Menu

Showing posts with label Media. Show all posts
Showing posts with label Media. Show all posts

Thursday, October 15, 2009

HOME - Blog Action Day 2009


เมื่อวันที่ 5 มิถุนายนที่ผ่านมานี้มีหนังสารคดีที่เปิดฉายพร้อมกัน 181 ประเทศทั่วโลก เป็นสถิติการเปิดตัวหนังที่เข้าฉายพร้อมกันมากที่สุดในโลก สารคดีเรื่องนั้นชื่อว่า 'Home'

Home เป็นสารคดีที่ถ่ายภูมิประเทศต่างๆทั่วโลกจากมุมสูงพร้อมการบรรยายประกอบเกี่ยวกับระบบนิเวศของโลก และผลกระทบที่มนุษย์สร้างให้กับระบบที่สมดุลนั้น ไม่ว่าเป็นผลจากการทำกสิกรรมที่ทำให้วงจรน้ำเสียไป การค้นพบน้ำมัน(ในสารคดีใช้คำเรียกน้ำมันที่ผมชอบมากๆว่า 'pocket of sunlight')ที่ทำให้เกิดการเผาไหม้ในเชิงอุตสาหกรรมหนัก ส่งผลให้เกิดความไม่เสมอภาคทางการเกษตรระหว่างเกษตรกรที่ใช้แรงงานกับเครื่องจักร การทำปศุสัตว์แบบใหญ่มหาศาลที่ต้องใช้ทรัพยากรอาหารราว 50% ของผลผลิตอาหารทั่วโลก (เยอะอย่างไม่น่าเชื่อ ในขณะที่มีผู้คนอดอยากในโลกนี้มากขึ้นเรื่อยๆ) มีภาพของเรือเดินสมุทรที่ทุกวันนี้สามารถแล่นผ่านน้ำแข็งขั้วโลกที่แตกเป็นชิ้นเล็กๆน้อยๆเพราะภาวะโลกร้อน และความเสี่ยงที่น้ำแข็งที่กรีนแลนด์และไซบีเรียละลายจะทำให้ก๊าซมีเทนใต้น้ำแข็งเหล่านั้นถูกปล่อยออกมา ส่งผลหนักหนากว่าคาร์บอน 20 เท่า

ความพิเศษของหนังสารคดีเรื่องนี้คือการที่ผู้ผลิตหนังเลือกที่จะเผยแพร่หนังภายใต้ข้อตกลงของ Creative Commons หรือการไม่มีลิขสิทธิ์แบบเต็มรูปแบบ เพราะต้องการให้หนังเรื่องนี้ได้รับการเผยแพร่ออกไปมากที่สุด ทุกคนสามารถดาวน์โหลด อัพโหลด ไรท์ใส่ดีวีดีแล้วส่งต่อให้เพื่อน เอาไปเปิดฉายตามที่สาธารณะได้เต็มที่ เพราะสาระของมันคือการที่ให้คนหมู่มากได้รับรู้ถึงปัญหาที่ใหญ่หลวงมากกว่าปัญหาผลประโยชน์จากลิขสิทธิ์ (ผมซื้อแผ่นแม่สายมาดู)

ผมดูสารคดีเรื่องนี้จบด้วยความอึ้งมากกว่าดู Inconvenient Truth มากๆ รู้สึกว่าตัวเราเล็กนิดเดียวแต่กลับสร้างปัญหาที่ใหญ่ขนาดที่เชื่อว่าคงไม่มีทางฟื้นฟูกลับสู่สภาพแต่ก่อนได้อีกแล้ว

แต่ความดีของ Home ที่ Inconvenient Truth ไม่มีคือคำตอบในตอนท้ายให้เราได้รู้ว่ายังมีความหวังและควรทำอย่างไรให้เราสามารถอยู่บนโลกนี้ต่อไปได้แบบไม่เดือดร้อนธรรมชาติ

ก็ขอให้หามาดูกัน จะได้รู้ว่าเรื่อง Climate Change ที่เป็นประเด็นที่ชาวบล็อกทั่วโลกจะเขียนกันในวันนี้มันไม่ใช่เรื่องเล่นๆเลย

Link:
http://en.wikipedia.org/wiki/Home_%282009_film%29
http://www.youtube.com/user/homeproject <--- แนะนำให้เริ่มดูจากที่นี่

Monday, September 21, 2009

Tell Me Why


[image by: Daniel Y. Go @ flickr)

หยุดเขียนบล็อกไปพักใหญ่ๆ น่าจะเป็นการห่างหายที่นานที่สุดตั้งแต่เริ่มเขียนเมื่อปี 2005
สาเหตุของการหยุดไปสรุปได้ใจความที่สุดคือความขี้เกียจของเราเอง ไม่เฉพาะเขียนบล็อก แต่เป็นทุกเรื่อง
แต่จะพยายามจะกลับมาเขียนให้ได้บ่อยเท่าๆเดิมอีกครั้ง ตั้งใจว่าอาทิตย์นึงไม่อยากต่ำกว่า 4 entry

เหตุที่คิดจะกลับมาเขียนก็เพราะว่าแผนการที่วางไว้ในอนาคตจะต้องกลับมาเขียน(แบบฉลาด)เยอะมากๆ
ไม่ว่าจะเขียนเป็นบล็อก เขียนเรื่องที่คิด เขียนแสดงความเห็น เขียนรายงานข่าว เขียน เขียน เขียน และ เขียนอีกหลายที
ถ้าไม่ดึงนิสัยและอารมณ์รักการคิดแล้วเขียนให้กลับมาอยู่ในระดับเดิมน่าจะทำให้เกิดปัญหาแน่นอน

ลองเลยละกัน กับหนึ่งในหลายเรื่องที่ draft เอาไว้:

Tell Me Why

ช่วง 2-3 ปีมานี้ผมตั้งคำถามอยู่บ่อยๆว่าทำไมทุกวันนี้วงการดนตรีมันเสื่อมถอยลงทุกวัน
ถ้าถามหลายๆคนก็น่าจะรู้สึกแบบเดียวกัน แต่นี่ไม่ใช่การต่อว่าคนหรือบริษัทไหนนะ
ผมเชื่อว่าเกือบทุกคนที่ทำงานในแวดวงดนตรีรักงานด้านนี้ และให้ใจกับมันเต็มที่
เพราะเอาจริงๆมันไม่ใช่งานที่รายได้ดีกลับมาคุ้มความเหนื่อยเลย -- ถ้าใจไม่รักอยู่ไม่ได้หรอก

ถ้าแกรมมี่เอาเงินที่มีอยู่ทุกวันนี้ไปลงทุนทำอย่างอื่นจะรวยกว่านี้มั้ย? เป็นไปได้มากๆ
ถ้าวันนี้คุณไพบูลย์ ดำรงชัยธรรม พูดออกจากปากมาว่า "ปีนี้เรางดทำเพลงแล้วเอาเงินค่าเพลงค่าโปรโมทไปสร้างคอนโดดีกว่า"
มั่นใจเลยว่ามันจะต้องเป็นคอนโดหน้าตาดีมากๆ(ที่ผมไม่มีปัญญาซื้อได้) ที่จะทำกำไรให้แกรมมี่มหาศาลกว่าที่เพลงทำได้นัก
แน่นอนว่ามันคงไม่มีทางเกิดเหตุการณ์นี้ขึ้น (การงดทำเพลงนะ แต่การไปสร้างคอนโดนั่นก็ไม่แน่ เพราะถึงไม่งดก็มีเงินมากพอ)
เพราะว่าเพลงมันคือตัวผลักดันให้ธุรกิจทุกส่วนในแกรมมี่เดินไปได้ ไม่ว่าจะวิทยุ โทรทัศน์ Digital Content หรือ Artist Management
พูดได้ว่าไม่มีเพลง ก็ไม่มีบริษัท จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ จำกัด (มหาชน) และราคาหุ้นร่วงลงเร็วกว่าคุณจะพูดคำว่า"ตก"จบคำด้วยซ้ำ

แต่อีกเหตุผลนึงที่ผมคิดว่าจะไม่เกิดเหตุการณ์นั้นขึ้นก็เพราะว่าทุกคนที่ทำงานรักวงการนี้
ผมคนนึงล่ะที่รักการเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องกับงานสร้างสรรค์ ถึงจะไม่ได้ทำเองเพราะฝีมือไม่พอ
ชอบการพูดคุยกับคนที่ทำงานด้านนี้เหมือนกัน เพราะเรามีมุมมองที่น่าสนใจมาเล่าให้ฟังกันได้ตลอด
ชอบบรรยากาศการทำงานที่หาไม่ได้จากงานสายอื่นๆเลยจริงๆ
คุณไพบูลย์ คุณเล็ก-บุษบา หรือผู้บริหารไม่ว่าระดับไหนก็คงรู้สึกเดียวกัน ว่ามันเป็นเหมือนบ้านหลังใหญ่
คนที่เราเจอก็คือสมาชิกของครอบครัว งานที่เราทำก็เป็นเหมือนงานดูแลบ้าน
ความสุขของเราคือเวลาเปิดบ้านให้คนอื่นเข้ามาเยี่ยมชมแล้วเค้ามีความสุขเราก็มีความสุขด้วย

แล้วถ้าทุกคนเป็นแบบนั้นจริงๆ(ซึ่งผมคิดว่า 90% เป็นงั้นจริงๆ) ทำไมเวลาเปิดวิทยุถึงได้ฟังแต่เพลงน่าเบื่อขนาดนี้
ศิลปิน นักร้อง นักดนตรี นักแต่งเพลง คนทำเบื้องหลัง คนทำงานก็เก่งขึ้นเรื่อยๆ อุปกรณ์การทำงานก็มีแต่พัฒนาขึ้น
แต่เพลงที่ถูกโปรโมทมันให้ความรู้สึกแห้งๆ แข็งๆ เซ็งๆ ทุกอย่างดูสำเร็จรูปไปหมด
จากประสบการณ์ที่ผมได้สัมผัสมานิดหน่อย ผมให้เหตุผลกับมันว่ามันเป็นเรื่องข้อจำกัดของคำๆเดียวว่า 'ธุรกิจ'

เมื่อเพลงถูกผลักดันจนกลายเป็นอาชีพ เป็นกิจการที่ทำเงินเลี้ยงชีพคนคนนึงหรือหลายพันคนได้
มันก็มีข้อผูกมัดและความกดดันที่จะต้องให้เพลงทุกเพลงที่ทำขึ้นมันทำเงินให้ได้ต่อไปอีกเรื่อยๆ
มีอยู่วันนึงผมนั่งกินข้าวอยู่แถวบ้านและบังเอิญมีโปรดิวเซอร์ท่านนึงนั่งคุยกับนักดนตรีรุ่นน้องโต๊ะติดกันพอดิบพอดี
ความเสือกทำให้ผมได้ยินเค้าคุยกันเรื่องเพลงที่กำลังแต่งอยู่ ยกตัวอย่างประโยคนึงของบทสนทนามาให้ดูกัน:
"ไอ้เพลงนี้นะ ถ้าร้องแบบปกติก็จะเป็น xx-yy-zz
แต่ถ้าตรงคำว่า yy เราใส่เอื้อนเสียงเข้าไปอีกนิด
เหมือนกับที่เพลง ABC ทำ มันก็จะฟังดูมีสเน่ห์ ติดหู และคนชอบได้"

ผมเคยได้ยินประโยคทำนองนี้มาหลายทีแล้วเหมือนกัน แต่วันนั้นผมสงสัยขึ้นมาว่าทำไมต้องพยายามหาทางให้คนชอบตลอด
นิดๆหน่อยๆก็ยังโอเค แต่พอมาทำแบบเป็นล่ำเป็นสัน เก็บทุกเม็ดในทุกเพลง เพลงมันก็เริ่มฟังดูจอมปลอมไปหมด
และส่วนใหญ่โปรดิวเซอร์นักแต่งเพลงพวกนี้นี่แหละที่เขียนเพลงเก็บไว้ใน song bank ของค่ายต่างๆ
พอมีนักร้องที่ร้องเพลงพอได้ หน้าตาดูดี ก็หยิบเพลงที่มีเนื้อหาเหมาะกับบุคลิกเข้ามาสวม ทำดนตรีใหม่ซะหน่อย พร้อมโปรโมททันที

พูดตรงๆผมทำใจยอมรับได้ที่จะมีศิลปินที่ขายหน้าตาที่หาเพลงที่คนอื่นทำไว้มาร้อง เพราะประเทศไหนๆก็ไม่ต่างกัน
แต่ว่าทำไมศิลปินที่มีความสามารถทำเพลงเองได้ถึงทำเพลงที่ออกมาให้ความรู้สึกแบบเดียวกันเลย

... มันเกิดอะไรขึ้นกับดนตรีที่ออกมาจากความรู้สึกจริงๆ บอกผมหน่อย?

Friday, June 19, 2009

Riding Facebook Wave



ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าไม่ได้มาอัพเดทนานมาก นั่นเป็นเพราะกำลังอินอยู่กับ facebook มากๆ
อันที่จริงเราสมัคร facebook ไว้นานมากแล้ว ราวๆ 2-3 ปี แต่ก็ไม่ได้เล่นมันเลย
ตอนนั้นรู้สึกว่าระบบ application มันซับซ้อนและรกหน้า profile ของเรามากๆ
นั่นเป็นเพราะเราคุ้นกับการบริหารหน้า profile ส่วนตัวให้เป็นตามที่ต้องการ
ก็เหมือนๆที่ทำกันใน myspace หรือ hi5 นั่นแหละ ทุกคนก็แต่งให้หน้าของตัวเองเป็นตัวเองที่สุด

แต่ facebook มันไม่ใช่แบบนั้น ซึ่งก็ต้องยอมรับว่าตอนนั้นไม่เข้าใจเลย
เราพยายาม 'ควบคุม' ให้หน้า profile เราแสดงข้อมูลอย่างที่เราต้องการเท่านั้น
ซึ่งไปๆมาๆมันทำให้เรารู้สึกว่ามันปรับอะไรยากเหลือเกิน ก็เลยเลิกราไปนาน
จนกระทั่งได้รับ email จาก facebook ถี่ขึ้นเรื่อยๆในช่วงหลัง ทำให้รู้ได้ว่ามันกำลัง 'มา'
ก็เลยคิดว่าจะให้โอกาสมันลองดูอีกซักทีเหมือนกับตอนที่ให้โอกาส hi5 อีกทีเมื่อปีก่อน

ด้วยความที่ facebook ปรับลักษณะการใช้งานให้เข้าใจได้ง่ายขึ้นเยอะ
และเราศึกษาเว็บมามากขึ้นด้วยทำให้เห็นประโยชน์ที่แท้จริงของมัน
หน้าที่สำคัญที่สุดของ facebook ไม่ใช่ profile แต่เป็นหน้า news feed ที่อัพเดทเพื่อนเราต่างหาก
(เราอาจจะเป็นคนสุดท้ายที่รู้ตัวก็ได้นะเนี่ย)
ถ้า hi5 กับ myspace เอาตัวเราเองเป็นที่ตั้ง facebook ก็คือสิ่งตรงกันข้ามที่เอาเรื่องคนอื่นมาใส่ให้เรา
เรามีหน้าที่แค่คอยดูว่าคนอื่นทำอะไรแล้วก็ไปคอมเม้นท์ทักทายเรื่องเหล่านั้นของเค้า
ถ้าอยากอัพเดทตัวเองก็ทำได้แบบง่ายๆ เรียบๆ และให้คนอื่นรับรู้มากกว่าความพอใจของตัวเอง

เทียบแล้ว hi5 อาจจะเหมาะสมกับการทำ branding ให้คนรับรู้ว่าเราคือใคร
แต่ถ้าอยากสื่อสารให้ได้ผล facebook ดูจะเป็นช่องทางที่หวังผลตอบรับได้ดีกว่ามาก
นั่นเพราะว่าผู้รับสารพร้อม(และรอคอยด้วยซ้ำ)ที่จะรับข่าวสารใหม่ๆอยู่เสมอ

สาเหตุที่ผู้ใช้ facebook ชาวไทยมีการเติบโตที่รวดเร็วน่าจะเกิดจาก:
1. กลุ่มคนไทยในต่างประเทศโดยเฉพาะสหรัฐที่เล่นกันเยอะตามคนอื่นในประเทศ ส่งผลให้เพื่อนที่อยู่เมืองไทยลองเล่นตาม และขยายวงกว้างไปในที่สุด
2. การปรับการใช้งานให้ง่ายขึ้นเรื่อยๆ ไม่ซับซ้อนเหมือนแต่ก่อน
3. interface ภาษาไทยที่นับว่าเป็นเว็บที่แปลได้ดีที่สุดเท่าที่เจอมาเลย
4. application การทำ quiz ที่แพร่หลายมากๆจริงๆ
5. จำนวนนักการตลาดที่หันมาใช้ facebook เป็นช่องทางการโฆษณาอย่างชัดเจน เนื่องจากสามารถกำหนดกลุ่มเป้าหมายได้โดยละเอียดมาก (selective communication) และควบคุมงบประมาณการประชาสัมพันธ์ได้อย่างสมบูรณ์

ด้วยเหตุเหล่านี้น่าจะส่งผลให้ปีนี้เป็นปีที่ facebook มีอัตราการเติบโตในประเทศไทยสูงที่สุด
คาดว่าคนไทยที่เล่น hi5 ไม่ต่ำกว่า 30% จะมีบัญชี facebook อยู่ด้วยภายในสิ้นปีนี้

ส่วนตัวเราก็ขอหมกมุ่นอยู่กับมันอีกสักนิดละกัน เพราะเราเจอโอกาสมากมายจริงๆในนั้น

... แล้วเดี๋ยวก็จะกลับมาอีกทีดังเดิม


Note:
- จำนวนผู้ใช้ facebook ที่อยู่ในประเทศไทย 648,800 ราย แบ่งเป็น

เพศ:
ชาย 266,000 ราย
หญิง 359,780 ราย
ไม่ระบุ 23,020
ราย

อายุ:
13-18 ปี 87,800 ราย
19-23 ปี 183,040 ราย
24-30 ปี
216,480 ราย
31-40 ปี
113,240 ราย
41 ปีขึ้นไป 49,340 ราย
ไม่ระบุ 48,240 ราย

ใครจะเอาข้อมูลพวกนี้ไปใช้ทำอะไรก็ยินดีนะ

Friday, May 1, 2009

The Real Thing

ขอโทษแฟน blog ทุกคนถ้าทำให้รู้สึกว่าวันนี้เราเขียนบ่อยเกินไป
เชื่อเถอะว่าไม่ได้คิดจะเขียนเยอะขนาดนี้ แต่พอดีมันมีเรื่องด่วนเข้ามา
เรื่องที่ว่านั่นก็คือเราเสือกไปเจอดาราคนหนึ่งมาเมื่อกี๊นี้เลย

สื่อมักกล่าวถึงดาราคนนี้ในเรื่องๆหนึ่งอยู่อย่างไม่ขาดช่วง
ผู้คนที่ไม่เคยเจอตัวจริงก็อาจจะคล้อยตามไปด้วย เพราะสื่อกรอกหูเหลือเกิน
จนกระทั่งวันนี้เราได้เจอตัวจริงในระยะใกล้ชิด ขอยืนยันเลยว่าที่สื่อพูดๆกันน่ะ ...

















ไม่เกินเลยความจริงเลยแม้แต่นิดเดียว สมราคาจริงๆ


ขอพูดด้วยความมั่นใจเลยว่า คนนี้น่ะ "ของจริง"

Thursday, March 19, 2009

Quick Hits: Chevs Recommend

ใครที่สามารถไปหาคมชัดลึกฉบับเช้าวันนี้ (19 มี.ค. 52) รีบไปหยิบส่วนบันเทิงมา
ลองพลิกดูโฆษณาด้านหลังสุด แล้วจะสะดุดกับโฆษณาของเชฟโรเล็ต


สุดยอด!


Note:
- มันอาจจะเคยลงมาแล้ว หรืออาจจะมีในหนังสือพิมพ์อื่นๆอีก ลองหาดูละกัน ถ้าอันไหนให้ความรู้สึกสุดยอดก็คืออันนั้นแหละ

Monday, March 24, 2008

Good Humor for Good Health


[Copyright© สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.)]

สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) เป็นหน่วยงานที่มีโฆษณาดีๆแบบเลวๆเยอะมากอย่างไม่น่าเชื่อครับ ลองแวะเข้าไปดูกัน

แค่นี้แหละครับ

Link: http://www.thaihealth.or.th/healthcontent/videos

Friday, December 21, 2007

Let's Vote Against All Stupidity in This World


[image by: Black Glenn @ flickr]

ขออภัยทุกท่านที่หายไปนานกว่าทุกที ติดภารกิจการศึกษาอีกแล้ว
แต่ตอนนี้ชีวิตดีขึ้นแล้ว เมื่อเหลืองานแค่ชิ้นเดียว (ซะที)

ช่วงนี้เจอเรื่องน่าหงุดหงิดในแต่ละวันเยอะมาก
อาจจะเป็นเพราะความวุ่นๆทำให้ใจรับเรื่องที่เข้ามาไม่ค่อยได้
พอเขียนเลยเหมือนระบายความอึดอัด จนอาจจะเหมือนคนขี้โมโห
.... วันนี้ก็จะทำอีกอยู่ดีละนะ ...

เช้านี้ก็เจอความไม่มีเหตุผล ไม่มีความคิด ไม่มีอะไรก็ตามที่ควรจะมี
นำเสนอโดยสำนักงานเขตแห่งหนึ่งที่เราต้องขับรถผ่านเพื่อมาทำงาน
พอใกล้วันเลือกตั้งพวกเขาก็เลยคิดจะส่งเสริมให้คนไปเลือกตั้งกันเยอะๆ
ซึ่งมันก็ดีและถูกต้องแล้ว แค่วิธีทำมันดูสิ้นคิดมาก มาก มาก มาก มาก

เอาแบบสั้นๆก็คือพวกเขามาตั้งขบวนพาเหรดในซอยที่มีที่พอให้รถสวน 2 เลน
เพื่อบอกให้คนออกไปใช้สิทธิ์เลือกตั้งกันในวันที่ 23 นี้
ถ้านึกไม่ออกว่าขบวนพาเหรดที่ครบถ้วนจะมีอะไรมั่งจะบอกให้ (จากหน้าสุดไปหลังสุด)

เทศกิจ(มั้ง)เดินนำ 3-5 คน / เพื่อเคลียร์ที่ทางไม่ให้รถขยับมาขวางขบวน
มอเตอร์ไซค์ตำรวจ / เพื่อกั้นถนนไม่ให้รถผ่านไปได้จริงๆในกรณีที่เทศกิจทำหน้าที่ไม่สำเร็จ
รถตำรวจ / เพื่อทำสิ่งที่ 2 อย่างข้างต้นอาจจะทำไม่สำเร็จ
รถเล็กที่มีแผ่นป้ายเชิญชวนไปเลือกตั้ง 2 คัน / สร้างสีสัน และความสนุกสนานให้กับเจ้าหน้าที่ของเขตที่ขับรถนั้น
รถกระบะที่มีเครื่องขยายเสียงประกาศเชิญชวนไปเลือกตั้ง / เพื่อบอกคนที่ยังไม่รู้ตัวว่าจะมีการเลือกตั้งให้ไปลงคะแนน
เจ้าหน้าที่ของเขต 20 คนเดินแจกสื่อประชาสัมพันธ์ให้คนละแวกนั้น / เผื่อมีคนหูหนวกไม่ได้ยินเสียงประกาศจากรถด้านหน้า
เจ้าหน้าที่ของเขต 10 คนเดินถือธงและป้ายเชิญชวนไปเลือกตั้ง / เผื่อมีใครพึ่งตื่นไม่ทันเห็นหัวขบวนที่ผ่านไปเมื่อ 25 นาทีก่อน
ขบวนกลองยาวและดนตรีไทยจากนักเรียน 30 คน / เพื่อปลุกให้คนที่ยังไม่ตื่นตื่นมาดูขบวนนี้
รถกระบะที่มีเครื่องขยายเสียงประกาศเชิญชวนไปเลือกตั้ง / เพื่อให้คนที่ตื่นรอบหลังสุดได้ยินประกาศอีกครั้ง
รถตำรวจและเทศกิจเดินปิดขบวน / ตอนแรกนึกว่าเพื่อขอโทษผู้คน แต่จะขอโทษทำไมในเมื่อข้างหน้าเค้าทำสิ่งที่ถูกต้องกันอยู่
และตามมาด้วยรถบุคคลทั่วไปยาวราวๆ 45 คันพร้อมคนขับทำหน้าตาละม้ายไอ้หมอนี่
คนที่พบเห็นคงจะรู้สึกได้ว่าการประชาสัมพันธ์ครั้งนี้ประสบความสำเร็จแค่ไหน
สามารถทำให้เราและผู้คนหยุดดูได้นานถึงชั่วโมงครึ่ง ทั้งๆที่จริงๆเราใช้เวลาแค่ 20 นาทีก็ถึงออฟฟิศ

... สุดยอดเลยชาวไทย


Note:
- แต่ยังไงก็อย่าลืมไปลงคะแนนเลือกตั้งกันนะครับ เดี๋ยวจะอดเล่นการเมืองหรือลงชื่อถอดถอนในอนาคต

Monday, November 26, 2007

Digital Property


[image by: blarygake @ flickr]

Warning: Long and Serious Entry - บทความวันนี้ยาวและจริงจังเป็นพิเศษ หากต้องการความบันเทิงกรุณาอ่านบทความอื่นๆแทน

"Life finds a way"

นี่คือประโยคจาก Jurassic Park และสามารถใช้ได้จริงเสมอตราบที่ยังมีสิ่งมีชีวิตอยู่
เราคิดว่าสิ่งมีชีวิตทุกอย่างอยู่ด้วยปรัชญาของประโยคนี้เหมือนกันหมด
แต่ว่าวันนี้ไม่ได้จะเขียนเรื่องธรรมชาติหรือเรื่องชีวิตหรอก
ตรงข้ามด้วยซ้ำ จะมาเขียนเรื่องของที่ไม่มีชีวิต และไม่มีกระทั่งตัวตน
ต่อยอดบทความของ phir เรื่องทรัพย์สินทางปัญญา (Intellectual Property : IP)

แต่เพราะว่าเราไม่ได้เรียนด้านกฎหมายมาเหมือน phir เราก็จะขอเขียนในแง่มุมที่เราถนัดกว่าแทน
เราอยากจะเสนอมุมมองเกี่ยวกับผลงานสร้างสรรค์ในเชิงบริหารจัดการ (Management) แทน

เรื่องของการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา ว่าด้วยเทคโนโลยีที่มันก้าวหน้าไปมากทำให้ผู้ที่จะทำการละเมิดนั้นสามารถทำได้ง่ายขึ้นเรื่อยๆ ผู้ที่เสียประโยชน์โดยตรงก็คือบริษัทหรือบุคคลที่เป็นผู้สร้างสรรค์ความคิดนั้นขึ้นมา มาตรการตอบโต้หรือป้องกันตนของกลุ่มผู้เสียประโยชน์เหล่านี้ที่จะใช้กันส่วนใหญ่จะมีอยู่สองทางด้วยกันคือ 1.ใช้ข้อได้เปรียบทางกฎหมายของการเป็นเจ้าของสิทธิ์ทางความคิดนั้นเพื่อป้องกันหรือเอาผิดจากผู้ที่มาละเมิด หรือ 2.พัฒนาสินค้าหรือบริการของตัวเองให้ถูกลอกเลียนให้ยากขึ้น เช่นทำให้มันซับซ้อนขึ้นหรือเอาเทคโนโลยีบางอย่างเข้าไปเป็นส่วนประกอบไม่ให้ถูกลอกเลียนหรือทำซ้ำ

ซึ่งทั้งสองวิธีที่ว่านี้ก็ฟังดูสมเหตุสมผลดี เมื่อคิดจากฐานะผู้ผลิตว่าเราเป็นผู้ลำบากพัฒนาความคิดขึ้นมาและมีต้นทุนในการผลักดันความคิดนั้นออกมาสู่ตลาด (Commercialization) มันมีทั้งค่าจ้างผู้วิจัยพัฒนา ค่าวัตถุดิบหรือวัสดุสิ้นเปลืองต่างๆ รวมไปถึงค่าใช้จ่ายในการดำเนินการ และการโฆษณาประชาสัมพันธ์อีกที่เราจะต้องหารายได้มาชดเชย เราย่อมไม่ต้องการให้บุคคลอื่นมาฉกฉวยโอกาสแย่งรายได้ไปจากเราง่ายๆเพียงแค่ทำซ้ำหรือคัดลอกความคิดของเราไปขายในราคาที่ถูกกว่ามากโดยอาจจะมีเพียงแค่ต้นทุนการผลิตเท่านั้น ดังนั้นเราจึงต้องหาทางปกป้องตัวเองจากความเสี่ยงที่จะถูกฉกฉวยโอกาสแบบนี้โดยการใช้ กฎหมาย หรือ เทคโนโลยี ดังกล่าว

เราเห็นด้วยว่าผู้ที่เป็นเจ้าของความคิดย่อมสมควรได้รับการปกป้อง ถ้าหากสินค้านั้นมันเป็นสิ่งของจับต้องได้ (Physical Goods) เช่นกระเป๋าแบรนด์เนมจากยุโรปที่มักถูกผู้ผลิตจากจีนหรือเกาหลีลอกเลียนอยู่เสมอ โดยเฉพาะปัจจุบันนี้ผู้ผลิตของเลียนแบบเหล่านี้สามารถไปหาวัตถุดิบและผู้ผลิตเดียวกับเจ้าของ brand ได้จนทำให้คุณภาพนั้นเรียกได้ว่าแทบจะเหมือนกันเลยทีเดียว แต่ผู้ลอกเลียนจากจีนและเกาหลีนี้ไม่ต้องเสียค่าจ้างนักออกแบบ และค่าใช้จ่ายในการทำ branding เลยแม้แต่นิดเดียว แค่ผลิตออกมาก็มีคนทำการตลาดให้อยู่แล้ว รอแค่ขายอย่างเดียวในราคาที่ถูกกว่ามาก กรณีนี้เราคิดว่าเจ้าของแบรนด์ควรจะได้รับการปกป้อง เพราะว่ากระเป๋าของจริงที่ถูกผลิตขึ้นมาหากไม่สามารถขายได้ก็จะทำให้บริษัทเกิดการขาดทุน (และยังเสียทรัพยากรธรรมชาติไปอีกด้วย)

แต่ว่าในกรณีของสินค้าที่เป็น digital นั้นสภาพแวดล้อมของธุรกิจมันต่างออกไป เนื่องจากต้นทุนในการผลิตเพิ่มต่อหน่วยนั้นแทบจะไม่มีเลย (มีค่าไฟ ค่าเสื่อมของอุปกรณ์ และอาจจะมีค่าสื่อในการจัดเก็บข้อมูล) กลับกัน หากยิ่งผลิต (จริงๆควรใช้คำว่าคัดลอกและกระจาย) ได้มากขึ้นกลับยิ่งทำให้ต้นทุนต่อหน่วยลดต่ำลง (เช่นค่าจ้างพนักงาน นักวิจัย ค่าโฆษณา ค่าเช่าสำนักงาน) ซึ่งสินค้าที่เราจะนับรวมเป็น digital นั้นไม่ใช่แค่สินค้าที่เป็น computer software เท่านั้น แต่รวมไปถึงสื่อชนิดต่างๆที่สามารถแปลงให้เป็น digital format ได้เช่น ภาพถ่าย ภาพยนตร์ ดนตรี หรือหนังสือ

สินค้าเหล่านี้ผู้ผลิตจะรู้สึกว่ามีความเสี่ยงต่อการถูกลอกเลียนมากกว่าสินค้าชนิดอื่นๆ เพราะว่าเมื่อเป็น digital แล้วการลอกเลียนนั้นก็คือการ copy บนคอมพิวเตอร์นั่นแหละ ทำได้ง่ายแค่ไหน? คนที่เข้ามา blog นี้ได้คงทำกันเป็นทุกคน และเพราะว่ามันง่ายขนาดนั้นผู้ผลิตจึงต้องดิ้นรนหาทางป้องกันตนเองจากภัยคุกคามนี้ทั้งจากการใช้กฎหมายคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญา (IP Law) และเทคโนโลยีเพื่อป้องกันการถูก copy รูปแบบต่างๆ ซึ่งอย่างที่บอกว่าคิดในแง่ผู้ผลิตนั้น การป้องกันตนเองก็อาจจะมองว่าถูกต้องแล้ว แต่ว่าหากมองในแง่การพัฒนาธุรกิจแล้วอาจถือได้ว่าเป็นการฝืนกลไกของตลาดแทนก็ได้

มีกลุ่มคนไม่น้อย (ส่วนใหญ่จะเป็น geek และ computer nerd) ที่เชื่อว่า “Bits are made to be copied” นั่นหมายความว่าการที่เรามีการบันทึกข้อมูลลงคอมพิวเตอร์เป็น digital format ลงบน medium ต่างๆนั้น เราทำเพื่อลดต้นทุนของการคัดลอกทั้งในแง่ของเงิน เวลา ทรัพยากร และความพยายาม ดังนั้นหากเราผลิตสินค้าที่เป็น digital ออกมาแต่ว่าห้ามไม่ให้คัดลอกแล้ว นั่นไม่เท่ากับขัดวัตถุประสงค์ของตัวเทคโนโลยีเองหรอกหรือ

เราไม่เถียงว่าคนสร้างสรรค์ผลงานใดๆขึ้นมาควรจะได้รับผลตอบแทนเต็มที่เมื่อผลิตชิ้นงานออกมาสู่ตลาด แต่ว่าโครงสร้างรายได้หรือ Revenue Model ของงานสร้างสรรค์มันไม่ได้จำกัดอยู่ที่การขายต่อหน่วย (per unit sales) เท่านั้น มันยังมีหนทางอีกมากที่จะสร้างรายได้โดยการใช้ประโยชน์จากข้อดีจาก digital distribution นี้อีก

จะขอเจาะไปที่อุตสาหกรรมดนตรีโดยเฉพาะ เนื่องจากมีความรู้ความเข้าใจอยู่บ้าง และกำลังทำรายงานเรื่องนี้พอดี แน่นอนว่าการเข้ามาของ digital distribution รูปแบบต่างๆในวงการเพลง ถูกกฎหมายบ้าง ละเมิดลิขสิทธิ์บ้าง ทั้ง Full-Song Download, File-Sharing, Music Streaming, Online Broadcasting และแน่นอนรวมถึงแผ่นผี แผ่นMP3 มันไปกระทบยอดขายซึ่งเป็นรายได้ทางตรงแบบจังๆ การที่เราหาเพลงฟังฟรีได้มันย่อมทำให้ยอดขายสินค้าลิขสิทธิ์ที่ต้นทุนสูงกว่าและราคาสูงกว่าลดลง แต่บริษัทในอุตสาหกรรมนี้เคยมองรึเปล่าว่าเพราะอะไรคนถึงไม่ซื้อ บางทีเราได้รับของ sample ฟรีที่เค้าแจกๆ เราก็ยังกลับไปซื้ออีกทั้งๆที่ไม่มีใครบังคับ อาจจะเถียงว่าเพราะมันเป็นสินค้า physical ใช้แล้วหมดไป แต่นั่นไม่ใช่เหตุผลหลักอย่างเดียวหรอก

หลักการตลาดพื้นฐานมากๆเลยบอกไว้ว่าในการที่ผู้บริโภคจะซื้ออะไรซักอย่าง Value MUST exceed price หรือมูลค่าที่ผู้ซื้อได้รับนั้นต้องมากกว่าเงินที่จ่ายออกไป หากเราไม่ซื้ออะไรย่อมหมายความว่าเราคิดว่าคุณค่าที่เราได้รับกลับมามันไม่คุ้มค่าเงิน และเราอาจมีทางเลือกอื่นที่ตอบสนอง need เดียวกันนั้นได้ในราคาที่คุ้มค่ากว่า (mp3) ดังนั้นหากคิดว่ายอดขาย CD เป็นเครื่องวัดความสำเร็จหรือเป็นแหล่งรายได้สำคัญที่จะเสียไปไม่ได้เลย ผู้ผลิต(ค่ายเพลง)ก็ต้องหาวิธีเพิ่ม value เข้าไปในตัวสินค้าโดยตรงผ่านขั้นตอนต่างๆใน value chain ที่ทำให้เกิดมูลค่าเพิ่มขึ้นต่อสินค้าสำเร็จนั้น เช่นอาจมี exclusive privilege พิเศษสำหรับผู้ซื้อ CD ของแท้ ซึ่งเป็น value ที่เฉพาะเจ้าของสิทธิจะให้ได้เท่านั้น เช่นสิทธิในตัวศิลปิน (note: packaging อาจมี value contribution โดยตรงต่อตัวสินค้า แต่ว่าไม่ใช่ exclusive value เพราะถ้าคนทำของปลอมอยากทำให้ดีก็ทำได้เหมือนกัน)

อีกแนวทางที่ไม่ค่อยถูกยกขึ้นมาเป็นประเด็นทางออกคือการปรับ business model และ revenue model ของธุรกิจนี้แทน แหล่งรายได้ของบริษัทค่ายเพลงหลักๆนอกจากยอดขาย Tape, CD, VCD, DVD, etc. แล้วก็จะมีรายได้จากการอนุญาตให้ผู้อื่นได้สิทธิในการเผยแพร่ในเชิงพานิชย์ (Publisher's Rights), การบริหารงานจ้างศิลปิน (Artist Management), การจัดกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับศิลปิน (Concerts & Activities), การออกสินค้าต่างๆที่เกี่ยวกับศิลปิน (Merchandising) และหากไม่นับการขาย CD แล้ว ช่องทางรายได้อื่นแทบจะไม่ได้รับผลกระทบในเชิงลบจาก digital distribution เลยด้วยซ้ำ กลับกัน บางช่องทางสามารถใช้ digital distribution ช่วยส่งเสริมได้ซะอีก หากเราไม่คิดเพียงว่าผู้ที่จ่ายเงินให้กับเราคือผู้ที่ฟังเพลงเท่านั้น

จริงๆ value ของเพลงต่อคนที่เป็นคนฟังเพลงทั่วๆไปนั้นมีไม่มากเท่าไหร่นักหรอก มันเป็นแค่ของที่เราอยากได้อยากฟังเมื่อต้องการความผ่อนคลายหรือความสุนทรีย์ value มันอาจจะตีเป็นตัวเลขได้ไม่ชัดเจนแต่ที่แน่ๆเพลงหนึ่งเพลงไม่ใช่สินค้าชนิดเดียวที่จะตอบสนอง need นี้ได้ เพลงอื่นก็สามารถทำได้ และสินค้าอย่างอื่นก็อาจจะทำได้เช่นกัน ดังนั้นหากจะมุ่งหวังขายเพลงให้กับคนฟังเพลงอาจจะเป็นเรื่องยาก แต่ว่าเพลงๆเดียวกันนี้อาจถูกมองโดยคนกลุ่มอื่นๆว่ามี value อื่นที่มากกว่านั้นไปอีก เช่นการนำมาใช้ประกอบโฆษณาหรือละคร หรือการนำศิลปินไปแสดงเพลงนั้นๆในร้านอาหาร ซึ่ง value มันจะมากขึ้นเมื่อเพลงนี้ได้รับความนิยมมากขึ้น และความนิยมจะมากได้ก็ต่อเมื่อมันเข้าถึงคนกลุมใหญ่ สุดท้ายการเข้าถึงคนกลุ่มใหญ่ได้โดยไม่ต้องใช้ต้นทุนสูงมีวิธีอะไรบ้างก็ลองคิดดูเอาเองละกัน

วิธีการหาประโยชน์ในสภาพแวดล้อมของ digital distribution ยังมีอีกมาก แต่ว่าหากเราไปขัดขวางผู้บริโภคไม่ให้ได้รับประโยชน์จากมันไม่ว่าจะโดยการใช้เทคโนโลยีหรือกฎหมายเข้าว่า มันก็เท่ากับไปขัดขวางกลไกการพัฒนาตลาด เราไม่ควรไปริดรอนสิทธิของผู้บริโภค(แม้สิทธินั้นอาจจะมิชอบก็ตาม)โดยไม่มีทางออกที่ดีกว่าหรือเทียบเท่ากับสิทธิปัจจุบันของพวกเขา และไม่ว่าจะห้ามยังไง พวกเขาก็ต้องหาทางเอาสิทธิเก่านั้นกลับมาจนได้ กลุ่มผู้ประกอบการต่างหากที่ต้องหาทางปรับตัวเพื่ออยู่ให้ได้ในสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงไป

อย่างที่บอกไว้ตอนเปิดประเด็นครับ ... Life finds a way

Note:
- ถ้าคิดว่าเราเขียนยาวหรือเครียดไปก็ขอโทษด้วย แต่จริงๆยังยาวและเครียดกว่านี้ได้อีกมาก

Wednesday, October 3, 2007

Dear All Music Critics and Scrutinizers

เราไปอ่านๆใน Pantip แล้วเจอกระทู้ที่บอกว่า อยากให้มี "คลับจับผิดเพลง"
เราอ่านๆดูแล้วก็เลยเกิดอาการคันไม้คันมือ อยากเขียนอะไรที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ซะหน่อย
ก็เลยไปแตกประเด็นกระทู้เค้าซะ ... ใครอยากรู้อยากอ่านเข้าไปดูได้เลย ที่นี่
ส่วนคนที่ขี้เกียจไปตาม Link จะอ่านที่นี่ก็ได้นะ

======================================

ใครลอกใคร?? - การวิพากษ์วิจารณ์งานดนตรี

สืบเนื่องจากการที่มีคนคิดว่าศิลปินไทยมักไปลอกเลียนศิลปินต่างประเทศมา และอยากมีการถก การโต้แย้ง หรือ วิพากษ์วิจารณ์กัน

ส่วนตัวแล้ว ผมมีความคิดว่า ประเด็นที่สำคัญกว่าคือคนที่มาถกมาเปิดประเด็นดังกล่าว มีความรู้ความเข้าใจถึงทฤษฎีทางดนตรี และธรรมชาติของนักดนตรี รวมทั้งสภาพแวดล้อมของวงการดนตรีมากน้อยแค่ไหน และที่สุดแล้วเราต้องการอะไรจากการถกกันในประเด็นนี้กันแน่

ไม่ใช่จะบอกว่าจะต้องเป็นอาจารย์สอนดนตรี หรือโคต-รนักดนตรี หรือผู้คร่ำหวอดในวงการเพลงไทย แต่ผมอยากให้เรามาโต้แย้งกันอย่างเข้าใจถึงพื้นฐานที่มาของงานเพลงหนึ่งๆ และเป็นการเปิดโลกทัศน์ในการฟังเพลงมากกว่าที่จะเป็นการพูดว่า ชอบหรือเกลียด ดีหรือเลว เพียงเพื่อความสะใจส่วนตัว เพื่อดูถูกความคิดของคนอื่น และที่แย่กว่าคือเพื่อไปดูถูกผลงานสร้างสรรค์ของศิลปิน

ที่มาที่ไปของเพลงที่เปิดตามวิทยุที่พวกเราเห็นกันน่าจะอธิบายง่ายๆได้แบบนี้:
ศิลปินคิด-เขียนเนื้อเพลงและดนตรี --> เรียบเรียง --> อัดเสียง --> โปรโมท --> ดัง/ดับ --> วิจารณ์

แต่ผมจะบอกว่า ระหว่างทางนั้นยังมีขั้นตอนยิบย่อย มีผู้คนมากมายเกี่ยวข้อง มีบทสนทนา มีการประชุม มีการตัดสินใจ มีการปรับเปลี่ยน มากอย่างที่เราไม่สามารถบรรยายได้เลย

และในของเหล่านั้น ก็ยังมีของที่สำคัญที่สุดในทุกขั้นตอนนั่นคือ "ความคิด"

ผมขอเปลี่ยนบริบทของหัวข้อนี้ชั่วคราว จากดนตรีเป็นการออกแบบ จากนักดนตรีเป็นนักออกแบบ จากงานดนตรีเป็นงานออกแบบ

ทีนี้ คุณสมบัติของนักออกแบบที่ดีคืออะไร?
คือการหมั่นเปิดหูเปิดตารับงานออกแบบจากแหล่งต่างๆอยู่เสมอ คือการค้นหาแรงบันดาลใจใหม่ๆ เพื่อนำความคิดที่ได้จากการพบเห็นมาสังเคราะห์ให้เกิดเป็นความคิดในแบบของตนเอง และให้เหมาะสมกับโจทย์ของงานออกแบบที่ได้รับมา หรือที่ต้องการจะสื่อให้คนเข้าใจ

มันเป็นเรื่องแปลก(หรือ"ผิด")แค่ไหนที่งานออกแบบชิ้นหนึ่งจะไปคล้ายกับงานของอีกคนหนึ่ง
เป็นไปได้หรือเปล่าที่งานสองชิ้นจะเกิดจากกระบวนการคิดในรูปแบบที่คล้ายกัน
เป็นไปได้หรือเปล่าที่งานทั้งสองชิ้นเกิดจากพื้นฐานของโจทย์ที่งานนั้นต้องตอบรับเดียวกัน
และเป็นไปได้หรือเปล่า ที่ชิ้นงานนั้นมันถูกใช้สอยได้อย่างเกิดประโยชน์สูงสุดด้วยการออกแบบดังกล่าว

กลับมาที่งานดนตรีอีกครั้งด้วยพื้นฐานโครงสร้างแบบเดียวกัน นักดนตรี(หมายถึงนักดนตรีจริงๆ-ไม่ใช่คนร้องเพลงที่ถูกเรียกว่า"ศิลปิน")ย่อมมีความคิดหรือรูปแบบงานที่ต้องการสื่อออกมาให้คนฟังได้คิดและรู้สึกแบบเดียวกับตน ถ้าหากเรารู้วิธีที่เราจะสื่อเนื้อความของเราให้คนเข้าใจได้ดีที่สุด มันมีเหตุผลอะไรที่เราจะหลีกหนีจากวิธีการนั้น ทำไมเราต้องหลีกหนีจากความซื่อสัตย์ต่อตนเองเพียงเพราะเราไม่ต้องการที่จะซ้ำกับคนอื่น

แต่ในขณะเดียวกัน หากงานดนตรีที่ไม่มีความหมายที่จะสื่อออกมา ไม่มีโจทย์ที่ต้องการจะตอบ แต่ต้องถูก"ผลิต"ขึ้นมาเพียงเพื่อให้มีเพลงให้ครบ ให้มีเพลงโปรโมท ก็เท่ากับมันไม่มีแก่นที่เป็นจุดเริ่ม และที่พอจะทำได้ก็มีเพียงแค่หยิบยืมของที่มีอยู่แล้วในตลาดมาบวกกับเนื้อหาที่มีอยู่ดาษดื่นและคำที่ฟังดูดีไม่กี่คำเท่านั้นเอง

งานออกแบบที่ดีมันจะเกิดประโยชน์ตามที่มันถูกออกแบบมา ในขณะที่ของเลียนแบบไม่สามารถทำหน้าที่ของมันได้อย่างเต็มที่ อาจเกิดแตกหักเสียหาย หรือให้ภาพลักษณ์ที่ดูขัดหูขัดตา เพราะมันไม่ได้เกิดจาก"ความคิด" เช่นเดียวกันมันเป็นเรื่องง่ายมากที่จะแยกแยะงานดนตรีที่ถูกสร้างสรรค์ขึ้นมาจากความคิดออกจากงานที่เพียงแค่ต้องการความเป็นที่นิยม

ผมเชื่อว่าจิตวิญญาณและความตั้งใจมันเป็นของที่เราสามารถสัมผัสได้ ถ้าหากเราลองฟังด้วยความเข้าใจ


หมายเหตุ:
- ผมเป็นคนที่เคยเรียนดนตรีมาบ้าง เคยเล่นดนตรี และเคยทำงานในบริษัทอุตสาหกรรมดนตรีของประเทศเรา แต่ผมไม่ใช่นักดนตรีและไม่สามารถเรียกตัวเองอย่างนั้นได้แน่นอน
-ขออภัยที่เขียนซะยาว และขอบคุณผู้ที่อ่านจนจบ

======================================

ระหว่างที่เขียนไปก็ดู+ฟังเพลงสุดฮิต ณ วินาทีนี้ไปด้วย ได้อารมณ์มากๆ
ขออนุญาตละเมิดลิขสิทธิ์ไว้ ณ ที่นี้ด้วย

Monday, September 24, 2007

Domestic PR

The article below is taken from the column "Talk" of thesundaytimes (The Straits Times - Sunday Issue), September 16, 2007.

-----------------------------------------------------------------



Caption: MUSEUM BUFF Rosalin Montrisuksirikul,
who owns Ayuthaya - The Royal Thai Spa, feels right
at home in Singapore. Among other things, the Thai
national is ethnic Chinese and comes from a Teochew family.
Image by: ST PHOTO - WANG HUI FEN


MS ROSALIN Montrisuksirikul remembers the day she came to Singapore for a job interview vividly. It was seven years ago and she had just finished her interview at a hotel here and was unwinding with a drink at Boat Quay. She looked across the river bank and saw the statue of Sir Stamford Raffles.

'I thought to myself then, I really want to move here,' said the 37-year-old Thai, who is single.

Singapore just felt right: Her father had spent all his teenage years studying here and had picked up some local habits, like eating toast with sliced butter instead of spreading it.

'I thought that was strange, until I moved here, had kaya toast for the first time and realised, oh gosh, that's exactly how my dad eats his toast.'

She happens to share the same birthday as Raffles too - July 6.

Today, the Singapore permanent resident, who is ethnic Chinese and comes from a Teochew family, can proudly say she enjoys Kumar's jokes, bak kut teh and museum jaunts.

When homesickness strikes, she hops on a plane and is back at her family home in Bangkok in under four hours.

The Les Roches School of Hotel Management graduate gave up her hotel management job in 2004 to pursue a lifelong dream of running her own business.

A Thai spa was an obvious choice - home massages have become her routine since she was 15.

Ayuthaya - The Royal Thai Spa now has two outlets, one at Gallery Hotel and one at Negara On Claymore hotel.

The spa offers traditional Thai massage and the Royal massage, recommended only for those with a high threshold for pain.

Q: Where do you go to nurse your homesickness in Singapore?

A:
I don't intentionally seek out Thai friends. In fact, I have only one Thai friend whom I met in my third year here, but lots of very good Singaporean friends.

Having said that, when I miss Thai food, I head to this stall on the second floor of Orchard Towers run by Thais. They cater mostly to the ladies who work there in the evenings and the food is very authentic.

My favourite is chicken with basil leaves and fried egg or Gai Pad Grapow. Tom Yam Goong or hot and sour shrimp soup is good too.

Q: Truth be told, why should one pay S$100 for a one-hour massage when one can get some good kneading for S$10 at Patong beach?

A:
A S$100 massage in Singapore is very reasonable. If you go to a five-star hotel in Bangkok, you pay US$150 (S$227).

It's like asking why pay S$5 for a cup of coffee at Starbucks when you can get good coffee at a neighbourhood coffeeshop for 80 Singapore cents. It's about selling a lifestyle, a service, the whole package.

Q: Singaporeans go to Bangkok for only three things: shopping, eating and massage. Surely there's much more the city has to offer?

A: What I like to do is take my car and drive to the old part of town around the Grand Palace. It might not show up on your tourist map but explore the little lanes, eat by the roadside stalls - if you have a strong stomach - and look beyond the neon signboards at the architecture. Some of the buildings are over 200 years old. Have coffee by the river and observe how the Thais live along that thoroughfare.

Q: What's the biggest misconception people have of Thai women?

A: Thais are easy-going by nature, so foreigners sometimes think Thai women are that way, too, and try to take advantage of us. I have to be very firm. I'm lucky because I can communicate in English. I don't blame them. As they say, it takes two to tango. Some Thais haven't been exposed to the world, so when they see a foreigner, they treat him like God.

We have a monarchy so we know how to be respectful. We treat foreigners as our guests. Beyond that, it's really up to the individual.

Q: Singaporeans inevitably stream to Hat Yai, Bangkok and Phuket when they want a holiday in Thailand. But tell us a little-known holiday paradise we ought to explore.

A: Trang in the south is a beautiful coastal province which is very good for diving. There's an emerald island which is shaped like a doughnut. You have to take a boat in, but once you're in there, you're confronted with immense beauty - a beach with powdery sand, slopes in the backdrop and emerald waters.

If the south is not for you, Mae Hong Son in the north is a picturesque mountainous province. You will have to get to Chiang Mai first, then take a smaller plane there.

Q: Singapore's service standards come under flak every now and then. The Thais' hospitality, by contrast, is world-renowned. What can this country's service people learn from you?

A: It has to come from within. You have to care about a person and once you do, the hospitality will come naturally.

-----------------------------------------------------------------

Ms. Rosalin is my eldest sister and I would like to congratulate her and wish her well on this little blog. So proud to have you as a sister!

Anyone visiting Singapore can visit one of her outlets - Ayuthaya - The Royal Thai Spa

Saturday, September 8, 2007

A Meaningless Entry

เราไม่ดูทีวี
เลยไม่ค่อยรู้จักดารา

เราไม่ฟังวิทยุ
เลยไม่รู้จักเพลงใหม่ๆ

เราชอบอ่านหนังสือมากกว่า
... เลยไม่มีคนคุยด้วย


Note:
- กลับมาสดๆร้อนๆ ยังไม่ถึงบ้านก็อัพ Blog ซะแล้ว (ช่วงนี้เสพติดมากๆ)
- สัดส่วนของประชากรกระเทย (หรือว่า กะเทย) ที่ อ.สอง จ.แพร่ มีสูงมาก เริ่มตั้งแต่ช่วงวัยหัดเดินไปจนถึงผู้เฒ่าผู้แก่
- มีน้องที่มาทำงานน้ำหนัก 75 กก. เป็นลมขณะทำงาน ต้องใช้ชายฉกรรจ์ 4 คนหามอย่างทุลักทุเล ... นึกในใจว่า "ถ้ากูเป็นลม คนอื่นจะลำบากแค่ไหนเนี่ย"

Tuesday, September 4, 2007

Stop the Floods




รู้สึกว่าช่วงนี้ผู้คนจะกลับมานิยม hi5 กันอีกครั้ง
เราคิดว่ามีเหตุผลหลักๆอยู่สามประการด้วยกัน
ข้อแรกคือพวก theme และ widget ที่มีออกมามากขึ้น
บรรดาของเล่นต่างๆที่นำมาแปะตกแต่ง profile ได้
ทั้งพวก glitter effect และ avatar น่ารักๆ
หรือแม้แต่การเอาเพลงหรือวิดีโอมาใส่เอาไว้
พวกนี้ทำให้ profile เราดูวูบวาบมากขึ้น คนเข้ามาก็ไม่ได้เจอแต่อะไรนิ่งๆ

ปัจจัยข้อสองคือพัฒนาการของตัวระบบ hi5 เอง
ทางเวบพยายามเพิ่มความสะดวกในการใช้งาน
โดยเฉพาะในการเชื่อมโยง (connect) กับเพื่อนคนอื่นๆ
และเพื่อนของคนอื่นอีกที ... และเพื่อนของเพื่อนของคนอื่นอีกที
ระบบแบบนี้ทำให้สังคม social networking โตขึ้นเรื่อยๆ
เห็นได้ชัดจากการปรับหน้า home ใหม่ให้เราเลือก add “เพื่อน”ได้ง่ายมากๆ

และเหตุผลสุดท้ายที่เราคิดว่าเป็นข้อที่มีส่วนสำคัญที่สุด
นั่นคือการที่สังคม hi5 ได้หลุดเข้าไปสู่สังคมกระแสหลักของอินเตอร์เนท
จากที่ในช่วงแรกมีแต่กลุ่มผู้ใช้งานอินเตอร์เนทระดับกลาง (intermediate) ขึ้นไป
ยุคแรกคนเล่น hi5 (และอื่นๆเช่น myspace) จะอยู่ในช่วงอายุ 15 – 30 ปี
ตอนนี้ช่วงอายุคนเล่นขยายออกกว้างขึ้นมาก อยู่ในช่วง 10 – 50 ปี
เมื่อวานนี้เราได้ยินอาเสี่ยคนนึงคุยกับ“เด็ก”ของเขาเรื่องcommentกันใน hi5
ซึ่งเราถือว่าเป็นปรากฏการณ์ใหม่มากๆ เราไม่เคยคิดว่าอาเสี่ยจะคุยเรื่อง hi5
เราไม่เคยคิดด้วยซ้ำว่าคนพวกนี้จะเล่นอินเตอร์เนท!

คาดว่ากลุ่มผู้ใช้จะขยายตัวมากขึ้นไปอีกสักระยะก่อนที่จะเงียบหายไป
ยกเว้นว่า hi5 จะพัฒนาขึ้นไปอีกขั้นให้เลือกภาษาไทยในเมนูการใช้งานได้
ถ้าเป็นอย่างนั้นกลุ่มอายุและการศึกษาของผู้ใช้น่าจะขยายขึ้นไปได้อีก
จริงๆตอนนี้มีเวบไทยที่หนึ่งที่ทำของแบบเดียวกันอยู่
แต่ด้วยกลุ่มผู้ใช้ที่ยังไม่มากนัก น่าจะทำให้สังคมยังหลวมๆ ไม่แน่นเหมือน hi5 และจะหายไปในที่สุด

ขอพูดถึงอีกอย่างที่ตอนนี้กำลัง“อิน”มากใน hi5 นั่นคือการ comment
มีทั้งการแลก comment กันเหมือนพูดคุย
และการ comment ด้วย widget ไว้ใน profile ของเพื่อน
ซึ่งทั้งสองอย่างนี้ ... ทำให้เรารำคาญมาก
จริงๆเหตุผลลึกๆของทั้งสองอย่างคือทำให้คนสนใจ ผู้ให้ comment
แต่มันเบี่ยงเบนเหตุผลจริงๆของการ comment
นั่นคือการให้ “ความเห็น” เกี่ยวกับเจ้าของ profile นั้นๆ
ถ้าหากจะพูดคุยทำไมไม่ส่ง Message ซึ่งระบบเตรียมไว้ให้
หรือถ้ากลัวคนอื่นไม่เห็นว่าคุยอะไรกัน ก็เขียนใน Scrapbook ที่เขาก็เตรียมให้เช่นกันสิ
ส่วนไอ้การมาโฆษณาตนเองด้วยการใส่ widget เอาไว้นี่
เราถือว่ามันเป็นการกระทำที่ “หยาบคาย” มากๆ
มันเป็นการทำลายหน้าตาของ profile คนๆนึงที่ตั้งใจทำเอาไว้เลย
ทำให้หน้า profile ของคนอื่นรก และกิน resource ของ host โดยไม่จำเป็น
(เรื่อง resource มันจะโยงไปถึงเรื่องทรัพยากรธรรมชาติด้วย แต่มันไกลจากประเด็นนี้)
เพียงเพื่อความต้องการส่วนตัวของตนเองเท่านั้น

ถามว่ามันเป็นเรื่องสำคัญมั้ย เราว่าจริงๆก็อาจจะไม่ค่อยหรอก
เพราะเราก็เลือกที่จะปล่อยมันผ่านไปโดยไม่ต้องไปสนใจก็ได้

แต่เราแค่เป็นห่วงสภาพสังคมที่ผู้คนทำอะไรโดยปราศจากความเคารพต่อคนอื่น


ก็แค่นั้นเอง


Note:
- มีคนบอกว่าชื่อภาษาไทยของ hi5 คือ www.สวัสดีฮ่า.com
- ขออภัยล่วงหน้าสำหรับใครก็ตามที่มา comment อะไรที่ไม่มีประเด็นเอาไว้ในหน้า profile เรา จะขอลบโดยไม่บอกกล่าวนะ
- ตัวเลขเรื่องช่วงอายุผู้ใช้มาจากการประมาณการของเราเอง ไม่สามารถนำไปอ้างอิงในการทำรายงานใดๆได้

Monday, August 27, 2007

A Few Good Songs

เมื่อเช้าได้ฟังเพลงใหม่(รึเปล่า)ของญารินดาจากทาง FAT Radio 104.5FM
เป็นการตั้งใจฟังเพลงทางวิทยุครั้งแรกในราวๆ3-4เดือน
ช่วงที่ผ่านมาเราไม่ฟังวิทยุเลย ด้วยเหตุผลของความเบื่อ
เราเอียนกับความซ้ำซากของเพลงในช่วงนี้
เราเอียนกับกระแส Mass Media ที่กำลังกลับมา
อาจจะเป็นเพราะเป็นคนต่อต้านกระแสมวลชนอยู่แล้วด้วย
ประกอบกับความจำเจของเนื้อหาเพลงที่มีอยู่ทางวิทยุ
ทำให้เราเลิกฟังเลิกติดตามเพลงไทยไปพักหนึ่ง

สาเหตุที่เรากลับมาฟังวันนี้เพราะความสงสัย
สงสัยว่ากระแสเพลงผู้ชายเหงา เศร้า เจ็บปวดมันหายไปรึยัง
สงสัยว่านักร้องที่เกิดจากรายการต่างๆจะหดหายไปมั้ย
สงสัยว่าจะมีใครทำอะไรใหม่ๆมาให้รู้สึกมีความหวังได้บ้าง
ปรากฏว่าสิ่งเหล่านี้ยังคงมีอยู่เรื่อยมา และคงจะมีอยู่ต่อไปอีกระยะยาว

แต่ในความจำเจนี้ก็ค่อยๆมีคนที่ทำอะไรมาให้เราฟังได้ (ถึงจะไม่บ่อย)
เราคอยเปลี่ยนหนี อ๊อฟ-ปองศักดิ์ และสหายร่วมอุดมการณ์
เราหยุดฟังเมื่อเจอ Scrubb, Bodyslam และ ... (มีแค่สองวงเองหรอเนี่ย)
และวันนี้เราก็หยุดที่ Fat ที่ไม่ฟังไปพักใหญ่เหมือนกัน ด้วยเหตุผลที่ตรงข้ามกับเพลง Mass โดยสิ้นเชิง
หลายๆทีเราไม่ชอบความจงใจ จะแหวก จะแปลก ของเหล่าศิลปิน Fat-ๆ

กลับมาที่ Fat และ ญารินดา อีกครั้ง
เพลงใหม่ของญารินดาเป็นเพลงที่เราไม่รู้ว่าเรียกว่าแนวอะไรดี
จะว่าฟังง่ายก็ง่าย แต่จะฟังให้ยากก็ได้เหมือนกัน
มีเสียงกีตาร์คอยห่อเนื้อเพลงไม่กี่คำ และทำนองเหงาๆ
พร้อมกับเสียงทรัมเปตที่คอยแทรกขึ้นมาเป็นระยะ

แล้วเราก็เกิดความรู้สึกผูกพันกับมัน(เพลง)อย่างประหลาด
เรารู้สึกว่าเพลงๆนี้เติมช่องว่างความคิดของเรา
เรารู้สึกว่าอารมณ์ของเรากำลังตอบโต้อยู่กับเพลงนี้
และนั่นทำให้เราคิดขึ้นมาได้ว่า งานศิลปะที่มีคุณค่านั้นควรจะเป็นยังไง

อาจจะเป็นแค่ความคิดของเราเองก็ได้
แต่เราว่าผลงานศิลปะนั้นควรกระตุ้นความคิดและอารมณ์ของผู้เสพ
งานศิลปะควรเติมเต็มจิตใจเราเมื่อพบเห็นหรือรับฟัง
ไม่ใช่งานที่บอกทั้งหมด แต่เหลือที่ว่างให้เราได้คอยเติมเข้าไปเอง

ถ้าจริงอย่างนั้น งานที่บอกทุกอย่างออกมาตรงๆนั้น
คงไม่ได้ถือเป็นงานที่มีคุณค่าในเชิงศิลปะแน่
และผู้ที่สร้างสรรค์มันขึ้นมาก็ไม่สมควรจะถูกเรียกว่าศิลปิน




[ภาพจาก yarinda.com - เวบสวย รูปสวย เข้าไปดูกันครับ]

ขอบคุณ ญารินดา บุนนาค ที่ทำให้เรานึกได้ว่า ไม่ใช่ทุกคนที่งมงายกับกระแสมวลชน
ขอบคุณ Fat Radio ที่คอยเป็นผู้เสนอทางเลือกให้คนฟังเพลง


Note:
- เข้าไป Truehits เพื่อดูอันดับคำที่คนค้นหาเยอะที่สุด แน่นอนว่าคำสุดฮิตอย่าง เกม หางาน คลิป ดูดวง แอบถ่าย หรือ ภาพหลุด จะต้องติดอันดับ แต่ว่าในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา มีคำหนึ่งคำที่ไม่เคยคิดว่าจะมีคนsearchโผล่ขึ้นมาถี่มากจนติด Top10 เกือบทุกวัน ...

“ยาพิษ” (ของเค้าแรงจริงๆ)

Thursday, August 9, 2007

Gossip Rules

ระหว่างรออาหารตามสั่งที่ร้านแถวบ้านเมื่อคืนนี้
เราเดินแวะไปดูของที่ร้านข้างเคียง
ในนั้นมีผู้หญิงคนนึงมากับแฟนของเธอ
แล้วเธอก็พูดว่า "มีแต่นมทั้งนั้นเลย"
ตอนแรกเราก็คิดว่าคงเลือกของกันหน้าตู้เย็นธรรมดา
แต่ 4 วินาทีผ่านไป นึกได้ว่าเราอยู่ในร้านหนังสือ
เลยลองเดินแฉลบไปแถวๆที่สองคนนั้นยืนอยู่
พบว่านมเต็มไปหมดจริงๆเลยด้วย (อืมมมม)

นอกจากนมจะเต็มแผงแล้ว ยังมีคำบรรยายสรรพคุณมาด้วย
" (ใคร)นมทะลักจอ !!"
" (ใคร)ถูกล้วงก้น-นม !!"
" (ใคร)แจกนมกลางงาน !!"
" (ใคร)หัวนมโผล่กลางแคตวอล์ค !!"
" (ใคร)นมเท่าลูกฟุตบอล !!" (นี่มันอะไรกันวะเนี่ย!?!!??!)

ที่สำคัญกว่านั้นคือ เราแทบจะไม่รู้จักใครที่ปรากฏอยู่บนแผงเลย
ส่วนหนึ่งอาจจะเป็นเพราะไม่ค่อยดูทีวี แต่ว่ามันก็เกินไปนะ
มีแต่วิธีนี้หรอคนๆนึงจะเป็นที่รู้จักได้ (แล้วผู้ชายทำไงล่ะ?)
แล้วคนพวกนี้เค้าเคยเดินผ่านมาแผงหนังสือมั้ยนะ

กลับมานั่งกินอาหารตามสั่ง ว่าจะเดินไปเซเว่นซื้อโอรีโอซะหน่อย
กะจะเอามาจุ่มนมกินเป็นของว่างมื้อดึก


เยี่ยมไปเลย วงการบันเทิงไทย ขายไม่ดีให้มันรู้ไป



Note to readers:
- เจียดเวลามาเขียน Blog กันหน่อยครับทุกท่าน มีคนว่างๆเค้ารออ่านอยู่