Menu

Showing posts with label Passion. Show all posts
Showing posts with label Passion. Show all posts

Thursday, November 19, 2009

A Quest for Questions


[image: jamuraa @ flickr]

เคยมีเวลาที่คุณนั่งอยู่เฉยๆแล้วลองมองเรื่องราวต่างๆในชีวิตรึเปล่า?
ไม่ว่าจะเป็นเรื่องสิ่งที่ทำอยู่ในวันๆ เรื่องความฝันที่ต้องการ เรื่องผู้คนรอบๆตัว
มีใครเคยบอกไว้ ซึ่งผมก็จำไม่ได้และวันนี้ก็ไม่อยู่ในอารมณ์ที่จะหาคำตอบนั้นด้วย
"ยิ่งเราวิ่งเร็วขึ้น สิ่งรอบตัวเราก็จะยิ่งกลายเป็นเพียงภาพเบลอ"
ถ้าพอมีเวลาก็อยากชวนให้ลองหยุดคิดตั้งคำถามกับตัวเองดูบ้าง แทนที่จะถามคนอื่น

เราทำสิ่งที่ทำอยู่ทุกวันนี้ทำไม?
สิ่งที่เราทำมันทำให้ชีวิตเราหรือใครดีขึ้นบ้างมั้ย?
ความฝันที่เราเคยอยากทำทุกวันนี้เข้าใกล้หรือยิ่งออกห่างไปไกล?
ของที่เราเคยชอบตอนนี้ยังรู้สึกชอบมันรึเปล่า?
เพื่อนที่เคยสนิทชอบพอ ทุกวันนี้ยังอยากคุยด้วยบ้างมั้ย?

คำถามพวกนี้มันอาจจะไมได้เปลี่ยนแปลงชีวิตของเรา
แต่อย่างน้อยนานๆทีมันก็ช่วยให้เราจำได้อีกครั้งว่าเราคือใคร

ก็อย่างที่บอกว่าถ้าว่างผมก็อยากชวนให้ลองถามตัวเองกันบ้าง
บางทีคำตอบที่ได้กลับมาอาจจะทำให้คุณแปลกใจ
อย่างน้อยๆผมก็แปลกใจกับตัวเองมาแล้วเหมือนกัน

Friday, June 26, 2009

Dark Side Story


[image by: eco-photography @ flickr]

ธีรดล แกสตั้น เคยบอกเอาไว้ในหนังสือ Flure Therapy ใจความคร่าวๆคือ
การที่เขาไปร่วมงาน(คอนเสิร์ต)กับอรอรีย์ จุฬารัตน์เป็นเสมือนการปลดปล่อยความบ้าในตัว
ชำระด้านมืดของตัวเองเพื่อให้สามารถกลับมาทำเพลงกับฟลัวร์ได้อย่างเป็นฟลัวร์เต็มที่

เราว่าทุกคนก็มีด้านมืดในใจทั้งนั้น มากบ้างน้อยบ้าง เก็บอยู่บ้างไม่อยู่บ้าง
ซึ่งคำว่าด้านมืดนั้นไม่ได้แปลว่าด้านที่เลวร้าย หรือน่าหวาดกลัวเสมอไปหรอก
สำหรับเราด้านมืดคือความเป็นตัวของตัวเอง ที่ฝืนกับภาระหน้าที่ที่รับผิดชอบอยู่
ทุกคนมีความฝัน มีอุดมคติ แต่บทบาทของตนในสังคมมักไม่เปิดโอกาสให้แสดงออกมา
ดังนั้นถ้ามีโอกาสที่สามารถทำแบบนั้นได้ ก็ย่อมอยากจะระบายปลดปล่อยมันออกมาให้สุด
ก่อนที่จะต้องกลับไปสวมหมวกบทบาทที่สังคมคาดหวังไว้อีกครั้งหนึ่ง

ในชั้นเรียนวิชาการตลาด อาจารย์ท่านหนึ่งได้พูดเอาไว้ว่า
คนเราส่วนใหญ่จะมีรองเท้าอยู่สามคู่

คู่แรกเป็นรองเท้าที่ใส่ไปทำงานเป็นประจำ
คู่ที่สองเป็นรองเท้าสวยๆไว้ใส่เฉพาะเวลาไปออกงาน
และคู่ที่สามคือรองเท้าแบบห่วยๆใส่สบายๆในวันว่าง
ความหมายของรองเท้าคู่แรกก็คือบุคลิกของเราที่เป็นไปตามบทบาททางสังคม
รองเท้าคู่ที่สองคือภาพลักษณ์ที่เราอยากจะแสดงให้คนอื่นเชื่อว่าเราเป็นอย่างไร
และคู่ที่สามคือตัวตนจริงๆอย่างที่เราเป็น โดยไม่ได้คำนึงว่าคนอื่นคิดอย่างไร

สัดส่วนความบ่อยในการใส่รองเท้าแต่ละแบบของแต่ละคนย่อมไม่เท่ากัน
บางคนใช้เวลาอยู่กับรองเท้าคู่แรก อีกคนนึงก็พยายามจะใส่คู่ที่สองตลอดเวลา
อาจจะมีคนกลุ่มนึงที่โชคดีที่สามารถใส่คู่ที่สามได้บ่อยๆ หรือแม้แต่สามารถใส่ไปทำงานได้
หลายๆคนอาจจะคิดว่านั่นน่าอิจฉา (ในแวบแรกเราก็คิดเหมือนกัน) แต่พอมาคิดดูดีๆแล้วไม่เลย
เพราะถ้างั้นก็ต้องพยายามทำบุคลิกให้เข้ากับรองเท้าบ้านๆคู่นั้นอยู่ดี
เพราะกลายเป็นว่าสังคมคาดหวังให้เราใส่คู่นั้นอยู่ตลอด
เวลา
ไม่ว่ารองเท้าแบบไหนใส่นานๆโดยไม่เปลี่ยนเลยมันก็คงจะไม่ดีทั้งนั้น

พอคิดยังงี้แล้ว คนที่น่าอิจฉาน่าจะเป็นคนอย่างธีรดลนี่แหละ
รองเท้าคู่แรกก็สบายเท้าดี แต่ก็ยังมีโอกาสให้ใส่รองเท้าคู่ที่สามได้บ่อยๆด้วย


Note:
- ไม่เข้ามาเขียนนานๆ เล่นเอาเกือบลืมวิธีใส่รูปประกอบแน่ะ

Tuesday, September 23, 2008

Golden Generation


[image by: lerk7]

วันก่อนเราพูดกับเพื่อนเราว่ารู้สึกโชคดีที่ได้เกิดและโตมาในยุคของเรา
ได้เห็นเทคโนโลยีค่อยๆพัฒนาเร็วขึ้น และเร็วขึ้นเรื่อยๆ
เห็น computer เปลี่ยนจากอุปกรณ์สำนักงานชั้นสูงจนเป็นกลายเครื่องใช้สามัญ
ทันใช้ DOS แล้วเปลี่ยนเป็น Windows จนอีกหน่อยทุกอย่างคงเป็น Surface Computing
ได้ใช้อินเตอร์เนทตั้งแต่ยุคแรก เห็น Dot-Com Boom และ Dot-Com Bust จนฟื้นตัวอีกครั้ง
ผ่านช่วง cycle เศรษฐกิจช่วงรุ่งเรือง ช่วงตกต่ำ ช่วงฟื้นตัว ช่วงวิกฤติการเงินโลก
ทันชีวิตการสอบเอนทรานซ์แบบเก่า (ถึงจะไม่ได้ทำอะไรมาก และไม่รู้ว่าแบบใหม่เป็นยังไง)
ดนตรี alternative และ britpop เข้ามาในช่วงอายุที่ดีที่สุดของการฟังเพลง

แล้วเราก็คิดขึ้นมาว่าคนในทุกยุคก็คงคิดเหมือนๆกันละมั้ง

แต่ถ้าเกิดเร็วกว่านี้คงพลาดความน่าตื่นตะลึงของวิทยาการใหม่ๆ และขอบเขตความคิดมนุษย์
แต่ถ้าเกิดช้ากว่านี้คงไม่มีความรู้สึกตื่นเต้นกับอะไรสักอย่างในโลกนี้ เพราะมันเป็นเรื่องธรรมดาไปหมด


Note:
- งานศิลปะ(?)แบบ collage(?) ที่เห็นด้านบนนี้เราทำเองนะ ช่วยชื่นชมในความพยายามด้วย
- Inspiration ของหัวข้อนี้เกิดจากการดู Back to the Future เมื่อเร็วๆนี้อีกครั้ง

Thursday, August 28, 2008

thank you, thank you so much


[image by: KathrynKelly @ deviantArt]

"ขอบคุณ ขอบคุณมาก"
ประโยคนี้หลุดออกมาซ้ำๆไม่รู้กี่ครั้ง พร้อมกับน้ำตาที่ไหลพรู
ผู้คนส่วนใหญ่ได้แต่สงสัยว่าเกิดอะไรขึ้น
แต่เราจะจำประโยคนี้ให้ขึ้นใจ ไม่มีวันลืม
เรื่องราวในคืนฤดูร้อนปี 2004

"ขอบคุณ ขอบคุณมาก"

Saturday, January 26, 2008

Home Awaits


[image by: gottcha78 @ flickr]

อึดอัดมาก ไม่ค่อยได้เขียนอะไรในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมานี้
จู่ๆงานก็เข้ามาเยอะมากผิดหูผิดตา จากว่างๆก็มีโปรเจกต์มา 3-4 อย่าง
ทำให้ตั้งตัวไม่ค่อยทันเหมือนกัน และเวลาก็ลดหายไปหมด
มีเรื่องเกิดขึ้นเยอะนะ รอบๆตัวเราช่วงนี้
พยายาม draft ทิ้งไว้ก่อน ถ้าว่างจะมาเขียนเล่าต่อ
แต่มีเรื่องนึงจำเป็นต้องเขียนก่อนเลย

ไม่รู้จะเกริ่นยังไง บอกง่ายๆเลยดีกว่า


"จะกลับไปละนะ"


ขอบคุณ คนนี้ และ คนนี้ ที่มีพื้นที่ให้ผมมาตลอด และยังให้โอกาสดีๆอีกครับ
ขอบคุณทุกท่านเหล่านี้ที่ไม่เคยลืมกัน ทำให้ผมไม่ต้องกังวลที่จะตัดสินใจ
... แล้วจะรีบไปครับ


This is the easiest decision for me;
there are no worries or anxiousness,
only happiness and excitement.
I know it's still very early to talk,
but this will be good.

... I'm running home

Friday, November 23, 2007

Nostalgia


[ถ้าอยากดูรูปใหญ่ๆก็ click ที่นี่]

1.เลิก 2.ตี๋ 3.น้องคิส 4.พี่โรส 5.พี่เก๋ 6.น้องมินท์ 7.พี่อ้อ 8.น้องต๊ะ 9.พี่เจี๊ยบ 10.เจฟ
11.มุขเอก 12.พี่โอ๋ 13.แยม 14.พี่ปอ 15.พี่พี ... และนอกจากนี้ยังต้องมี
16.พี่แก้ว 17.พี่เอ็ม 18.บึก 19.น้องทราย 20.น้องรส 21.น้องเซาะ

คนเหล่านี้คือเพื่อน พี่ น้อง ที่เหมือนครอบครัวเดียวกับเรา
ที่ๆเคยอยู่ด้วยกันตอนนั้นเป็นเหมือนบ้านของพวกเรา
วันที่เราจะออกมาเราร้องไห้
พอได้เห็นรูปนี้บนบล็อกพี่ปอก็น้ำตาซึม

หวังว่าสักวันคงได้กลับมาอยู่ด้วยกันอีกนะ

Friday, October 26, 2007

Thin Layer of Music


[image by: mach5 @ deviantART]

ซีดี หรือ Compact Disc แผ่นแรกที่เรารู้จักเป็นของ แจ้ ดนุพล แก้วกาญจน์ จะว่าไปก็คงเคยเห็นเคยฟังแผ่นอื่นมาก่อน แต่แผ่นแรกที่ทำให้เรารู้จักซีดีจริงๆก็คือแผ่นนี้ มันเป็นแผ่นของแม่ที่มีเพลงที่เราชอบอยู่เพลงนึง (จำชื่อเพลงไม่ได้แล้ว)

จากเด็กที่เคยรู้จักแต่คาสเซ็ทเทปมา เรารู้สึกตื่นเต้นกับการฟังเพลงจากซีดีมากๆ เราชอบซีดีเพราะมันดูสวยและมีค่า ชอบเพราะคนเค้าพูดกันว่ามันเก็บได้นาน และชอบที่สุดเลยตรงที่มันเลือกเล่นเพลงที่เราอยากฟังได้เลย และจะฟังแค่เพลงเดียวก็ได้ จากที่แต่ก่อนอยากฟังเพลงไหนก็ต้องคอยกรอเอาด้วยเครื่องเล่นบ้าง และบ่อยครั้งด้วยปากกาเพราะที่บ้านกลัวเครื่องเล่นเทปเสีย (คิดว่าการที่คนฟังต้องกรอเป็นสาเหตุที่เพลงดังต้องอยู่ต้นม้วนในสมัยก่อน) แต่พอรู้ว่าเลือกเพลงที่อยากฟังจากซีดีได้ทันที เราก็ฟังเพลงของแจ้ไปบ่อยเท่าที่เราจะอยากฟัง

พอขึ้นมัธยมเราเริ่มเล่นดนตรีและหาซื้อเพลงมาฟังมากขึ้น ซื้อเทปเยอะมาก ประมาณสัปดาห์ละ 5 ม้วนได้เลย บางทีก็จำไม่ได้ว่าซื้ออะไรมา หรืออัลบั้มไหนของใครเพลงไหนเพราะ ก็เลยแก้ปัญหาด้วยการทำเทปเพลงรวม (
mixtape) เรื่อยๆ ชอบเพลงไหนของใครจดไว้ก่อนเพื่อเอามาอัดรวมกันอีกที พร้อมๆกับลืมความสะดวกของซีดีไปเลย

จนกระทั่งเราไปฟังเพลงของวง Weezer และชอบเข้าจังๆ แต่ว่าตอนนั้นไม่มีใครผลิตเทปวงนี้ออกมาขาย แต่มีซีดีขายอยู่ที่ร้าน Quark สยามสแควร์ เราชอบมากๆเลยต้องขอให้พี่สาวพาไปซื้อให้ (ไม่มีตังค์) และนั่นก็คือซีดีแผ่นแรกในชีวิตของเรา

แต่หลังจากนั้นก็ยังซื้อเทปอยู่ต่อไปนะ เพราะมันถูกกว่าเยอะ สมัยนั้นเทปเพลงสากลราคาม้วนละ 89 ซีดีแผ่นละ 500 เด็กมัธยมงบน้อยก็ต้องซื้อเทปอยู่แล้ว แต่ก็เก็บเงินไปซื้อซีดีแผ่นที่สองและสามในชีวิตจนได้ (2 อัลบั้มก่อนที่จะดังพลุแตกของ Green Day) แล้วเราก็เลยมีซีดีอยู่เท่านี้ไปราวๆหนึ่งปีเต็ม

จนเราได้ไปใช้เวลาอยู่ที่อังกฤษราวๆ 3 เดือน มันเหมือนได้เข้าสู่โลกของการฟังเพลงจริงๆ เริ่มตั้งแต่วันแรกที่เราไปถึงเป็นวันเดียวกับที่วงโปรดของเราออกอัลบั้มใหม่ เราก็เลยซื้อไปประเดิมซะ ช่วงที่อยู่ที่นั่นเราได้รู้จักเพลงและวงใหม่ๆทั้งจากวิทยุและแม็กกาซีน (แม็กกาซีนที่นั่นเค้าแจกเทปด้วย เลยซื้ออยู่บ้าง) และไม่ไกลจากบ้านมีร้านซีดีอยู่ เราก็ไปสมัครสมาชิกไว้อย่างดิบดีพร้อมกับแวะเข้าไปทุกวี่วัน เจอเพลงไหนน่าชอบนิดหน่อยหรือน่าสนเป็นต้องซื้อ และจะซื้อซีดีซิงเกิ้ลเยอะมากเพราะความถูกและน่าเก็บสะสม (แผ่นละ 1-2 ปอนด์) ตอนกลับเมืองไทยเรามีซีดีกลับมาด้วย 50-60 กว่าแผ่น (ด้วยเงิน 80% ของที่เอาไปทั้งหมด) พ่อกับแม่ก็บ่นๆเพราะไม่ซื้ออะไรเป็นชิ้นเป็นอันอย่างอื่นเลย

แต่ว่าพอกลับมาเมืองไทยก็ไม่ค่อยได้ซื้อเพิ่มอีกเลย ทั้งซีดีและเทป ครึ่งนึงเพราะไม่ชอบเพลงช่วงนั้นด้วย แถมราคายังขึ้นอีก (เทป 119 ซีดี 550) กว่าจะมาซื้ออีกทีก็ตอนที่ค่ายต่างๆปรับราคาลง และเราก็ไปทำ
ค่ายเพลงเล็กๆกับเพื่อน ตอนนั้นก็ถือว่าซื้อเอาไว้เป็น reference ยังไงก็คงมีประโยชน์ แต่เอาเข้าจริงก็ไม่ค่อยได้ใช้ เหมือนซื้อสนองความอยากตัวเองมากกว่า ซักพักก็ติดเป็นนิสัยไปร้านซีดี ซื้อเยอะขึ้นๆ เดือนนึงเกินสิบแผ่นก็มี ถึงขนาดบางแผ่นจนวันนี้ยังไม่ได้ฟังเลยด้วยซ้ำ

ไอ้การที่ซื้อซีดีเยอะเข้าๆเราก็เริ่มรู้สึกว่ามันเป็นของสะสมของเรานะ เป็นของที่เวลาไปเที่ยวต่างประเทศจะต้องซื้อกลับมาด้วยเสมอ และพอได้ทำงานที่เกี่ยวข้องกับเพลงและตัวซีดีเราก็เริ่มเลือกซื้อแผ่นที่หน้าปกถูกใจแทนที่จะเลือกจากเพลง แถมยังซื้อหนังสือรวมแบบปกซีดีต่างๆด้วย

กลับมาย้อนนึกดูที่มีคนบอกว่าทำไมเราไม่ค่อยซื้อของเป็นชิ้นเป็นอัน เรากลับคิดว่านี่แหละคือของที่เป็นชิ้นเป็นอันที่สุดแล้วในชีวิต เพราะมันหล่อหลอมความคิด ทัศนคติ และแสดงตัวตนของเราอย่างที่เราเป็นทุกวันนี้ และถ้าหากว่าเงินที่เราเสียไปมันสร้างความเป็นตัวเราขึ้นมาได้ นั่นก็คงไม่ถึงกับเสียเปล่าหรอกมั้ง


Note:
- จริงๆแล้วตั้งใจจะพูดถึงเรื่องนี้เพื่อจะโยงถึงเรื่องพฤติกรรมการซื้อสิ่งบันเทิงของคนสมัยนี้ทีหลัง (ให้วันนี้เป็น preface ไปก่อน)
- ร้าน Quark อยู่ที่สยามสแควร์ซอย3(ถ้าจำไม่ผิด) ก่อนที่จะปิดตัวลง ที่ชั้นบนสุดของร้านเป็นโซนขายซีดีเพลงสากลที่เยอะมาก (สำหรับยุคนั้น) และจะมีแผ่น import แปลกๆด้วย
- เราชอบไปหาซื้อซีดีจากร้านมือสองมากๆ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะราคาถูก แต่ที่สำคัญคือความรู้สึกเวลาเจอแผ่นที่ชอบหรือกำลังตามหาอยู่ มันเหมือนกับว่าเราได้เจอของมีค่าที่คนอื่นมองข้ามไป

- เราเคยได้ทำปกซีดีเองตั้งแต่ต้นจนจบด้วยนะ ว่างๆจะเอามาลงให้ดู (ไม่สวยมาก แต่ภูมิใจจัง)

Tuesday, October 23, 2007

Short-Term Plan

ลองคิดเล่นๆดูว่าต้องการจะทำอะไรในช่วงนี้ แต่เอาแบบเป็นไปได้จริงๆนะ
ถ้าหากจะเริ่มทำอะไรใหม่ๆ หรือเลิกทำอะไรเดิมๆ เราอยากจะทำอะไรบ้าง
มาดูกัน

1. เขียน blog เป็นอาชีพ (หมายถึงว่าอยากได้รายได้จากการเขียน blog)
จะทำยังไง? - อาจจะต้องเริ่มจากการหาthemeในการเขียนที่เหมาะสม มีกลุ่มเป้าหมายผู้อ่านที่ชัดเจน อาจจะไม่ได้ทำด้วยตัวคนเดียวแต่สามารถทำแบบรวมกับคนรู้จักเป็นกลุ่มเป็นก้อนเพื่อเขียนของที่เป็นประเด็นเดียวกันหรือมีความเกี่ยวโยงกันหรือเพื่อการโต้แย้งกัน รายได้ที่คาดว่าจะได้รับอาจจะไม่มากไม่มายอะไร อาจจะได้รับการสนับสนุน(endorsement)จากสินค้าประเภทต่างๆบ้าง หรือง่อยๆแบบคิดอะไรไม่ออกก็ขายbannerละกัน
เป็นไปได้มากแค่ไหน? - 7/10 จะเริ่มเขียน blog นั้นเริ่มได้ตลอดเวลาอยู่แล้ว แต่จะเขียนในเรื่องที่มีคนสนใจอ่านและหาช่องทางโปรโมทได้นั้นอาจจะทำให้ยากขึ้นมาอีกหน่อย แต่ที่ยากจริงๆคือมี traffic เข้ามาที่ blog มากพอจนจะได้ endorsement นี่สิ ยากแน่ๆ

2. เปิดร้านเสื้อแบบมี theme ไม่ใหญ่โตมาก
จะทำยังไง? - หา theme ในการขายเสื้อที่ไม่เคยเห็นคนทำ (อย่างน้อยก็ในประเทศนี้) ยกตัวอย่างเช่น UTStore ที่ญี่ปุ่นที่ เป็นร้านขายเสื้อที่ให้อารมณ์ร้านสะดวกซื้อบวกกับรถไฟใต้ดิน คือไปเดินเลือกแล้วหยอดเหรียญเพื่อซื้อเสื้อตามแบบจากตู้อัตโนมัติในร้านได้เลย
เป็นไปได้มากแค่ไหน? - 7/10 Theme ในหัวก็พอมีอยู่บ้าง เรื่อง supplier และการผลิตก็พอจะมีที่พึ่งอยู่ ที่ยากจริงๆคงเป็นเรื่องทำเล และก็ต้นทุนละมั้ง

3. เป็นครูบาอาจารย์
จะทำยังไง? - อยากเป็นคนที่ให้ความรู้คนอื่นได้ แต่อยากเน้นการสอนแบบสอนให้รู้จักคิด ให้รู้จักการหาข้อมูล หัดพัฒนาความรู้ด้วยตัวเอง และจะพยายามเป็นที่ปรึกษาด้านความคิดของเด็กนักเรียนด้วย
เป็นไปได้มากแค่ไหน? - 6.5/10 อยากเป็นอาจารย์สอนระดับชั้นมัธยมหรือมหาวิทยาลัย แต่จะสอนมหา'ลัยได้คงต้องจบปริญญาโทก่อน ดังนั้นที่พอจะเป็นไปได้คือระดับมัธยม ไม่รู้เหมือนกันว่าการจะเข้าไปเป็นครูหรืออาจารย์นั้นมันยากแค่ไหน แต่อยากทำจริงๆนะ

4. ไปเที่ยวต่างประเทศ
จะทำยังไง? - เหนื่อยหน่ายกับวิวทิวทัศน์เดิมๆในประเทศ อยากไปสิงคโปร์อีกแล้ว ทั้งๆที่ไปมาหลายทีแล้วก็ยังอยากไป คงเพราะไปง่าย ถูก และสะดวกเรื่องที่พัก แต่ก็อยากไปที่อื่นๆด้วยเหมือนกัน (ตอนนี้อยากไปนิวยอร์คนะ แปลกใจตัวเองเหมือนกัน)
เป็นไปได้มากแค่ไหน? - 9.5/10 สำหรับสิงคโปร์ : 5/10 สำหรับนิวยอร์ค

5. เริ่มทำทุกอย่างที่บอกไว้ข้างบน
จะทำยังไง? - เนื่องจากติดภารกิจทั้งงานและเรียนอยู่อาจจะดูเป็นไปไม่ได้ที่จะทำทุกอย่าง แต่ถ้าตัดอะไรสักอย่างออกไปได้ละก็ .... หึๆๆ
เป็นไปได้มากแค่ไหน? - ไม่รู้จริงจริ๊งงงงง

Note:
- เขียนเสร็จแล้วมาย้อนดูก็รู้สึกว่ามีคำว่า theme เยอะจัง
- เรื่องเขียน blog กลุ่มนั้นอยากทำจริงๆนะ ใครมีไอเดีย ใครอยากทำ ลองบอกมาได้

Wednesday, September 19, 2007

hyü : Preface



Hue [hyü]
-noun

1. a gradation or variety of a color; tint: pale hues.
2. the property of light by which the color of an object is classified as red, blue, green, or yellow in reference to the spectrum.
3. color: all the hues of the rainbow.
4. form or appearance.
5. complexion.

—Related forms
hueless, -adjective




เนื่องจากคงไม่มีคนเข้า Blog นี้มากกว่านี้อีกแล้ว
และไหนๆรูปก็ไปอยู่บน Blog ของพีร์แล้ว
เลยถือโอกาสนับตั้งแต่ตอนนี้ ค่อยๆแนะนำให้ทุกคนได้รู้จัก
โปรเจกต์ล่าสุด และ(น่าจะ)เอาจริงเอาจังที่สุดเท่าที่เคยคิดทำมา
เจอกันเต็มๆงาน Fat Fest #7 ครับผม

ระหว่างนี้คอยเข้ามาอ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่ครับ

Note:
- พี่พีอย่าลืมจองบูธให้ผมด้วยนะครับ ขอบคุณครับผม
- Definition by Dictionary.com

Tuesday, July 3, 2007

'tis

Be Brave
Be Bold
Be Free
Be Strong

These are the words I want to live and die for.

I want to be brave enough to face my fear.
I want to be bold enough to chase my dreams.
I want to be free so that I won’t be enslaved by human creations.
I want to be strong so I can fight for what I cherish.

And this will be what I live and die for.