พึ่งกลับจากมาเลย์ เหนื่อยโคตร แต่ขอบ่นหน่อยเถอะ (ช่วงหลังๆเป็นคนขี้บ่นมาก)
ทั้งๆที่ตั้งใจจะเขียนชื่นชมทริปนี้ว่าถึงเหนื่อยแต่ก็สนุกโคตร แต่ก็ต้องยกไปไว้ทีหลัง
เพราะมีวาระเร่งด่วนที่อยากให้ทุกคนรับรู้กัีน ถึงความห่วยของชาติไทยเรา
ถ้าเคยได้คุยกับเราบ่อยๆจะรู้ว่าเราโคตรเกลียดสนามบินสุวรรณภูมิ
ไม่แปลกเพราะหลายๆคนก็เป็นแบบนี้ ทั้งคนไทยเองและต่างชาติไหนๆที่เคยมาเหยียบแผ่นดินทองนี่
เราได้ใช้สุวรรณภูมิบ่อยมากพอสมควร และไม่เคยมีครั้งไหนที่รู้สึกดีเลยจริงๆ
อย่างที่รู้กันว่ามันออกแบบได้แย่และไม่คำนึงถึงการใช้งานของมนุษย์ที่เดินทาง
ทุกอย่างอยู่ไกลหรือไกลมาก ห้องน้ำอยู่ไหนวะ? เคาน์เตอร์เยอะยังไงก็ต้องต่อแถวยาวมาก (แม้แต่ PB Air!)
นี่คิดแค่้เรื่องการใช้งานล้วนๆเลยนะ อย่าเอาเรื่องการเมืองเข้ามาเกี่ยว เดี๋ยวจะยิ่งเซ็ง
เมื่อวานนี้เราเดินทางกลับมาถึงสุวรรณภูมิประมาณ 22:20 พร้อมกับอาการเหนื่อยสูงสุดและกระเป๋า 2 ใบ
เครื่องจอดไกลๆให้ลงแล้วต้องต่อรถ Shuttle (ยืน) มาที่ Terminal ใช้เวลาอีกประมาณเกือบ 10 นาที
จากทางเข้าที่รถจอดต้องเดินย้อนไปอีกด้านของ Terminal เพื่อผ่านจุดตรวจคนเข้าเมือง
และจากนั้นต้องเดินย้อนไปสุดอีกด้านของ Terminal สนามบินที่ใหญ่อันดับต้นๆของโลก (โคตรภูมิใจจริงๆ)
เมื่อรอรับกระเป๋าเสร็จก็เดินออกมาตามปกติ เห็นเลขประตู 9 เลยบอกให้คนที่มารอรับ(พ่อ)ขับมาที่ประตู 9
ปรากฏว่าเดินออกไปแล้วทางเดินไปขึ้นรถทางสุวรรณภูมิแห่งประเทศไทยได้เอารั้วมากั้นไม่ให้คนขึ้นรถ!
มองย้อนไปตามถนนทุกทางข้ามไปขึ้นรถมีรั้วกั้นตลอดแนว เลยขึ้นไปชั้นบนเพื่อให้วนมารับที่ขาออกแทน
ขึ้นไปปุ๊บพ่อโทรกลับมาบอกว่าไม่แน่ใจว่าวนยังไงให้กลับมาเจอที่เดิม - - - อะ หาทางลงกลับไปก็ได้
ใครเคยรู้บ้างว่าถ้าคุณอยู่ขาเข้าประเทศแล้วเดินขึ้นไปขาออกคุณจะไม่มีวันลงมาได้อีก!!!!
บันไดเลื่อนที่ขนานกันตอนขาขึ้นมามันเลื่อนขึ้นทั้งหมด เหลือบไปเห็นอันนึงไกลๆเลื่อนลงอยู่ รีบวิ่งเ้ข้าๆ
ไปถึงมีเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยหนึ่งนายและรั่วกันหนึ่งแผงตั้งขวางอยู่ ไม่ยอมให้ลงง่ายๆ
เราก็ถามว่าแล้วจะให้ลงที่ไหน เจ้าหน้าที่ท่านนั้นก็ชี้ไปทางลิฟต์ที่อยู่ถัดไป เราก็รีบวิ่งไปเข้าลิฟต์
ก็ปรากฏว่าชั้นผู้โดยสารขาเข้ามันไม่สามารถกดหยุดได้ (เหี้ยจริงๆ) ระหว่างนี้พ่อก็โทรมาเร่งไม่หยุด
เราเลยเดินไปหาเจ้าหน้าที่ท่านหนึ่งด้วยความฉุนเฉียวแล้วถามว่า "ขอโทษครับ ตั้งใจจะให้ผมลงไปยังไงครับ"
เจ้าหน้าที่ก็ทำหน้าไม่อยากจะเชื่อว่าเราไม่รู้เลยชี้ไปที่บันไดเลื่อนอีกฟากหนึ่งของ Terminal (Fuck!)
เราก็เลยวิ่ง (โคตรจะเจ็บขาเลยตอนนั้น) ไปขึ้นบันไดเลื่อนนั้น
ระหว่างที่ขึ้นด้วยความฉุนเฉียวอีกแล้วเลยขอเตะบันไดเลื่อนดังกล่าวไปแบบดังๆทีหนึ่งอย่างที่คนหันมามอง
วินาทีที่ลงมาถึงชั้นผู้โดยสารขาเข้าเราก็เข้าใจทันทีว่าทำไมอดีตนายกฯท่านหนึ่งถึงกับต้องกราบพื้น
เพราะเราก็อยากจะทำเช่นนั้นเหมือนกันเมื่อมาถึง
ขอบพระคุณสนามบินแห่งชาติที่ยอมปล่อยให้ได้ลงมาเหยียบชั้นนี้อีกครั้ง
Note:
- เจ้าหน้าที่สนามบินนานาชาติสุวรรณภูมิกรุณาอ่านและทำความเข้าใจด้วยว่าพวกกระผมเป็นนักท่องเที่ยว ไม่ว่าจะเดินทางเยอะแค่ไหนกระผมก็ไม่มีทางมาสนามบินแห่งนี้บ่อยเท่าพวกท่านหรอก ดังนั้นก่อนที่จะปรับปรุ่งเพิ่มเติมอะไรแพงๆ ขอความกรุณาเพิ่มอุปกรณ์อำนวยความสะดวกพื้นฐานอย่างป้ายบอกทางให้พวกกระผมผมหน่อยเถอะ เพราะสนามบินที่ท่านทำงานกันนั้นใหญ่โตสมราคาจริงๆ แค่ป้ายบอกว่า "เดินไปขึ้นรถประตู 1-3" / หรือ "อย่าขึ้นไปชั้นบนยกเว้นว่าจะมีเวลาเหลือเพียงพอให้วิ่งไปอีกฟากของสนามบิน" อะไรแบบนี้ก็พอครับ ขอบพระคุณมากครับ
Showing posts with label Hate. Show all posts
Showing posts with label Hate. Show all posts
Monday, May 11, 2009
Tuesday, February 24, 2009
Feces

เราได้หนังสือเล่มข้างบนนี้มานานแล้วเหมือนกัน และอ่านจบทันทีในวันแรกที่ซื้อมา
ส่วนหนึ่งเป็นเพราะมันรูปเยอะและบาง แต่ว่าเราอ่านเร็วเพราะเนื้อหามันดีจริงๆ
หนังสือพูดเรื่องคนกับอึ ว่ามีความสัมพันธ์กันยังไง เราละเลยไม่ให้ความสำคัญมันยังไง
เคยมีคนพูดไว้แล้วว่าอึเป็นเครื่องบอกสุขภาพ แต่หนังสือเล่มนี้ทำให้เข้าใจง่ายขึ้นอีก
ถึงแม้มือจะไม่เคยได้สัมผัสกับอึ แต่เราก็เข้าใจเวลาหนังสือพูดถึงลักษณะความหยุ่นของอึ
ถ้ามีโอกาสก็ลองหาอ่านดูละกันนะ มันดีจริงๆ (พูดซ้ำ)
ส่วนอีกเรื่องใกล้เคียงกับอึคือเรื่องของ'ขี้'
จริงๆเรื่องขี้นี้เราตั้งใจจะไม่พูดถึง อย่างน้อยก็ในบล็อกแห่งนี้
แต่ว่าบางที'ขี้'มันก็มาเยอะเกินไป เราจะสมมุติบทสนทนาให้ดู
A: คุณทำอะไรอยู่
B: ผมกำลังทำธุระ
A: ขี้อยู่หรอครับ
B: ...
A: งั้นไปขี้ต่อเถอะครับ
B: ...
2-3 วันต่อมา
A: คุณอยู่ที่ไหน
B: ผมอยู่ที่นี่
A: ไปขี้หรอครับ
B: ... ... คุณอยู่ไหนล่ะ
A: ผมอยู่นั่นครับ ผมมาขี้
B: ...
A: ผมอยากจะเลิกขี้ ขี้ให้น้อยลง เพราะช่วงนี้ขี้เยอะมาก
B: ก็ดีครับ
A: แต่ถึงผมอยากเลิกขี้ก็คงทำไม่ได้เพราะผมเป็นคนชอบขี้ ผมก็คงต้องขี้ต่อไป
B: ...
A: ผมมีถ่ายวิดีโอตัวเองตอนขี้ไว้ด้วยนะ คุณอยากดูมั้ย
B: คิดว่าคงไม่ครับ
เห็นไหม ว่าบางทีถ้าขี้เยอะมากๆมันก็ดูไม่มีเหตุผลเอาซะเลย
Note:
- ถ้ายังไม่รู้ละก็ เราแถยกเอาหนังสือเรื่องอึมาพูดถึงก่อน เพราะเราจะพูดเรื่องขี้นะ
- และเรื่องบทสนทนาเรื่องขี้ที่เราเล่านี่ก็ไม่ใช่ขี้จริงๆหรอกนะ ขี้มันอาจจะเป็น symbolic ของคำอื่นๆที่คล้ายๆกัน
- แต่หนังสือนั้นมันดีจริงๆนะ
About:
Frustration,
Hate,
Problem,
Relationship,
Social
Friday, November 14, 2008
Ba
About:
Attitude,
Believe,
Emotion,
Friends,
Frustration,
Hate,
Importance,
Little Things,
Mind,
People,
Problem,
Relationship,
Skit,
Social,
Work
Wednesday, August 27, 2008
There are stories within everyone of us

[image by: mosdave @ flickr]
มีสองอาณาจักรที่มีพรมแดนอยู่ชิดติดกัน ในอาณาจักรหนึ่งนั้นนับถือพระอาทิตย์ ขณะที่อีกอาณาจักรหนึ่งนับถือพระจันทร์ เนื่องจากความแตกต่างทางศาสนาทั้งสองอาณาจักรจึงสู้รบกัน ซึ่งต่างฝ่ายต่างยกทหารเป็นกองทัพเข้าห้ำหั่นกัน บรรดานักรบต่างเดินแถวเรียงหน้าเข้ามาเผชิญกันอยู่ตรงบริเวณพรมแดนอันเป็นเขตส่วนกลาง
ต่างฝ่ายต่างตกลงกันว่าจะส่งนักรบของตนเข้าทำการต่อสู้กันแบบตัวต่อตัว ดังนั้นจึงมีการคัดเลือกนักรบผู้มีฝีมือยอดเยี่ยมที่สุด ในที่สุดก็ได้นักรับของทั้งสองฝ่ายที่ต่างก็เดินเข้าหากัน หน้าตาถมึงทึง กระชับดาบไว้มั่นในมือข้างหนึ่ง ส่วนอีกข้างหนึ่งก็ถือโล่ไว้ บนหน้าอกของฝ่ายหนึ่งคือแผงอกรูปพระอาทิตย์ ส่วนอีกฝ่ายเป็นรูปพระจันทร์
เมื่อนักรบทั้งสองเผชิญหน้ากัน ต่างก็ลงมือต่อสู้กันราวปีศาจร้ายสองตน ต่างสู้กันตั้งแต่ยามเช้าขณะที่อาทิตย์ลอยดวงสูงขึ้นไปเรื่อยๆ ต่อสู้กันในท่ามกลางแสงแดดยามเที่ยงที่แผดเผา และยามที่อาทิตย์เริ่มคล้อยดวงลงไปจนกระทั่งตกลงเบื้องทิศตะวันตก แต่ไม่ว่าจะต่อสู้กันนานเท่าไรก็ไม่มีใครเพลี่ยงพล้ำให้แก่ใครเลย ดังนั้นจึงยังคงสู้กันต่อไปขนาดเข้าถึงตัวและถลันเข้ากอดกันเพื่อจะหาทางเอาชนะให้ได้
แต่เมื่อพระอาทิตย์ลับดวงไป ต่างฝ่ายต่างก็เหนื่อยอ่อนจนล้มพับลงกับพื้นดิน หมดสิ้นเรียงแรงแม้แต่จะคลานกลับเข้าแคมป์ของกองทัพแต่ละฝ่าย
“ข้าเกลียดเจ้า!” นักรบฝ่ายบูชาพระอาทิตย์กล่าว
“ข้าก็เกลียดเจ้า!” นักรบฝ่ายบูชาพระจันทร์โต้กลับมา
“ถึงยังไงก็จะต้องฆ่าเจ้าให้ได้” นักรบฝ่ายพระอาทิตย์ว่า “ข้ามีทั้งเมียและลูกที่รักรออยู่ที่บ้าน ข้ามีลูกชายที่อยากจะเป็นนักรบ แต่ข้าก็จะป้องกันมันไม่ให้มาพบเจ้าได้”
“ข้าก็มีเมีย” นักรบฝ่ายพระจันทร์บอก “แต่ทหารของเจ้าสังหารหล่อนเมื่อครั้งเกิดการสู้รบคราวก่อน และนั่นคือเหตุผลที่ว่าทำไมข้าถึงได้เกลียดเจ้านัก” นักรบฝ่ายพระจันทร์ยืนขึ้น
“รูปร่างหน้าตาเมียเจ้าเป็นอย่างไรหรือ?” นักรบฝ่ายพระอาทิตย์เอ่ยถาม
“นางเป็นคนสวยน่ารักมาก เรารักกันมาตั้งแต่ครั้งยังเด็ก ข้าเคยเป็นเพื่อนวิ่งเล่นกับนางอยู่ในราวป่าใกล้ๆนี่แหละ”
“ฟังดูแล้วรู้สึกว่าเจ้าช่างมีวัยเด็กที่มีความสุขเหลือเกิน” นักรบฝ่ายพระอาทิตย์กล่าว “ไม่เหมือนข้าหรอก พ่อของข้าให้พวกพี่น้องรวมทั้งตัวข้าทำงานในไร่อย่างหนักตลอดเวลา ถ้าเราไม่ทำก็จะถูกตีอย่างรุนแรง”
“ข้าเสียใจด้วยนะที่ได้ยินอย่างนี้” นักรบฝ่ายพระจันทร์พูดอย่างมีอัธยาศัย
จากนั้นนักรบทั้งสองก็เริ่มคุยถึงชีวิตในวัยเด็กและเลยไปถึงเรื่องต่างๆที่เป็นประสบการณ์ในชีวิตของแต่ละฝ่าย ทั้งสองต่างคุยกันอยู่อย่างนั้น แม้ดวงจันทร์จะเคลื่อนขึ้นสู่กลางทองฟ้า แม้ดวงจันทร์จะเคลื่อนสู่ทิศตะวันตกแล้ว นักรบทั้งสองก็ยังไม่ยอมหยุดคุยกันอยู่ดี จนใกล้รุ่งจึงต่างได้หลับไหลไปพร้อมกันโดยทิ้งอาวุธไว้ข้างตัวอย่างไม่สนใจ
ในที่สุด ท้องฟ้าด้านทิศตะวันออกก็เรืองเรื่อด้วยแสงสีชมพูอ่อน ทั้งเสียงและกลิ่นหอมของอาหารต่างโชยมาจากแคมป์ของทั้งสองฝ่าย นักรบทั้งสองต่างตื่นขึ้นด้วยแสงแดดอบอุ่นที่สาดส่องลงต้องใบหน้า ต่างขยับเนื้อตัวด้วยความปวดเมื่อยและเหนื่อยอ่อน แล้วต่างก็มองลึกเข้าไปในดวงตาของกันและกัน ก่อนจะโผเข้ากอดกันไว้ แล้วต่างเดินแยกย้ายกลับเข้าสู่กองทัพของตน โดยทิ้งอาวุธให้อยู่ในที่เดิมของมัน
นักรบทั้งสองไม่อาจสู่กันได้อีกต่อไป ทั้งนี้เพราะท่านไม่อาจต่อสู้กับบุคคลที่ท่านรู้จักประวัติอันแท้จริงของเขาได้ ...
แปลโดย: นาริตะ
About:
Hate,
Life,
Love,
Relationship
Monday, January 14, 2008
The Fall of Thai T-Shirt
ขอความกรุณาผู้ผลิตเสื้อยืดขายในประเทศไทยใช้สมองในการออกแบบลวดลายมากกว่านี้ด้วย
ไปเดินสวน(จตุจักร)มา ทำให้ยืนยันความจริงบางอย่างได้
ตอนนี้คนทำเสื้อยืดขายในบ้านเรากำลังขาดความคิดสร้างสรรค์อย่างมาก
เข้าใจว่าการทำเสื้อยืดขายเป็นกิจการที่ทำได้ง่าย เหมาะกับคนรักอิสระรุ่นใหม่
แต่คนทำขายเยอะขึ้น กลับมีเสื้อมห้รู้สึกว่าอยากซื้อลดลง ทั้งๆที่เราชอบซื้อเสื้อยืดมากๆ
ไม่ว่าจะเป็นที่สวนฯ ที่ตลาดนัดเมเจอร์ เมืองทอง ยูเนี่ยนมอลล์ หรือที่ไหนๆก็เหมือนกัน
ถ้าไม่ใช่ไปซื้อมาจากประตูน้ำหรือที่ขายส่งใดๆ ก็ลอกมาจากอินเตอร์เนต โดยเฉพาะ threadless.com
และที่แย่คือพวกเสื้อที่เป็น type-tee (เสื้อที่ใช้ตัวอักษรเป็นหลัก เป็นคำ/ประโยค)
type-tee พวกนี้มีแต่ประโยคห่า(ขออภัย)อะไรก็ไม่รู้ แถมตัวหนังสือยังเหี้ย(ขออภัย)มากๆ
เห็นแล้วทำให้ไม่อยากไปเดินเลือกหาซื้อเสื้อไปอีกนานๆ จนกว่าไอ้พวกนี้จะเจ๊งตามๆกันไป
แต่ยังไงก็ยังมีร้านดีๆที่ไปเจอมาอยู่เหมือนกันนะ
ที่สวนลุมไนท์ โซนอยุธยา ซอยอะไรไม่รู้จำไม่ได้ (7 หรือ 8 มั้ง)
เป็นร้านสองห้อง ทำเสื้อ type-tee ที่สวยมากๆ
ถ้าใครแวะเวียนไปก็ลองไปเดินหาดู ถ้าไปอีกทีจะเอารายละเอียดร้านมาให้
เพิ่มเติมนิดนึง ถ้าใครคิดจะเปิดร้านเสื้อผ้าช่วงนี้ขอให้คิดดูดีๆ
ตอนนี้มีคนหันมาทำร้านเสื้อผ้าเยอะมากๆ
ถ้าไม่แน่จริง (ทั้งด้านทรัพยากรความคิดและเงินทุน) ไม่ควรทำ
... เตือนเอาไว้ให้รู้กัน
Note:
- วันนี้พูดคำหยาบไปบ้าง ขอโทษด้วย แค่ไม่ชอบใจจริงๆ
ไปเดินสวน(จตุจักร)มา ทำให้ยืนยันความจริงบางอย่างได้
ตอนนี้คนทำเสื้อยืดขายในบ้านเรากำลังขาดความคิดสร้างสรรค์อย่างมาก
เข้าใจว่าการทำเสื้อยืดขายเป็นกิจการที่ทำได้ง่าย เหมาะกับคนรักอิสระรุ่นใหม่
แต่คนทำขายเยอะขึ้น กลับมีเสื้อมห้รู้สึกว่าอยากซื้อลดลง ทั้งๆที่เราชอบซื้อเสื้อยืดมากๆ
ไม่ว่าจะเป็นที่สวนฯ ที่ตลาดนัดเมเจอร์ เมืองทอง ยูเนี่ยนมอลล์ หรือที่ไหนๆก็เหมือนกัน
ถ้าไม่ใช่ไปซื้อมาจากประตูน้ำหรือที่ขายส่งใดๆ ก็ลอกมาจากอินเตอร์เนต โดยเฉพาะ threadless.com
และที่แย่คือพวกเสื้อที่เป็น type-tee (เสื้อที่ใช้ตัวอักษรเป็นหลัก เป็นคำ/ประโยค)
type-tee พวกนี้มีแต่ประโยคห่า(ขออภัย)อะไรก็ไม่รู้ แถมตัวหนังสือยังเหี้ย(ขออภัย)มากๆ
เห็นแล้วทำให้ไม่อยากไปเดินเลือกหาซื้อเสื้อไปอีกนานๆ จนกว่าไอ้พวกนี้จะเจ๊งตามๆกันไป
แต่ยังไงก็ยังมีร้านดีๆที่ไปเจอมาอยู่เหมือนกันนะ
ที่สวนลุมไนท์ โซนอยุธยา ซอยอะไรไม่รู้จำไม่ได้ (7 หรือ 8 มั้ง)
เป็นร้านสองห้อง ทำเสื้อ type-tee ที่สวยมากๆ
ถ้าใครแวะเวียนไปก็ลองไปเดินหาดู ถ้าไปอีกทีจะเอารายละเอียดร้านมาให้
เพิ่มเติมนิดนึง ถ้าใครคิดจะเปิดร้านเสื้อผ้าช่วงนี้ขอให้คิดดูดีๆ
ตอนนี้มีคนหันมาทำร้านเสื้อผ้าเยอะมากๆ
ถ้าไม่แน่จริง (ทั้งด้านทรัพยากรความคิดและเงินทุน) ไม่ควรทำ
... เตือนเอาไว้ให้รู้กัน
Note:
- วันนี้พูดคำหยาบไปบ้าง ขอโทษด้วย แค่ไม่ชอบใจจริงๆ
About:
Fashion,
Frustration,
Hate
Monday, December 17, 2007
A Man with a Face of a Rotten Foot

[image by: Sebastian Niedlich (Grabthar) @ flickr]
ขออภัยอย่างสุดชีวิตหากภาพข้างบนทำให้ท่านผู้อ่านทานอาหารไม่ลง
แต่นี่คือภาพเสมือน (จริงๆอาจจะแค่คล้าย) กับใบหน้าของบุคคลที่เรารู้จักเร็วๆนี้
เหตุการณ์สมมุติ ณ สถานที่สาธารณะแห่งหนึ่ง ตัวละครดังต่อไปนี้:
เรา (เพศชาย-นามสมมุติ) เป็นตัวเดินเรื่อง
A (เพศหญิง-นามสมมุติ) เป็นเพื่อนเรา
B (เพศชาย-นามสมมุติ) เป็นแฟน A
เรานัดทำงานกับ A โดย A พา B มาด้วย
เราคุยงานกับ A ได้สักพักก็เห็น B เงียบ
ก็เลยทำสิ่งที่ไม่เป็นตัวเองออกไป นั่นก็คือการเอ่ยทัก B ก่อน
เรา: ชื่ออะไรนะครับ
B: …
A: เค้าชื่อ B … และคนนี้“เรา”นะ
B: …
B: (หลังจากเงียบได้ที่แล้ว) โทษนะครับ นี่รุ่นไหนนะครับ
เรา: ... (งงกับคำถาม) ยังไงนะครับ
A: เฮ้ย เค้าเป็นรุ่นพี่เรา
B: ... (หน้ามันถามว่า มึงตอบกูมาสิว่ารุ่นไหน)
เรา: อ่อ รุ่นนี้ๆนั้นๆครับ
B: อ่อ ... งึกๆ(เสียงพยักหน้า)
เราก็เลยทำอย่างอื่นไปซักพัก
เรา: (ไม่เข็ด) ทำงานอยู่ที่เดียวกันรึเปล่าครับ
B: …
A: ใช่แล้ว
B: … แต่อยู่ตรงส่วนนี้ๆนั้นๆ
เรา: อ่อ ถามดูพอดีมีเพื่อนอยู่ที่นั่นเหมือนกัน แต่ทำตรงนู้นๆ
A: อ๋อ .. แต่อันนั้นมันยังงั้นงี้นะ ... “เรา”ไม่ลองไปทำบ้างล่ะ
เรา: ไม่เอาล่ะ มันเข้างานเช้ายังกะไปโรงเรียน
A: ฮ่าๆ
และทุกคนก็ไม่ได้พูดอะไรราว 30 วินาที
B: (เหมือนมันเงียบมานานได้ที่แล้ว) แล้วนี่เคยทำงานรึเปล่าครับเนี่ย
เรา: (กูเข้าใจคำถามถูกรึเปล่านะ ไม่ค่อยแน่ใจ เลยถามไปแบบดีๆ) ว่าไงนะครับ
B: เคยทำงานรึเปล่าครับ
เรา: (จี๊ดเบาๆในตอนนั้น) ฮ่ะๆ ผมไม่เหมือนคนทำงานหรอครับ
B: เปล่าครับ เห็นใส่ยีนส์
เรา: ฮ่ะๆๆ
และโทรศัพท์ก็ดังขึ้นมาพอดี เลยปล่อยให้แฟนมันตอบแทนไป
พอวางโทรศัพท์เราก็ทำเฉยๆปล่อยผ่านๆไป
แต่ในใจได้หยิบยืมคำพูดของไอ้โทรศัพท์โรคจิตมาใช้ว่า:
เหี้ยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย
... ก็จบเท่านี้ละครับ ไม่ต้องบอกหรอกครับว่าเราควรโมโหมั้ย
เพราะตอนนั้นไม่ได้โมโห แต่มาโมโหพอกลับถึงบ้านแล้ว
ถึงขนาดต้องมาเขียนระบายเลยทันที
เหี้ยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย
อารายยยย ของงงงงง มึงงงงงงงงงงงง
About:
Attitude,
Communication,
Emotion,
Frustration,
Hate,
People,
Relationship,
Social,
Weirdness
Thursday, November 22, 2007
Interpersonal Skill Deficiency

[image by: graph93 @ deviantART]
สืบเนื่องจากข้อความบน blog ของน้องคนหนึ่งที่เราไม่เคยร่วมงานด้วย
แต่เราชอบของที่เค้าเขียน ก็เลยใส่เอาไว้ใน blog ring ของเราด้านข้าง
ขอ quote ข้อความจาก entry ของเค้ามาให้ลองอ่านกันหน่อยนะ
“กูจะเหี้ยของกูแบบนี้….ใครจะทำไม
มึงจะเหี้ยกันแบบไหน…มึงก็เหี้ยของมึงไป
ทำไมกูเหี้ยแบบนี้…มันก็เรื่องของกูไง
มึงจะเหี้ยขนาดไหน…กูไม่สนใจ
กูเป็นของกูแบบนี้…แล้วก็จะเหี้ยกันต่อไป
.
.
.
เชิญเหี้ยกันตามสบาย…เหี้ยกันตามอรรถภาพ”
โดย the Strongline
เราอ่านแล้วเราก็รู้สึกว่าเราก็มีความคิดคล้ายๆแบบนี้เหมือนกัน
มีประโยคนึงที่เราใช้พูดในใจอยู่เรื่อยๆ วันนี้ก็เลยอยากเอามาบอกไว้งั้นเอง
เป็นพื้นฐานของแนวทางการสร้างสถานะทางสังคมของเรา
"ผมไม่ได้คาดหวังให้คุณมาชอบผม เพราะฉะนั้นไม่ต้องมาบอกว่าผมควรเป็นยังไง
และผมก็ไม่ได้ต้องการจะชอบคุณเพราะฉะนั้นก็ไม่ต้องพยายามมาทำตัวให้ผมชอบเหมือนกัน
ผมจะเกลียดคุณมันก็เป็นเรื่องของผมและถ้าคุณจะเกลียดผมก็เชิญตามสบาย"
หมายเหตุ: บางวันสามารถเอา กู-มึง มาใส่ได้ตามความเหมาะสมทางอารมณ์ของเวลานั้นๆ
ใจความของมันก็คือ คนเราไม่ได้อยู่เพื่อทำให้คนอื่นทุกคนชอบ
คนเรามันก็มีดีมีเลว ไม่ต้องพยายามเสนอแต่เรื่องดีๆแล้วเรื่องเลวๆเอาไปซ่อน
คนที่พยายามทำให้คนอื่นชอบมากที่สุดก็เหมือนหลอกตัวเอง
คนอื่นชื่นชมเราแล้วมันดียังไง คนอื่นด่าเราแล้วมันแย่ยังไง
จริงๆแล้วมันก็ไม่ได้มีอะไรสำคัญเรื่องถูกชอบหรือถูกเกลียด
แต่เรื่องที่สำคัญคือถึงจะเกลียดใครแค่ไหนก็ตาม
เรายังต้องรู้จักการให้เกียรติและเคารพกัน
เพราะว่ามันเป็นคนละเรื่องกัน
Note:
- งานเสร็จไปอย่างนึงแล้ว ... เหลืออีก 4 ... เฮ่อ
- ตอนแรกกะจะไปยืม Transformers มาเปิดไว้เป็น background ตอนทำงานดึกๆ แต่ไปเห็น poster ของ Premonition เข้าแล้วหยุดยืนดูอยู่นานมาก ก็เลยยืมมาแทนซะงั้น เอารูปมาให้ลองดูมั่ง เผื่อจะรู้สึกเหมือนกัน

About:
Anti-social,
Attitude,
Hate,
Me,
People,
Rebel,
Relationship,
Social
Friday, October 19, 2007
The Broken Soul

[image by: photosur @ flickr]
มีผู้หญิงอยู่ประเภทหนึ่งที่เราไม่สามารถอยู่ใกล้ได้
คือคนที่วิจารณ์เรื่องของคนอื่นได้อย่างหน้าตาเฉย
วิจารณ์โดยไม่คิดถึงมุมมองของคนอื่นเลย
และวิจารณ์โดยเอาบรรทัดฐานของตัวเองเป็นหลัก
เป็นคนที่พูดจาแบบมีตัวเองเป็นศูนย์กลางเสมอ
สามารถนึกตัดสินใจแทนคนอื่นแบบไม่ถามความเต็มใจ
คนเหล่านี้มักจะพูดจาด้วยน้ำเสียงและภาษาที่เรารับฟังไม่ค่อยได้เท่าไหร่
จริงๆก็ไม่เฉพาะผู้หญิงล่ะนะ แค่คนที่พูดถึงอยู่เป็นผู้หญิงที่กำลังคุยกับเพื่อนอยู่ในระยะที่เราเสือกจะไปได้ยินบทสนทนาของเค้าได้ก็เท่านั้นเอง
About:
Anti-social,
Attitude,
Frustration,
Hate,
People
Wednesday, October 17, 2007
Bruised
ไอ้ผู้ชายเหี้ย!!!!
เสียงน้องผู้หญิงคนหนึ่งตะโกนขึ้นมาในช่วงบ่ายของการทำงาน
หลังจากเพลงเศร้ากระแสนิยมผ่านไปราวๆ 15 เพลงติดต่อกัน

[image by: SoZeSoZe @ flickr ]
Note:
- ภาพข้างบนมาจาก set ที่ชื่อ Conceptual โดย SoZeSoZe - ชอบมาก แนะนำให้เข้าไปดูทั้ง set เลยครับ
- สำหรับน้องๆที่อายุต่ำกว่า 18 และเข้ามาเจอภาพข้างบน ก็ขอให้ปิดตาข้างนึงอ่าน blog นะครับ
- สำหรับหน่วยงานรัฐบาลที่เข้ามาเจอภาพข้างบนและคิดว่ามันไม่เหมาะสม ขอให้มองมันเป็นศิลปะอย่างที่มันควรจะเป็นนะครับ
- "คงจะมีใครเข้ามา blog มึงหรอกนะ ... " ใครสักคนสบถออกมาเบาๆ
Friday, September 28, 2007
Because I Hate You So
ผมเกลียดคุณ ... ใช่แล้วผมเกลียดคุณ
ผมเกลียดคุณยิ่งกว่าที่ผมเกลียดสิ่งใดๆในโลกนี้
พูดได้ว่าผมเกลียดคุณทีสุดในโลก
ต่อไปผมอาจจะเกลียดอย่างอื่นมากกว่านี้
แต่วินาทีนี้คุณคือสิ่งที่ผมเกลียดที่สุด
ผมไม่ได้เกลียดสิ่งที่คุณเป็น หรือสิ่งที่คุณทำ
แต่ผมเกลียดแก่นแท้ของความเป็นคุณ และสิ่งที่บ่งบอกถึงตัวคุณ
ไม่ว่าคุณจะพยายามอย่างไรก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงมันได้
และนั่นย่อมแปลว่าคุณไม่มีวันทำให้ผมเลิกเกลียดคุณได้
คุณไม่จำเป็นต้องเดือดร้อนกับความเกลียดของผมนี้
เพราะผมไม่ได้เรียกร้องหรือคาดหวังให้คุณรู้สึกชอบผม
ทั้งผมและคุณอาจไม่สามารถอยู่ร่วมกันในบริเวณเดียวกันได้
และหากคุณจะเกลียดผมคืน ผมก็ไม่รู้สึกขัดข้องใดๆ
ผมรู้ดีว่าโลกนี้มีความเกลียดชังอยู่มากเกินพอแล้ว
แต่ผมไม่สามารถอดใจให้ไม่เกลียดคุณได้
ความรู้สึกสำนึกผิดมันอาจจะคอยทิ่มแทงใจ
เมื่อความเกลียดชังมันครอบงำ ผมแทบจะไม่อยากหยุดเลย
มันแปลกรึเปล่าที่ผมรู้สึกกับคุณแบบที่ผมเป็นอยู่นี้
ถ้าเลือกได้ผมคงอยากให้เราไม่ต้องมีโอกาสมาใกล้กัน
มากกว่าที่จะขอให้คุณเปลี่ยนไปจากที่คุณเป็น
และมากกว่าที่ผมจะหยุดรู้สึกเกลียดชังคุณ
ผมเกลียดคุณยิ่งกว่าที่ผมเกลียดสิ่งใดๆในโลกนี้
พูดได้ว่าผมเกลียดคุณทีสุดในโลก
ต่อไปผมอาจจะเกลียดอย่างอื่นมากกว่านี้
แต่วินาทีนี้คุณคือสิ่งที่ผมเกลียดที่สุด
ผมไม่ได้เกลียดสิ่งที่คุณเป็น หรือสิ่งที่คุณทำ
แต่ผมเกลียดแก่นแท้ของความเป็นคุณ และสิ่งที่บ่งบอกถึงตัวคุณ
ไม่ว่าคุณจะพยายามอย่างไรก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงมันได้
และนั่นย่อมแปลว่าคุณไม่มีวันทำให้ผมเลิกเกลียดคุณได้
คุณไม่จำเป็นต้องเดือดร้อนกับความเกลียดของผมนี้
เพราะผมไม่ได้เรียกร้องหรือคาดหวังให้คุณรู้สึกชอบผม
ทั้งผมและคุณอาจไม่สามารถอยู่ร่วมกันในบริเวณเดียวกันได้
และหากคุณจะเกลียดผมคืน ผมก็ไม่รู้สึกขัดข้องใดๆ
ผมรู้ดีว่าโลกนี้มีความเกลียดชังอยู่มากเกินพอแล้ว
แต่ผมไม่สามารถอดใจให้ไม่เกลียดคุณได้
ความรู้สึกสำนึกผิดมันอาจจะคอยทิ่มแทงใจ
เมื่อความเกลียดชังมันครอบงำ ผมแทบจะไม่อยากหยุดเลย
มันแปลกรึเปล่าที่ผมรู้สึกกับคุณแบบที่ผมเป็นอยู่นี้
ถ้าเลือกได้ผมคงอยากให้เราไม่ต้องมีโอกาสมาใกล้กัน
มากกว่าที่จะขอให้คุณเปลี่ยนไปจากที่คุณเป็น
และมากกว่าที่ผมจะหยุดรู้สึกเกลียดชังคุณ
About:
Anti-social,
Frustration,
Hate,
Mind,
People
Friday, July 27, 2007
Theatrical Failure (including a few other things)
**WARNING : This blog contains some minor & major spoilers**
โปรดหลีกเลี่ยงการอ่านบริเวณตัวหนังสือสีแดง หากท่านไม่ต้องการเสียอรรถรสในการรับชมละครเรื่องที่ถูกกล่าวถึง
ได้ไปดูละคร"ชายกลาง"มาเมื่อวานด้วยอานิสงค์ของการแนะนำ Blog ผู้อื่น (ไม่เกี่ยว)
ละครจัดขึ้นที่รัชดาลัย เธียเตอร์ - โรงละครแห่งใหม่ของกรุงเทพ ณ Esplanade
ตามหน้าตั๋วละครเริ่มเวลา 19.30น. เราไปถึงก่อนเวลาประมาณ 5-10 นาที มีคนมาเยอะพอสมควร
พอเริ่มเขยิบตัวไปตามฝูงชน ขึ้นบันได 2-3 ชั้น จนกระทั่งถึงที่นั่งแถวที่ประมาณ 4 จากด้านหน้าของชั้นบน
รอจนถึงเวลาราวๆ 19.45 ไฟก็ดับลง และเวลาของความเป็นคนเรื่องมาก-เอาใจยากของเราก็เริ่มขึ้นดังนี้:

ส่วนที่ชอบของละคร:
โปรดหลีกเลี่ยงการอ่านบริเวณตัวหนังสือสีแดง หากท่านไม่ต้องการเสียอรรถรสในการรับชมละครเรื่องที่ถูกกล่าวถึง
ได้ไปดูละคร"ชายกลาง"มาเมื่อวานด้วยอานิสงค์ของการแนะนำ Blog ผู้อื่น (ไม่เกี่ยว)
ละครจัดขึ้นที่รัชดาลัย เธียเตอร์ - โรงละครแห่งใหม่ของกรุงเทพ ณ Esplanade
ตามหน้าตั๋วละครเริ่มเวลา 19.30น. เราไปถึงก่อนเวลาประมาณ 5-10 นาที มีคนมาเยอะพอสมควร
พอเริ่มเขยิบตัวไปตามฝูงชน ขึ้นบันได 2-3 ชั้น จนกระทั่งถึงที่นั่งแถวที่ประมาณ 4 จากด้านหน้าของชั้นบน
รอจนถึงเวลาราวๆ 19.45 ไฟก็ดับลง และเวลาของความเป็นคนเรื่องมาก-เอาใจยากของเราก็เริ่มขึ้นดังนี้:

ส่วนที่ชอบของละคร:
- มุกเล็กๆน้อยๆและ skit ต่างๆตามแบบฉบับของ ... (ใคร?)
- ดนตรีแบบ Tango ตาม Theme ของเรื่อง
- เนื้อเพลงแถบ้าง ฟังสนุกบ้างตามประสาของ ... (ใคร?)
- effect เล็กๆน้อยๆบางอย่างของฉาก
- "ความสะเทือนใจของหอยทากในวันพฤหัสบดี"
ส่วนที่ไม่ชอบของละคร:
- เราไม่รู้สึกถึงความดีแบบละครเวทีเท่าไหร่ (โดยเฉพาะถ้าจะต้องเป็นละครที่มาจัดในที่แบบนี้และราคาเท่านี้)
- ความไม่สม่ำเสมอของจังหวะในละคร การไม่รู้สึกร่วมไปกับตัวละคร (ก่อน intermission น่าดูกว่าครึ่งหลังมากๆ)
- ไม่ให้คนดูรู้อะไรเกี่ยวกับคนเบื้อหลังเลย ใครเขียน ใครทำฉาก ใคร compose เพลง ใครทำ s-fx
(ไม่ให้รู้แม้แต่ใน Official Website หรือ Program) - ความพยายามแดกดันการทำงานของหน่วยงานหนึ่งของรัฐบาล (ถึงจะเป็นหน่วยงานที่คนส่วนใหญ่จะไม่ชอบเหมือนๆกัน)
- การทำให้เรารู้สึกฝืนที่จะต้องตบมือในหลายๆที
- นานเกินจำเป็นมากๆ ปิดม่านเวลา 23.11 - ง่วง
เอาล่ะ เรื่องของละครก็ผ่านพ้นไป แต่ความเรื่องมากของเราไม่ได้อยู่แค่ในละคร แต่เป็นเรื่องสภาพแวดล้อมด้วยดังนี้:
- ที่นั่งโคตรจะแคบ - ขออภัยคุณพี่ที่นั่งข้างหน้าด้วยที่โดนเข่าเรากระแทกไป 3-4 ที
- บันไดขึ้นลงโรงละครโคตรจะแคบ และมีจุดเดียว ในขณะที่มีคนเข้าไปดู(กะด้วยตา)เกิน 1,000 คน
- (บันไดเลื่อนลงจากตัวห้างเมื่อละครเลิกมีแค่จุดเดียว + ลิฟต์สองตัว) - คน 1,000 กว่าคน = ติดลบมากมาย
เมื่อบวกลบคูณหารประสบการณ์ครั้งนี้แล้ว ขอสรุปใจความทั้งหมดว่า "ชายกลาง" เป็นละครที่ดีได้เท่าที่มันควรจะเป็น
ได้หัวเราะบ้าง เศร้าบ้าง ในระดับที่พอเหมาะ และอย่าคาดหวังว่ามันจะดีได้มากกว่าที่เราหวังไว้
ประสบการณ์ที่ได้รับจากการไปดูละครครั้งนี้ : B-
References:
http://www.chaiklang.com/
http://www.udomteam.com/?p=125
About:
Frustration,
Hate
Monday, July 9, 2007
Mental Frustration
อึดอัดอะไรก็ไม่รู้ แต่เจอเรื่องไม่น่าชอบใจอยู่เยอะเหมือนกัน
เกือบทุกเรื่องจะเกิดจาก "คน" อย่างเราๆนี่แหละ
และเรื่องที่เรารู้สึกว่าเป็นปัญหาของคนเหล่านี้คือการขาด "ความเคารพ"
จริงๆมันอาจจะดูเป็นเรื่องปกติของชีวิตในเมืองที่คนจะไม่ค่อยเคารพกัน
และน้ำใจก็ดูจะเป็นของที่หายากยิ่งกว่าเงินทอง (ทำไมเป็นงั้นนะ)
แต่สิ่งที่ทำให้เราถึงกับสิ้นศรัทธาคือคนเราดูจะขาดความเคารพแม้แต่ตนเอง
เราเจอคนที่มีท่าทีทำให้ตัวเองดูไม่น่านับถือด้วยความสมัครใจของเขาเองอยู่ทุกวัน
ทั้งคนที่แสดงความงกอย่างไม่เกรงใจอะไรบนท้องถนน (กลัวคนไม่รู้ว่างก)
การแต่งตัว-ทำผมอันน่าหัวเราะ แต่ดันกลายเป็นแฟชั่น (ถ้าเป็นรสนิยมจริงๆก็ไม่เป็นไร)
คนที่พูดจาด่าคนอื่นหน้าตาเฉย ทั้งๆที่ตัวเองไม่ได้ทำอะไรน่าชื่นชม
พอเขียนได้แค่สองสามข้อก็รู้สึกว่าควรหยุดดีกว่า
พวกเราเจอของแย่ๆมามากพอแล้วในชีวิตประจำวัน
การมาชวนให้นึกถึงอีกอาจจะไม่ใช่เรื่องน่าทำนัก
แต่ขอฝากอะไรไว้สักอย่าง ... ถ้าใครมีเพื่อน - ญาติ - พี่น้อง
ขอความกรุณาบอกคนเหล่านั้นด้วยว่า "มึงช่วยเอาปกเสื้อลงได้มั้ย"
อย่าลืมนะครับ
เกือบทุกเรื่องจะเกิดจาก "คน" อย่างเราๆนี่แหละ
และเรื่องที่เรารู้สึกว่าเป็นปัญหาของคนเหล่านี้คือการขาด "ความเคารพ"
จริงๆมันอาจจะดูเป็นเรื่องปกติของชีวิตในเมืองที่คนจะไม่ค่อยเคารพกัน
และน้ำใจก็ดูจะเป็นของที่หายากยิ่งกว่าเงินทอง (ทำไมเป็นงั้นนะ)
แต่สิ่งที่ทำให้เราถึงกับสิ้นศรัทธาคือคนเราดูจะขาดความเคารพแม้แต่ตนเอง
เราเจอคนที่มีท่าทีทำให้ตัวเองดูไม่น่านับถือด้วยความสมัครใจของเขาเองอยู่ทุกวัน
ทั้งคนที่แสดงความงกอย่างไม่เกรงใจอะไรบนท้องถนน (กลัวคนไม่รู้ว่างก)
การแต่งตัว-ทำผมอันน่าหัวเราะ แต่ดันกลายเป็นแฟชั่น (ถ้าเป็นรสนิยมจริงๆก็ไม่เป็นไร)
คนที่พูดจาด่าคนอื่นหน้าตาเฉย ทั้งๆที่ตัวเองไม่ได้ทำอะไรน่าชื่นชม
พอเขียนได้แค่สองสามข้อก็รู้สึกว่าควรหยุดดีกว่า
พวกเราเจอของแย่ๆมามากพอแล้วในชีวิตประจำวัน
การมาชวนให้นึกถึงอีกอาจจะไม่ใช่เรื่องน่าทำนัก
แต่ขอฝากอะไรไว้สักอย่าง ... ถ้าใครมีเพื่อน - ญาติ - พี่น้อง
ขอความกรุณาบอกคนเหล่านั้นด้วยว่า "มึงช่วยเอาปกเสื้อลงได้มั้ย"
อย่าลืมนะครับ
Subscribe to:
Posts (Atom)