
ยังไงซะ อ่านแล้วก็จะรู้อยู่ดีว่าคนพวกนี้เค้าตั้งใจแค่ไหน

ขอแค่มีเด็กที่เล่นดนตรีได้อ่านเรื่องของ Flure ไม่ว่าจะจากที่ไหนก็ตาม
เราเชื่อว่าจะมีคนรู้สึกถึง 'จิตวิญญาณ' ของพวกเค้าและอยากเอาเยี่ยงอย่าง
ขอแค่นั้นแหละ วงการเพลงของเราก็มีทางรอดแล้ว


Note:
- นี่คือ entry ที่ 199 ของ blog แห่งนี้ ... กดดันเลยว่าครั้งหน้าจะเขียนอะไรดี

Wednesday, March 4, 2009

Thanks Again Yarinda



หลังจากที่เคยขอบคุณ ญารินดา บุญนาค ไปแล้วเมื่อ 27 สิงหาคม 2550
วันนี้ก็อยากขอบคุณอีกครั้ง ในอีกเหตุผลนึง
คือหลังจากเขียนถึงศิลปินคนนี้ไปในครั้งนั้น
ชื่อและรูปของเธอก็พาคนเข้ามา blog แห่งนี้แทบทุกวัน
โดยเฉพาะช่วงนี้ที่เธอกำลังเล่นหนังเรื่อง 'ความจำสั้น แต่รักฉันยาว'
ทำให้ชื่อของเธอถูก search อยู่เยอะเป็นพิเศษ
(50% ของ traffic เว็บเราตอนนี้มาจากรูปญารินดา)

ก็ขอขอบคุณมาอีกวาระหนึ่งนะครับ ญารินดา บุญนาค

Note:
- เปล่านี่ ไม่ได้จงใจเขียนชื่อเธอเยอะเพราะหวังผลอะไรหรอก
- รู้สึกว่าเมื่อก่อนเขียนดีกว่าตอนนี้เยอะ ต้องกลับมาเขียนเยอะๆแฮะ

Monday, March 2, 2009

NME Awards 2009

ช่วงนี้คงมีอะไรให้มาอัพ blog เรื่อยๆ เพราะมีงานเขียนอย่างอื่นอยู่ด้วย (แต่สำนวนบางครั้งอาจจะไม่ใช่ตัวเรานัก) ลองเอามาให้ดูเล่นอันนึงก่อน

+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-

NME นิตยสารเพลงที่จัดได้ว่าดังที่สุดในเกาะอังกฤษ (ประมาณ Rolling Stone ของทางฝั่งอเมริกา) พึ่งจัดงานประกาศรางวัล NME AWARDS 2009 ไปเมื่อวันที่ 25 ก.พ. ที่ผ่านมานี้เอง เลยเอามาให้ดูกันว่าผลงานของใครในปีที่ผ่านมาเข้าตากรรมการจนได้รางวัลไป



Best Brit Band - Oasis

Oasis เบียด Radiohead คว้ารางวัลใหญ่ประจำปีที่ให้กับวงยอดเยี่ยมที่อยู่ในเกาะอังกฤษ


Best International Band – The Killers

อีกหนึ่งวงปากดีที่คว้ารางวัลใหญ่สำหรับศิลปินนอกเกาะอังกฤษ



Best Solo Artist - Pete Doherty

อดีตสมาชิกวง The Libertines ที่ตกเป็นข่าวอย่างสม่ำเสมอ ได้รับรางวัลศิลปินเดี่ยวยอดเยี่ยม


Best New Band - MGMT

คู่ duo จากอเมริกากับอัลบั้มแรกที่ทำให้สื่อดนตรีทั่วโลกจับตามองกับรางวัลศิลปินกลุ่มหน้าใหม่ยอดเยี่ยม


Best Live Band - Muse

ใครที่ไม่รู้จักหรือไม่เคยดูวงนี้เล่นสด ขอให้ไปหาดูใน YouTube โดยด่วน เพราะนี่คือรางวัลวงแสดงสดยอดเยี่ยมครั้งที่ 3 ของ Muse แล้ว! (บ้านเราน่าจะมีรางวัลนี้บ้างนะ)


Best Album 'Only By The Night' โดย Kings Of Leon

ไม่พลิกโผใดๆเพราะอัลบั้มนี้พึ่งจะคว้ารางวัลอัลบั้มยอดเยี่ยมมาจากเวที BRIT Awards ก่อนหน้างานนี้เพียง 1 สัปดาห์เท่านั้น


Best Track - 'Time To Pretend' โดย MGMT

บอกแล้วว่า duo คู่นี้นี้น่าจับตาจริงๆ (ยืนยันด้วยรางวัลเพลงยอดเยี่ยมประจำปี)


Best Video - 'My Mistakes Were Made For You' โดย The Last Shadow Puppets

โปรเจกพิเศษที่นักร้องของ Arctic Monkeys และ The Rascals ร่วมมือกันทำ ขอเชิญไปดูความยอดเยี่ยมใน YouTube อีกเช่นเคย


Best Live Event - Glastonbury

บางปี Glastonbury ก็โดนด่า บางปีงานก็ดูกร่อยๆ แต่ปี 2008 เทศกาลดนตรีที่ใหญ่ที่สุดในโลกกู้ชื่อให้ตัวเองอีกครั้งด้วยทุนจัดงาน 22 ล้านปอนด์!


Best TV Show - The Mighty Boosh

ไม่มีข้อมูลมาก รู้แต่ว่าเป็นละครเวทีตลก แล้วขยายตัวเป็นละครวิทยุ จนลามมาถึงทีวีในที่สุด


Best Dancefloor Filler - 'Dance Wiv Me' โดย Dizzee Rascal

รางวัลเพลงที่คนเต้นตามมากที่สุด (รางวัลนี้เก๋ดีนะ) เพลงพิเศษของ rapper ผิวสีชาวอังกฤษน่าเต้นตามแค่ไหนต้องฟังกันเอง


Best DVD - Arctic Monkeys At The Apollo

DVD บันทึกการแสดงสดครั้งสุดท้ายของทัวร์ประจำปี 2007 ของวงอินดี้ที่เริ่มโด่งดังจากอินเตอร์เนท


Best Band Blog - Noel Gallagher / Oasis

บล็อกของมือกีตาร์หัวหน้าวง Oasis ที่มักจะเขียนเรื่องให้คนหยิบไปเป็นประเด็นถกเถียงได้เรื่อยๆ


Best Venue - London Astoria

รางวัลสถานที่จัดคอนเสิร์ตที่ดีที่สุดเป็นของ Astoria ณ ลอนดอน (คอนเสิร์ตบ้านเราจัดกี่ทีๆก็ที่เดิมๆ) ศิลปินชั้นนำทุกคนตั้งแต่ Nirvana ไปจนถึง Eminem ล้วนเคยมาเหยียบที่นี่ รางวัลนี้เหมือนเป็นการให้เกียรติสถานที่ด้วยเพราะพึ่งจะปิดตัวลงเมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมานี้เอง


Best Album Artwork - 'HAARP' โดย Muse

รางวัลปกอัลบั้มยอดเยี่ยมของวง Muse (สวยมั้ยล่ะ)


Hero Of The Year - Barack Obama

ไม่มีใครเป็นที่สนใจของทั้งโลกได้เท่าเค้าอีกแล้ว


Villain Of The Year - George W. Bush

อดีตผู้นำสหรัฐฯได้รางวัลวายร้ายแห่งปีมา 6 ปีติดต่อกันแล้ว!


Best Dressed - Alexa Chung

อดีตนางแบบและผู้ประกาศข่าวสาวชาวอังกฤษได้รางวัลแต่งกายยอดเยี่ยมไป


Worst Dressed - Amy Winehouse

ตรงข้ามกับรางวัลเมื่อกี๊เลย แต่เธอคนนี้คงไม่ได้แคร์หรอก


Worst Album - 'A Little Bit Longer' Jonas Brothers

รางวัลอัลบั้มสุดห่วยประจำปีเป็นของวงขวัญใจเด็กสาววัยประถมของอเมริกาไป (บ้านเราจะมีใครกล้าแจกรางวัลนี้มั้ยนะ)


Worst Band - Jonas Brothers

รางวัลวงสุดห่วยจะเป็นใครไปได้อีก ที่น่าสนใจคือ Oasis ได้เข้าชิงทั้งรางวัลวงยอดเยี่ยมและวงสุดห่วยในปีเดียวกัน!


Sexiest Male - Matt Bellamy

นอกจากจะมีพรสวรรค์ทางดนตรีล้นเหลือแล้ว นักร้องนำวง Muse ยังได้รางวัลผู้ชายสุดเซ็กซ์อีกต่างหาก


Sexiest Female - Hayley Williams

ส่วนรางวัลผู้หญิงสุดเอ็กซ์เป็นของนักร้องนำสุดเปรี้ยววง Paramore ไป (คนนี้เป็น idol ขวัญใจของ ฟักแฟงวง No More Tears ล่ะ คล้ายกันเชียว)


Best Website - YouTube

เว็บไซต์แห่งยุค หาคนล้มได้ยากจริงๆ


ก็ประมาณนี้ อยากรู้จักใคร ฟังเพลงใคร ก็ต้องลอง google หาดูหาฟังกันเองนะ


+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-


Note:
- เปล่า เ้ราไม่ได้เปลี่ยนไปเป็นนักเขียนให้นิตยสารหรือเว็บไซต์ทางดนตรีใดๆหรอก
- คาดว่า entry นี้จะพาคนเข้ามา blog เราจำนวนไม่น้อย เพราะว่า keyword เยอะเชียว
- article ใน entry นี้มาจาก trendyday.com
- หรือจะลองเข้าไปดูเว็บไซต์นี้ก็ดีนะ (แค่คลิกแวะเข้าไปก็ถือว่าช่วยกันแล้ว)

Sunday, February 8, 2009

Hail to the Nerds


[All rights reserved: Sony Pictures Digital Inc.]

เมื่อวานไปร้านเช่าหนังแล้วเห็นหนังเรื่องข้างบนนี้พึ่งมาใหม่ - มีป้ายแปะว่าหมด
ตกใจมากเพราะไม่คิดว่าจะมีคนที่เห็นหน้าปกแล้วอยากจะยืมไปดูเยอะ (ถึงทั้งร้านจะมีแค่ 5-6 แผ่น)
และไม่น่าจะเป็นไปได้ที่คนแถวบ้านจะรู้จักหนังเรื่องนี้ แล้วมายืมกันไปหมด
ขนาด Eagle Eye ที่แสดงโดยดาราแห่งยุคยังเหลือให้เช่าเลย
ก็เลยถามพนักงานดูปรากฏว่ามีเหลือแผ่นนึงพอดี -- ดีใจมากๆ -- กลับบ้านแล้วดูเลยทันที

เรารอดูหนังเรื่องนี้มานานมาก และฟัง Soundtrack ไปแล้วมากกว่า 50 รอบ (ดูจาก iTunes)
ไม่เล่าหรอกว่าหนังเรื่องนี้เป็นยังไง เพราะถึงเล่าไปก็ไม่ได้อารมณ์ที่มันควรจะเป็น
แต่ถ้าคุณชอบหนังรักโรแมนติกใสๆ ชอบหนัง-ละครเกาหลี
ถ้าคุณชอบ Zac Efron, Shia LaBeouf, Hannah Montana หรือ Jonas Brothers

คุณคงไม่ได้ดูหนังเรื่องนี้แล้วรู้สึกชอบมันเท่าไหร่หรอก
และ Nick กับ Norah ก็ไม่ได้ขอให้คุณมาชอบด้วย


Note:
- แต่เรารู้ว่าคนที่หลงเข้ามาที่นี่เป็นประจำน่าจะชอบ และขอบอกว่า "ไปหาดูซะ"
- ดูจบแล้วถ้ามีเวลาก็ไปหา Pineapple Express มาดูด้วยนะ แล้วจะรู้ว่า James Franco มี range การแสดงที่กว้างจริงๆ (จริงๆ)
- Michael Cera คงเป็นนักแสดงที่ต้อง 'แสดง' น้อยที่สุดในยุคนี้
- ปีนี้จะมีหนัง nerdๆ ของ Judd Apatow อีกอย่างน้อย 2 เรื่องคือ Year One (Jack Black, Michael Cera) และ Funny People (Adam Sandler, Seth Rogen, Jonah Hill) และหนังที่ Rogen, Cera, Hill เล่นอีก 4-5 เรื่อง -- นี้เป็นช่วงเวลาของคนพวกนี้จริงๆ

Thursday, November 13, 2008

Refreshed

(วันนี้ขี้เกียจหารูป)

เขียน entry นี้ตอนช่วงโดดงานสองวัน(ขอโทษครับพี่พี) หลังจากงานแฟตจบลง
จะว่าเหนื่อยก็ไม่ได้เหนื่อยเท่าปีที่เคยๆทำมานะ เฉพาะหน้างานเรียกว่าเหนื่อยน้อยมากก็ได้
ก็ต้องขอขอบคุณสมาชิกชาวคณะสนามหลวงทุกๆท่าน
พี่เต็ด (ที่มาช่วยขายในวันแรกด้วย) พี่พี (ที่คอยเตือนให้ plan ตั้งแต่ 3-4 เดือนก่อน และโทรมาถามไถ่)
พี่เจี๊ยบ พี่นุ้ย พี่ปลา พี่แก้ว กี้ แยม เซาะ ตี๋ พี่ปอ ที่ช่วยทั้งที่บูธ และก่อน+หลังงาน
น้องฝึกงานทุกๆคนที่ช่วยกันคนละไม้ละมือ เพื่อนๆทุกท่านที่แวะเวียนมาที่บูธ
ศิลปินทั้งเดี่ยวและกลุ่มที่แสดงโชว์ดีๆให้คนดูสนุกและคนในค่ายปลื้มใจ
จนทำให้งานนี้พอจะเรียกได้ว่าผ่านพ้นไปได้ด้วยดี
ต้องขอขอบคุณเพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ อีกครั้งที่ร่วมทำงานนี้ด้วยกัน

ขอบคุณครับ


Note:
- ไม่รู้ทำไม ช่วงนี้รู้สึกสุขภาพจิตดี๊ดี (ดี)
- รู้ตัวมากขึ้นว่าต้องการทำอะไร และควรทำอะไร (ดี)
- ไม่ค่อยได้สนใจการเรียนเท่าไหร่ช่วงนี้ (ไม่ดี)
- กำลังอ้วนมาก (ไม่ดี) อาจทำให้ต้องซื้อเสื้อผ้าใหม่ (ดีบ้างไม่ดีบ้าง)
- เดือนนี้เป็นเดือนเสียเงินโดยแท้ ต้องซื้อของเยอะมาก (ไม่ดี)
- หวังว่าจะออกกำลังกายสม่ำเสมอในสัปดาห์นี้เป็นต้นไป (น่าจะดี)
- ได้ไปสถานที่ hip / cool มา รู้สึกว่าไม่เหมาะกับเราเลยจริงๆ (ไม่ดี)
- แต่คนที่ไปอยู่ที่นั่นก็ไม่ได้เหมาะหรอกเนา่ะ มีแต่ wannabes (ไม่ดี)
- เดือนธันวาจะลาพาแม่ไปขึ้นดอยที่เชียงใหม่-เชียงราย (น่าจะดี)

- ถ้านึกอะไรออกจะมาเขียนใหม่นะ ...

Tuesday, September 23, 2008

Golden Generation


[image by: lerk7]

วันก่อนเราพูดกับเพื่อนเราว่ารู้สึกโชคดีที่ได้เกิดและโตมาในยุคของเรา
ได้เห็นเทคโนโลยีค่อยๆพัฒนาเร็วขึ้น และเร็วขึ้นเรื่อยๆ
เห็น computer เปลี่ยนจากอุปกรณ์สำนักงานชั้นสูงจนเป็นกลายเครื่องใช้สามัญ
ทันใช้ DOS แล้วเปลี่ยนเป็น Windows จนอีกหน่อยทุกอย่างคงเป็น Surface Computing
ได้ใช้อินเตอร์เนทตั้งแต่ยุคแรก เห็น Dot-Com Boom และ Dot-Com Bust จนฟื้นตัวอีกครั้ง
ผ่านช่วง cycle เศรษฐกิจช่วงรุ่งเรือง ช่วงตกต่ำ ช่วงฟื้นตัว ช่วงวิกฤติการเงินโลก
ทันชีวิตการสอบเอนทรานซ์แบบเก่า (ถึงจะไม่ได้ทำอะไรมาก และไม่รู้ว่าแบบใหม่เป็นยังไง)
ดนตรี alternative และ britpop เข้ามาในช่วงอายุที่ดีที่สุดของการฟังเพลง

แล้วเราก็คิดขึ้นมาว่าคนในทุกยุคก็คงคิดเหมือนๆกันละมั้ง

แต่ถ้าเกิดเร็วกว่านี้คงพลาดความน่าตื่นตะลึงของวิทยาการใหม่ๆ และขอบเขตความคิดมนุษย์
แต่ถ้าเกิดช้ากว่านี้คงไม่มีความรู้สึกตื่นเต้นกับอะไรสักอย่างในโลกนี้ เพราะมันเป็นเรื่องธรรมดาไปหมด


Note:
- งานศิลปะ(?)แบบ collage(?) ที่เห็นด้านบนนี้เราทำเองนะ ช่วยชื่นชมในความพยายามด้วย
- Inspiration ของหัวข้อนี้เกิดจากการดู Back to the Future เมื่อเร็วๆนี้อีกครั้ง

Thursday, August 28, 2008

thank you, thank you so much


[image by: KathrynKelly @ deviantArt]

"ขอบคุณ ขอบคุณมาก"
ประโยคนี้หลุดออกมาซ้ำๆไม่รู้กี่ครั้ง พร้อมกับน้ำตาที่ไหลพรู
ผู้คนส่วนใหญ่ได้แต่สงสัยว่าเกิดอะไรขึ้น
แต่เราจะจำประโยคนี้ให้ขึ้นใจ ไม่มีวันลืม
เรื่องราวในคืนฤดูร้อนปี 2004

"ขอบคุณ ขอบคุณมาก"

Tuesday, March 25, 2008

My Friend Rocks


[Sanamluang Garndontree © 2008 All Rights Reserved.]

เรามีเพื่อนคนหนึ่ง - เป็น Top Friends ใน hi5 เลยนะ (แต่มันอาจจะไม่รู้)
ตอนเด็กๆเราจะเล่นบาสกับมันทุกเช้า-เย็น
เลิกเรียนก็เดินไปกินโจ๊กตลาดใกล้โรงเรียน
ตอนช่วงม. 2 จะสนิทกับมันมาก เพราะทั้งกิน-เล่น-เที่ยวด้วยกัน
แถมยังเล่นดนตรีด้วยกันอีก ถึงจะไม่เคยเล่นวงเดียวกัน (ขอนึกอีกที - - ไม่เคยๆ)
แต่ก็แชร์ห้องซ้อมกันบ่อยๆ ตอนนั้นมันเป็นคนแรกๆในรุ่นที่เล่นกีตาร์ได้เก่ง
(อีกคนที่เล่นเก่งแต่คนแถวนี้อาจจะไม่รู้คือคุณ Plop แห่ง blog ข้างๆนะครับ)
และเป็นคนที่เล่นเพลงอัลเตอร์ทั้งไทยและเทศยุคเพื่องฟูได้ดีเลย

จนกระทั่งเราเลิกเล่นดนตรีไปเตะบอลมันก็เลิกเล่นบาสไปจริงจังกับกีตาร์
เรากลับมาเล่นดนตรีใหม่ มันก็ยังเล่นกีตาร์ต่อไปเรื่อยๆ
พอเข้ามหาลัยเราก็ห่างๆไป ด้วยกลุ่มเพื่อนที่เปลี่ยนๆไปด้วย
แต่เราก็ยังรู้สึกไปเองว่าเราเคยมีช่วงสนิทกันนะ

ปี 2005 เราได้กลับมาร่วมงานกับมันอีกครั้ง
มันเป็นนักดนตรี เราเป็นพนักงานค่ายเพลง
มันกำลังจะออกอัลบั้มแรกในชีวิต
เรากำลังจะออกจากงานที่นั่น
งานสุดท้ายที่เราตั้งใจทำคือการดูการผลิตปกให้มัน
ไม่มีอะไรมากกว่านั้น

ปีนี้ 2008 มันกำลังจะมีอัลบั้มชุดที่ 2
เรากำลังจะกลับไปเป็นพนักงานที่เดิม
น่าจะเป็นอัลบั้มที่เรามีส่วนช่วยได้มากกว่าชุดที่แล้ว
ฟังจากเพลงและลองอ่านกระทู้ต่างๆกระแสถือว่าดีเลย
ยังไงๆเราก็จะพยายามทำให้มันขึ้นไปสู่อีกระดับของวงร็อกชาวไทยให้ได้



ข้างล่างนี้คือข้อความจากเราถึงมัน




เรียนคุณ กัลย์ วงศ์วิทวัส และชาวคณะ supersub




"กูอาจจะดูเหมือนไม่สนใจวงมึง แต่กูตั้งใจทำงานให้มึงตลอดนะ"


ประมาณนี้ (วันนี้ไม่ค่อยสบายนะ เขียนไม่ค่อยลื่น)

Note:
- ข้างบนเป็นซิงเกิ้ลเปิดตัวอัลบั้มใหม่ของวง supersub ชื่อเพลง "clock"

Sunday, February 17, 2008

Can't Smile Without You



"ปิดปาก"
เจอรี่ ศศิศ มิลินทวณิช
Jerry Blueberry

นี่คือเพลงที่เราฟังเยอะที่สุดในช่วงนี้
ไม่มีเหตุผลอะไรพิเศษ แค่ชอบฟัง

Note:
- ชื่อ "ศศิศ" เขียนแล้วสวยดี

Monday, November 26, 2007

Digital Property


[image by: blarygake @ flickr]

Warning: Long and Serious Entry - บทความวันนี้ยาวและจริงจังเป็นพิเศษ หากต้องการความบันเทิงกรุณาอ่านบทความอื่นๆแทน

"Life finds a way"

นี่คือประโยคจาก Jurassic Park และสามารถใช้ได้จริงเสมอตราบที่ยังมีสิ่งมีชีวิตอยู่
เราคิดว่าสิ่งมีชีวิตทุกอย่างอยู่ด้วยปรัชญาของประโยคนี้เหมือนกันหมด
แต่ว่าวันนี้ไม่ได้จะเขียนเรื่องธรรมชาติหรือเรื่องชีวิตหรอก
ตรงข้ามด้วยซ้ำ จะมาเขียนเรื่องของที่ไม่มีชีวิต และไม่มีกระทั่งตัวตน
ต่อยอดบทความของ phir เรื่องทรัพย์สินทางปัญญา (Intellectual Property : IP)

แต่เพราะว่าเราไม่ได้เรียนด้านกฎหมายมาเหมือน phir เราก็จะขอเขียนในแง่มุมที่เราถนัดกว่าแทน
เราอยากจะเสนอมุมมองเกี่ยวกับผลงานสร้างสรรค์ในเชิงบริหารจัดการ (Management) แทน

เรื่องของการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา ว่าด้วยเทคโนโลยีที่มันก้าวหน้าไปมากทำให้ผู้ที่จะทำการละเมิดนั้นสามารถทำได้ง่ายขึ้นเรื่อยๆ ผู้ที่เสียประโยชน์โดยตรงก็คือบริษัทหรือบุคคลที่เป็นผู้สร้างสรรค์ความคิดนั้นขึ้นมา มาตรการตอบโต้หรือป้องกันตนของกลุ่มผู้เสียประโยชน์เหล่านี้ที่จะใช้กันส่วนใหญ่จะมีอยู่สองทางด้วยกันคือ 1.ใช้ข้อได้เปรียบทางกฎหมายของการเป็นเจ้าของสิทธิ์ทางความคิดนั้นเพื่อป้องกันหรือเอาผิดจากผู้ที่มาละเมิด หรือ 2.พัฒนาสินค้าหรือบริการของตัวเองให้ถูกลอกเลียนให้ยากขึ้น เช่นทำให้มันซับซ้อนขึ้นหรือเอาเทคโนโลยีบางอย่างเข้าไปเป็นส่วนประกอบไม่ให้ถูกลอกเลียนหรือทำซ้ำ

ซึ่งทั้งสองวิธีที่ว่านี้ก็ฟังดูสมเหตุสมผลดี เมื่อคิดจากฐานะผู้ผลิตว่าเราเป็นผู้ลำบากพัฒนาความคิดขึ้นมาและมีต้นทุนในการผลักดันความคิดนั้นออกมาสู่ตลาด (Commercialization) มันมีทั้งค่าจ้างผู้วิจัยพัฒนา ค่าวัตถุดิบหรือวัสดุสิ้นเปลืองต่างๆ รวมไปถึงค่าใช้จ่ายในการดำเนินการ และการโฆษณาประชาสัมพันธ์อีกที่เราจะต้องหารายได้มาชดเชย เราย่อมไม่ต้องการให้บุคคลอื่นมาฉกฉวยโอกาสแย่งรายได้ไปจากเราง่ายๆเพียงแค่ทำซ้ำหรือคัดลอกความคิดของเราไปขายในราคาที่ถูกกว่ามากโดยอาจจะมีเพียงแค่ต้นทุนการผลิตเท่านั้น ดังนั้นเราจึงต้องหาทางปกป้องตัวเองจากความเสี่ยงที่จะถูกฉกฉวยโอกาสแบบนี้โดยการใช้ กฎหมาย หรือ เทคโนโลยี ดังกล่าว

เราเห็นด้วยว่าผู้ที่เป็นเจ้าของความคิดย่อมสมควรได้รับการปกป้อง ถ้าหากสินค้านั้นมันเป็นสิ่งของจับต้องได้ (Physical Goods) เช่นกระเป๋าแบรนด์เนมจากยุโรปที่มักถูกผู้ผลิตจากจีนหรือเกาหลีลอกเลียนอยู่เสมอ โดยเฉพาะปัจจุบันนี้ผู้ผลิตของเลียนแบบเหล่านี้สามารถไปหาวัตถุดิบและผู้ผลิตเดียวกับเจ้าของ brand ได้จนทำให้คุณภาพนั้นเรียกได้ว่าแทบจะเหมือนกันเลยทีเดียว แต่ผู้ลอกเลียนจากจีนและเกาหลีนี้ไม่ต้องเสียค่าจ้างนักออกแบบ และค่าใช้จ่ายในการทำ branding เลยแม้แต่นิดเดียว แค่ผลิตออกมาก็มีคนทำการตลาดให้อยู่แล้ว รอแค่ขายอย่างเดียวในราคาที่ถูกกว่ามาก กรณีนี้เราคิดว่าเจ้าของแบรนด์ควรจะได้รับการปกป้อง เพราะว่ากระเป๋าของจริงที่ถูกผลิตขึ้นมาหากไม่สามารถขายได้ก็จะทำให้บริษัทเกิดการขาดทุน (และยังเสียทรัพยากรธรรมชาติไปอีกด้วย)

แต่ว่าในกรณีของสินค้าที่เป็น digital นั้นสภาพแวดล้อมของธุรกิจมันต่างออกไป เนื่องจากต้นทุนในการผลิตเพิ่มต่อหน่วยนั้นแทบจะไม่มีเลย (มีค่าไฟ ค่าเสื่อมของอุปกรณ์ และอาจจะมีค่าสื่อในการจัดเก็บข้อมูล) กลับกัน หากยิ่งผลิต (จริงๆควรใช้คำว่าคัดลอกและกระจาย) ได้มากขึ้นกลับยิ่งทำให้ต้นทุนต่อหน่วยลดต่ำลง (เช่นค่าจ้างพนักงาน นักวิจัย ค่าโฆษณา ค่าเช่าสำนักงาน) ซึ่งสินค้าที่เราจะนับรวมเป็น digital นั้นไม่ใช่แค่สินค้าที่เป็น computer software เท่านั้น แต่รวมไปถึงสื่อชนิดต่างๆที่สามารถแปลงให้เป็น digital format ได้เช่น ภาพถ่าย ภาพยนตร์ ดนตรี หรือหนังสือ

สินค้าเหล่านี้ผู้ผลิตจะรู้สึกว่ามีความเสี่ยงต่อการถูกลอกเลียนมากกว่าสินค้าชนิดอื่นๆ เพราะว่าเมื่อเป็น digital แล้วการลอกเลียนนั้นก็คือการ copy บนคอมพิวเตอร์นั่นแหละ ทำได้ง่ายแค่ไหน? คนที่เข้ามา blog นี้ได้คงทำกันเป็นทุกคน และเพราะว่ามันง่ายขนาดนั้นผู้ผลิตจึงต้องดิ้นรนหาทางป้องกันตนเองจากภัยคุกคามนี้ทั้งจากการใช้กฎหมายคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญา (IP Law) และเทคโนโลยีเพื่อป้องกันการถูก copy รูปแบบต่างๆ ซึ่งอย่างที่บอกว่าคิดในแง่ผู้ผลิตนั้น การป้องกันตนเองก็อาจจะมองว่าถูกต้องแล้ว แต่ว่าหากมองในแง่การพัฒนาธุรกิจแล้วอาจถือได้ว่าเป็นการฝืนกลไกของตลาดแทนก็ได้

มีกลุ่มคนไม่น้อย (ส่วนใหญ่จะเป็น geek และ computer nerd) ที่เชื่อว่า “Bits are made to be copied” นั่นหมายความว่าการที่เรามีการบันทึกข้อมูลลงคอมพิวเตอร์เป็น digital format ลงบน medium ต่างๆนั้น เราทำเพื่อลดต้นทุนของการคัดลอกทั้งในแง่ของเงิน เวลา ทรัพยากร และความพยายาม ดังนั้นหากเราผลิตสินค้าที่เป็น digital ออกมาแต่ว่าห้ามไม่ให้คัดลอกแล้ว นั่นไม่เท่ากับขัดวัตถุประสงค์ของตัวเทคโนโลยีเองหรอกหรือ

เราไม่เถียงว่าคนสร้างสรรค์ผลงานใดๆขึ้นมาควรจะได้รับผลตอบแทนเต็มที่เมื่อผลิตชิ้นงานออกมาสู่ตลาด แต่ว่าโครงสร้างรายได้หรือ Revenue Model ของงานสร้างสรรค์มันไม่ได้จำกัดอยู่ที่การขายต่อหน่วย (per unit sales) เท่านั้น มันยังมีหนทางอีกมากที่จะสร้างรายได้โดยการใช้ประโยชน์จากข้อดีจาก digital distribution นี้อีก

จะขอเจาะไปที่อุตสาหกรรมดนตรีโดยเฉพาะ เนื่องจากมีความรู้ความเข้าใจอยู่บ้าง และกำลังทำรายงานเรื่องนี้พอดี แน่นอนว่าการเข้ามาของ digital distribution รูปแบบต่างๆในวงการเพลง ถูกกฎหมายบ้าง ละเมิดลิขสิทธิ์บ้าง ทั้ง Full-Song Download, File-Sharing, Music Streaming, Online Broadcasting และแน่นอนรวมถึงแผ่นผี แผ่นMP3 มันไปกระทบยอดขายซึ่งเป็นรายได้ทางตรงแบบจังๆ การที่เราหาเพลงฟังฟรีได้มันย่อมทำให้ยอดขายสินค้าลิขสิทธิ์ที่ต้นทุนสูงกว่าและราคาสูงกว่าลดลง แต่บริษัทในอุตสาหกรรมนี้เคยมองรึเปล่าว่าเพราะอะไรคนถึงไม่ซื้อ บางทีเราได้รับของ sample ฟรีที่เค้าแจกๆ เราก็ยังกลับไปซื้ออีกทั้งๆที่ไม่มีใครบังคับ อาจจะเถียงว่าเพราะมันเป็นสินค้า physical ใช้แล้วหมดไป แต่นั่นไม่ใช่เหตุผลหลักอย่างเดียวหรอก

หลักการตลาดพื้นฐานมากๆเลยบอกไว้ว่าในการที่ผู้บริโภคจะซื้ออะไรซักอย่าง Value MUST exceed price หรือมูลค่าที่ผู้ซื้อได้รับนั้นต้องมากกว่าเงินที่จ่ายออกไป หากเราไม่ซื้ออะไรย่อมหมายความว่าเราคิดว่าคุณค่าที่เราได้รับกลับมามันไม่คุ้มค่าเงิน และเราอาจมีทางเลือกอื่นที่ตอบสนอง need เดียวกันนั้นได้ในราคาที่คุ้มค่ากว่า (mp3) ดังนั้นหากคิดว่ายอดขาย CD เป็นเครื่องวัดความสำเร็จหรือเป็นแหล่งรายได้สำคัญที่จะเสียไปไม่ได้เลย ผู้ผลิต(ค่ายเพลง)ก็ต้องหาวิธีเพิ่ม value เข้าไปในตัวสินค้าโดยตรงผ่านขั้นตอนต่างๆใน value chain ที่ทำให้เกิดมูลค่าเพิ่มขึ้นต่อสินค้าสำเร็จนั้น เช่นอาจมี exclusive privilege พิเศษสำหรับผู้ซื้อ CD ของแท้ ซึ่งเป็น value ที่เฉพาะเจ้าของสิทธิจะให้ได้เท่านั้น เช่นสิทธิในตัวศิลปิน (note: packaging อาจมี value contribution โดยตรงต่อตัวสินค้า แต่ว่าไม่ใช่ exclusive value เพราะถ้าคนทำของปลอมอยากทำให้ดีก็ทำได้เหมือนกัน)

อีกแนวทางที่ไม่ค่อยถูกยกขึ้นมาเป็นประเด็นทางออกคือการปรับ business model และ revenue model ของธุรกิจนี้แทน แหล่งรายได้ของบริษัทค่ายเพลงหลักๆนอกจากยอดขาย Tape, CD, VCD, DVD, etc. แล้วก็จะมีรายได้จากการอนุญาตให้ผู้อื่นได้สิทธิในการเผยแพร่ในเชิงพานิชย์ (Publisher's Rights), การบริหารงานจ้างศิลปิน (Artist Management), การจัดกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับศิลปิน (Concerts & Activities), การออกสินค้าต่างๆที่เกี่ยวกับศิลปิน (Merchandising) และหากไม่นับการขาย CD แล้ว ช่องทางรายได้อื่นแทบจะไม่ได้รับผลกระทบในเชิงลบจาก digital distribution เลยด้วยซ้ำ กลับกัน บางช่องทางสามารถใช้ digital distribution ช่วยส่งเสริมได้ซะอีก หากเราไม่คิดเพียงว่าผู้ที่จ่ายเงินให้กับเราคือผู้ที่ฟังเพลงเท่านั้น

จริงๆ value ของเพลงต่อคนที่เป็นคนฟังเพลงทั่วๆไปนั้นมีไม่มากเท่าไหร่นักหรอก มันเป็นแค่ของที่เราอยากได้อยากฟังเมื่อต้องการความผ่อนคลายหรือความสุนทรีย์ value มันอาจจะตีเป็นตัวเลขได้ไม่ชัดเจนแต่ที่แน่ๆเพลงหนึ่งเพลงไม่ใช่สินค้าชนิดเดียวที่จะตอบสนอง need นี้ได้ เพลงอื่นก็สามารถทำได้ และสินค้าอย่างอื่นก็อาจจะทำได้เช่นกัน ดังนั้นหากจะมุ่งหวังขายเพลงให้กับคนฟังเพลงอาจจะเป็นเรื่องยาก แต่ว่าเพลงๆเดียวกันนี้อาจถูกมองโดยคนกลุ่มอื่นๆว่ามี value อื่นที่มากกว่านั้นไปอีก เช่นการนำมาใช้ประกอบโฆษณาหรือละคร หรือการนำศิลปินไปแสดงเพลงนั้นๆในร้านอาหาร ซึ่ง value มันจะมากขึ้นเมื่อเพลงนี้ได้รับความนิยมมากขึ้น และความนิยมจะมากได้ก็ต่อเมื่อมันเข้าถึงคนกลุมใหญ่ สุดท้ายการเข้าถึงคนกลุ่มใหญ่ได้โดยไม่ต้องใช้ต้นทุนสูงมีวิธีอะไรบ้างก็ลองคิดดูเอาเองละกัน

วิธีการหาประโยชน์ในสภาพแวดล้อมของ digital distribution ยังมีอีกมาก แต่ว่าหากเราไปขัดขวางผู้บริโภคไม่ให้ได้รับประโยชน์จากมันไม่ว่าจะโดยการใช้เทคโนโลยีหรือกฎหมายเข้าว่า มันก็เท่ากับไปขัดขวางกลไกการพัฒนาตลาด เราไม่ควรไปริดรอนสิทธิของผู้บริโภค(แม้สิทธินั้นอาจจะมิชอบก็ตาม)โดยไม่มีทางออกที่ดีกว่าหรือเทียบเท่ากับสิทธิปัจจุบันของพวกเขา และไม่ว่าจะห้ามยังไง พวกเขาก็ต้องหาทางเอาสิทธิเก่านั้นกลับมาจนได้ กลุ่มผู้ประกอบการต่างหากที่ต้องหาทางปรับตัวเพื่ออยู่ให้ได้ในสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงไป

อย่างที่บอกไว้ตอนเปิดประเด็นครับ ... Life finds a way

Note:
- ถ้าคิดว่าเราเขียนยาวหรือเครียดไปก็ขอโทษด้วย แต่จริงๆยังยาวและเครียดกว่านี้ได้อีกมาก

Saturday, October 6, 2007

Being Recommended


"กราบเท้าคุณแม่ที่เคารพ

หลังจากที่ผมได้ไปเขียนกระทู้เรื่องการวิจารณ์งานเพลงไว้ที่เวบไซต์ Pantip เมื่อ 2 วันก่อน
ขณะนี้ กระทู้ของผมได้รับการโหวตให้เป็นกระทู้แนะนำในห้องเฉลิมกรุงแล้ว
ทั้งๆที่ปกติกระทู้ที่ผมตั้งมักจะถูกลบไปโดยเร็วซะด้วยซ้ำ
เมื่อคำนึงถึงเนื้อหาที่ผมเขียนไปแล้ว ผมคิดว่านี่เป็นนิมิตหมายที่ดี
มันน่าจะช่วยทำให้คนจำนวนหนึ่งเปลี่ยนทัศนคติต่อการฟังเพลงเพื่อวิจารณ์ได้บ้าง นิดหน่อยก็ยังดี
ถ้าความคิดเห็นของผมสามารถดลใจให้ใครหรือใครทำเรื่องที่ยิ่งใหญ่กว่านี้ได้ก็คงจะดีไม่น้อย

หวังว่าคุณแม่ที่เคารพจะให้กำลังใจผมต่อไป ทั้งในกระทู้และที่นี่นะครับ

ปล. ถึงผมจะถูกตัดจบไปแล้วก็อย่าลืมคิดถึงผมบ้างนะครับ"

Wednesday, October 3, 2007

Dear All Music Critics and Scrutinizers

เราไปอ่านๆใน Pantip แล้วเจอกระทู้ที่บอกว่า อยากให้มี "คลับจับผิดเพลง"
เราอ่านๆดูแล้วก็เลยเกิดอาการคันไม้คันมือ อยากเขียนอะไรที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ซะหน่อย
ก็เลยไปแตกประเด็นกระทู้เค้าซะ ... ใครอยากรู้อยากอ่านเข้าไปดูได้เลย ที่นี่
ส่วนคนที่ขี้เกียจไปตาม Link จะอ่านที่นี่ก็ได้นะ

======================================

ใครลอกใคร?? - การวิพากษ์วิจารณ์งานดนตรี

สืบเนื่องจากการที่มีคนคิดว่าศิลปินไทยมักไปลอกเลียนศิลปินต่างประเทศมา และอยากมีการถก การโต้แย้ง หรือ วิพากษ์วิจารณ์กัน

ส่วนตัวแล้ว ผมมีความคิดว่า ประเด็นที่สำคัญกว่าคือคนที่มาถกมาเปิดประเด็นดังกล่าว มีความรู้ความเข้าใจถึงทฤษฎีทางดนตรี และธรรมชาติของนักดนตรี รวมทั้งสภาพแวดล้อมของวงการดนตรีมากน้อยแค่ไหน และที่สุดแล้วเราต้องการอะไรจากการถกกันในประเด็นนี้กันแน่

ไม่ใช่จะบอกว่าจะต้องเป็นอาจารย์สอนดนตรี หรือโคต-รนักดนตรี หรือผู้คร่ำหวอดในวงการเพลงไทย แต่ผมอยากให้เรามาโต้แย้งกันอย่างเข้าใจถึงพื้นฐานที่มาของงานเพลงหนึ่งๆ และเป็นการเปิดโลกทัศน์ในการฟังเพลงมากกว่าที่จะเป็นการพูดว่า ชอบหรือเกลียด ดีหรือเลว เพียงเพื่อความสะใจส่วนตัว เพื่อดูถูกความคิดของคนอื่น และที่แย่กว่าคือเพื่อไปดูถูกผลงานสร้างสรรค์ของศิลปิน

ที่มาที่ไปของเพลงที่เปิดตามวิทยุที่พวกเราเห็นกันน่าจะอธิบายง่ายๆได้แบบนี้:
ศิลปินคิด-เขียนเนื้อเพลงและดนตรี --> เรียบเรียง --> อัดเสียง --> โปรโมท --> ดัง/ดับ --> วิจารณ์

แต่ผมจะบอกว่า ระหว่างทางนั้นยังมีขั้นตอนยิบย่อย มีผู้คนมากมายเกี่ยวข้อง มีบทสนทนา มีการประชุม มีการตัดสินใจ มีการปรับเปลี่ยน มากอย่างที่เราไม่สามารถบรรยายได้เลย

และในของเหล่านั้น ก็ยังมีของที่สำคัญที่สุดในทุกขั้นตอนนั่นคือ "ความคิด"

ผมขอเปลี่ยนบริบทของหัวข้อนี้ชั่วคราว จากดนตรีเป็นการออกแบบ จากนักดนตรีเป็นนักออกแบบ จากงานดนตรีเป็นงานออกแบบ

ทีนี้ คุณสมบัติของนักออกแบบที่ดีคืออะไร?
คือการหมั่นเปิดหูเปิดตารับงานออกแบบจากแหล่งต่างๆอยู่เสมอ คือการค้นหาแรงบันดาลใจใหม่ๆ เพื่อนำความคิดที่ได้จากการพบเห็นมาสังเคราะห์ให้เกิดเป็นความคิดในแบบของตนเอง และให้เหมาะสมกับโจทย์ของงานออกแบบที่ได้รับมา หรือที่ต้องการจะสื่อให้คนเข้าใจ

มันเป็นเรื่องแปลก(หรือ"ผิด")แค่ไหนที่งานออกแบบชิ้นหนึ่งจะไปคล้ายกับงานของอีกคนหนึ่ง
เป็นไปได้หรือเปล่าที่งานสองชิ้นจะเกิดจากกระบวนการคิดในรูปแบบที่คล้ายกัน
เป็นไปได้หรือเปล่าที่งานทั้งสองชิ้นเกิดจากพื้นฐานของโจทย์ที่งานนั้นต้องตอบรับเดียวกัน
และเป็นไปได้หรือเปล่า ที่ชิ้นงานนั้นมันถูกใช้สอยได้อย่างเกิดประโยชน์สูงสุดด้วยการออกแบบดังกล่าว

กลับมาที่งานดนตรีอีกครั้งด้วยพื้นฐานโครงสร้างแบบเดียวกัน นักดนตรี(หมายถึงนักดนตรีจริงๆ-ไม่ใช่คนร้องเพลงที่ถูกเรียกว่า"ศิลปิน")ย่อมมีความคิดหรือรูปแบบงานที่ต้องการสื่อออกมาให้คนฟังได้คิดและรู้สึกแบบเดียวกับตน ถ้าหากเรารู้วิธีที่เราจะสื่อเนื้อความของเราให้คนเข้าใจได้ดีที่สุด มันมีเหตุผลอะไรที่เราจะหลีกหนีจากวิธีการนั้น ทำไมเราต้องหลีกหนีจากความซื่อสัตย์ต่อตนเองเพียงเพราะเราไม่ต้องการที่จะซ้ำกับคนอื่น

แต่ในขณะเดียวกัน หากงานดนตรีที่ไม่มีความหมายที่จะสื่อออกมา ไม่มีโจทย์ที่ต้องการจะตอบ แต่ต้องถูก"ผลิต"ขึ้นมาเพียงเพื่อให้มีเพลงให้ครบ ให้มีเพลงโปรโมท ก็เท่ากับมันไม่มีแก่นที่เป็นจุดเริ่ม และที่พอจะทำได้ก็มีเพียงแค่หยิบยืมของที่มีอยู่แล้วในตลาดมาบวกกับเนื้อหาที่มีอยู่ดาษดื่นและคำที่ฟังดูดีไม่กี่คำเท่านั้นเอง

งานออกแบบที่ดีมันจะเกิดประโยชน์ตามที่มันถูกออกแบบมา ในขณะที่ของเลียนแบบไม่สามารถทำหน้าที่ของมันได้อย่างเต็มที่ อาจเกิดแตกหักเสียหาย หรือให้ภาพลักษณ์ที่ดูขัดหูขัดตา เพราะมันไม่ได้เกิดจาก"ความคิด" เช่นเดียวกันมันเป็นเรื่องง่ายมากที่จะแยกแยะงานดนตรีที่ถูกสร้างสรรค์ขึ้นมาจากความคิดออกจากงานที่เพียงแค่ต้องการความเป็นที่นิยม

ผมเชื่อว่าจิตวิญญาณและความตั้งใจมันเป็นของที่เราสามารถสัมผัสได้ ถ้าหากเราลองฟังด้วยความเข้าใจ


หมายเหตุ:
- ผมเป็นคนที่เคยเรียนดนตรีมาบ้าง เคยเล่นดนตรี และเคยทำงานในบริษัทอุตสาหกรรมดนตรีของประเทศเรา แต่ผมไม่ใช่นักดนตรีและไม่สามารถเรียกตัวเองอย่างนั้นได้แน่นอน
-ขออภัยที่เขียนซะยาว และขอบคุณผู้ที่อ่านจนจบ

======================================

ระหว่างที่เขียนไปก็ดู+ฟังเพลงสุดฮิต ณ วินาทีนี้ไปด้วย ได้อารมณ์มากๆ
ขออนุญาตละเมิดลิขสิทธิ์ไว้ ณ ที่นี้ด้วย

Monday, August 27, 2007

A Few Good Songs

เมื่อเช้าได้ฟังเพลงใหม่(รึเปล่า)ของญารินดาจากทาง FAT Radio 104.5FM
เป็นการตั้งใจฟังเพลงทางวิทยุครั้งแรกในราวๆ3-4เดือน
ช่วงที่ผ่านมาเราไม่ฟังวิทยุเลย ด้วยเหตุผลของความเบื่อ
เราเอียนกับความซ้ำซากของเพลงในช่วงนี้
เราเอียนกับกระแส Mass Media ที่กำลังกลับมา
อาจจะเป็นเพราะเป็นคนต่อต้านกระแสมวลชนอยู่แล้วด้วย
ประกอบกับความจำเจของเนื้อหาเพลงที่มีอยู่ทางวิทยุ
ทำให้เราเลิกฟังเลิกติดตามเพลงไทยไปพักหนึ่ง

สาเหตุที่เรากลับมาฟังวันนี้เพราะความสงสัย
สงสัยว่ากระแสเพลงผู้ชายเหงา เศร้า เจ็บปวดมันหายไปรึยัง
สงสัยว่านักร้องที่เกิดจากรายการต่างๆจะหดหายไปมั้ย
สงสัยว่าจะมีใครทำอะไรใหม่ๆมาให้รู้สึกมีความหวังได้บ้าง
ปรากฏว่าสิ่งเหล่านี้ยังคงมีอยู่เรื่อยมา และคงจะมีอยู่ต่อไปอีกระยะยาว

แต่ในความจำเจนี้ก็ค่อยๆมีคนที่ทำอะไรมาให้เราฟังได้ (ถึงจะไม่บ่อย)
เราคอยเปลี่ยนหนี อ๊อฟ-ปองศักดิ์ และสหายร่วมอุดมการณ์
เราหยุดฟังเมื่อเจอ Scrubb, Bodyslam และ ... (มีแค่สองวงเองหรอเนี่ย)
และวันนี้เราก็หยุดที่ Fat ที่ไม่ฟังไปพักใหญ่เหมือนกัน ด้วยเหตุผลที่ตรงข้ามกับเพลง Mass โดยสิ้นเชิง
หลายๆทีเราไม่ชอบความจงใจ จะแหวก จะแปลก ของเหล่าศิลปิน Fat-ๆ

กลับมาที่ Fat และ ญารินดา อีกครั้ง
เพลงใหม่ของญารินดาเป็นเพลงที่เราไม่รู้ว่าเรียกว่าแนวอะไรดี
จะว่าฟังง่ายก็ง่าย แต่จะฟังให้ยากก็ได้เหมือนกัน
มีเสียงกีตาร์คอยห่อเนื้อเพลงไม่กี่คำ และทำนองเหงาๆ
พร้อมกับเสียงทรัมเปตที่คอยแทรกขึ้นมาเป็นระยะ

แล้วเราก็เกิดความรู้สึกผูกพันกับมัน(เพลง)อย่างประหลาด
เรารู้สึกว่าเพลงๆนี้เติมช่องว่างความคิดของเรา
เรารู้สึกว่าอารมณ์ของเรากำลังตอบโต้อยู่กับเพลงนี้
และนั่นทำให้เราคิดขึ้นมาได้ว่า งานศิลปะที่มีคุณค่านั้นควรจะเป็นยังไง

อาจจะเป็นแค่ความคิดของเราเองก็ได้
แต่เราว่าผลงานศิลปะนั้นควรกระตุ้นความคิดและอารมณ์ของผู้เสพ
งานศิลปะควรเติมเต็มจิตใจเราเมื่อพบเห็นหรือรับฟัง
ไม่ใช่งานที่บอกทั้งหมด แต่เหลือที่ว่างให้เราได้คอยเติมเข้าไปเอง

ถ้าจริงอย่างนั้น งานที่บอกทุกอย่างออกมาตรงๆนั้น
คงไม่ได้ถือเป็นงานที่มีคุณค่าในเชิงศิลปะแน่
และผู้ที่สร้างสรรค์มันขึ้นมาก็ไม่สมควรจะถูกเรียกว่าศิลปิน




[ภาพจาก yarinda.com - เวบสวย รูปสวย เข้าไปดูกันครับ]

ขอบคุณ ญารินดา บุนนาค ที่ทำให้เรานึกได้ว่า ไม่ใช่ทุกคนที่งมงายกับกระแสมวลชน
ขอบคุณ Fat Radio ที่คอยเป็นผู้เสนอทางเลือกให้คนฟังเพลง


Note:
- เข้าไป Truehits เพื่อดูอันดับคำที่คนค้นหาเยอะที่สุด แน่นอนว่าคำสุดฮิตอย่าง เกม หางาน คลิป ดูดวง แอบถ่าย หรือ ภาพหลุด จะต้องติดอันดับ แต่ว่าในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา มีคำหนึ่งคำที่ไม่เคยคิดว่าจะมีคนsearchโผล่ขึ้นมาถี่มากจนติด Top10 เกือบทุกวัน ...

“ยาพิษ” (ของเค้าแรงจริงๆ)