Menu

Showing posts with label Work. Show all posts
Showing posts with label Work. Show all posts

Friday, February 1, 2013

Looking Back, Looking Forth

NEW ROAD LAYOUT AHEAD
[image: Gabriel Thomas @ flickr]

ผมพึ่งนึกอะไรบางอย่างได้ ...

ก่อนจะพูดถึงมัน ขอย้อนกลับไปราว 7 ปีกว่าๆก่อนหน้านี้
ผมกำลังนั่งอยู่กับหญิงสาวที่เป็น 'หัวหน้า' คนแรกของผม
น้ำตาผมไหลแบบควบคุมไม่ได้ จะพูดอะไรก็พูดไม่ออก
เวลาครึ่งปีก่อนหน้านั้นที่ผมคลุกคลีอยู่กับเธอและเพื่อนร่วมงานคนอื่นๆกำลังจะจบลง
ระยะเวลาครึ่งปีที่ผมได้ทำสิ่งที่รู้สึกว่าเป็นงานที่วิเศษที่สุดในชีวิตกำลังจะจบลง

นั่นคือการลาออกครั้งแรกของผม

ตอนนั้นผมรู้สึกเหมือนกำลังจะเสียสิ่งสำคัญในชีวิต
ผมลาออกเพื่อไปทำหน้าที่ที่สังคมและคนรอบตัวคาดหวัง
แต่ผมรู้สึกได้ว่าชีวิตผมคงไม่กลับไปมีช่วงเวลาวิเศษแบบนั้นได้อีกแล้ว
งานออฟฟิศอื่นไหนไม่มีทางมีความหมายเท่ากับที่นี่
เพื่อนร่วมงานที่อื่นก็ไม่มีทางมีเคมีที่เข้ากันได้มหัศจรรย์ขนาดนี้

ผมคิดแบบนั้นจริงๆ แม้ว่าจะไม่เคยทำงานออฟฟิศที่อื่นมาก่อน

ถัดจากวันนั้นมาอีก 3 ปี ผมนั่งตรงข้ามคนที่เป็นหัวหน้าเพื่อลาออกอีก 3 หน
การคุยแต่ละครั้งก็แตกต่างกันไป แต่ไม่มีครั้งไหนที่ผมจะฟูมฟายอย่างครั้งแรก
ส่วนหนึ่งเป็นเพราะผมทำใจไว้ตลอดว่าคงไม่สามารถผูกพันกับที่ไหนได้เท่านั้น
คงจะไม่มีที่ไหนที่เราจะรู้สึกอาลัย อยากทำงานให้ไปตลอดได้ขนาดนั้นอีก
นับจากวันที่ผมนั่งร้องไห้วันนั้น ผมจึงทำงานแต่ละที่เหมือนรอวันที่จะลาออกเท่านั้น

กลับสู่เวลาปัจจุบัน ... ขณะที่ผมพึ่งนึกอะไรบางอย่างได้ ...

ผมนึกออกว่าวันนี้คือวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2556
ผมกำลังทำงานให้กับบริษัทที่ทำธุรกิจประเภทที่ไม่เคยคาดว่าจะได้มามีส่วนเกี่ยวข้อง
ทำงานอยู่ในย่านที่ไม่คิดว่าจะมีคนสไตล์ที่เราคุ้นเคย และจะสนิทด้วยได้
วันที่ผมตัดสินใจทำงานที่นี่ ผมเผื่อใจว่าในไม่นานคงจะได้นั่งคุยกับหัวหน้าอีกแน่
ผมนึกออกว่าวันนี้คือวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2556 -- วันนี้ผมทำงานที่นี่ครบ 4 ปีพอดี

... และหากมีการลาออกครั้งต่อไป ผมอาจจะกลั้นน้ำตาไม่อยู่อีกครั้งก็ได้

Note:
- ขอบคุณเพื่อนร่วมงาน และหัวหน้างานทุกท่านที่อดทนความบ้าบอของผมได้

- ขอบคุณทุกคนในแผนก ที่ร่วมกันสร้างบรรยากาศที่ดีในการทำงานทุกวัน อยากให้รับรู้ว่าสิ่งที่เรามีร่วมกันนี้มันไม่ได้เกิดขึ้นง่ายๆนะครับ
- นึกว่าเขียนยาวแล้วนะ มาย้อนอ่านดูสั้นนิดเดียวเอง ถ้าเทียบกับแต่ก่อน

Wednesday, November 17, 2010

One Day in 2010


[image: lerk7]

เคยรึเปล่า - ที่บางวันตื่นนอนขึ้นมาแล้วรู้สึกได้เลยว่ามันจะต้องเป็นวันที่ดีแน่ๆ
วันนี้ผมลืมตาตื่นขึ้นพร้อมกับความมั่นใจว่ามันจะต้องเป็นวันที่ไม่ดีแน่ๆ

ถึงจะฟังดูต่างกันโดยสิ้นเชิงแต่ทั้งสองความคิดนี้มันมีอะไรที่คล้ายกันอยู่
ในกรณีแรก หากคุณตื่นมาพร้อมกับความรู้สึกว่าวันนี้จะเป็นวันที่ดี
ไม่ว่าระหว่างวันคุณจะพบเจออะไร คุณจะไม่รู้สึกว่ามันเลวร้ายมากนัก
แถมเรื่องเล็กๆที่เกิดขึ้นเป็นประจำทุกวันก็สามารถถูกมองเป็นเรื่องดีๆได้

ส่วนกรณีของผมที่ตื่นมาพร้อมความรู้สึกว่าไม่มีทางมีเรื่องดีเกิดขึ้นแน่ๆ
พอเจอเรื่องไม่ว่าเล็กน้อยแค่ไหนก็จะต้องรู้สึกแย่ไปหมด
เศษดินรถบรรทุกกระเด็นใส่ น้ำทิ้งหยดใส่ ของที่อยากกินหมด
และถ้าหากมีเรื่องที่แย่จริงๆเกิดขึ้นเมื่อไหร่ ความคิดแรกที่เข้ามาในหัวก็คือ
... "กูว่าแล้ว"

ถ้าใครรอตอนจบที่ได้แง่คิดสอนใจจากเรื่องนี้อยู่ อย่างที่เมื่ออดีตผมพยายามทำ
วันนี้ผมคงไม่สามารถคิดประดิษฐ์มันขึ้นมาได้ นอกจากบอกทุกคนว่า
"ขอให้นอนหลับสนิทยามค่ำคืน จะได้ตื่นมาพร้อมความสดใส"

... เท่านี้ล่ะครับวันนี้

Note:
- ไม่รู้มีคนรออยู่มั้ย แต่เรื่องงานแฟตของผมไม่มีกำหนดตอนต่อไปนะครับ เพราะอยากลงรูปให้ดูด้วย แต่คนถ่ายรูปหารูปไม่เจอ ... ก็รอไปด้วยกันครับ

Tuesday, November 9, 2010

Fat Impression


[image: Sittichai Jittatad @ deephead.com]

งานแฟตกับผมนับว่ามีความผูกพันกันมายาวนานพอสมควร แม้ว่าผมจะไม่ใช่กลุ่มผู้บุกเบิกที่ไปเทศกาลดนตรีนี้ตั้งแต่หนแรกที่โรงงานยาสูบก็ตาม แต่หากนับจำนวนชั่วโมงที่อยู่ในงานนี้ ผมค่อนข้างมั่นใจว่าไม่น้อยกว่าใครแน่นอน แม้กระทั่งทีมงานก็เถอะ เพราะว่าผมมักจะต้องไปตั้งแต่วัน set up + soundcheck ในวันงานจริงก็จะไปตั้งแต่เช้าของวันแรก (เช้าตรู่ในบางครั้ง) และอยู่กระทั่งปิดงานวันที่สอง จนคนงานเข้ามาเก็บกวาดสถานที่นั่นแหละถึงจะได้กลับ

ผมไม่สามารถตอบได้ว่าผมชอบงานแฟตมากน้อยเพียงใด เพราะความรู้สึกที่มีต่อเทศกาลนี้มันเปลี่ยนไปอยู่ตลอด บางมุมผมก็ชอบที่เรามีงานที่ทำให้ได้ดูโชว์ดนตรีแปลกๆจำนวนเยอะๆในงานเดียว ในราคาไม่แพง (หรือฟรีในครั้งแรกๆ) การจัดคอนเสิร์ตพร้อมกันหลายๆเวทีให้เราต้องตัดสินใจเลือกดูได้แค่วงเดียวในช่วงเวลาหนึ่งก็เป็นเสน่ห์อย่างหนึ่ง theme งานและสถานที่ที่เปลี่ยนไปตลอดทุกครั้งก็ทำให้ชื่นชมความพยายามของทีมงาน(ไม่ว่าสุดท้ายจะได้ผลตอบรับที่ดีหรือไม่ก็ตาม) และมีน้อยงานนักที่เราจะได้พบเพื่อนร่วมรสนิยม และพูดคุยกับศิลปินได้อย่างใกล้ชิดอย่างงานแฟต

กลับกันในอีกหลายๆมุมก็มีเรื่องที่ไม่ชอบอยู่เช่นกัน เช่นการที่ศิลปินอิสระบางท่านมองว่ามันเป็นงานสำคัญที่สุดประจำปีจนหลายคนที่ผมรู้จักต้องพยายามเร่งให้งานเสร็จทันขายในงานแฟตเหมือนว่าเส้นทางการเป็นศิลปินขึ้นอยู่กับงานนี้งานเดียวเท่านั้น หรือบางทีก็มีคนที่ตั้งหน้าตั้งตาจะมาหาผลกำไรจากงานเพียงอย่างเดียวโดยละเลยความกลมกลืนกับงานไปเสียสนิท รวมไปถึงความตั้งใจของศิลปินหรือค่ายเพลงที่จะมานำเสนอผลงานในเทศกาลนี้ที่ถดถอยลงไป สังเกตได้จากบูธที่ว่างเปล่าหลังประตูเข้างานเปิดแล้ว ต่างจากงานครั้งแรกๆที่ค่ายเพลงดูจะตื่นเต้นกับการได้มาร่วมงานแบบนี้มาก ซึ่งนั่นก็อาจเป็นเพราะปัจจุบันมีสิ่งที่ถูกเรียกว่าเทศกาลดนตรีเกิดขึ้นแทบทุกเดือนจนไม่เหลือความน่าตื่นเต้นแล้วก็เป็นได้

และที่คนอย่างผมจะไม่บ่นไม่ได้ก็คือเรื่องของกลุ่มคนจำนวนมากที่เข้ามายังงานเพียงเพื่อแสดงออกถึงอัตตาความ cool ในรูปแบบของตนเองโดยไม่สนใจว่าวัตถุประสงค์หรือกฎเกณ์ภายในงานเป็นอย่างไร

หากเหมือนว่าผมเริ่มเข้าสู่วัยกลางคนที่มองอดีตเป็นเรื่องสวยงามกว่าเหตุการณ์ปัจจุบัน และมีมุมมองปฏิเสธค่านิยมและพฤติกรรมของคนรุ่นใหม่ก็ไม่ผิดนัก เพราะผมก็ยังมีความอยากส่วนตัวที่ให้คนรักเรื่องราวของดนตรีให้ถึงแก่นของมันมากกว่าการเสพมันแบบฉาบฉวย ซึ่งมันคงไม่มีวันเป็นความจริงได้เพราะไม่ว่าอย่างไรยุคสมัยใดกระแสความฉาบฉวยนั้นย่อมเป็นกลุ่มเป้าหมายหลักอันเป็นตัวผลักดันทิศทางของธุรกิจต่างๆซึ่งเป็นแหล่งเงินทุนที่ทำให้เกิดงานที่ไม่น่าจะทำเงินจากกลุ่มคนเพียงหยิบมือได้

ที่เขียนมาข้างต้นนั้น ความตั้งใจแรกมันควรจะเป็นบทเกริ่นนำของสิ่งที่ผมกำลังจะเขียนต่อไป นั่นก็คือความทรงจำของผมเกี่ยวกับงานแฟตในแต่ละครั้งที่ผ่านมา แต่มองไล่ย้อนกลับขึ้นไปก็รู้สึกว่ามันเริ่มยาวกว่า entry ปกติที่ผมเคยๆเขียน หากเขียนต่อไปมันก็คงจะยาวอย่างมหาศาลเพราะความทรงจำในแต่ละปีนั้นมันช่างเยอะเหลือเกิน ขืนเขียนทั้งหมดไปคงไม่ทำให้ใครรู้สึกดีกับมันแน่ๆ

... ก็ขอยกไปไว้โอกาสหน้าละกัน

(ยินดีให้ติดตามอ่านตอนต่อไป)

Note:
- ลองทำสิ่งเนิร์ดๆด้วยการนับชั่วโมงที่อยู่ในงานแฟตแต่ละปีดู นับเฉพาะวัน set up และวันงานเท่านั้น (ไม่นับวันสำรวจสถานที่) ผลออกมาดังนี้:

ครั้งที่ 1 โรงงานยาสูบ
ระยะเวลาที่อยู่ในงานโดยประมาณ: 0 ชั่วโมง

ครั้งที่ 2 ห้างอิมพีเรียล ลาดพร้าว
ระยะเวลาที่อยู่ในงานโดยประมาณ: 0 ชั่วโมง

ครั้งที่ 3 สวนสยาม
ระยะเวลาที่อยู่ในงานโดยประมาณ: 48 ชั่วโมง

ครั้งที่ 4 สนามม้านางเลิ้ง
ระยะเวลาที่อยู่ในงานโดยประมาณ: 46 ชั่วโมง

ครั้งที่ 5 แดนเนรมิต
ระยะเวลาที่อยู่ในงานโดยประมาณ: 33 ชั่วโมง

ครั้งที่ 6 IMPACT Challenger Hall
ระยะเวลาที่อยู่ในงานโดยประมาณ: 35 ชั่วโมง

ครั้งที่ 7 IMPACT Challenger Hall
ระยะเวลาที่อยู่ในงานโดยประมาณ: 0 ชั่วโมง

ครั้งที่ 8 IMPACT Challenger Hall
ระยะเวลาที่อยู่ในงานโดยประมาณ: 32 ชั่วโมง

ครั้งที่ 9 IMPACT Challenger Hall
ระยะเวลาที่อยู่ในงานโดยประมาณ: 31 ชั่วโมง

ครั้งที่ 10 ลานทะเลสาบเมืองทองธานี
ระยะเวลาที่อยู่ในงานโดยประมาณ: 12 ชั่วโมง


รวมทั้งสิ้น 237 ชั่วโมง -- เยอะประมาณคนที่ไปงานทั้งสองวันทุกปี และอยู่ในงานตั้งแต่ประตูเปิดจนปิดงาน

- ภาพด้านบนเป็นภาพที่ผมชอบมากจากงานแฟตครั้งที่ 9 ถ่ายโดยคุณ สิทธิชัย จิตตะทัต (ช่างภาพสารคดีของกลุ่มช่างภาพ Hanuman และเว็บไซต์ deephead.com) -- เป็นภาพวันซาวด์เช็ค ขณะที่แม่บ้านกำลังทำความสะอาดพื้นที่ และต่างสงสัยว่าศิลปินที่ขึ้นมาซาวด์เช็คคนแล้วคนเล่าเหล่านั้นเป็นใครกัน

Thursday, November 19, 2009

A Quest for Questions


[image: jamuraa @ flickr]

เคยมีเวลาที่คุณนั่งอยู่เฉยๆแล้วลองมองเรื่องราวต่างๆในชีวิตรึเปล่า?
ไม่ว่าจะเป็นเรื่องสิ่งที่ทำอยู่ในวันๆ เรื่องความฝันที่ต้องการ เรื่องผู้คนรอบๆตัว
มีใครเคยบอกไว้ ซึ่งผมก็จำไม่ได้และวันนี้ก็ไม่อยู่ในอารมณ์ที่จะหาคำตอบนั้นด้วย
"ยิ่งเราวิ่งเร็วขึ้น สิ่งรอบตัวเราก็จะยิ่งกลายเป็นเพียงภาพเบลอ"
ถ้าพอมีเวลาก็อยากชวนให้ลองหยุดคิดตั้งคำถามกับตัวเองดูบ้าง แทนที่จะถามคนอื่น

เราทำสิ่งที่ทำอยู่ทุกวันนี้ทำไม?
สิ่งที่เราทำมันทำให้ชีวิตเราหรือใครดีขึ้นบ้างมั้ย?
ความฝันที่เราเคยอยากทำทุกวันนี้เข้าใกล้หรือยิ่งออกห่างไปไกล?
ของที่เราเคยชอบตอนนี้ยังรู้สึกชอบมันรึเปล่า?
เพื่อนที่เคยสนิทชอบพอ ทุกวันนี้ยังอยากคุยด้วยบ้างมั้ย?

คำถามพวกนี้มันอาจจะไมได้เปลี่ยนแปลงชีวิตของเรา
แต่อย่างน้อยนานๆทีมันก็ช่วยให้เราจำได้อีกครั้งว่าเราคือใคร

ก็อย่างที่บอกว่าถ้าว่างผมก็อยากชวนให้ลองถามตัวเองกันบ้าง
บางทีคำตอบที่ได้กลับมาอาจจะทำให้คุณแปลกใจ
อย่างน้อยๆผมก็แปลกใจกับตัวเองมาแล้วเหมือนกัน

Monday, September 21, 2009

Tell Me Why


[image by: Daniel Y. Go @ flickr)

หยุดเขียนบล็อกไปพักใหญ่ๆ น่าจะเป็นการห่างหายที่นานที่สุดตั้งแต่เริ่มเขียนเมื่อปี 2005
สาเหตุของการหยุดไปสรุปได้ใจความที่สุดคือความขี้เกียจของเราเอง ไม่เฉพาะเขียนบล็อก แต่เป็นทุกเรื่อง
แต่จะพยายามจะกลับมาเขียนให้ได้บ่อยเท่าๆเดิมอีกครั้ง ตั้งใจว่าอาทิตย์นึงไม่อยากต่ำกว่า 4 entry

เหตุที่คิดจะกลับมาเขียนก็เพราะว่าแผนการที่วางไว้ในอนาคตจะต้องกลับมาเขียน(แบบฉลาด)เยอะมากๆ
ไม่ว่าจะเขียนเป็นบล็อก เขียนเรื่องที่คิด เขียนแสดงความเห็น เขียนรายงานข่าว เขียน เขียน เขียน และ เขียนอีกหลายที
ถ้าไม่ดึงนิสัยและอารมณ์รักการคิดแล้วเขียนให้กลับมาอยู่ในระดับเดิมน่าจะทำให้เกิดปัญหาแน่นอน

ลองเลยละกัน กับหนึ่งในหลายเรื่องที่ draft เอาไว้:

Tell Me Why

ช่วง 2-3 ปีมานี้ผมตั้งคำถามอยู่บ่อยๆว่าทำไมทุกวันนี้วงการดนตรีมันเสื่อมถอยลงทุกวัน
ถ้าถามหลายๆคนก็น่าจะรู้สึกแบบเดียวกัน แต่นี่ไม่ใช่การต่อว่าคนหรือบริษัทไหนนะ
ผมเชื่อว่าเกือบทุกคนที่ทำงานในแวดวงดนตรีรักงานด้านนี้ และให้ใจกับมันเต็มที่
เพราะเอาจริงๆมันไม่ใช่งานที่รายได้ดีกลับมาคุ้มความเหนื่อยเลย -- ถ้าใจไม่รักอยู่ไม่ได้หรอก

ถ้าแกรมมี่เอาเงินที่มีอยู่ทุกวันนี้ไปลงทุนทำอย่างอื่นจะรวยกว่านี้มั้ย? เป็นไปได้มากๆ
ถ้าวันนี้คุณไพบูลย์ ดำรงชัยธรรม พูดออกจากปากมาว่า "ปีนี้เรางดทำเพลงแล้วเอาเงินค่าเพลงค่าโปรโมทไปสร้างคอนโดดีกว่า"
มั่นใจเลยว่ามันจะต้องเป็นคอนโดหน้าตาดีมากๆ(ที่ผมไม่มีปัญญาซื้อได้) ที่จะทำกำไรให้แกรมมี่มหาศาลกว่าที่เพลงทำได้นัก
แน่นอนว่ามันคงไม่มีทางเกิดเหตุการณ์นี้ขึ้น (การงดทำเพลงนะ แต่การไปสร้างคอนโดนั่นก็ไม่แน่ เพราะถึงไม่งดก็มีเงินมากพอ)
เพราะว่าเพลงมันคือตัวผลักดันให้ธุรกิจทุกส่วนในแกรมมี่เดินไปได้ ไม่ว่าจะวิทยุ โทรทัศน์ Digital Content หรือ Artist Management
พูดได้ว่าไม่มีเพลง ก็ไม่มีบริษัท จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ จำกัด (มหาชน) และราคาหุ้นร่วงลงเร็วกว่าคุณจะพูดคำว่า"ตก"จบคำด้วยซ้ำ

แต่อีกเหตุผลนึงที่ผมคิดว่าจะไม่เกิดเหตุการณ์นั้นขึ้นก็เพราะว่าทุกคนที่ทำงานรักวงการนี้
ผมคนนึงล่ะที่รักการเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องกับงานสร้างสรรค์ ถึงจะไม่ได้ทำเองเพราะฝีมือไม่พอ
ชอบการพูดคุยกับคนที่ทำงานด้านนี้เหมือนกัน เพราะเรามีมุมมองที่น่าสนใจมาเล่าให้ฟังกันได้ตลอด
ชอบบรรยากาศการทำงานที่หาไม่ได้จากงานสายอื่นๆเลยจริงๆ
คุณไพบูลย์ คุณเล็ก-บุษบา หรือผู้บริหารไม่ว่าระดับไหนก็คงรู้สึกเดียวกัน ว่ามันเป็นเหมือนบ้านหลังใหญ่
คนที่เราเจอก็คือสมาชิกของครอบครัว งานที่เราทำก็เป็นเหมือนงานดูแลบ้าน
ความสุขของเราคือเวลาเปิดบ้านให้คนอื่นเข้ามาเยี่ยมชมแล้วเค้ามีความสุขเราก็มีความสุขด้วย

แล้วถ้าทุกคนเป็นแบบนั้นจริงๆ(ซึ่งผมคิดว่า 90% เป็นงั้นจริงๆ) ทำไมเวลาเปิดวิทยุถึงได้ฟังแต่เพลงน่าเบื่อขนาดนี้
ศิลปิน นักร้อง นักดนตรี นักแต่งเพลง คนทำเบื้องหลัง คนทำงานก็เก่งขึ้นเรื่อยๆ อุปกรณ์การทำงานก็มีแต่พัฒนาขึ้น
แต่เพลงที่ถูกโปรโมทมันให้ความรู้สึกแห้งๆ แข็งๆ เซ็งๆ ทุกอย่างดูสำเร็จรูปไปหมด
จากประสบการณ์ที่ผมได้สัมผัสมานิดหน่อย ผมให้เหตุผลกับมันว่ามันเป็นเรื่องข้อจำกัดของคำๆเดียวว่า 'ธุรกิจ'

เมื่อเพลงถูกผลักดันจนกลายเป็นอาชีพ เป็นกิจการที่ทำเงินเลี้ยงชีพคนคนนึงหรือหลายพันคนได้
มันก็มีข้อผูกมัดและความกดดันที่จะต้องให้เพลงทุกเพลงที่ทำขึ้นมันทำเงินให้ได้ต่อไปอีกเรื่อยๆ
มีอยู่วันนึงผมนั่งกินข้าวอยู่แถวบ้านและบังเอิญมีโปรดิวเซอร์ท่านนึงนั่งคุยกับนักดนตรีรุ่นน้องโต๊ะติดกันพอดิบพอดี
ความเสือกทำให้ผมได้ยินเค้าคุยกันเรื่องเพลงที่กำลังแต่งอยู่ ยกตัวอย่างประโยคนึงของบทสนทนามาให้ดูกัน:
"ไอ้เพลงนี้นะ ถ้าร้องแบบปกติก็จะเป็น xx-yy-zz
แต่ถ้าตรงคำว่า yy เราใส่เอื้อนเสียงเข้าไปอีกนิด
เหมือนกับที่เพลง ABC ทำ มันก็จะฟังดูมีสเน่ห์ ติดหู และคนชอบได้"

ผมเคยได้ยินประโยคทำนองนี้มาหลายทีแล้วเหมือนกัน แต่วันนั้นผมสงสัยขึ้นมาว่าทำไมต้องพยายามหาทางให้คนชอบตลอด
นิดๆหน่อยๆก็ยังโอเค แต่พอมาทำแบบเป็นล่ำเป็นสัน เก็บทุกเม็ดในทุกเพลง เพลงมันก็เริ่มฟังดูจอมปลอมไปหมด
และส่วนใหญ่โปรดิวเซอร์นักแต่งเพลงพวกนี้นี่แหละที่เขียนเพลงเก็บไว้ใน song bank ของค่ายต่างๆ
พอมีนักร้องที่ร้องเพลงพอได้ หน้าตาดูดี ก็หยิบเพลงที่มีเนื้อหาเหมาะกับบุคลิกเข้ามาสวม ทำดนตรีใหม่ซะหน่อย พร้อมโปรโมททันที

พูดตรงๆผมทำใจยอมรับได้ที่จะมีศิลปินที่ขายหน้าตาที่หาเพลงที่คนอื่นทำไว้มาร้อง เพราะประเทศไหนๆก็ไม่ต่างกัน
แต่ว่าทำไมศิลปินที่มีความสามารถทำเพลงเองได้ถึงทำเพลงที่ออกมาให้ความรู้สึกแบบเดียวกันเลย

... มันเกิดอะไรขึ้นกับดนตรีที่ออกมาจากความรู้สึกจริงๆ บอกผมหน่อย?

Friday, June 26, 2009

Dark Side Story


[image by: eco-photography @ flickr]

ธีรดล แกสตั้น เคยบอกเอาไว้ในหนังสือ Flure Therapy ใจความคร่าวๆคือ
การที่เขาไปร่วมงาน(คอนเสิร์ต)กับอรอรีย์ จุฬารัตน์เป็นเสมือนการปลดปล่อยความบ้าในตัว
ชำระด้านมืดของตัวเองเพื่อให้สามารถกลับมาทำเพลงกับฟลัวร์ได้อย่างเป็นฟลัวร์เต็มที่

เราว่าทุกคนก็มีด้านมืดในใจทั้งนั้น มากบ้างน้อยบ้าง เก็บอยู่บ้างไม่อยู่บ้าง
ซึ่งคำว่าด้านมืดนั้นไม่ได้แปลว่าด้านที่เลวร้าย หรือน่าหวาดกลัวเสมอไปหรอก
สำหรับเราด้านมืดคือความเป็นตัวของตัวเอง ที่ฝืนกับภาระหน้าที่ที่รับผิดชอบอยู่
ทุกคนมีความฝัน มีอุดมคติ แต่บทบาทของตนในสังคมมักไม่เปิดโอกาสให้แสดงออกมา
ดังนั้นถ้ามีโอกาสที่สามารถทำแบบนั้นได้ ก็ย่อมอยากจะระบายปลดปล่อยมันออกมาให้สุด
ก่อนที่จะต้องกลับไปสวมหมวกบทบาทที่สังคมคาดหวังไว้อีกครั้งหนึ่ง

ในชั้นเรียนวิชาการตลาด อาจารย์ท่านหนึ่งได้พูดเอาไว้ว่า
คนเราส่วนใหญ่จะมีรองเท้าอยู่สามคู่

คู่แรกเป็นรองเท้าที่ใส่ไปทำงานเป็นประจำ
คู่ที่สองเป็นรองเท้าสวยๆไว้ใส่เฉพาะเวลาไปออกงาน
และคู่ที่สามคือรองเท้าแบบห่วยๆใส่สบายๆในวันว่าง
ความหมายของรองเท้าคู่แรกก็คือบุคลิกของเราที่เป็นไปตามบทบาททางสังคม
รองเท้าคู่ที่สองคือภาพลักษณ์ที่เราอยากจะแสดงให้คนอื่นเชื่อว่าเราเป็นอย่างไร
และคู่ที่สามคือตัวตนจริงๆอย่างที่เราเป็น โดยไม่ได้คำนึงว่าคนอื่นคิดอย่างไร

สัดส่วนความบ่อยในการใส่รองเท้าแต่ละแบบของแต่ละคนย่อมไม่เท่ากัน
บางคนใช้เวลาอยู่กับรองเท้าคู่แรก อีกคนนึงก็พยายามจะใส่คู่ที่สองตลอดเวลา
อาจจะมีคนกลุ่มนึงที่โชคดีที่สามารถใส่คู่ที่สามได้บ่อยๆ หรือแม้แต่สามารถใส่ไปทำงานได้
หลายๆคนอาจจะคิดว่านั่นน่าอิจฉา (ในแวบแรกเราก็คิดเหมือนกัน) แต่พอมาคิดดูดีๆแล้วไม่เลย
เพราะถ้างั้นก็ต้องพยายามทำบุคลิกให้เข้ากับรองเท้าบ้านๆคู่นั้นอยู่ดี
เพราะกลายเป็นว่าสังคมคาดหวังให้เราใส่คู่นั้นอยู่ตลอด
เวลา
ไม่ว่ารองเท้าแบบไหนใส่นานๆโดยไม่เปลี่ยนเลยมันก็คงจะไม่ดีทั้งนั้น

พอคิดยังงี้แล้ว คนที่น่าอิจฉาน่าจะเป็นคนอย่างธีรดลนี่แหละ
รองเท้าคู่แรกก็สบายเท้าดี แต่ก็ยังมีโอกาสให้ใส่รองเท้าคู่ที่สามได้บ่อยๆด้วย


Note:
- ไม่เข้ามาเขียนนานๆ เล่นเอาเกือบลืมวิธีใส่รูปประกอบแน่ะ

Thursday, April 2, 2009

Series, Misery, Trends

ขณะนี้ เว็บขายของออนไลน์ Trendyday.com ที่เราทำงานอยู่จะมีการปรับชื่อหมวดสินค้าให้เป็นภาษาไทย
เลยต้องเช็คดูว่าคำบางคำ คนสะกด search หายังไง จะได้หามาเจอเว็บของเราได้
เครื่องมือที่มีประโยชน์มากคือ Google Trends ที่จะบอกให้รู้ได้ว่าtrend ของคำๆนึงที่คน search เป็นยังไง
ดูแล้วก็เศร้าใจว่าทำไมคนไทยเขียนหนังสือกันแย่ลงเรื่อยๆ

ยกตัวอย่างคำว่า Series ที่เราคิดว่ายังไงๆก็ต้องสะกดแบบนี้ --> ซีรี่ส์
แต่โดนเถียงมาว่าต้องสะกดแบบนี้ถึงจะถูก --> ซีรี่ย์
เราก็คิดว่าจะเป็นไปได้ไงฟะ จะเอาย.ยักษ์มาจากไหนในคำว่า series เลยลองมาเช็คดู

ปรากฏว่า ....


เออ ยอมก็ได้



และด้วยความทำตัวว่างงานเลยลอง search ดัชนีความทุกข์ของคนไทยดูเล่นๆ


คนไทยเหนื่อยมากในเดือน ก.ค. ของปีที่ผ่านมา
ในขณะที่ trend ความเบื่อพึ่งจะ peak ไปเมื่อเดือน ก.พ. ของปีนี้
trend ในอนาคตความเหนื่อยกำลังกลับมา
ความเครียดกำลังทรงตัว
ความหิวและความง่วงยังมีไม่เยอะ แต่รักษาระดับไว้ได้ตลอด

จบข่าว

Wednesday, March 25, 2009

Repetitive Strain Injury

ขอฝาก entry นี้ให้ทุกๆคนที่ใช้คอมพิวเตอร์ประจำสม่ำเสมอ

เมื่อวานนี้เราเกิดอาการปวดไหล่ข้างขวาอย่างรุนแรงมาก
อีกทั้งมีอาการชาที่แขนขวาทำให้ขยับแขนได้ไม่สะดวก
จากการวินิจฉัยด้วยตนเองแล้ว นี่คืออาการที่เกิดจากการวางมือไว้ที่เมาส์ไว้เป็นเวลานานอย่างต่อเนื่อง
จะมีปวดตึงมากขึ้นหากเอามือขึ้นมาวางบนเมาส์ หรือกิจกรรมอื่นๆที่ต้องยกมือลักษณะองศาเดียวกันนี้
ยกตัวอย่างเช่น การเขียนหนังสือ การจับพวงมาลัยรถ การกดน้ำชำระโถปัสสาวะชาย การหมุนลูกบิดประตู
กิจกรรมอื่นๆที่น่าจะทำไม่ได้เช่นกันเช่น การเล่นซูโม่ หรือแม้แต่การเต้นรำแบบวอลทซ์หรือแทงโก้

คงเป็นเพราะท่ามาตรฐานของเราเวลานั่งที่คอมคือ มือขวาอยู่บนเมาส์
ส่วนมือซ้ายจะวางนิ้วนาง-กลาง-ชี้ไว้บนปุ่ม A-S-D ตามลำดับ (Damn that Counterstrike!)
และเราก็เป็นคนที่อยู่หน้าคอมเกือบตลอด ที่ทำงาน ที่มหาลัย ที่บ้าน เป็นแบบนี้มาตั้งแต่มีคอมที่บ้าน
แต่ถึงคนอื่นจะไม่ได้อยู่ในท่าที่ว่าบ่อยและนานเท่าเรา ก็อย่าประมาทละกัน
เพราะคนที่ทำงานหน้าคอมนานๆก็น่าจะมีความเสี่ยงที่จะเกิดอาการนี้ได้เสมอ
ต้องรู้จักหยุดพัก เดินไปเดินมา บริหารแขน คอ สายตา เป็นระยะๆ

ไม่อย่างนั้นอาจจะต้องงดเว้นการเต้นแทงโก้ไปซักระยะ


Note:
- เมื่อคืนใช้กระเป๋าน้ำร้อนประคบก็ดีขึ้นนิดหน่อย แต่ไม่หายขาด คาดว่าอาการนี้คงต้องไปฝังเข็ม
- ชื่ออาการนี้เรียกเป็นภาษาอังกฤษว่า Repetitive Strain Injury [อ่านข้อมูลเพิ่มได้ที่นี่]

Friday, March 13, 2009

Smells Like the Lion City


[Image from Waffar.com]

เมื่อคืนนี้เราเข้านอนแบบหิวมากๆ เพราะข้าวมื้อสุดท้ายที่กินไปคือตอนเที่ยงๆ
เช้าตื่นมาก็ยังหิวมากๆอยู่ เลยคิดว่าต้องฝืนกิจวัตรตัวเองด้วยการกินอาหารเช้า
และไหนๆก็ตื่นเช้าแล้วเลยคิดว่ามีเวลาพอแวะกินระหว่างทางไปออฟฟิศ
ด้วยเหตุผลใดๆก็ตาม เราเลือกที่จะฟุ่มเฟือยด้วยการกินอาหารเช้าของ McDonald's

ชุด Big Breakfast (ราคา 99 บาท) ประกอบไปด้วย:
- แป้งแฮมเบอร์เกอร์ทาเนย 2 ชิ้น
- เนื้อแฮมเบอร์เกอร์ 1 ชิ้น
- ไข่ Scrambled Egg 2 ฟอง
- Hash brown 1 ชิ้น
- กาแฟ 1 ถ้วย (ของประเทศในรูปนั่นเป็นน้ำส้ม -- ประเทศเราเป็นกาแฟ)
- เกลือ / พริกไทย / แยม / ครีมเทียม / น้ำตาล

ประเด็นที่จะบอกไม่ใช่เรื่องคุณค่าทางโภชนาการ (ที่น่ากลัวมาก เดี๋ยวจะบอกด้านล่าง)
พอเรายกอาหารชุดนี้มาที่โต๊ะแล้วเปิดฝาออก
กลิ่นอาหารและกาแฟที่ผสมกันในอากาสทำให้เรานึกถึงสิงคโปร์!
มันเป็นกลิ่นที่คุณจะรู้สึกได้เวลามาถึงสนามบิน Changi
เป็นกลิ่นที่ลอยอยู่ในอากาศของ Orchard Road ตอนสายๆ
เราบอกไม่ได้หรอกว่ามันเป็นกลิ่นเฉพาะของประเทศนี้
เพราะว่าเราก็ไม่ได้ไปประเทศอื่นมานานแล้วเหมือนกัน

กลิ่นอาหารเช้ามื้อนี้มันมีความรู้สึกไม่อยากรีบร้อนเคลือบความเร่งด่วนอยู่
เป็นแค่ชั้นผิวบางๆที่เหมือนทำขึ้นมาหลอกๆให้รู้สึกอุ่นใจในสังคมแบบตะวันตก

เป็นความจอมปลอมที่ทำให้เราเต็มใจที่จะเชื่อ
นั่นก็คงเป็นความเหมือนกันระหว่างอาหารเช้ามื้อนี้กับประเทศที่เราไปมาบ่อยที่สุด



[Image by: night68mare]

Note:
- คุณค่าทางอาหารที่ได้รับจากอาหารมื้อนี้คือ พลังงาน 730 แคลอรี่ (414 แคลอรี่จากไขมัน) ไขมัน 46 กรัม (71% จากปริมาณที่ร่างกายต้องการต่อวัน) ไขมันอิ่มตัว (70%) คลอเรสเตอรอล 465 มิลลิกรัม (155%) โซเดียม 1460 มิลลิกัม (61%) คาร์โบไฮเดรต 53 กรัม (18%) ไฟเบอร์ 3 กรัม (12%) น้ำตาล 2 กรัม โปรตีน 27 กรัม วิตามินเอ 0% วิตามินซี 0% แคลเซียม 2% ธาตุเหล็ก 167%

Tuesday, March 10, 2009

Something is Made for Certain Someone

เมื่อวานนี้ได้คุยกับรุ่นพี่โรงเรียนคนหนึ่ง
เค้าก็บอกว่าตอนนี้งานเค้ากำลังยุ่งๆ
ทั้งงานประจำที่เร่งด่วน แล้วยังมีงานที่เค้าคิดจะทำ
ฟังเรื่องงานที่กำลังจะเกิดแล้วบอกได้คำเดียว


มัน - แน่ - แน่

(2 คำ 3 พยางค์)









โฉมหน้ารุ่นพี่คนนั้น



Note:
- ตอนนี้พี่ต้าร์ผมยาว
- ชื่อจริงพี่ต้าร์คือ อิทธิพงศ์ กฤดากร ณ อยุธยา --- ไม่ใช่กฤษดากรอย่างที่หลายๆคนพยายามเขียน

Monday, March 2, 2009

NME Awards 2009

ช่วงนี้คงมีอะไรให้มาอัพ blog เรื่อยๆ เพราะมีงานเขียนอย่างอื่นอยู่ด้วย (แต่สำนวนบางครั้งอาจจะไม่ใช่ตัวเรานัก) ลองเอามาให้ดูเล่นอันนึงก่อน

+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-

NME นิตยสารเพลงที่จัดได้ว่าดังที่สุดในเกาะอังกฤษ (ประมาณ Rolling Stone ของทางฝั่งอเมริกา) พึ่งจัดงานประกาศรางวัล NME AWARDS 2009 ไปเมื่อวันที่ 25 ก.พ. ที่ผ่านมานี้เอง เลยเอามาให้ดูกันว่าผลงานของใครในปีที่ผ่านมาเข้าตากรรมการจนได้รางวัลไป



Best Brit Band - Oasis

Oasis เบียด Radiohead คว้ารางวัลใหญ่ประจำปีที่ให้กับวงยอดเยี่ยมที่อยู่ในเกาะอังกฤษ


Best International Band – The Killers

อีกหนึ่งวงปากดีที่คว้ารางวัลใหญ่สำหรับศิลปินนอกเกาะอังกฤษ



Best Solo Artist - Pete Doherty

อดีตสมาชิกวง The Libertines ที่ตกเป็นข่าวอย่างสม่ำเสมอ ได้รับรางวัลศิลปินเดี่ยวยอดเยี่ยม


Best New Band - MGMT

คู่ duo จากอเมริกากับอัลบั้มแรกที่ทำให้สื่อดนตรีทั่วโลกจับตามองกับรางวัลศิลปินกลุ่มหน้าใหม่ยอดเยี่ยม


Best Live Band - Muse

ใครที่ไม่รู้จักหรือไม่เคยดูวงนี้เล่นสด ขอให้ไปหาดูใน YouTube โดยด่วน เพราะนี่คือรางวัลวงแสดงสดยอดเยี่ยมครั้งที่ 3 ของ Muse แล้ว! (บ้านเราน่าจะมีรางวัลนี้บ้างนะ)


Best Album 'Only By The Night' โดย Kings Of Leon

ไม่พลิกโผใดๆเพราะอัลบั้มนี้พึ่งจะคว้ารางวัลอัลบั้มยอดเยี่ยมมาจากเวที BRIT Awards ก่อนหน้างานนี้เพียง 1 สัปดาห์เท่านั้น


Best Track - 'Time To Pretend' โดย MGMT

บอกแล้วว่า duo คู่นี้นี้น่าจับตาจริงๆ (ยืนยันด้วยรางวัลเพลงยอดเยี่ยมประจำปี)


Best Video - 'My Mistakes Were Made For You' โดย The Last Shadow Puppets

โปรเจกพิเศษที่นักร้องของ Arctic Monkeys และ The Rascals ร่วมมือกันทำ ขอเชิญไปดูความยอดเยี่ยมใน YouTube อีกเช่นเคย


Best Live Event - Glastonbury

บางปี Glastonbury ก็โดนด่า บางปีงานก็ดูกร่อยๆ แต่ปี 2008 เทศกาลดนตรีที่ใหญ่ที่สุดในโลกกู้ชื่อให้ตัวเองอีกครั้งด้วยทุนจัดงาน 22 ล้านปอนด์!


Best TV Show - The Mighty Boosh

ไม่มีข้อมูลมาก รู้แต่ว่าเป็นละครเวทีตลก แล้วขยายตัวเป็นละครวิทยุ จนลามมาถึงทีวีในที่สุด


Best Dancefloor Filler - 'Dance Wiv Me' โดย Dizzee Rascal

รางวัลเพลงที่คนเต้นตามมากที่สุด (รางวัลนี้เก๋ดีนะ) เพลงพิเศษของ rapper ผิวสีชาวอังกฤษน่าเต้นตามแค่ไหนต้องฟังกันเอง


Best DVD - Arctic Monkeys At The Apollo

DVD บันทึกการแสดงสดครั้งสุดท้ายของทัวร์ประจำปี 2007 ของวงอินดี้ที่เริ่มโด่งดังจากอินเตอร์เนท


Best Band Blog - Noel Gallagher / Oasis

บล็อกของมือกีตาร์หัวหน้าวง Oasis ที่มักจะเขียนเรื่องให้คนหยิบไปเป็นประเด็นถกเถียงได้เรื่อยๆ


Best Venue - London Astoria

รางวัลสถานที่จัดคอนเสิร์ตที่ดีที่สุดเป็นของ Astoria ณ ลอนดอน (คอนเสิร์ตบ้านเราจัดกี่ทีๆก็ที่เดิมๆ) ศิลปินชั้นนำทุกคนตั้งแต่ Nirvana ไปจนถึง Eminem ล้วนเคยมาเหยียบที่นี่ รางวัลนี้เหมือนเป็นการให้เกียรติสถานที่ด้วยเพราะพึ่งจะปิดตัวลงเมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมานี้เอง


Best Album Artwork - 'HAARP' โดย Muse

รางวัลปกอัลบั้มยอดเยี่ยมของวง Muse (สวยมั้ยล่ะ)


Hero Of The Year - Barack Obama

ไม่มีใครเป็นที่สนใจของทั้งโลกได้เท่าเค้าอีกแล้ว


Villain Of The Year - George W. Bush

อดีตผู้นำสหรัฐฯได้รางวัลวายร้ายแห่งปีมา 6 ปีติดต่อกันแล้ว!


Best Dressed - Alexa Chung

อดีตนางแบบและผู้ประกาศข่าวสาวชาวอังกฤษได้รางวัลแต่งกายยอดเยี่ยมไป


Worst Dressed - Amy Winehouse

ตรงข้ามกับรางวัลเมื่อกี๊เลย แต่เธอคนนี้คงไม่ได้แคร์หรอก


Worst Album - 'A Little Bit Longer' Jonas Brothers

รางวัลอัลบั้มสุดห่วยประจำปีเป็นของวงขวัญใจเด็กสาววัยประถมของอเมริกาไป (บ้านเราจะมีใครกล้าแจกรางวัลนี้มั้ยนะ)


Worst Band - Jonas Brothers

รางวัลวงสุดห่วยจะเป็นใครไปได้อีก ที่น่าสนใจคือ Oasis ได้เข้าชิงทั้งรางวัลวงยอดเยี่ยมและวงสุดห่วยในปีเดียวกัน!


Sexiest Male - Matt Bellamy

นอกจากจะมีพรสวรรค์ทางดนตรีล้นเหลือแล้ว นักร้องนำวง Muse ยังได้รางวัลผู้ชายสุดเซ็กซ์อีกต่างหาก


Sexiest Female - Hayley Williams

ส่วนรางวัลผู้หญิงสุดเอ็กซ์เป็นของนักร้องนำสุดเปรี้ยววง Paramore ไป (คนนี้เป็น idol ขวัญใจของ ฟักแฟงวง No More Tears ล่ะ คล้ายกันเชียว)


Best Website - YouTube

เว็บไซต์แห่งยุค หาคนล้มได้ยากจริงๆ


ก็ประมาณนี้ อยากรู้จักใคร ฟังเพลงใคร ก็ต้องลอง google หาดูหาฟังกันเองนะ


+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-


Note:
- เปล่า เ้ราไม่ได้เปลี่ยนไปเป็นนักเขียนให้นิตยสารหรือเว็บไซต์ทางดนตรีใดๆหรอก
- คาดว่า entry นี้จะพาคนเข้ามา blog เราจำนวนไม่น้อย เพราะว่า keyword เยอะเชียว
- article ใน entry นี้มาจาก trendyday.com
- หรือจะลองเข้าไปดูเว็บไซต์นี้ก็ดีนะ (แค่คลิกแวะเข้าไปก็ถือว่าช่วยกันแล้ว)

Thursday, November 13, 2008

Refreshed

(วันนี้ขี้เกียจหารูป)

เขียน entry นี้ตอนช่วงโดดงานสองวัน(ขอโทษครับพี่พี) หลังจากงานแฟตจบลง
จะว่าเหนื่อยก็ไม่ได้เหนื่อยเท่าปีที่เคยๆทำมานะ เฉพาะหน้างานเรียกว่าเหนื่อยน้อยมากก็ได้
ก็ต้องขอขอบคุณสมาชิกชาวคณะสนามหลวงทุกๆท่าน
พี่เต็ด (ที่มาช่วยขายในวันแรกด้วย) พี่พี (ที่คอยเตือนให้ plan ตั้งแต่ 3-4 เดือนก่อน และโทรมาถามไถ่)
พี่เจี๊ยบ พี่นุ้ย พี่ปลา พี่แก้ว กี้ แยม เซาะ ตี๋ พี่ปอ ที่ช่วยทั้งที่บูธ และก่อน+หลังงาน
น้องฝึกงานทุกๆคนที่ช่วยกันคนละไม้ละมือ เพื่อนๆทุกท่านที่แวะเวียนมาที่บูธ
ศิลปินทั้งเดี่ยวและกลุ่มที่แสดงโชว์ดีๆให้คนดูสนุกและคนในค่ายปลื้มใจ
จนทำให้งานนี้พอจะเรียกได้ว่าผ่านพ้นไปได้ด้วยดี
ต้องขอขอบคุณเพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ อีกครั้งที่ร่วมทำงานนี้ด้วยกัน

ขอบคุณครับ


Note:
- ไม่รู้ทำไม ช่วงนี้รู้สึกสุขภาพจิตดี๊ดี (ดี)
- รู้ตัวมากขึ้นว่าต้องการทำอะไร และควรทำอะไร (ดี)
- ไม่ค่อยได้สนใจการเรียนเท่าไหร่ช่วงนี้ (ไม่ดี)
- กำลังอ้วนมาก (ไม่ดี) อาจทำให้ต้องซื้อเสื้อผ้าใหม่ (ดีบ้างไม่ดีบ้าง)
- เดือนนี้เป็นเดือนเสียเงินโดยแท้ ต้องซื้อของเยอะมาก (ไม่ดี)
- หวังว่าจะออกกำลังกายสม่ำเสมอในสัปดาห์นี้เป็นต้นไป (น่าจะดี)
- ได้ไปสถานที่ hip / cool มา รู้สึกว่าไม่เหมาะกับเราเลยจริงๆ (ไม่ดี)
- แต่คนที่ไปอยู่ที่นั่นก็ไม่ได้เหมาะหรอกเนา่ะ มีแต่ wannabes (ไม่ดี)
- เดือนธันวาจะลาพาแม่ไปขึ้นดอยที่เชียงใหม่-เชียงราย (น่าจะดี)

- ถ้านึกอะไรออกจะมาเขียนใหม่นะ ...

Thursday, August 28, 2008

thank you, thank you so much


[image by: KathrynKelly @ deviantArt]

"ขอบคุณ ขอบคุณมาก"
ประโยคนี้หลุดออกมาซ้ำๆไม่รู้กี่ครั้ง พร้อมกับน้ำตาที่ไหลพรู
ผู้คนส่วนใหญ่ได้แต่สงสัยว่าเกิดอะไรขึ้น
แต่เราจะจำประโยคนี้ให้ขึ้นใจ ไม่มีวันลืม
เรื่องราวในคืนฤดูร้อนปี 2004

"ขอบคุณ ขอบคุณมาก"

Monday, August 18, 2008

Allergenic Defeat


[image by: cortnie dee. @ flickr]

เมื่อวันพฤหัสบดีที่พึ่งผ่านมาเราไปทำงานนอกสถานที่มา
เป็นโกดังของแต่งบ้านได้บ้างไม่ได้บ้างของร้าน ปาปาย่า
ของทั้งหมดในโกดัง 3 ชั้นเป็นของเก่าถึงเก่ามาก
ซึ่งพอมาอยู่รวมๆกันแล้วให้บรรยากาศที่ surreal มากๆ (ไม่รู้จะอธิบายยังไง)
เราเป็นคนแพ้ของเก่า (และของไม่มีประโยชน์) เห็นแล้วเลยอยากซื้ออะไรติดกลับมา
ตั้งแต่โคมไฟห้องผ่าตัด หุ่น Captain America (ขนาดเท่าตัวจริง)
Retro TV เก่าๆ (สวยมากๆ) หัวควายไบซันขนาดใหญ่มาก (อันเดียวกับปก Saturday Seiko)
และอีกต่างๆนาๆที่ไปเห็นแล้วจะตื่นตาตื่นใจ

แต่นอกจากแพ้ของเก่าแล้ว มีอีกอย่างที่เราแพ้ก็คือ ฝุ่น ซึ่งมีอยู่ทั่วไปในโกดังนี้
เพราะฉะนั้นตั้งแต่วันนั้นมา เรายังคันโพรงจมูกไม่หาย น้ำมูกไหล และจามอยู่เรื่อย

... ทรมานจริงๆ จบดีกว่า


Note:
- สามารถไปดูเวบไซต์ของร้านปาปาย่าได้ที่ http://www.design-athome.com/
- เอารูปมาให้ลองดูเพิ่มด้านล่างนะ





[2 images above by: saharlex @ flickr]

Friday, March 28, 2008

Another Walk


[image by: A.K. Photography @ flickr]

Entry นี้จะเป็นการอัพเดทด้วยคอมพิวเตอร์เครื่องนี้ครั้งสุดท้ายแล้ว

ผมกำลังจะออกจากตึกที่ผมได้รู้จักมันครั้งแรกเมื่อราวๆ 1 ปีครึ่งที่ผ่านมา
ถึงแม้จะต้องกลับมาเพื่อธุระต่างๆในอนาคตบ้าง แต่สถานะผมคงเปลี่ยนไปแล้ว
ในตึกนี้ผมได้รู้จักคนดีๆเยอะ เรื่องดีๆก็เกิดขึ้นไม่น้อย
ตอนผมรู้ว่าจะต้องย้ายออกจากตึกนี้ ผมไม่ได้รู้สึกคิดถึงเวลาที่เคยใช้ไปเท่าไหร่
แต่ตอนนี้ขอใช้เวลาระลึกอดีตและจดจำเรื่องราวกับผู้คนแห่งตึกนี้เอาไว้สักหน่อย

ขอบคุณทุกๆคนที่ทำให้เวลาในตึกนี้ของผมดีกว่าที่ผมคิดว่ามันควรจะเป็น
ขอบคุณครับ

Tuesday, March 25, 2008

My Friend Rocks


[Sanamluang Garndontree © 2008 All Rights Reserved.]

เรามีเพื่อนคนหนึ่ง - เป็น Top Friends ใน hi5 เลยนะ (แต่มันอาจจะไม่รู้)
ตอนเด็กๆเราจะเล่นบาสกับมันทุกเช้า-เย็น
เลิกเรียนก็เดินไปกินโจ๊กตลาดใกล้โรงเรียน
ตอนช่วงม. 2 จะสนิทกับมันมาก เพราะทั้งกิน-เล่น-เที่ยวด้วยกัน
แถมยังเล่นดนตรีด้วยกันอีก ถึงจะไม่เคยเล่นวงเดียวกัน (ขอนึกอีกที - - ไม่เคยๆ)
แต่ก็แชร์ห้องซ้อมกันบ่อยๆ ตอนนั้นมันเป็นคนแรกๆในรุ่นที่เล่นกีตาร์ได้เก่ง
(อีกคนที่เล่นเก่งแต่คนแถวนี้อาจจะไม่รู้คือคุณ Plop แห่ง blog ข้างๆนะครับ)
และเป็นคนที่เล่นเพลงอัลเตอร์ทั้งไทยและเทศยุคเพื่องฟูได้ดีเลย

จนกระทั่งเราเลิกเล่นดนตรีไปเตะบอลมันก็เลิกเล่นบาสไปจริงจังกับกีตาร์
เรากลับมาเล่นดนตรีใหม่ มันก็ยังเล่นกีตาร์ต่อไปเรื่อยๆ
พอเข้ามหาลัยเราก็ห่างๆไป ด้วยกลุ่มเพื่อนที่เปลี่ยนๆไปด้วย
แต่เราก็ยังรู้สึกไปเองว่าเราเคยมีช่วงสนิทกันนะ

ปี 2005 เราได้กลับมาร่วมงานกับมันอีกครั้ง
มันเป็นนักดนตรี เราเป็นพนักงานค่ายเพลง
มันกำลังจะออกอัลบั้มแรกในชีวิต
เรากำลังจะออกจากงานที่นั่น
งานสุดท้ายที่เราตั้งใจทำคือการดูการผลิตปกให้มัน
ไม่มีอะไรมากกว่านั้น

ปีนี้ 2008 มันกำลังจะมีอัลบั้มชุดที่ 2
เรากำลังจะกลับไปเป็นพนักงานที่เดิม
น่าจะเป็นอัลบั้มที่เรามีส่วนช่วยได้มากกว่าชุดที่แล้ว
ฟังจากเพลงและลองอ่านกระทู้ต่างๆกระแสถือว่าดีเลย
ยังไงๆเราก็จะพยายามทำให้มันขึ้นไปสู่อีกระดับของวงร็อกชาวไทยให้ได้



ข้างล่างนี้คือข้อความจากเราถึงมัน




เรียนคุณ กัลย์ วงศ์วิทวัส และชาวคณะ supersub




"กูอาจจะดูเหมือนไม่สนใจวงมึง แต่กูตั้งใจทำงานให้มึงตลอดนะ"


ประมาณนี้ (วันนี้ไม่ค่อยสบายนะ เขียนไม่ค่อยลื่น)

Note:
- ข้างบนเป็นซิงเกิ้ลเปิดตัวอัลบั้มใหม่ของวง supersub ชื่อเพลง "clock"

Tuesday, February 12, 2008

Meine Freunden


[image by: Thiru Murugan @ flickr]


มีเรื่องมาเขียนจากเหตุการณ์ยามเช้าอีกแล้ว (ซักพักอาจจะต้องทำsection "เรื่องเล่าเช้านี้")
คือพอมาถึงออฟฟิศก็เข้าลิฟท์ตามปกติ และมีคนกลุ่ม 2-3 คนเดินเข้ามา
มีคนนึงหน้าตาคุ้นมาก เพราะมันเป็นเพื่อนมัธยมเรานี่เอง
เพื่อนคนนี้ทำงาน Law Firm ที่ ...(ที่ไหนนะครับ คุณ Phir ช่วยเติมหน่อย)
มันและเพื่อนร่วมงานที่แก่รุ่นพ่อหรือลุงเข้ามาประชุม (คิดว่ากับ CEO ของเรานะ)
โดยธรรมชาติของคนทำงานสายนี้ก็ใส่สูทเรียบร้อยเชียวเพื่อเข้ามาประชุม ต่างกับคนทั่วไปที่ออฟฟิศนี้มาก
และบังเอิญอีกเหมือนกันที่เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมาเราก็ไปเจอเพื่อนอีกคนมาในงาน Tiger Translate
เพื่อนคนนี้เป็นสมาชิกวงดนตรีที่ขึ้นเล่นตอนดึกมากๆของงานนั้น (แปลว่าดังพอสมควร)
เจอมันตรงทางเข้างาน มันก็ผมเผ้าหนวดเครารุงรัง เสื้อยืดกางเกนยีนส์เก่า ตามประสานักดนตรี
และนั่นก็ทำให้เรารู้สึกว่า เรามีเพื่อนที่หลากหลายเหมือนกันแฮะ

ขอบอกไว้ก่อนถ้ายังไม่รู้ คือคนที่เราเรียกว่าเพื่อนกว่า 80% เป็นเพื่อนสมัยมัธยม
เพื่อนมัธยมบางคนเราไม่เจอมาเป็นปีๆแล้ว (คนนี้ด้วย) แต่เราก็ยังอยากเรียกว่าเพื่อน
เพื่อนมหาลัยทั้งตรีและโทเรามีน้อยมาก(ๆ) ไม่ว่าเพราะเหตุอะไรก็ตาม
คนที่ร่วมงานด้วยแล้วกลายเป็นเพื่อนก็มีจำนวนน้อยลงไปอีก
และน้อยที่สุดคือคนที่รู้จักจากทางอื่นๆ แล้วบังเอิญถูกอัธยาศัยกลายเป็นเพื่อน
(ลองมาคิดดูอีกที เพื่อนที่ได้จากงานและคนแนะนำมีเยอะกว่าเพื่อนมหาลัยแฮะ)

กลับมาเข้าเรื่อง: ด้วยความบังเอิญที่ได้เจอเพื่อนสองคนที่ต่างกันในเวลาที่ติดๆกัน
เราเลยจะลองมาไล่ดูว่ามีเพื่อนสมัยมัธยมคนไหนไปทำอะไรบ้าง เท่าที่เรารู้
คัดเอาเฉพาะคนที่เราอยากเรียกว่าเพื่อนละกันนะ
(เรียงลำดับตามที่นึกออก)

- ทำงานที่ Law Firm รับเงินเดือนมากมาย
- นักเรียนระดับปริญญาเอกที่ประเทศสิงคโปร์
- นักเรียนระดับปริญญาเอกที่ประเทศสหรัฐอเมริกา*
- นักดนตรีอิสระ นักแต่งเพลง โปรดิวเซอร์ คนทำงานเบื้องหลังต่างๆ
- สมาชิกวงร็อกชั้นนำของประเทศไทย
- สมาชิกวงร็อกที่ไม่ดังเท่าวงข้างบน
- เจ้าหน้าที่ของ UN ทำอะไรไม่รู้เหมือนกัน
- ช่างภาพที่รับแต่งานที่ถ่ายผู้หญิงโดยเฉพาะ
- ทำงานที่รีสอร์ทจังหวัดทางใต้ (จำไม่ได้)
- หุ้นส่วนร้านอาหารญี่ปุ่นระดับ Premium ในห้างดัง และทำอะไรอื่นๆที่เราไม่รู้

อาจจะมีบางคนที่เรียกว่าเพื่อนได้แต่ไม่อยู่ในนี้เพราะเราไม่รู้ว่าเค้าทำอะไร
ก็ประมาณนี้แหละ จริงๆก็ไม่ได้หลากหลายมากหรอก


Note:
- ประเทศสหรัฐอเมริกา หรือ United States of America คือประเทศที่อยู่ในทวีปอเมริกาเหนือ เรื่องที่เราพึ่งรู้คือมันไม่มีประเทศที่ชื่อว่าอเมริกา หรือ America นะ มีแต่ประเทศสหรัฐ หรือ United States (US) เท่านั้น
- ถ้าคิดว่าเราลืมเขียนถึงใครไป เราไม่ได้ลืมนะครับ มีแต่ไม่รู้ ไม่ใช่เพื่อน และไม่ถูกเขียนถึง

Saturday, January 26, 2008

Home Awaits


[image by: gottcha78 @ flickr]

อึดอัดมาก ไม่ค่อยได้เขียนอะไรในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมานี้
จู่ๆงานก็เข้ามาเยอะมากผิดหูผิดตา จากว่างๆก็มีโปรเจกต์มา 3-4 อย่าง
ทำให้ตั้งตัวไม่ค่อยทันเหมือนกัน และเวลาก็ลดหายไปหมด
มีเรื่องเกิดขึ้นเยอะนะ รอบๆตัวเราช่วงนี้
พยายาม draft ทิ้งไว้ก่อน ถ้าว่างจะมาเขียนเล่าต่อ
แต่มีเรื่องนึงจำเป็นต้องเขียนก่อนเลย

ไม่รู้จะเกริ่นยังไง บอกง่ายๆเลยดีกว่า


"จะกลับไปละนะ"


ขอบคุณ คนนี้ และ คนนี้ ที่มีพื้นที่ให้ผมมาตลอด และยังให้โอกาสดีๆอีกครับ
ขอบคุณทุกท่านเหล่านี้ที่ไม่เคยลืมกัน ทำให้ผมไม่ต้องกังวลที่จะตัดสินใจ
... แล้วจะรีบไปครับ


This is the easiest decision for me;
there are no worries or anxiousness,
only happiness and excitement.
I know it's still very early to talk,
but this will be good.

... I'm running home

Saturday, December 22, 2007

Job Interview


[image by: asensi @ deviantART]

เมื่อไม่นานมานี้เพื่อนเราคนหนึ่ง(สมมุติว่าชื่อ"1"เลยละกัน ง่ายดี)ได้ไปสัมภาษณ์งานมา
ตอนแรกๆ 1 ก็เฉยๆกับองค์กรนี้ ทั้งลักษณะหน้าตาสำนักงาน และหน้าตาของผู้คน
ช่วงแรกเค้าก็บอกให้ 1 แนะนำตัวเองและลองบอกว่าเคยทำอะไรมาบ้าง
หลังจากนั้นเค้าก็ถามคำถามเกี่ยวกับตำแหน่งงานที่เข้ามาสัมภาษณ์นี้
ซึ่งทั้งหมดนี้ 1 คิดว่าเป็นเรื่องปกติและคิดว่าก็ตอบเท่าที่ตัวเองจะสามารถตอบได้
จนกระทั่งผู้สัมภาษณ์เปลี่ยนแนวคำถามโดยสิ้นเชิง หันมาถามเรื่องความคิดและทัศนคติแทน
1 ลองยกตัวอย่างคำถามให้เราฟัง เราฟังแล้วยังทึ่งเลย

- คุณมีคติในการใช้ชีวิตแบบไหน?
- ในทะเบียนบอกว่าคุณเป็นพุทธ คุณเป็นพุทธแค่ไหน?
- คุณเคยนั่งสมาธินานที่สุดเท่าไหร่?
- คุณคิดว่าคุณได้อะไร หรือรู้อะไรจากการนั่งสมาธิ?
- คุณเคยโกรธอะไรมากที่สุดในชีวิต?
- เวลาที่คุณโกรธมากๆคุณทำยังไง?
- ... ... ...

เราไม่รู้ว่าคนอื่นรู้สึกยังไงกับคำถามพวกนี้ แต่มันโดนใจเรามาก
เรื่องพวกนี้มันเป็นเรื่องที่เราคิดอยู่ตลอด และเราพยายามทำความเข้าใจ
มันน่าตื่นตะลึงมากที่การสัมภาษณ์งานมีคำถามแบบนี้อยู่ด้วย
เพราะเราเคยคิดไว้ว่าถ้าเราสัมภาษณ์คน เราจะไม่ถามเรื่องงานเลย
เราอยากจะรู้จักความคิดของคนที่เข้ามามากกว่าความสามารถ
ที่น่าทึ่งเข้าไปใหญ่เลยคือ 1 บอกว่า คนสัมภาษณ์พูดเอาไว้ว่า:
"ที่ผมถามคำถามพวกนี้น่ะคือผมคิดว่า
ถ้าได้คนเก่งถือเป็น surplus (กำไร)
แต่ผมอยากได้คนดีมาร่วมทำงานด้วยมากกว่า"


... อยากไปทำงานให้คนที่คิดแบบนี้เหลือเกิน