Menu

Showing posts with label Design. Show all posts
Showing posts with label Design. Show all posts

Monday, September 21, 2009

Tell Me Why


[image by: Daniel Y. Go @ flickr)

หยุดเขียนบล็อกไปพักใหญ่ๆ น่าจะเป็นการห่างหายที่นานที่สุดตั้งแต่เริ่มเขียนเมื่อปี 2005
สาเหตุของการหยุดไปสรุปได้ใจความที่สุดคือความขี้เกียจของเราเอง ไม่เฉพาะเขียนบล็อก แต่เป็นทุกเรื่อง
แต่จะพยายามจะกลับมาเขียนให้ได้บ่อยเท่าๆเดิมอีกครั้ง ตั้งใจว่าอาทิตย์นึงไม่อยากต่ำกว่า 4 entry

เหตุที่คิดจะกลับมาเขียนก็เพราะว่าแผนการที่วางไว้ในอนาคตจะต้องกลับมาเขียน(แบบฉลาด)เยอะมากๆ
ไม่ว่าจะเขียนเป็นบล็อก เขียนเรื่องที่คิด เขียนแสดงความเห็น เขียนรายงานข่าว เขียน เขียน เขียน และ เขียนอีกหลายที
ถ้าไม่ดึงนิสัยและอารมณ์รักการคิดแล้วเขียนให้กลับมาอยู่ในระดับเดิมน่าจะทำให้เกิดปัญหาแน่นอน

ลองเลยละกัน กับหนึ่งในหลายเรื่องที่ draft เอาไว้:

Tell Me Why

ช่วง 2-3 ปีมานี้ผมตั้งคำถามอยู่บ่อยๆว่าทำไมทุกวันนี้วงการดนตรีมันเสื่อมถอยลงทุกวัน
ถ้าถามหลายๆคนก็น่าจะรู้สึกแบบเดียวกัน แต่นี่ไม่ใช่การต่อว่าคนหรือบริษัทไหนนะ
ผมเชื่อว่าเกือบทุกคนที่ทำงานในแวดวงดนตรีรักงานด้านนี้ และให้ใจกับมันเต็มที่
เพราะเอาจริงๆมันไม่ใช่งานที่รายได้ดีกลับมาคุ้มความเหนื่อยเลย -- ถ้าใจไม่รักอยู่ไม่ได้หรอก

ถ้าแกรมมี่เอาเงินที่มีอยู่ทุกวันนี้ไปลงทุนทำอย่างอื่นจะรวยกว่านี้มั้ย? เป็นไปได้มากๆ
ถ้าวันนี้คุณไพบูลย์ ดำรงชัยธรรม พูดออกจากปากมาว่า "ปีนี้เรางดทำเพลงแล้วเอาเงินค่าเพลงค่าโปรโมทไปสร้างคอนโดดีกว่า"
มั่นใจเลยว่ามันจะต้องเป็นคอนโดหน้าตาดีมากๆ(ที่ผมไม่มีปัญญาซื้อได้) ที่จะทำกำไรให้แกรมมี่มหาศาลกว่าที่เพลงทำได้นัก
แน่นอนว่ามันคงไม่มีทางเกิดเหตุการณ์นี้ขึ้น (การงดทำเพลงนะ แต่การไปสร้างคอนโดนั่นก็ไม่แน่ เพราะถึงไม่งดก็มีเงินมากพอ)
เพราะว่าเพลงมันคือตัวผลักดันให้ธุรกิจทุกส่วนในแกรมมี่เดินไปได้ ไม่ว่าจะวิทยุ โทรทัศน์ Digital Content หรือ Artist Management
พูดได้ว่าไม่มีเพลง ก็ไม่มีบริษัท จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ จำกัด (มหาชน) และราคาหุ้นร่วงลงเร็วกว่าคุณจะพูดคำว่า"ตก"จบคำด้วยซ้ำ

แต่อีกเหตุผลนึงที่ผมคิดว่าจะไม่เกิดเหตุการณ์นั้นขึ้นก็เพราะว่าทุกคนที่ทำงานรักวงการนี้
ผมคนนึงล่ะที่รักการเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องกับงานสร้างสรรค์ ถึงจะไม่ได้ทำเองเพราะฝีมือไม่พอ
ชอบการพูดคุยกับคนที่ทำงานด้านนี้เหมือนกัน เพราะเรามีมุมมองที่น่าสนใจมาเล่าให้ฟังกันได้ตลอด
ชอบบรรยากาศการทำงานที่หาไม่ได้จากงานสายอื่นๆเลยจริงๆ
คุณไพบูลย์ คุณเล็ก-บุษบา หรือผู้บริหารไม่ว่าระดับไหนก็คงรู้สึกเดียวกัน ว่ามันเป็นเหมือนบ้านหลังใหญ่
คนที่เราเจอก็คือสมาชิกของครอบครัว งานที่เราทำก็เป็นเหมือนงานดูแลบ้าน
ความสุขของเราคือเวลาเปิดบ้านให้คนอื่นเข้ามาเยี่ยมชมแล้วเค้ามีความสุขเราก็มีความสุขด้วย

แล้วถ้าทุกคนเป็นแบบนั้นจริงๆ(ซึ่งผมคิดว่า 90% เป็นงั้นจริงๆ) ทำไมเวลาเปิดวิทยุถึงได้ฟังแต่เพลงน่าเบื่อขนาดนี้
ศิลปิน นักร้อง นักดนตรี นักแต่งเพลง คนทำเบื้องหลัง คนทำงานก็เก่งขึ้นเรื่อยๆ อุปกรณ์การทำงานก็มีแต่พัฒนาขึ้น
แต่เพลงที่ถูกโปรโมทมันให้ความรู้สึกแห้งๆ แข็งๆ เซ็งๆ ทุกอย่างดูสำเร็จรูปไปหมด
จากประสบการณ์ที่ผมได้สัมผัสมานิดหน่อย ผมให้เหตุผลกับมันว่ามันเป็นเรื่องข้อจำกัดของคำๆเดียวว่า 'ธุรกิจ'

เมื่อเพลงถูกผลักดันจนกลายเป็นอาชีพ เป็นกิจการที่ทำเงินเลี้ยงชีพคนคนนึงหรือหลายพันคนได้
มันก็มีข้อผูกมัดและความกดดันที่จะต้องให้เพลงทุกเพลงที่ทำขึ้นมันทำเงินให้ได้ต่อไปอีกเรื่อยๆ
มีอยู่วันนึงผมนั่งกินข้าวอยู่แถวบ้านและบังเอิญมีโปรดิวเซอร์ท่านนึงนั่งคุยกับนักดนตรีรุ่นน้องโต๊ะติดกันพอดิบพอดี
ความเสือกทำให้ผมได้ยินเค้าคุยกันเรื่องเพลงที่กำลังแต่งอยู่ ยกตัวอย่างประโยคนึงของบทสนทนามาให้ดูกัน:
"ไอ้เพลงนี้นะ ถ้าร้องแบบปกติก็จะเป็น xx-yy-zz
แต่ถ้าตรงคำว่า yy เราใส่เอื้อนเสียงเข้าไปอีกนิด
เหมือนกับที่เพลง ABC ทำ มันก็จะฟังดูมีสเน่ห์ ติดหู และคนชอบได้"

ผมเคยได้ยินประโยคทำนองนี้มาหลายทีแล้วเหมือนกัน แต่วันนั้นผมสงสัยขึ้นมาว่าทำไมต้องพยายามหาทางให้คนชอบตลอด
นิดๆหน่อยๆก็ยังโอเค แต่พอมาทำแบบเป็นล่ำเป็นสัน เก็บทุกเม็ดในทุกเพลง เพลงมันก็เริ่มฟังดูจอมปลอมไปหมด
และส่วนใหญ่โปรดิวเซอร์นักแต่งเพลงพวกนี้นี่แหละที่เขียนเพลงเก็บไว้ใน song bank ของค่ายต่างๆ
พอมีนักร้องที่ร้องเพลงพอได้ หน้าตาดูดี ก็หยิบเพลงที่มีเนื้อหาเหมาะกับบุคลิกเข้ามาสวม ทำดนตรีใหม่ซะหน่อย พร้อมโปรโมททันที

พูดตรงๆผมทำใจยอมรับได้ที่จะมีศิลปินที่ขายหน้าตาที่หาเพลงที่คนอื่นทำไว้มาร้อง เพราะประเทศไหนๆก็ไม่ต่างกัน
แต่ว่าทำไมศิลปินที่มีความสามารถทำเพลงเองได้ถึงทำเพลงที่ออกมาให้ความรู้สึกแบบเดียวกันเลย

... มันเกิดอะไรขึ้นกับดนตรีที่ออกมาจากความรู้สึกจริงๆ บอกผมหน่อย?

Saturday, June 13, 2009

Home of Our Father

ขอออกตัวอย่างแรงก่อนเลยว่า Entry นี้มิได้มีเจตนาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพหรือเจตนาในทางไม่ดีใดๆทั้งสิ้น
คือว่าวันนี้ไปร้านศึกษาภัณฑ์ที่ชั้น 3 ห้าง Future Park รังสิตมา (ต้องบอกให้ละเอียดเพราะเดี๋ยวจะได้ไม่เข้าใจว่าเป็นเรื่องแต่ง)
สายตาเหลือบไปสะดุดเข้ากับหนังสือเล่มหนึ่ง ซึ่งกลับบ้านมาหาข้อมูลเพิ่มเพื่อมาเขียนถึงทันที ได้ความดังนี้


บ้านพ่อ

วังสวนจิตรลดา

......ไม่มีพระราชวังไหนในโลก เหมือนพระตำหนักจิตรลดา

และ บริเวณ..สวนจิตรลดา ที่เต็มไปด้วยบ่อเลี้ยงปลา และไร่นาทดลอง

อีกทั้งผองโคนม ผสมด้วยโรงสี และ โรงงานหลายหลาก ..

จึงพูดได้อย่างเต็มปากว่า...ในประเทศไทย ไม่มีช่องว่าง

ระหว่าเกษตรกรกับพระมหากษัตริย์ ผู้ทรงทำงานอย่าง...

หลังสู่ฟ้าหน้าสู่ดิน...ด้วยพระองค์เอง......


หนังสือ "บ้านพ่อ" เป็นหนังสือ 3 มิติที่จัดทำขึ้นเนื่องในวโรกาสพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ วันที่ 5 ธันวาคม ปีพุทธศักราช 2542 โดยโครงการ ส่วนพระองค์สวนจิตรดา ร่วมกับ บริษัท ศิริวัฒนาอินเตอร์พริ้นท์ จำกัด (มหาชน) ; ออกแบบ, เรียบเรียงเนื้อเรื่องโดย นพรัตน์ ศิลาเณร ; ภาพประกอบโดย ธงชัย วาษ์วานิชขจร, ธรรมรัตน์ ธรรมรงค์รัตน์, พีรธร สุขหนองบึง

Link แหล่งข้อมูลอ้างอิง:
OK Nation
สำนักหอสมุดกลาง มหาวิทยาลัยศรีนครินทร์วิโรฒ
สำนักหอสมุด มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์


ขอย้ำว่าจำเป็นต้องบอกให้ละเอียดเพราะไม่งั้นคนจะคิดว่าเราแต่งเรื่องนี้ขึ้นมาเอง



สงสัยว่าเรื่องอะไรนะหรอ?? ก็สาเหตุที่เราสะดุดกับหนังสือเล่มนี้มันเป็นเพราะปกของหนังสือดังต่อไปนี้









... คือเราคิดมากไปหรือคนทำหนังสือเค้าคิดน้อยไปน่ะ ...

Monday, May 11, 2009

Suvarnabhumi : Land of Golden Hell

พึ่งกลับจากมาเลย์ เหนื่อยโคตร แต่ขอบ่นหน่อยเถอะ (ช่วงหลังๆเป็นคนขี้บ่นมาก)
ทั้งๆที่ตั้งใจจะเขียนชื่นชมทริปนี้ว่าถึงเหนื่อยแต่ก็สนุกโคตร แต่ก็ต้องยกไปไว้ทีหลัง
เพราะมีวาระเร่งด่วนที่อยากให้ทุกคนรับรู้กัีน ถึงความห่วยของชาติไทยเรา

ถ้าเคยได้คุยกับเราบ่อยๆจะรู้ว่าเราโคตรเกลียดสนามบินสุวรรณภูมิ
ไม่แปลกเพราะหลายๆคนก็เป็นแบบนี้ ทั้งคนไทยเองและต่างชาติไหนๆที่เคยมาเหยียบแผ่นดินทองนี่
เราได้ใช้สุวรรณภูมิบ่อยมากพอสมควร และไม่เคยมีครั้งไหนที่รู้สึกดีเลยจริงๆ
อย่างที่รู้กันว่ามันออกแบบได้แย่และไม่คำนึงถึงการใช้งานของมนุษย์ที่เดินทาง
ทุกอย่างอยู่ไกลหรือไกลมาก ห้องน้ำอยู่ไหนวะ? เคาน์เตอร์เยอะยังไงก็ต้องต่อแถวยาวมาก (แม้แต่ PB Air!)
นี่คิดแค่้เรื่องการใช้งานล้วนๆเลยนะ อย่าเอาเรื่องการเมืองเข้ามาเกี่ยว เดี๋ยวจะยิ่งเซ็ง

เมื่อวานนี้เราเดินทางกลับมาถึงสุวรรณภูมิประมาณ 22:20 พร้อมกับอาการเหนื่อยสูงสุดและกระเป๋า 2 ใบ
เครื่องจอดไกลๆให้ลงแล้วต้องต่อรถ Shuttle (ยืน) มาที่ Terminal ใช้เวลาอีกประมาณเกือบ 10 นาที
จากทางเข้าที่รถจอดต้องเดินย้อนไปอีกด้านของ Terminal เพื่อผ่านจุดตรวจคนเข้าเมือง
และจากนั้นต้องเดินย้อนไปสุดอีกด้านของ Terminal สนามบินที่ใหญ่อันดับต้นๆของโลก (โคตรภูมิใจจริงๆ)
เมื่อรอรับกระเป๋าเสร็จก็เดินออกมาตามปกติ เห็นเลขประตู 9 เลยบอกให้คนที่มารอรับ(พ่อ)ขับมาที่ประตู 9
ปรากฏว่าเดินออกไปแล้วทางเดินไปขึ้นรถทางสุวรรณภูมิแห่งประเทศไทยได้เอารั้วมากั้นไม่ให้คนขึ้นรถ!
มองย้อนไปตามถนนทุกทางข้ามไปขึ้นรถมีรั้วกั้นตลอดแนว เลยขึ้นไปชั้นบนเพื่อให้วนมารับที่ขาออกแทน
ขึ้นไปปุ๊บพ่อโทรกลับมาบอกว่าไม่แน่ใจว่าวนยังไงให้กลับมาเจอที่เดิม - - - อะ หาทางลงกลับไปก็ได้
ใครเคยรู้บ้างว่าถ้าคุณอยู่ขาเข้าประเทศแล้วเดินขึ้นไปขาออกคุณจะไม่มีวันลงมาได้อีก!!!!
บันไดเลื่อนที่ขนานกันตอนขาขึ้นมามันเลื่อนขึ้นทั้งหมด เหลือบไปเห็นอันนึงไกลๆเลื่อนลงอยู่ รีบวิ่งเ้ข้าๆ
ไปถึงมีเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยหนึ่งนายและรั่วกันหนึ่งแผงตั้งขวางอยู่ ไม่ยอมให้ลงง่ายๆ
เราก็ถามว่าแล้วจะให้ลงที่ไหน เจ้าหน้าที่ท่านนั้นก็ชี้ไปทางลิฟต์ที่อยู่ถัดไป เราก็รีบวิ่งไปเข้าลิฟต์
ก็ปรากฏว่าชั้นผู้โดยสารขาเข้ามันไม่สามารถกดหยุดได้ (เหี้ยจริงๆ) ระหว่างนี้พ่อก็โทรมาเร่งไม่หยุด
เราเลยเดินไปหาเจ้าหน้าที่ท่านหนึ่งด้วยความฉุนเฉียวแล้วถามว่า "ขอโทษครับ ตั้งใจจะให้ผมลงไปยังไงครับ"
เจ้าหน้าที่ก็ทำหน้าไม่อยากจะเชื่อว่าเราไม่รู้เลยชี้ไปที่บันไดเลื่อนอีกฟากหนึ่งของ Terminal (Fuck!)
เราก็เลยวิ่ง (โคตรจะเจ็บขาเลยตอนนั้น) ไปขึ้นบันไดเลื่อนนั้น
ระหว่างที่ขึ้นด้วยความฉุนเฉียวอีกแล้วเลยขอเตะบันไดเลื่อนดังกล่าวไปแบบดังๆทีหนึ่งอย่างที่คนหันมามอง

วินาทีที่ลงมาถึงชั้นผู้โดยสารขาเข้าเราก็เข้าใจทันทีว่าทำไมอดีตนายกฯท่านหนึ่งถึงกับต้องกราบพื้น
เพราะเราก็อยากจะทำเช่นนั้นเหมือนกันเมื่อมาถึง

ขอบพระคุณสนามบินแห่งชาติที่ยอมปล่อยให้ได้ลงมาเหยียบชั้นนี้อีกครั้ง


Note:
- เจ้าหน้าที่สนามบินนานาชาติสุวรรณภูมิกรุณาอ่านและทำความเข้าใจด้วยว่าพวกกระผมเป็นนักท่องเที่ยว ไม่ว่าจะเดินทางเยอะแค่ไหนกระผมก็ไม่มีทางมาสนามบินแห่งนี้บ่อยเท่าพวกท่านหรอก ดังนั้นก่อนที่จะปรับปรุ่งเพิ่มเติมอะไรแพงๆ ขอความกรุณาเพิ่มอุปกรณ์อำนวยความสะดวกพื้นฐานอย่างป้ายบอกทางให้พวกกระผมผมหน่อยเถอะ เพราะสนามบินที่ท่านทำงานกันนั้นใหญ่โตสมราคาจริงๆ แค่ป้ายบอกว่า "เดินไปขึ้นรถประตู 1-3" / หรือ "อย่าขึ้นไปชั้นบนยกเว้นว่าจะมีเวลาเหลือเพียงพอให้วิ่งไปอีกฟากของสนามบิน" อะไรแบบนี้ก็พอครับ ขอบพระคุณมากครับ

Thursday, March 12, 2009

Gump is a Word

ปลายๆปีที่แล้วได้ยินสปอตวิทยุตัวหนึ่งที่สะดุดหูมาก
เป็นโครงการประกวดสิ่งประดิษฐ์เพื่อแก้ปัญหาพลังงานและสิ่งแวดล้อมของ EGCO
คอนเซ็ปต์การประกวดคือ ต้องเป็นของที่ไม่เคยมีมาก่อนบนโลก
และของนี้จะต้องพยายามแก้ปัญหาพลังงานและสิ่งแวดล้อมอย่างดูสนุก
สิ่งที่ทำให้สะดุดหูจริงๆคือชื่อโครงการนี้

"GREEN GUMP GADGET"

ไอ้คำว่า GUMP ที่ทำตัวหนาไว้นี่แหละ
เพราะว่าคำนี้เป็นคำที่ใช้กันอย่างแพร่หลายเฉพาะในกลุ่มเพื่อนโรงเรียนเรา
เราเคยพยายามเอาคำนี้ไปใช้กับคนอื่นเช่นเพื่อนที่มหาลัย
ปรากฏว่าไม่มีคนเข้าใจถึงใจความของคำๆนี้กัน หรือเข้่าใจแบบผิวเผิน

นิยามของคำนี้สำหรับเราคือ
GUMP ต้องตลก
GUMP ต้องไม่อยู่ในตรรกะทั่วไป
GUMP ต้องอยู่เหนือแนวทางของมวลชน
GUMP ต้องไม่เป็นประโยชน์แบบสามัญ

และก็เป็นไปตามคาดเมื่อตอนนี้งานประกวดคัดผู้เข้ารอบ 20 ทีมสุดท้ายมาแล้ว
มันจะมีทั้งผู้เข้าประกวดที่เข้าใจงานนี้จริงๆ และที่ไม่เข้าใจเอาซะเลย

ตัวอย่างคนที่เข้าใจ



และตัวอย่างคนที่ไม่เข้าใจ



ที่น่าสงสัยจริงๆคือ คนคิดโครงการนี้มันเป็นเพื่อนเรารึเปล่าวะ?

Note:
- ช่วยโหวตให้คนที่เข้าใจวิถี Gump กันด้วยนะครับ เพราะคนที่ไม่เข้าใจมันไปเกณฑ์เพื่อนมาโหวตซะเยอะมากไปแล้ว http://www.egco.co.th/GreenGumpGadget/ <--- ไปโหวตที่นี่เลย
- ที่มาของคำนี้ที่เราพูดในกลุ่มเพื่อนคือมีเพื่อนคนหนึ่งที่ทำตัว GUMP เป็นพิเศษในช่วงมัธยม ... ไม่รู้จะอธิบายต่อยังไง คำว่า GUMP มันดูเหมาะสมกับพฤติกรรมของคนๆนี้ แล้วก็ลุกลามกลายเป็นพฤติกรรมกลุ่ม
- ลองไปหาดูว่า GUMP เป็นคำที่ใช้กันจริงๆรึเปล่า ปรากฏว่าเจอดังนี้ GUMP (noun): a dunce, a nitwit --- ก็ถือว่าใกล้เคียงกับที่เราพูดๆกันนะ

Monday, August 18, 2008

Allergenic Defeat


[image by: cortnie dee. @ flickr]

เมื่อวันพฤหัสบดีที่พึ่งผ่านมาเราไปทำงานนอกสถานที่มา
เป็นโกดังของแต่งบ้านได้บ้างไม่ได้บ้างของร้าน ปาปาย่า
ของทั้งหมดในโกดัง 3 ชั้นเป็นของเก่าถึงเก่ามาก
ซึ่งพอมาอยู่รวมๆกันแล้วให้บรรยากาศที่ surreal มากๆ (ไม่รู้จะอธิบายยังไง)
เราเป็นคนแพ้ของเก่า (และของไม่มีประโยชน์) เห็นแล้วเลยอยากซื้ออะไรติดกลับมา
ตั้งแต่โคมไฟห้องผ่าตัด หุ่น Captain America (ขนาดเท่าตัวจริง)
Retro TV เก่าๆ (สวยมากๆ) หัวควายไบซันขนาดใหญ่มาก (อันเดียวกับปก Saturday Seiko)
และอีกต่างๆนาๆที่ไปเห็นแล้วจะตื่นตาตื่นใจ

แต่นอกจากแพ้ของเก่าแล้ว มีอีกอย่างที่เราแพ้ก็คือ ฝุ่น ซึ่งมีอยู่ทั่วไปในโกดังนี้
เพราะฉะนั้นตั้งแต่วันนั้นมา เรายังคันโพรงจมูกไม่หาย น้ำมูกไหล และจามอยู่เรื่อย

... ทรมานจริงๆ จบดีกว่า


Note:
- สามารถไปดูเวบไซต์ของร้านปาปาย่าได้ที่ http://www.design-athome.com/
- เอารูปมาให้ลองดูเพิ่มด้านล่างนะ





[2 images above by: saharlex @ flickr]

Tuesday, December 11, 2007

Pathetic Attempt


[image by: celestehodges @ flickr]

ไปไหนต่อไหนช่วงนี้ก็เห็นป้ายหาเสียงเลือกตั้ง
ใครพรรคไหนมีงบเยอะก็มีป้ายเยอะตามประสา
แล้วประโยชน์ของป้ายพวกนี้คืออะไร?
หลักๆคงทำให้คนรู้จักผู้สมัครและจำหมายเลขของพวกเขาได้
แต่มันไม่ส่งผลให้คนที่เห็นจะรู้สึก"อยาก"เลือกแม้แต่น้อย

จริงๆมันอาจจะเป็นเฉพาะกับเราคนเดียวก็ได้นะ
แต่เราไม่ชอบกิจกรรมหาเสียงที่คนเหล่านี้ทำกันอยู่เลย
ไม่ว่าจะเป็นป้ายตามถนน บิลบอร์ด ใบปลิว รถหาเสียง
อย่างแรกเราไม่ชอบหน้าตาของมันเลย มันทำให้ท้องถนนดูรกไปหมด
แถมรูปที่เลือกมาใช้ สีที่ใช้ คำพูดที่ใช้ยังไม่น่าอ่านน่ามองอีก
แล้วแบบนี้จะทำให้คนที่เห็น(เรา)รู้สึกอยากเลือกได้ยังไงกัน

จริงๆคนสายงานนี้น่าจะต้องมี PR ที่ดีมากๆ ดีกว่าดาราศิลปินอีกสิ
เค้าเป็นคนที่ต้องทำให้คนจำนวนมากรู้สึกศรัทธาให้ได้
แต่กลายเป็นว่าเงินที่ถูกใช้ไปมันทำให้น่าชอบน้อยลงเรื่อยๆแทน

ก็เลยเข้าสู่เหตุผลที่สอง คือเสียดายเงินทองกับทรัพยากรที่ลงทุนไป
ลองมาคิดดูจริงๆเงินเดือนที่เค้าจะได้รับจากการได้รับเลือกมันไม่น่าจะคุ้มเลย
หรือว่าแค่เพราะมันเป็นเงินที่ได้รับสนับสนุน หรือเค้ามีทางชดเชยอื่นๆ

ถามหน่อยว่าเห็นหน้า คุณลีน่า จัง ทุกวี่ทุกวันมันทำให้อยากเลือกเค้ามั้ย
มันไม่ได้แม้แต่ทำให้รู้จักตัวตนของเค้า ไม่รู้แม้แต่ความคิดของเค้า
แล้วแบบนี้จะให้ใช้เหตุผลอะไรไปเลือก?

จริงๆจะบ่นหลายประเด็น แต่คิดไปคิดมาก็ขี้เกียจเลยสรุปเป็นข้อๆให้ละกัน
  • ธงประเทศไทยมีสามสีก็จริง แต่สีพรรคการเมืองมันต้องมีแค่สามสีนี้หรอถามหน่อย ... ถ้าเราไปจดพรรคใหม่ทำสีเขียว หรือสีดำ ต่อให้มีป้ายน้อยกว่าคนพวกนี้ครึ่งนึงคนคงจำได้กันมากกว่าอีก
  • ทำไมต้องเอารูปติดบัตรมาโฆษณาหน้าตาตัวเอง หรือถ้าถ่ายรูปที่มันดูดีเกินไปคนจะคิดว่าไม่เอาจริงเอาจัง
  • ถ้าการเอาหน้ามาลงป้ายหาเสียงมันไม่น่าจะช่วยให้คนอยากเลือกก็เอาคำพูดสวยๆมาลงแทนสิ เค้าไม่ได้ห้ามนี่
  • เสียงที่เปิดจากรถหาเสียงทำให้มันฟังดูน่าสลดน้อยกว่านี้ก็ได้นะ
  • ทำไมเรารู้จักผู้สมัครเป็นตัวแทนพรรคของการเลือกตั้งอเมริกามากกว่าคนพวกนี้นะ

Friday, October 19, 2007

hyü : NOT at FF#7


ด้วยความคลาดเคลื่อนบางอย่าง จึงทำให้ไม่สามารถไปแสดงตัวให้คนเห็นได้ในงาน Fat Fest ครั้งที่ 7 ตามที่ได้บอกไว้ก่อนหน้านี้
ยังไงก็ตาม อาจจะไปปรากฏตัวหรือสิงสู่ในบูธของคนอื่นในงานแทน ซึ่งยังไม่แน่นอนว่าบูธใครคนไหน
ราวๆต้นปีหน้าคงได้เจอกันจริงๆซะที

Wednesday, October 3, 2007

Dear All Music Critics and Scrutinizers

เราไปอ่านๆใน Pantip แล้วเจอกระทู้ที่บอกว่า อยากให้มี "คลับจับผิดเพลง"
เราอ่านๆดูแล้วก็เลยเกิดอาการคันไม้คันมือ อยากเขียนอะไรที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ซะหน่อย
ก็เลยไปแตกประเด็นกระทู้เค้าซะ ... ใครอยากรู้อยากอ่านเข้าไปดูได้เลย ที่นี่
ส่วนคนที่ขี้เกียจไปตาม Link จะอ่านที่นี่ก็ได้นะ

======================================

ใครลอกใคร?? - การวิพากษ์วิจารณ์งานดนตรี

สืบเนื่องจากการที่มีคนคิดว่าศิลปินไทยมักไปลอกเลียนศิลปินต่างประเทศมา และอยากมีการถก การโต้แย้ง หรือ วิพากษ์วิจารณ์กัน

ส่วนตัวแล้ว ผมมีความคิดว่า ประเด็นที่สำคัญกว่าคือคนที่มาถกมาเปิดประเด็นดังกล่าว มีความรู้ความเข้าใจถึงทฤษฎีทางดนตรี และธรรมชาติของนักดนตรี รวมทั้งสภาพแวดล้อมของวงการดนตรีมากน้อยแค่ไหน และที่สุดแล้วเราต้องการอะไรจากการถกกันในประเด็นนี้กันแน่

ไม่ใช่จะบอกว่าจะต้องเป็นอาจารย์สอนดนตรี หรือโคต-รนักดนตรี หรือผู้คร่ำหวอดในวงการเพลงไทย แต่ผมอยากให้เรามาโต้แย้งกันอย่างเข้าใจถึงพื้นฐานที่มาของงานเพลงหนึ่งๆ และเป็นการเปิดโลกทัศน์ในการฟังเพลงมากกว่าที่จะเป็นการพูดว่า ชอบหรือเกลียด ดีหรือเลว เพียงเพื่อความสะใจส่วนตัว เพื่อดูถูกความคิดของคนอื่น และที่แย่กว่าคือเพื่อไปดูถูกผลงานสร้างสรรค์ของศิลปิน

ที่มาที่ไปของเพลงที่เปิดตามวิทยุที่พวกเราเห็นกันน่าจะอธิบายง่ายๆได้แบบนี้:
ศิลปินคิด-เขียนเนื้อเพลงและดนตรี --> เรียบเรียง --> อัดเสียง --> โปรโมท --> ดัง/ดับ --> วิจารณ์

แต่ผมจะบอกว่า ระหว่างทางนั้นยังมีขั้นตอนยิบย่อย มีผู้คนมากมายเกี่ยวข้อง มีบทสนทนา มีการประชุม มีการตัดสินใจ มีการปรับเปลี่ยน มากอย่างที่เราไม่สามารถบรรยายได้เลย

และในของเหล่านั้น ก็ยังมีของที่สำคัญที่สุดในทุกขั้นตอนนั่นคือ "ความคิด"

ผมขอเปลี่ยนบริบทของหัวข้อนี้ชั่วคราว จากดนตรีเป็นการออกแบบ จากนักดนตรีเป็นนักออกแบบ จากงานดนตรีเป็นงานออกแบบ

ทีนี้ คุณสมบัติของนักออกแบบที่ดีคืออะไร?
คือการหมั่นเปิดหูเปิดตารับงานออกแบบจากแหล่งต่างๆอยู่เสมอ คือการค้นหาแรงบันดาลใจใหม่ๆ เพื่อนำความคิดที่ได้จากการพบเห็นมาสังเคราะห์ให้เกิดเป็นความคิดในแบบของตนเอง และให้เหมาะสมกับโจทย์ของงานออกแบบที่ได้รับมา หรือที่ต้องการจะสื่อให้คนเข้าใจ

มันเป็นเรื่องแปลก(หรือ"ผิด")แค่ไหนที่งานออกแบบชิ้นหนึ่งจะไปคล้ายกับงานของอีกคนหนึ่ง
เป็นไปได้หรือเปล่าที่งานสองชิ้นจะเกิดจากกระบวนการคิดในรูปแบบที่คล้ายกัน
เป็นไปได้หรือเปล่าที่งานทั้งสองชิ้นเกิดจากพื้นฐานของโจทย์ที่งานนั้นต้องตอบรับเดียวกัน
และเป็นไปได้หรือเปล่า ที่ชิ้นงานนั้นมันถูกใช้สอยได้อย่างเกิดประโยชน์สูงสุดด้วยการออกแบบดังกล่าว

กลับมาที่งานดนตรีอีกครั้งด้วยพื้นฐานโครงสร้างแบบเดียวกัน นักดนตรี(หมายถึงนักดนตรีจริงๆ-ไม่ใช่คนร้องเพลงที่ถูกเรียกว่า"ศิลปิน")ย่อมมีความคิดหรือรูปแบบงานที่ต้องการสื่อออกมาให้คนฟังได้คิดและรู้สึกแบบเดียวกับตน ถ้าหากเรารู้วิธีที่เราจะสื่อเนื้อความของเราให้คนเข้าใจได้ดีที่สุด มันมีเหตุผลอะไรที่เราจะหลีกหนีจากวิธีการนั้น ทำไมเราต้องหลีกหนีจากความซื่อสัตย์ต่อตนเองเพียงเพราะเราไม่ต้องการที่จะซ้ำกับคนอื่น

แต่ในขณะเดียวกัน หากงานดนตรีที่ไม่มีความหมายที่จะสื่อออกมา ไม่มีโจทย์ที่ต้องการจะตอบ แต่ต้องถูก"ผลิต"ขึ้นมาเพียงเพื่อให้มีเพลงให้ครบ ให้มีเพลงโปรโมท ก็เท่ากับมันไม่มีแก่นที่เป็นจุดเริ่ม และที่พอจะทำได้ก็มีเพียงแค่หยิบยืมของที่มีอยู่แล้วในตลาดมาบวกกับเนื้อหาที่มีอยู่ดาษดื่นและคำที่ฟังดูดีไม่กี่คำเท่านั้นเอง

งานออกแบบที่ดีมันจะเกิดประโยชน์ตามที่มันถูกออกแบบมา ในขณะที่ของเลียนแบบไม่สามารถทำหน้าที่ของมันได้อย่างเต็มที่ อาจเกิดแตกหักเสียหาย หรือให้ภาพลักษณ์ที่ดูขัดหูขัดตา เพราะมันไม่ได้เกิดจาก"ความคิด" เช่นเดียวกันมันเป็นเรื่องง่ายมากที่จะแยกแยะงานดนตรีที่ถูกสร้างสรรค์ขึ้นมาจากความคิดออกจากงานที่เพียงแค่ต้องการความเป็นที่นิยม

ผมเชื่อว่าจิตวิญญาณและความตั้งใจมันเป็นของที่เราสามารถสัมผัสได้ ถ้าหากเราลองฟังด้วยความเข้าใจ


หมายเหตุ:
- ผมเป็นคนที่เคยเรียนดนตรีมาบ้าง เคยเล่นดนตรี และเคยทำงานในบริษัทอุตสาหกรรมดนตรีของประเทศเรา แต่ผมไม่ใช่นักดนตรีและไม่สามารถเรียกตัวเองอย่างนั้นได้แน่นอน
-ขออภัยที่เขียนซะยาว และขอบคุณผู้ที่อ่านจนจบ

======================================

ระหว่างที่เขียนไปก็ดู+ฟังเพลงสุดฮิต ณ วินาทีนี้ไปด้วย ได้อารมณ์มากๆ
ขออนุญาตละเมิดลิขสิทธิ์ไว้ ณ ที่นี้ด้วย

Wednesday, September 19, 2007

hyü : Preface



Hue [hyü]
-noun

1. a gradation or variety of a color; tint: pale hues.
2. the property of light by which the color of an object is classified as red, blue, green, or yellow in reference to the spectrum.
3. color: all the hues of the rainbow.
4. form or appearance.
5. complexion.

—Related forms
hueless, -adjective




เนื่องจากคงไม่มีคนเข้า Blog นี้มากกว่านี้อีกแล้ว
และไหนๆรูปก็ไปอยู่บน Blog ของพีร์แล้ว
เลยถือโอกาสนับตั้งแต่ตอนนี้ ค่อยๆแนะนำให้ทุกคนได้รู้จัก
โปรเจกต์ล่าสุด และ(น่าจะ)เอาจริงเอาจังที่สุดเท่าที่เคยคิดทำมา
เจอกันเต็มๆงาน Fat Fest #7 ครับผม

ระหว่างนี้คอยเข้ามาอ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่ครับ

Note:
- พี่พีอย่าลืมจองบูธให้ผมด้วยนะครับ ขอบคุณครับผม
- Definition by Dictionary.com