Menu

Showing posts with label Hate. Show all posts
Showing posts with label Hate. Show all posts

Monday, May 11, 2009

Suvarnabhumi : Land of Golden Hell

พึ่งกลับจากมาเลย์ เหนื่อยโคตร แต่ขอบ่นหน่อยเถอะ (ช่วงหลังๆเป็นคนขี้บ่นมาก)
ทั้งๆที่ตั้งใจจะเขียนชื่นชมทริปนี้ว่าถึงเหนื่อยแต่ก็สนุกโคตร แต่ก็ต้องยกไปไว้ทีหลัง
เพราะมีวาระเร่งด่วนที่อยากให้ทุกคนรับรู้กัีน ถึงความห่วยของชาติไทยเรา

ถ้าเคยได้คุยกับเราบ่อยๆจะรู้ว่าเราโคตรเกลียดสนามบินสุวรรณภูมิ
ไม่แปลกเพราะหลายๆคนก็เป็นแบบนี้ ทั้งคนไทยเองและต่างชาติไหนๆที่เคยมาเหยียบแผ่นดินทองนี่
เราได้ใช้สุวรรณภูมิบ่อยมากพอสมควร และไม่เคยมีครั้งไหนที่รู้สึกดีเลยจริงๆ
อย่างที่รู้กันว่ามันออกแบบได้แย่และไม่คำนึงถึงการใช้งานของมนุษย์ที่เดินทาง
ทุกอย่างอยู่ไกลหรือไกลมาก ห้องน้ำอยู่ไหนวะ? เคาน์เตอร์เยอะยังไงก็ต้องต่อแถวยาวมาก (แม้แต่ PB Air!)
นี่คิดแค่้เรื่องการใช้งานล้วนๆเลยนะ อย่าเอาเรื่องการเมืองเข้ามาเกี่ยว เดี๋ยวจะยิ่งเซ็ง

เมื่อวานนี้เราเดินทางกลับมาถึงสุวรรณภูมิประมาณ 22:20 พร้อมกับอาการเหนื่อยสูงสุดและกระเป๋า 2 ใบ
เครื่องจอดไกลๆให้ลงแล้วต้องต่อรถ Shuttle (ยืน) มาที่ Terminal ใช้เวลาอีกประมาณเกือบ 10 นาที
จากทางเข้าที่รถจอดต้องเดินย้อนไปอีกด้านของ Terminal เพื่อผ่านจุดตรวจคนเข้าเมือง
และจากนั้นต้องเดินย้อนไปสุดอีกด้านของ Terminal สนามบินที่ใหญ่อันดับต้นๆของโลก (โคตรภูมิใจจริงๆ)
เมื่อรอรับกระเป๋าเสร็จก็เดินออกมาตามปกติ เห็นเลขประตู 9 เลยบอกให้คนที่มารอรับ(พ่อ)ขับมาที่ประตู 9
ปรากฏว่าเดินออกไปแล้วทางเดินไปขึ้นรถทางสุวรรณภูมิแห่งประเทศไทยได้เอารั้วมากั้นไม่ให้คนขึ้นรถ!
มองย้อนไปตามถนนทุกทางข้ามไปขึ้นรถมีรั้วกั้นตลอดแนว เลยขึ้นไปชั้นบนเพื่อให้วนมารับที่ขาออกแทน
ขึ้นไปปุ๊บพ่อโทรกลับมาบอกว่าไม่แน่ใจว่าวนยังไงให้กลับมาเจอที่เดิม - - - อะ หาทางลงกลับไปก็ได้
ใครเคยรู้บ้างว่าถ้าคุณอยู่ขาเข้าประเทศแล้วเดินขึ้นไปขาออกคุณจะไม่มีวันลงมาได้อีก!!!!
บันไดเลื่อนที่ขนานกันตอนขาขึ้นมามันเลื่อนขึ้นทั้งหมด เหลือบไปเห็นอันนึงไกลๆเลื่อนลงอยู่ รีบวิ่งเ้ข้าๆ
ไปถึงมีเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยหนึ่งนายและรั่วกันหนึ่งแผงตั้งขวางอยู่ ไม่ยอมให้ลงง่ายๆ
เราก็ถามว่าแล้วจะให้ลงที่ไหน เจ้าหน้าที่ท่านนั้นก็ชี้ไปทางลิฟต์ที่อยู่ถัดไป เราก็รีบวิ่งไปเข้าลิฟต์
ก็ปรากฏว่าชั้นผู้โดยสารขาเข้ามันไม่สามารถกดหยุดได้ (เหี้ยจริงๆ) ระหว่างนี้พ่อก็โทรมาเร่งไม่หยุด
เราเลยเดินไปหาเจ้าหน้าที่ท่านหนึ่งด้วยความฉุนเฉียวแล้วถามว่า "ขอโทษครับ ตั้งใจจะให้ผมลงไปยังไงครับ"
เจ้าหน้าที่ก็ทำหน้าไม่อยากจะเชื่อว่าเราไม่รู้เลยชี้ไปที่บันไดเลื่อนอีกฟากหนึ่งของ Terminal (Fuck!)
เราก็เลยวิ่ง (โคตรจะเจ็บขาเลยตอนนั้น) ไปขึ้นบันไดเลื่อนนั้น
ระหว่างที่ขึ้นด้วยความฉุนเฉียวอีกแล้วเลยขอเตะบันไดเลื่อนดังกล่าวไปแบบดังๆทีหนึ่งอย่างที่คนหันมามอง

วินาทีที่ลงมาถึงชั้นผู้โดยสารขาเข้าเราก็เข้าใจทันทีว่าทำไมอดีตนายกฯท่านหนึ่งถึงกับต้องกราบพื้น
เพราะเราก็อยากจะทำเช่นนั้นเหมือนกันเมื่อมาถึง

ขอบพระคุณสนามบินแห่งชาติที่ยอมปล่อยให้ได้ลงมาเหยียบชั้นนี้อีกครั้ง


Note:
- เจ้าหน้าที่สนามบินนานาชาติสุวรรณภูมิกรุณาอ่านและทำความเข้าใจด้วยว่าพวกกระผมเป็นนักท่องเที่ยว ไม่ว่าจะเดินทางเยอะแค่ไหนกระผมก็ไม่มีทางมาสนามบินแห่งนี้บ่อยเท่าพวกท่านหรอก ดังนั้นก่อนที่จะปรับปรุ่งเพิ่มเติมอะไรแพงๆ ขอความกรุณาเพิ่มอุปกรณ์อำนวยความสะดวกพื้นฐานอย่างป้ายบอกทางให้พวกกระผมผมหน่อยเถอะ เพราะสนามบินที่ท่านทำงานกันนั้นใหญ่โตสมราคาจริงๆ แค่ป้ายบอกว่า "เดินไปขึ้นรถประตู 1-3" / หรือ "อย่าขึ้นไปชั้นบนยกเว้นว่าจะมีเวลาเหลือเพียงพอให้วิ่งไปอีกฟากของสนามบิน" อะไรแบบนี้ก็พอครับ ขอบพระคุณมากครับ

Tuesday, February 24, 2009

Feces



เราได้หนังสือเล่มข้างบนนี้มานานแล้วเหมือนกัน และอ่านจบทันทีในวันแรกที่ซื้อมา
ส่วนหนึ่งเป็นเพราะมันรูปเยอะและบาง แต่ว่าเราอ่านเร็วเพราะเนื้อหามันดีจริงๆ
หนังสือพูดเรื่องคนกับอึ ว่ามีความสัมพันธ์กันยังไง เราละเลยไม่ให้ความสำคัญมันยังไง
เคยมีคนพูดไว้แล้วว่าอึเป็นเครื่องบอกสุขภาพ แต่หนังสือเล่มนี้ทำให้เข้าใจง่ายขึ้นอีก
ถึงแม้มือจะไม่เคยได้สัมผัสกับอึ แต่เราก็เข้าใจเวลาหนังสือพูดถึงลักษณะความหยุ่นของอึ
ถ้ามีโอกาสก็ลองหาอ่านดูละกันนะ มันดีจริงๆ (พูดซ้ำ)

ส่วนอีกเรื่องใกล้เคียงกับอึคือเรื่องของ'ขี้'
จริงๆเรื่องขี้นี้เราตั้งใจจะไม่พูดถึง อย่างน้อยก็ในบล็อกแห่งนี้
แต่ว่าบางที'ขี้'มันก็มาเยอะเกินไป เราจะสมมุติบทสนทนาให้ดู

A: คุณทำอะไรอยู่
B: ผมกำลังทำธุระ
A: ขี้อยู่หรอครับ
B: ...
A: งั้นไปขี้ต่อเถอะครับ
B: ...

2-3 วันต่อมา

A: คุณอยู่ที่ไหน
B: ผมอยู่ที่นี่
A: ไปขี้หรอครับ
B: ... ... คุณอยู่ไหนล่ะ
A: ผมอยู่นั่นครับ ผมมาขี้
B: ...
A: ผมอยากจะเลิกขี้ ขี้ให้น้อยลง เพราะช่วงนี้ขี้เยอะมาก
B: ก็ดีครับ
A: แต่ถึงผมอยากเลิกขี้ก็คงทำไม่ได้เพราะผมเป็นคนชอบขี้ ผมก็คงต้องขี้ต่อไป
B: ...
A: ผมมีถ่ายวิดีโอตัวเองตอนขี้ไว้ด้วยนะ คุณอยากดูมั้ย
B: คิดว่าคงไม่ครับ

เห็นไหม ว่าบางทีถ้าขี้เยอะมากๆมันก็ดูไม่มีเหตุผลเอาซะเลย

Note:
- ถ้ายังไม่รู้ละก็ เราแถยกเอาหนังสือเรื่องอึมาพูดถึงก่อน เพราะเราจะพูดเรื่องขี้นะ
- และเรื่องบทสนทนาเรื่องขี้ที่เราเล่านี่ก็ไม่ใช่ขี้จริงๆหรอกนะ ขี้มันอาจจะเป็น symbolic ของคำอื่นๆที่คล้ายๆกัน
- แต่หนังสือนั้นมันดีจริงๆนะ

Wednesday, August 27, 2008

There are stories within everyone of us


[image by: mosdave @ flickr]

มีสองอาณาจักรที่มีพรมแดนอยู่ชิดติดกัน ในอาณาจักรหนึ่งนั้นนับถือพระอาทิตย์ ขณะที่อีกอาณาจักรหนึ่งนับถือพระจันทร์ เนื่องจากความแตกต่างทางศาสนาทั้งสองอาณาจักรจึงสู้รบกัน ซึ่งต่างฝ่ายต่างยกทหารเป็นกองทัพเข้าห้ำหั่นกัน บรรดานักรบต่างเดินแถวเรียงหน้าเข้ามาเผชิญกันอยู่ตรงบริเวณพรมแดนอันเป็นเขตส่วนกลาง

ต่างฝ่ายต่างตกลงกันว่าจะส่งนักรบของตนเข้าทำการต่อสู้กันแบบตัวต่อตัว ดังนั้นจึงมีการคัดเลือกนักรบผู้มีฝีมือยอดเยี่ยมที่สุด ในที่สุดก็ได้นักรับของทั้งสองฝ่ายที่ต่างก็เดินเข้าหากัน หน้าตาถมึงทึง กระชับดาบไว้มั่นในมือข้างหนึ่ง ส่วนอีกข้างหนึ่งก็ถือโล่ไว้ บนหน้าอกของฝ่ายหนึ่งคือแผงอกรูปพระอาทิตย์ ส่วนอีกฝ่ายเป็นรูปพระจันทร์

เมื่อนักรบทั้งสองเผชิญหน้ากัน ต่างก็ลงมือต่อสู้กันราวปีศาจร้ายสองตน ต่างสู้กันตั้งแต่ยามเช้าขณะที่อาทิตย์ลอยดวงสูงขึ้นไปเรื่อยๆ ต่อสู้กันในท่ามกลางแสงแดดยามเที่ยงที่แผดเผา และยามที่อาทิตย์เริ่มคล้อยดวงลงไปจนกระทั่งตกลงเบื้องทิศตะวันตก แต่ไม่ว่าจะต่อสู้กันนานเท่าไรก็ไม่มีใครเพลี่ยงพล้ำให้แก่ใครเลย ดังนั้นจึงยังคงสู้กันต่อไปขนาดเข้าถึงตัวและถลันเข้ากอดกันเพื่อจะหาทางเอาชนะให้ได้

แต่เมื่อพระอาทิตย์ลับดวงไป ต่างฝ่ายต่างก็เหนื่อยอ่อนจนล้มพับลงกับพื้นดิน หมดสิ้นเรียงแรงแม้แต่จะคลานกลับเข้าแคมป์ของกองทัพแต่ละฝ่าย

“ข้าเกลียดเจ้า!” นักรบฝ่ายบูชาพระอาทิตย์กล่าว
“ข้าก็เกลียดเจ้า!” นักรบฝ่ายบูชาพระจันทร์โต้กลับมา

“ถึงยังไงก็จะต้องฆ่าเจ้าให้ได้” นักรบฝ่ายพระอาทิตย์ว่า “ข้ามีทั้งเมียและลูกที่รักรออยู่ที่บ้าน ข้ามีลูกชายที่อยากจะเป็นนักรบ แต่ข้าก็จะป้องกันมันไม่ให้มาพบเจ้าได้”

“ข้าก็มีเมีย”
นักรบฝ่ายพระจันทร์บอก “แต่ทหารของเจ้าสังหารหล่อนเมื่อครั้งเกิดการสู้รบคราวก่อน และนั่นคือเหตุผลที่ว่าทำไมข้าถึงได้เกลียดเจ้านัก” นักรบฝ่ายพระจันทร์ยืนขึ้น

“รูปร่างหน้าตาเมียเจ้าเป็นอย่างไรหรือ?” นักรบฝ่ายพระอาทิตย์เอ่ยถาม
“นางเป็นคนสวยน่ารักมาก เรารักกันมาตั้งแต่ครั้งยังเด็ก ข้าเคยเป็นเพื่อนวิ่งเล่นกับนางอยู่ในราวป่าใกล้ๆนี่แหละ”

“ฟังดูแล้วรู้สึกว่าเจ้าช่างมีวัยเด็กที่มีความสุขเหลือเกิน” นักรบฝ่ายพระอาทิตย์กล่าว “ไม่เหมือนข้าหรอก พ่อของข้าให้พวกพี่น้องรวมทั้งตัวข้าทำงานในไร่อย่างหนักตลอดเวลา ถ้าเราไม่ทำก็จะถูกตีอย่างรุนแรง”
“ข้าเสียใจด้วยนะที่ได้ยินอย่างนี้” นักรบฝ่ายพระจันทร์พูดอย่างมีอัธยาศัย

จากนั้นนักรบทั้งสองก็เริ่มคุยถึงชีวิตในวัยเด็กและเลยไปถึงเรื่องต่างๆที่เป็นประสบการณ์ในชีวิตของแต่ละฝ่าย ทั้งสองต่างคุยกันอยู่อย่างนั้น แม้ดวงจันทร์จะเคลื่อนขึ้นสู่กลางทองฟ้า แม้ดวงจันทร์จะเคลื่อนสู่ทิศตะวันตกแล้ว นักรบทั้งสองก็ยังไม่ยอมหยุดคุยกันอยู่ดี จนใกล้รุ่งจึงต่างได้หลับไหลไปพร้อมกันโดยทิ้งอาวุธไว้ข้างตัวอย่างไม่สนใจ

ในที่สุด ท้องฟ้าด้านทิศตะวันออกก็เรืองเรื่อด้วยแสงสีชมพูอ่อน ทั้งเสียงและกลิ่นหอมของอาหารต่างโชยมาจากแคมป์ของทั้งสองฝ่าย นักรบทั้งสองต่างตื่นขึ้นด้วยแสงแดดอบอุ่นที่สาดส่องลงต้องใบหน้า ต่างขยับเนื้อตัวด้วยความปวดเมื่อยและเหนื่อยอ่อน แล้วต่างก็มองลึกเข้าไปในดวงตาของกันและกัน ก่อนจะโผเข้ากอดกันไว้ แล้วต่างเดินแยกย้ายกลับเข้าสู่กองทัพของตน โดยทิ้งอาวุธให้อยู่ในที่เดิมของมัน

นักรบทั้งสองไม่อาจสู่กันได้อีกต่อไป ทั้งนี้เพราะท่านไม่อาจต่อสู้กับบุคคลที่ท่านรู้จักประวัติอันแท้จริงของเขาได้ ...

แปลโดย: นาริตะ

Monday, January 14, 2008

The Fall of Thai T-Shirt

ขอความกรุณาผู้ผลิตเสื้อยืดขายในประเทศไทยใช้สมองในการออกแบบลวดลายมากกว่านี้ด้วย

ไปเดินสวน(จตุจักร)มา ทำให้ยืนยันความจริงบางอย่างได้
ตอนนี้คนทำเสื้อยืดขายในบ้านเรากำลังขาดความคิดสร้างสรรค์อย่างมาก
เข้าใจว่าการทำเสื้อยืดขายเป็นกิจการที่ทำได้ง่าย เหมาะกับคนรักอิสระรุ่นใหม่
แต่คนทำขายเยอะขึ้น กลับมีเสื้อมห้รู้สึกว่าอยากซื้อลดลง ทั้งๆที่เราชอบซื้อเสื้อยืดมากๆ

ไม่ว่าจะเป็นที่สวนฯ ที่ตลาดนัดเมเจอร์ เมืองทอง ยูเนี่ยนมอลล์ หรือที่ไหนๆก็เหมือนกัน
ถ้าไม่ใช่ไปซื้อมาจากประตูน้ำหรือที่ขายส่งใดๆ ก็ลอกมาจากอินเตอร์เนต โดยเฉพาะ threadless.com
และที่แย่คือพวกเสื้อที่เป็น type-tee (เสื้อที่ใช้ตัวอักษรเป็นหลัก เป็นคำ/ประโยค)
type-tee พวกนี้มีแต่ประโยคห่า(ขออภัย)อะไรก็ไม่รู้ แถมตัวหนังสือยังเหี้ย(ขออภัย)มากๆ
เห็นแล้วทำให้ไม่อยากไปเดินเลือกหาซื้อเสื้อไปอีกนานๆ จนกว่าไอ้พวกนี้จะเจ๊งตามๆกันไป

แต่ยังไงก็ยังมีร้านดีๆที่ไปเจอมาอยู่เหมือนกันนะ
ที่สวนลุมไนท์ โซนอยุธยา ซอยอะไรไม่รู้จำไม่ได้ (7 หรือ 8 มั้ง)
เป็นร้านสองห้อง ทำเสื้อ type-tee ที่สวยมากๆ
ถ้าใครแวะเวียนไปก็ลองไปเดินหาดู ถ้าไปอีกทีจะเอารายละเอียดร้านมาให้

เพิ่มเติมนิดนึง ถ้าใครคิดจะเปิดร้านเสื้อผ้าช่วงนี้ขอให้คิดดูดีๆ
ตอนนี้มีคนหันมาทำร้านเสื้อผ้าเยอะมากๆ
ถ้าไม่แน่จริง (ทั้งด้านทรัพยากรความคิดและเงินทุน) ไม่ควรทำ
... เตือนเอาไว้ให้รู้กัน


Note:
- วันนี้พูดคำหยาบไปบ้าง ขอโทษด้วย แค่ไม่ชอบใจจริงๆ

Monday, December 17, 2007

A Man with a Face of a Rotten Foot


[image by: Sebastian Niedlich (Grabthar) @ flickr]

ขออภัยอย่างสุดชีวิตหากภาพข้างบนทำให้ท่านผู้อ่านทานอาหารไม่ลง
แต่นี่คือภาพเสมือน (จริงๆอาจจะแค่คล้าย) กับใบหน้าของบุคคลที่เรารู้จักเร็วๆนี้

เหตุการณ์สมมุติ ณ สถานที่สาธารณะแห่งหนึ่ง ตัวละครดังต่อไปนี้:
เรา (เพศชาย-นามสมมุติ) เป็นตัวเดินเรื่อง
A (เพศหญิง-นามสมมุติ) เป็นเพื่อนเรา
B (เพศชาย-นามสมมุติ) เป็นแฟน A

เรานัดทำงานกับ A โดย A พา B มาด้วย
เราคุยงานกับ A ได้สักพักก็เห็น B เงียบ
ก็เลยทำสิ่งที่ไม่เป็นตัวเองออกไป นั่นก็คือการเอ่ยทัก B ก่อน
เรา: ชื่ออะไรนะครับ
B: …
A: เค้าชื่อ B … และคนนี้“เรา”นะ
B: …

B: (หลังจากเงียบได้ที่แล้ว) โทษนะครับ นี่รุ่นไหนนะครับ
รา: ... (งงกับคำถาม) ยังไงนะครับ
A: เฮ้ย เค้าเป็นรุ่นพี่เรา
B: ... (หน้ามันถามว่า มึงตอบกูมาสิว่ารุ่นไหน)
เรา: อ่อ รุ่นนี้ๆนั้นๆครับ
B: อ่อ ... งึกๆ(เสียงพยักหน้า)

เราก็เลยทำอย่างอื่นไปซักพัก

เรา: (ไม่เข็ด) ทำงานอยู่ที่เดียวกันรึเปล่าครับ
B: …
A: ใช่แล้ว
B: … แต่อยู่ตรงส่วนนี้ๆนั้นๆ
เรา: อ่อ ถามดูพอดีมีเพื่อนอยู่ที่นั่นเหมือนกัน แต่ทำตรงนู้นๆ
A: อ๋อ .. แต่อันนั้นมันยังงั้นงี้นะ ... “เรา”ไม่ลองไปทำบ้างล่ะ
เรา: ไม่เอาล่ะ มันเข้างานเช้ายังกะไปโรงเรียน
A: ฮ่าๆ

และทุกคนก็ไม่ได้พูดอะไรราว 30 วินาที

B: (เหมือนมันเงียบมานานได้ที่แล้ว) แล้วนี่เคยทำงานรึเปล่าครับเนี่ย
เรา: (กูเข้าใจคำถามถูกรึเปล่านะ ไม่ค่อยแน่ใจ เลยถามไปแบบดีๆ) ว่าไงนะครับ
B: เคยทำงานรึเปล่าครับ
เรา: (จี๊ดเบาๆในตอนนั้น) ฮ่ะๆ ผมไม่เหมือนคนทำงานหรอครับ
B: เปล่าครับ เห็นใส่ยีนส์
เรา: ฮ่ะๆๆ

และโทรศัพท์ก็ดังขึ้นมาพอดี เลยปล่อยให้แฟนมันตอบแทนไป
พอวางโทรศัพท์เราก็ทำเฉยๆปล่อยผ่านๆไป

แต่ในใจได้หยิบยืมคำพูดของไอ้โทรศัพท์โรคจิตมาใช้ว่า:

เหี้ยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย


... ก็จบเท่านี้ละครับ ไม่ต้องบอกหรอกครับว่าเราควรโมโหมั้ย
เพราะตอนนั้นไม่ได้โมโห แต่มาโมโหพอกลับถึงบ้านแล้ว
ถึงขนาดต้องมาเขียนระบายเลยทันที


เหี้ยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย
อารายยยย ของงงงงง มึงงงงงงงงงงงง

Thursday, November 22, 2007

Interpersonal Skill Deficiency


[image by: graph93 @ deviantART]

สืบเนื่องจากข้อความบน blog ของน้องคนหนึ่งที่เราไม่เคยร่วมงานด้วย
แต่เราชอบของที่เค้าเขียน ก็เลยใส่เอาไว้ใน blog ring ของเราด้านข้าง
ขอ quote ข้อความจาก entry ของเค้ามาให้ลองอ่านกันหน่อยนะ

“กูจะเหี้ยของกูแบบนี้….ใครจะทำไม
มึงจะเหี้ยกันแบบไหน…มึงก็เหี้ยของมึงไป
ทำไมกูเหี้ยแบบนี้…มันก็เรื่องของกูไง
มึงจะเหี้ยขนาดไหน…กูไม่สนใจ
กูเป็นของกูแบบนี้…แล้วก็จะเหี้ยกันต่อไป
.
.
.
เชิญเหี้ยกันตามสบาย…เหี้ยกันตามอรรถภาพ”


โดย the Strongline


เราอ่านแล้วเราก็รู้สึกว่าเราก็มีความคิดคล้ายๆแบบนี้เหมือนกัน
มีประโยคนึงที่เราใช้พูดในใจอยู่เรื่อยๆ วันนี้ก็เลยอยากเอามาบอกไว้งั้นเอง
เป็นพื้นฐานของแนวทางการสร้างสถานะทางสังคมของเรา

"ผมไม่ได้คาดหวังให้คุณมาชอบผม เพราะฉะนั้นไม่ต้องมาบอกว่าผมควรเป็นยังไง
และผมก็ไม่ได้ต้องการจะชอบคุณเพราะฉะนั้นก็ไม่ต้องพยายามมาทำตัวให้ผมชอบเหมือนกัน
ผมจะเกลียดคุณมันก็เป็นเรื่องของผมและถ้าคุณจะเกลียดผมก็เชิญตามสบาย"
หมายเหตุ: บางวันสามารถเอา กู-มึง มาใส่ได้ตามความเหมาะสมทางอารมณ์ของเวลานั้นๆ

ใจความของมันก็คือ คนเราไม่ได้อยู่เพื่อทำให้คนอื่นทุกคนชอบ
คนเรามันก็มีดีมีเลว ไม่ต้องพยายามเสนอแต่เรื่องดีๆแล้วเรื่องเลวๆเอาไปซ่อน
คนที่พยายามทำให้คนอื่นชอบมากที่สุดก็เหมือนหลอกตัวเอง
คนอื่นชื่นชมเราแล้วมันดียังไง คนอื่นด่าเราแล้วมันแย่ยังไง
จริงๆแล้วมันก็ไม่ได้มีอะไรสำคัญเรื่องถูกชอบหรือถูกเกลียด

แต่เรื่องที่สำคัญคือถึงจะเกลียดใครแค่ไหนก็ตาม
เรายังต้องรู้จักการให้เกียรติและเคารพกัน
เพราะว่ามันเป็นคนละเรื่องกัน

Note:
- งานเสร็จไปอย่างนึงแล้ว ... เหลืออีก 4 ... เฮ่อ
- ตอนแรกกะจะไปยืม Transformers มาเปิดไว้เป็น background ตอนทำงานดึกๆ แต่ไปเห็น poster ของ Premonition เข้าแล้วหยุดยืนดูอยู่นานมาก ก็เลยยืมมาแทนซะงั้น เอารูปมาให้ลองดูมั่ง เผื่อจะรู้สึกเหมือนกัน

Friday, October 19, 2007

The Broken Soul


[image by: photosur @ flickr]

มีผู้หญิงอยู่ประเภทหนึ่งที่เราไม่สามารถอยู่ใกล้ได้
คือคนที่วิจารณ์เรื่องของคนอื่นได้อย่างหน้าตาเฉย
วิจารณ์โดยไม่คิดถึงมุมมองของคนอื่นเลย
และวิจารณ์โดยเอาบรรทัดฐานของตัวเองเป็นหลัก
เป็นคนที่พูดจาแบบมีตัวเองเป็นศูนย์กลางเสมอ
สามารถนึกตัดสินใจแทนคนอื่นแบบไม่ถามความเต็มใจ
คนเหล่านี้มักจะพูดจาด้วยน้ำเสียงและภาษาที่เรารับฟังไม่ค่อยได้เท่าไหร่

จริงๆก็ไม่เฉพาะผู้หญิงล่ะนะ แค่คนที่พูดถึงอยู่เป็นผู้หญิงที่กำลังคุยกับเพื่อนอยู่ในระยะที่เราเสือกจะไปได้ยินบทสนทนาของเค้าได้ก็เท่านั้นเอง

Wednesday, October 17, 2007

Bruised



ไอ้ผู้ชายเหี้ย!!!!


เสียงน้องผู้หญิงคนหนึ่งตะโกนขึ้นมาในช่วงบ่ายของการทำงาน
หลังจากเพลงเศร้ากระแสนิยมผ่านไปราวๆ 15 เพลงติดต่อกัน




[image by: SoZeSoZe @ flickr ]



Note:
- ภาพข้างบนมาจาก set ที่ชื่อ Conceptual โดย SoZeSoZe - ชอบมาก แนะนำให้เข้าไปดูทั้ง set เลยครับ
- สำหรับน้องๆที่อายุต่ำกว่า 18 และเข้ามาเจอภาพข้างบน ก็ขอให้ปิดตาข้างนึงอ่าน blog นะครับ
- สำหรับหน่วยงานรัฐบาลที่เข้ามาเจอภาพข้างบนและคิดว่ามันไม่เหมาะสม ขอให้มองมันเป็นศิลปะอย่างที่มันควรจะเป็นนะครับ
- "คงจะมีใครเข้ามา blog มึงหรอกนะ ... " ใครสักคนสบถออกมาเบาๆ

Friday, September 28, 2007

Because I Hate You So

ผมเกลียดคุณ ... ใช่แล้วผมเกลียดคุณ

ผมเกลียดคุณยิ่งกว่าที่ผมเกลียดสิ่งใดๆในโลกนี้
พูดได้ว่าผมเกลียดคุณทีสุดในโลก
ต่อไปผมอาจจะเกลียดอย่างอื่นมากกว่านี้
แต่วินาทีนี้คุณคือสิ่งที่ผมเกลียดที่สุด

ผมไม่ได้เกลียดสิ่งที่คุณเป็น หรือสิ่งที่คุณทำ
แต่ผมเกลียดแก่นแท้ของความเป็นคุณ และสิ่งที่บ่งบอกถึงตัวคุณ
ไม่ว่าคุณจะพยายามอย่างไรก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงมันได้
และนั่นย่อมแปลว่าคุณไม่มีวันทำให้ผมเลิกเกลียดคุณได้

คุณไม่จำเป็นต้องเดือดร้อนกับความเกลียดของผมนี้
เพราะผมไม่ได้เรียกร้องหรือคาดหวังให้คุณรู้สึกชอบผม
ทั้งผมและคุณอาจไม่สามารถอยู่ร่วมกันในบริเวณเดียวกันได้
และหากคุณจะเกลียดผมคืน ผมก็ไม่รู้สึกขัดข้องใดๆ

ผมรู้ดีว่าโลกนี้มีความเกลียดชังอยู่มากเกินพอแล้ว
แต่ผมไม่สามารถอดใจให้ไม่เกลียดคุณได้
ความรู้สึกสำนึกผิดมันอาจจะคอยทิ่มแทงใจ
เมื่อความเกลียดชังมันครอบงำ ผมแทบจะไม่อยากหยุดเลย

มันแปลกรึเปล่าที่ผมรู้สึกกับคุณแบบที่ผมเป็นอยู่นี้
ถ้าเลือกได้ผมคงอยากให้เราไม่ต้องมีโอกาสมาใกล้กัน
มากกว่าที่จะขอให้คุณเปลี่ยนไปจากที่คุณเป็น
และมากกว่าที่ผมจะหยุดรู้สึกเกลียดชังคุณ

Friday, July 27, 2007

Theatrical Failure (including a few other things)

**WARNING : This blog contains some minor & major spoilers**
โปรดหลีกเลี่ยงการอ่านบริเวณตัวหนังสือสีแดง หากท่านไม่ต้องการเสียอรรถรสในการรับชมละครเรื่องที่ถูกกล่าวถึง


ได้ไปดูละคร"ชายกลาง"มาเมื่อวานด้วยอานิสงค์ของการแนะนำ Blog ผู้อื่น (ไม่เกี่ยว)
ละครจัดขึ้นที่รัชดาลัย เธียเตอร์ - โรงละครแห่งใหม่ของกรุงเทพ ณ Esplanade
ตามหน้าตั๋วละครเริ่มเวลา 19.30น. เราไปถึงก่อนเวลาประมาณ 5-10 นาที มีคนมาเยอะพอสมควร
พอเริ่มเขยิบตัวไปตามฝูงชน ขึ้นบันได 2-3 ชั้น จนกระทั่งถึงที่นั่งแถวที่ประมาณ 4 จากด้านหน้าของชั้นบน
รอจนถึงเวลาราวๆ 19.45 ไฟก็ดับลง และเวลาของความเป็นคนเรื่องมาก-เอาใจยากของเราก็เริ่มขึ้นดังนี้:




ส่วนที่ชอบของละคร:
  • มุกเล็กๆน้อยๆและ skit ต่างๆตามแบบฉบับของ ... (ใคร?)
  • ดนตรีแบบ Tango ตาม Theme ของเรื่อง
  • เนื้อเพลงแถบ้าง ฟังสนุกบ้างตามประสาของ ... (ใคร?)
  • effect เล็กๆน้อยๆบางอย่างของฉาก
  • "ความสะเทือนใจของหอยทากในวันพฤหัสบดี"

ส่วนที่ไม่ชอบของละคร:

  • เราไม่รู้สึกถึงความดีแบบละครเวทีเท่าไหร่ (โดยเฉพาะถ้าจะต้องเป็นละครที่มาจัดในที่แบบนี้และราคาเท่านี้)
  • ความไม่สม่ำเสมอของจังหวะในละคร การไม่รู้สึกร่วมไปกับตัวละคร (ก่อน intermission น่าดูกว่าครึ่งหลังมากๆ)
  • ไม่ให้คนดูรู้อะไรเกี่ยวกับคนเบื้อหลังเลย ใครเขียน ใครทำฉาก ใคร compose เพลง ใครทำ s-fx
    (ไม่ให้รู้แม้แต่ใน Official Website หรือ Program)
  • ความพยายามแดกดันการทำงานของหน่วยงานหนึ่งของรัฐบาล (ถึงจะเป็นหน่วยงานที่คนส่วนใหญ่จะไม่ชอบเหมือนๆกัน)
  • การทำให้เรารู้สึกฝืนที่จะต้องตบมือในหลายๆที
  • นานเกินจำเป็นมากๆ ปิดม่านเวลา 23.11 - ง่วง

เอาล่ะ เรื่องของละครก็ผ่านพ้นไป แต่ความเรื่องมากของเราไม่ได้อยู่แค่ในละคร แต่เป็นเรื่องสภาพแวดล้อมด้วยดังนี้:

  • ที่นั่งโคตรจะแคบ - ขออภัยคุณพี่ที่นั่งข้างหน้าด้วยที่โดนเข่าเรากระแทกไป 3-4 ที
  • บันไดขึ้นลงโรงละครโคตรจะแคบ และมีจุดเดียว ในขณะที่มีคนเข้าไปดู(กะด้วยตา)เกิน 1,000 คน
  • (บันไดเลื่อนลงจากตัวห้างเมื่อละครเลิกมีแค่จุดเดียว + ลิฟต์สองตัว) - คน 1,000 กว่าคน = ติดลบมากมาย

เมื่อบวกลบคูณหารประสบการณ์ครั้งนี้แล้ว ขอสรุปใจความทั้งหมดว่า "ชายกลาง" เป็นละครที่ดีได้เท่าที่มันควรจะเป็น
ได้หัวเราะบ้าง เศร้าบ้าง ในระดับที่พอเหมาะ และอย่าคาดหวังว่ามันจะดีได้มากกว่าที่เราหวังไว้
ประสบการณ์ที่ได้รับจากการไปดูละครครั้งนี้ : B-

References:
http://www.chaiklang.com/
http://www.udomteam.com/?p=125

Monday, July 9, 2007

Mental Frustration

อึดอัดอะไรก็ไม่รู้ แต่เจอเรื่องไม่น่าชอบใจอยู่เยอะเหมือนกัน
เกือบทุกเรื่องจะเกิดจาก "คน" อย่างเราๆนี่แหละ
และเรื่องที่เรารู้สึกว่าเป็นปัญหาของคนเหล่านี้คือการขาด "ความเคารพ"
จริงๆมันอาจจะดูเป็นเรื่องปกติของชีวิตในเมืองที่คนจะไม่ค่อยเคารพกัน
และน้ำใจก็ดูจะเป็นของที่หายากยิ่งกว่าเงินทอง (ทำไมเป็นงั้นนะ)


แต่สิ่งที่ทำให้เราถึงกับสิ้นศรัทธาคือคนเราดูจะขาดความเคารพแม้แต่ตนเอง
เราเจอคนที่มีท่าทีทำให้ตัวเองดูไม่น่านับถือด้วยความสมัครใจของเขาเองอยู่ทุกวัน
ทั้งคนที่แสดงความงกอย่างไม่เกรงใจอะไรบนท้องถนน (กลัวคนไม่รู้ว่างก)
การแต่งตัว-ทำผมอันน่าหัวเราะ แต่ดันกลายเป็นแฟชั่น (ถ้าเป็นรสนิยมจริงๆก็ไม่เป็นไร)
คนที่พูดจาด่าคนอื่นหน้าตาเฉย ทั้งๆที่ตัวเองไม่ได้ทำอะไรน่าชื่นชม

พอเขียนได้แค่สองสามข้อก็รู้สึกว่าควรหยุดดีกว่า
พวกเราเจอของแย่ๆมามากพอแล้วในชีวิตประจำวัน
การมาชวนให้นึกถึงอีกอาจจะไม่ใช่เรื่องน่าทำนัก
แต่ขอฝากอะไรไว้สักอย่าง ... ถ้าใครมีเพื่อน - ญาติ - พี่น้อง
ขอความกรุณาบอกคนเหล่านั้นด้วยว่า "มึงช่วยเอาปกเสื้อลงได้มั้ย"

อย่าลืมนะครับ