Menu

Showing posts with label Fashion. Show all posts
Showing posts with label Fashion. Show all posts

Tuesday, November 9, 2010

Fat Impression


[image: Sittichai Jittatad @ deephead.com]

งานแฟตกับผมนับว่ามีความผูกพันกันมายาวนานพอสมควร แม้ว่าผมจะไม่ใช่กลุ่มผู้บุกเบิกที่ไปเทศกาลดนตรีนี้ตั้งแต่หนแรกที่โรงงานยาสูบก็ตาม แต่หากนับจำนวนชั่วโมงที่อยู่ในงานนี้ ผมค่อนข้างมั่นใจว่าไม่น้อยกว่าใครแน่นอน แม้กระทั่งทีมงานก็เถอะ เพราะว่าผมมักจะต้องไปตั้งแต่วัน set up + soundcheck ในวันงานจริงก็จะไปตั้งแต่เช้าของวันแรก (เช้าตรู่ในบางครั้ง) และอยู่กระทั่งปิดงานวันที่สอง จนคนงานเข้ามาเก็บกวาดสถานที่นั่นแหละถึงจะได้กลับ

ผมไม่สามารถตอบได้ว่าผมชอบงานแฟตมากน้อยเพียงใด เพราะความรู้สึกที่มีต่อเทศกาลนี้มันเปลี่ยนไปอยู่ตลอด บางมุมผมก็ชอบที่เรามีงานที่ทำให้ได้ดูโชว์ดนตรีแปลกๆจำนวนเยอะๆในงานเดียว ในราคาไม่แพง (หรือฟรีในครั้งแรกๆ) การจัดคอนเสิร์ตพร้อมกันหลายๆเวทีให้เราต้องตัดสินใจเลือกดูได้แค่วงเดียวในช่วงเวลาหนึ่งก็เป็นเสน่ห์อย่างหนึ่ง theme งานและสถานที่ที่เปลี่ยนไปตลอดทุกครั้งก็ทำให้ชื่นชมความพยายามของทีมงาน(ไม่ว่าสุดท้ายจะได้ผลตอบรับที่ดีหรือไม่ก็ตาม) และมีน้อยงานนักที่เราจะได้พบเพื่อนร่วมรสนิยม และพูดคุยกับศิลปินได้อย่างใกล้ชิดอย่างงานแฟต

กลับกันในอีกหลายๆมุมก็มีเรื่องที่ไม่ชอบอยู่เช่นกัน เช่นการที่ศิลปินอิสระบางท่านมองว่ามันเป็นงานสำคัญที่สุดประจำปีจนหลายคนที่ผมรู้จักต้องพยายามเร่งให้งานเสร็จทันขายในงานแฟตเหมือนว่าเส้นทางการเป็นศิลปินขึ้นอยู่กับงานนี้งานเดียวเท่านั้น หรือบางทีก็มีคนที่ตั้งหน้าตั้งตาจะมาหาผลกำไรจากงานเพียงอย่างเดียวโดยละเลยความกลมกลืนกับงานไปเสียสนิท รวมไปถึงความตั้งใจของศิลปินหรือค่ายเพลงที่จะมานำเสนอผลงานในเทศกาลนี้ที่ถดถอยลงไป สังเกตได้จากบูธที่ว่างเปล่าหลังประตูเข้างานเปิดแล้ว ต่างจากงานครั้งแรกๆที่ค่ายเพลงดูจะตื่นเต้นกับการได้มาร่วมงานแบบนี้มาก ซึ่งนั่นก็อาจเป็นเพราะปัจจุบันมีสิ่งที่ถูกเรียกว่าเทศกาลดนตรีเกิดขึ้นแทบทุกเดือนจนไม่เหลือความน่าตื่นเต้นแล้วก็เป็นได้

และที่คนอย่างผมจะไม่บ่นไม่ได้ก็คือเรื่องของกลุ่มคนจำนวนมากที่เข้ามายังงานเพียงเพื่อแสดงออกถึงอัตตาความ cool ในรูปแบบของตนเองโดยไม่สนใจว่าวัตถุประสงค์หรือกฎเกณ์ภายในงานเป็นอย่างไร

หากเหมือนว่าผมเริ่มเข้าสู่วัยกลางคนที่มองอดีตเป็นเรื่องสวยงามกว่าเหตุการณ์ปัจจุบัน และมีมุมมองปฏิเสธค่านิยมและพฤติกรรมของคนรุ่นใหม่ก็ไม่ผิดนัก เพราะผมก็ยังมีความอยากส่วนตัวที่ให้คนรักเรื่องราวของดนตรีให้ถึงแก่นของมันมากกว่าการเสพมันแบบฉาบฉวย ซึ่งมันคงไม่มีวันเป็นความจริงได้เพราะไม่ว่าอย่างไรยุคสมัยใดกระแสความฉาบฉวยนั้นย่อมเป็นกลุ่มเป้าหมายหลักอันเป็นตัวผลักดันทิศทางของธุรกิจต่างๆซึ่งเป็นแหล่งเงินทุนที่ทำให้เกิดงานที่ไม่น่าจะทำเงินจากกลุ่มคนเพียงหยิบมือได้

ที่เขียนมาข้างต้นนั้น ความตั้งใจแรกมันควรจะเป็นบทเกริ่นนำของสิ่งที่ผมกำลังจะเขียนต่อไป นั่นก็คือความทรงจำของผมเกี่ยวกับงานแฟตในแต่ละครั้งที่ผ่านมา แต่มองไล่ย้อนกลับขึ้นไปก็รู้สึกว่ามันเริ่มยาวกว่า entry ปกติที่ผมเคยๆเขียน หากเขียนต่อไปมันก็คงจะยาวอย่างมหาศาลเพราะความทรงจำในแต่ละปีนั้นมันช่างเยอะเหลือเกิน ขืนเขียนทั้งหมดไปคงไม่ทำให้ใครรู้สึกดีกับมันแน่ๆ

... ก็ขอยกไปไว้โอกาสหน้าละกัน

(ยินดีให้ติดตามอ่านตอนต่อไป)

Note:
- ลองทำสิ่งเนิร์ดๆด้วยการนับชั่วโมงที่อยู่ในงานแฟตแต่ละปีดู นับเฉพาะวัน set up และวันงานเท่านั้น (ไม่นับวันสำรวจสถานที่) ผลออกมาดังนี้:

ครั้งที่ 1 โรงงานยาสูบ
ระยะเวลาที่อยู่ในงานโดยประมาณ: 0 ชั่วโมง

ครั้งที่ 2 ห้างอิมพีเรียล ลาดพร้าว
ระยะเวลาที่อยู่ในงานโดยประมาณ: 0 ชั่วโมง

ครั้งที่ 3 สวนสยาม
ระยะเวลาที่อยู่ในงานโดยประมาณ: 48 ชั่วโมง

ครั้งที่ 4 สนามม้านางเลิ้ง
ระยะเวลาที่อยู่ในงานโดยประมาณ: 46 ชั่วโมง

ครั้งที่ 5 แดนเนรมิต
ระยะเวลาที่อยู่ในงานโดยประมาณ: 33 ชั่วโมง

ครั้งที่ 6 IMPACT Challenger Hall
ระยะเวลาที่อยู่ในงานโดยประมาณ: 35 ชั่วโมง

ครั้งที่ 7 IMPACT Challenger Hall
ระยะเวลาที่อยู่ในงานโดยประมาณ: 0 ชั่วโมง

ครั้งที่ 8 IMPACT Challenger Hall
ระยะเวลาที่อยู่ในงานโดยประมาณ: 32 ชั่วโมง

ครั้งที่ 9 IMPACT Challenger Hall
ระยะเวลาที่อยู่ในงานโดยประมาณ: 31 ชั่วโมง

ครั้งที่ 10 ลานทะเลสาบเมืองทองธานี
ระยะเวลาที่อยู่ในงานโดยประมาณ: 12 ชั่วโมง


รวมทั้งสิ้น 237 ชั่วโมง -- เยอะประมาณคนที่ไปงานทั้งสองวันทุกปี และอยู่ในงานตั้งแต่ประตูเปิดจนปิดงาน

- ภาพด้านบนเป็นภาพที่ผมชอบมากจากงานแฟตครั้งที่ 9 ถ่ายโดยคุณ สิทธิชัย จิตตะทัต (ช่างภาพสารคดีของกลุ่มช่างภาพ Hanuman และเว็บไซต์ deephead.com) -- เป็นภาพวันซาวด์เช็ค ขณะที่แม่บ้านกำลังทำความสะอาดพื้นที่ และต่างสงสัยว่าศิลปินที่ขึ้นมาซาวด์เช็คคนแล้วคนเล่าเหล่านั้นเป็นใครกัน

Monday, March 2, 2009

NME Awards 2009

ช่วงนี้คงมีอะไรให้มาอัพ blog เรื่อยๆ เพราะมีงานเขียนอย่างอื่นอยู่ด้วย (แต่สำนวนบางครั้งอาจจะไม่ใช่ตัวเรานัก) ลองเอามาให้ดูเล่นอันนึงก่อน

+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-

NME นิตยสารเพลงที่จัดได้ว่าดังที่สุดในเกาะอังกฤษ (ประมาณ Rolling Stone ของทางฝั่งอเมริกา) พึ่งจัดงานประกาศรางวัล NME AWARDS 2009 ไปเมื่อวันที่ 25 ก.พ. ที่ผ่านมานี้เอง เลยเอามาให้ดูกันว่าผลงานของใครในปีที่ผ่านมาเข้าตากรรมการจนได้รางวัลไป



Best Brit Band - Oasis

Oasis เบียด Radiohead คว้ารางวัลใหญ่ประจำปีที่ให้กับวงยอดเยี่ยมที่อยู่ในเกาะอังกฤษ


Best International Band – The Killers

อีกหนึ่งวงปากดีที่คว้ารางวัลใหญ่สำหรับศิลปินนอกเกาะอังกฤษ



Best Solo Artist - Pete Doherty

อดีตสมาชิกวง The Libertines ที่ตกเป็นข่าวอย่างสม่ำเสมอ ได้รับรางวัลศิลปินเดี่ยวยอดเยี่ยม


Best New Band - MGMT

คู่ duo จากอเมริกากับอัลบั้มแรกที่ทำให้สื่อดนตรีทั่วโลกจับตามองกับรางวัลศิลปินกลุ่มหน้าใหม่ยอดเยี่ยม


Best Live Band - Muse

ใครที่ไม่รู้จักหรือไม่เคยดูวงนี้เล่นสด ขอให้ไปหาดูใน YouTube โดยด่วน เพราะนี่คือรางวัลวงแสดงสดยอดเยี่ยมครั้งที่ 3 ของ Muse แล้ว! (บ้านเราน่าจะมีรางวัลนี้บ้างนะ)


Best Album 'Only By The Night' โดย Kings Of Leon

ไม่พลิกโผใดๆเพราะอัลบั้มนี้พึ่งจะคว้ารางวัลอัลบั้มยอดเยี่ยมมาจากเวที BRIT Awards ก่อนหน้างานนี้เพียง 1 สัปดาห์เท่านั้น


Best Track - 'Time To Pretend' โดย MGMT

บอกแล้วว่า duo คู่นี้นี้น่าจับตาจริงๆ (ยืนยันด้วยรางวัลเพลงยอดเยี่ยมประจำปี)


Best Video - 'My Mistakes Were Made For You' โดย The Last Shadow Puppets

โปรเจกพิเศษที่นักร้องของ Arctic Monkeys และ The Rascals ร่วมมือกันทำ ขอเชิญไปดูความยอดเยี่ยมใน YouTube อีกเช่นเคย


Best Live Event - Glastonbury

บางปี Glastonbury ก็โดนด่า บางปีงานก็ดูกร่อยๆ แต่ปี 2008 เทศกาลดนตรีที่ใหญ่ที่สุดในโลกกู้ชื่อให้ตัวเองอีกครั้งด้วยทุนจัดงาน 22 ล้านปอนด์!


Best TV Show - The Mighty Boosh

ไม่มีข้อมูลมาก รู้แต่ว่าเป็นละครเวทีตลก แล้วขยายตัวเป็นละครวิทยุ จนลามมาถึงทีวีในที่สุด


Best Dancefloor Filler - 'Dance Wiv Me' โดย Dizzee Rascal

รางวัลเพลงที่คนเต้นตามมากที่สุด (รางวัลนี้เก๋ดีนะ) เพลงพิเศษของ rapper ผิวสีชาวอังกฤษน่าเต้นตามแค่ไหนต้องฟังกันเอง


Best DVD - Arctic Monkeys At The Apollo

DVD บันทึกการแสดงสดครั้งสุดท้ายของทัวร์ประจำปี 2007 ของวงอินดี้ที่เริ่มโด่งดังจากอินเตอร์เนท


Best Band Blog - Noel Gallagher / Oasis

บล็อกของมือกีตาร์หัวหน้าวง Oasis ที่มักจะเขียนเรื่องให้คนหยิบไปเป็นประเด็นถกเถียงได้เรื่อยๆ


Best Venue - London Astoria

รางวัลสถานที่จัดคอนเสิร์ตที่ดีที่สุดเป็นของ Astoria ณ ลอนดอน (คอนเสิร์ตบ้านเราจัดกี่ทีๆก็ที่เดิมๆ) ศิลปินชั้นนำทุกคนตั้งแต่ Nirvana ไปจนถึง Eminem ล้วนเคยมาเหยียบที่นี่ รางวัลนี้เหมือนเป็นการให้เกียรติสถานที่ด้วยเพราะพึ่งจะปิดตัวลงเมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมานี้เอง


Best Album Artwork - 'HAARP' โดย Muse

รางวัลปกอัลบั้มยอดเยี่ยมของวง Muse (สวยมั้ยล่ะ)


Hero Of The Year - Barack Obama

ไม่มีใครเป็นที่สนใจของทั้งโลกได้เท่าเค้าอีกแล้ว


Villain Of The Year - George W. Bush

อดีตผู้นำสหรัฐฯได้รางวัลวายร้ายแห่งปีมา 6 ปีติดต่อกันแล้ว!


Best Dressed - Alexa Chung

อดีตนางแบบและผู้ประกาศข่าวสาวชาวอังกฤษได้รางวัลแต่งกายยอดเยี่ยมไป


Worst Dressed - Amy Winehouse

ตรงข้ามกับรางวัลเมื่อกี๊เลย แต่เธอคนนี้คงไม่ได้แคร์หรอก


Worst Album - 'A Little Bit Longer' Jonas Brothers

รางวัลอัลบั้มสุดห่วยประจำปีเป็นของวงขวัญใจเด็กสาววัยประถมของอเมริกาไป (บ้านเราจะมีใครกล้าแจกรางวัลนี้มั้ยนะ)


Worst Band - Jonas Brothers

รางวัลวงสุดห่วยจะเป็นใครไปได้อีก ที่น่าสนใจคือ Oasis ได้เข้าชิงทั้งรางวัลวงยอดเยี่ยมและวงสุดห่วยในปีเดียวกัน!


Sexiest Male - Matt Bellamy

นอกจากจะมีพรสวรรค์ทางดนตรีล้นเหลือแล้ว นักร้องนำวง Muse ยังได้รางวัลผู้ชายสุดเซ็กซ์อีกต่างหาก


Sexiest Female - Hayley Williams

ส่วนรางวัลผู้หญิงสุดเอ็กซ์เป็นของนักร้องนำสุดเปรี้ยววง Paramore ไป (คนนี้เป็น idol ขวัญใจของ ฟักแฟงวง No More Tears ล่ะ คล้ายกันเชียว)


Best Website - YouTube

เว็บไซต์แห่งยุค หาคนล้มได้ยากจริงๆ


ก็ประมาณนี้ อยากรู้จักใคร ฟังเพลงใคร ก็ต้องลอง google หาดูหาฟังกันเองนะ


+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-


Note:
- เปล่า เ้ราไม่ได้เปลี่ยนไปเป็นนักเขียนให้นิตยสารหรือเว็บไซต์ทางดนตรีใดๆหรอก
- คาดว่า entry นี้จะพาคนเข้ามา blog เราจำนวนไม่น้อย เพราะว่า keyword เยอะเชียว
- article ใน entry นี้มาจาก trendyday.com
- หรือจะลองเข้าไปดูเว็บไซต์นี้ก็ดีนะ (แค่คลิกแวะเข้าไปก็ถือว่าช่วยกันแล้ว)

Monday, February 4, 2008

Fakes and Frauds


[image by: Siobhan Curran @ flickr]

เราคิดว่าคำว่า fake ถูกใช้ทับศัพท์อย่างแพร่หลายจนเข้าใจตรงกันในสังคมแล้ว
แต่เราก็ยังสงสัยอยู่ดีว่าจริงๆแล้ว fake เนี่ยคืออะไร และแค่ไหนถึง fake
เราจะเรียกอะไรว่า fake ได้บ้าง และแค่ไหนถึงจะพอไม่ถูกเรียกว่า fake ได้

ขอพูดถึงเรื่องข้าวของใช้รวมไปถึงเสื้อผ้าเครื่องประดับต่างๆสักหน่อย
ยี่ห้อหรือบริษัทใหญ่ๆต่างเสียค่าทำการตลาดไปหลายล้านเพื่อสร้าง brand ของสินค้าขึ้นมา
แต่ว่ามีผู้ฉกฉวยโอกาสทำสินค้าลอกเลียนแบบ (หรือที่เรียกว่า fake) ออกมาวางขายเกลื่อน
แน่นอนว่าของจริงย่อมมีราคาแพงกว่า เนื่องจากมีต้นทุนการทำ branding และการออกแบบ(หรือ พัฒนา)อยู่ด้วย
และส่วนใหญ่สินค้าของจริงก็จะมีคุณภาพดีกว่าทั้งวัสดุและขั้นตอนการผลิต รวมไปถึงบริการหลังการขาย
แต่ข้อได้เปรียบของของปลอมคือราคาที่ต่ำกว่า(มาก) และรูปลักษณ์ภายนอกที่ดูคล้ายคลึงกัน
ผู้บริโภคที่ต้องการมีสินค้าเหล่านั้นไว้ในครอบครองก็เลือกหากันตามอัตภาพไป
คนรวยก็ซื้อของจริงไป รายได้น้อยก็ซื้อของเลียนแบบ - รายได้ปานกลางอาจจะซื้อของเลียนแบบที่เกรดดีหน่อย
(เกรดดี = มีลักษณะใกล้เคียงของจริงมาก)

ความสงสัยจริงๆของเราจากเรื่องนี้ก็คือ เราซื้อสินค้า"ของจริง"เพราะอะไรกัน?
เพราะว่ามันมีคุณภาพที่สูงกว่าของปลอมรึเปล่า?
โดยพื้นฐานแล้วคุณภาพสินค้าที่สูงย่อมให้ความพึงพอใจที่มากขึ้นตามลำดับไป
โอกาสที่สินค้าคุณภาพต่ำกว่าจะให้ความพึงพอใจที่มากกว่าหรือเท่าเทียมกันนั้นแทบเป็นไปไม่ได้

มันมีเรื่องที่เป็นประเด็นอยู่ตอนนี้คือ คุณภาพสินค้าลอกเลียนเหล่านี้นั้นดีขึ้นเรื่อย (ใกล้เคียงมากขึ้น)
นั่นเพราะผู้ผลิตไปซื้อวัตถุดิบเดียวกัน จากแหล่งเดียวกัน ว่าจ้างโรงงานที่มีเครื่องจักรและศักยภาพระดับเดียวกัน
หรือพูดง่ายๆคือ ทุกรายละเอียดของสินค้านั้นเหมือนกันหมด ต่างกันเพียงผู้สั่งผลิตเท่านั้น
ถ้าเป็นแบบนี้แล้วเราซื้อของจริงเพราะอะไร?
เพราะว่าของจริงนั้นได้รับ order การผลิตจากบริษัทเจ้าของ brand หรอ?
ของแบบนั้นมันมี value ตรงไหนกัน?
ถ้ามองในแง่ดี(มากๆ)คือเรายอมจ่ายเงินเพื่อให้ brand เหล่านี้มีเงินไปจ้างนักออกแบบ
เพื่อเราจะได้มีสินค้าสวยๆงามๆใหม่ๆใช้กันไปเรื่อยๆ ตามฤดูกาลในปีหนึ่งๆ
มีกี่คนที่คิดแบบนั้นบ้างตอนที่จ่ายเงินซื้อของ (และคิดว่ามันเป็น value)

ทั้งนี้ทั้งนั้นไม่ใช่บอกว่าซื้อของจริงแล้วโง่หรือซื้อของปลอมแล้วดีเลยนะ
การซื้อของปลอมมันไม่ดีแน่นอนอยู่แล้ว เพราะมันคือการส่งเสริมให้คนเอาเปรียบกัน
แต่ว่าอยากให้ลองหยุดคิดดูกันนิดนึง ว่าเส้นแบ่งของแท้กับของปลอมมันอยู่ตรงไหน
เหตุผลไหนกันแน่ที่ทำให้เราซื้อของจริง และเหตุผลนั้นมันมีคุณค่าต่อเรามากกว่าเงินที่จ่ายออกไปมั้ย
ถ้ายังนึกไม่ค่อยออก ลองตอบคำถามนี้ดูหน่อยก็ได้
- เสื้อยืดของจริงยี่ห้อ AB ราคา 1,500 กับของเลียนแบบยี่ห้อ A8 ราคา 150
- นาฬิกาของจริงราคา 4,000 กับนาฬิกาทำคล้ายมากๆ (วัสดุเข็มวินาทีไม่เหมือนกัน) ราคา 700
- รองเท้าของจริงราคา 11,000 กับรองเท้าทำเหมือนทุกอย่างแต่พิมพ์ข้างกล่องเป็น "Maed in Italy" ราคา 1,000
- กระเป๋าของจริงราคา 60,000 กับของที่โรงงานแอบทำออกมาเกินราคา 13,000 และของที่มีคนไปสั่งทำเหมือนราคา 4,500 เหมือนกันทุกประการ

แค่ไหนล่ะที่จะบอกว่าสิ่งนี้คือปลอมและสิ่งนี้คือแท้?
ถ้าทำให้แค่คล้ายๆเพื่อไม่ให้โดนข้อหาละเมิดลิขสิทธิ์ จะเรียกว่าปลอมมั้ย
ถ้าทำออกมาด้วยวัสดุและกระบวนการเดียวกันแต่ต่างกันที่คนสั่งจะปลอมมั้ย

คุณภาพดีมี brand ถูกต้อง / คุณภาพดีละเมิดลิขสิทธิ์ / คุณภาพดีแถว่าไม่ละเมิดลิขสิทธิ์

แค่ไหนกันถึงจะเรียกว่า fake???

Monday, January 14, 2008

The Fall of Thai T-Shirt

ขอความกรุณาผู้ผลิตเสื้อยืดขายในประเทศไทยใช้สมองในการออกแบบลวดลายมากกว่านี้ด้วย

ไปเดินสวน(จตุจักร)มา ทำให้ยืนยันความจริงบางอย่างได้
ตอนนี้คนทำเสื้อยืดขายในบ้านเรากำลังขาดความคิดสร้างสรรค์อย่างมาก
เข้าใจว่าการทำเสื้อยืดขายเป็นกิจการที่ทำได้ง่าย เหมาะกับคนรักอิสระรุ่นใหม่
แต่คนทำขายเยอะขึ้น กลับมีเสื้อมห้รู้สึกว่าอยากซื้อลดลง ทั้งๆที่เราชอบซื้อเสื้อยืดมากๆ

ไม่ว่าจะเป็นที่สวนฯ ที่ตลาดนัดเมเจอร์ เมืองทอง ยูเนี่ยนมอลล์ หรือที่ไหนๆก็เหมือนกัน
ถ้าไม่ใช่ไปซื้อมาจากประตูน้ำหรือที่ขายส่งใดๆ ก็ลอกมาจากอินเตอร์เนต โดยเฉพาะ threadless.com
และที่แย่คือพวกเสื้อที่เป็น type-tee (เสื้อที่ใช้ตัวอักษรเป็นหลัก เป็นคำ/ประโยค)
type-tee พวกนี้มีแต่ประโยคห่า(ขออภัย)อะไรก็ไม่รู้ แถมตัวหนังสือยังเหี้ย(ขออภัย)มากๆ
เห็นแล้วทำให้ไม่อยากไปเดินเลือกหาซื้อเสื้อไปอีกนานๆ จนกว่าไอ้พวกนี้จะเจ๊งตามๆกันไป

แต่ยังไงก็ยังมีร้านดีๆที่ไปเจอมาอยู่เหมือนกันนะ
ที่สวนลุมไนท์ โซนอยุธยา ซอยอะไรไม่รู้จำไม่ได้ (7 หรือ 8 มั้ง)
เป็นร้านสองห้อง ทำเสื้อ type-tee ที่สวยมากๆ
ถ้าใครแวะเวียนไปก็ลองไปเดินหาดู ถ้าไปอีกทีจะเอารายละเอียดร้านมาให้

เพิ่มเติมนิดนึง ถ้าใครคิดจะเปิดร้านเสื้อผ้าช่วงนี้ขอให้คิดดูดีๆ
ตอนนี้มีคนหันมาทำร้านเสื้อผ้าเยอะมากๆ
ถ้าไม่แน่จริง (ทั้งด้านทรัพยากรความคิดและเงินทุน) ไม่ควรทำ
... เตือนเอาไว้ให้รู้กัน


Note:
- วันนี้พูดคำหยาบไปบ้าง ขอโทษด้วย แค่ไม่ชอบใจจริงๆ

Wednesday, January 9, 2008

A Useless Statement


[image by: michaelcooper @ flickr]

ถ้าใครไม่เคยสงสัยก็ควรจะสงสัยกันได้แล้วว่า เนคไท(Necktie)มันมีไว้ทำอะไร
ถ้า search คำว่า necktie คู่กับ useless จะได้ผลลัพธ์กลับมา 55,900 อัน
แต่ถ้า search necktie คู่กับ useful กลับได้มาถึง 113,000 อัน!!
คิดแบบไม่คิดอะไรก็จะเดาเอาว่าเนคไทนี่มันคงมีประโยชน์เหมือนกันนะ
(ขอคิดก่อนว่าจะเขียนยังไงต่อดี เพราะไม่คิดว่าผลมันจะออกมาแบบนี้)
.
.
.


ช่างมันละกัน - จะเขียนไปแบบที่ตั้งใจเอาไว้อยู่ดีว่าเนคไทมันเป็นเครื่องแต่งกายที่ไร้ประโยชน์ที่สุด
ไม่ใช่แค่ไร้ประโยชน์มากที่สุดอันหนึ่ง แต่เป็นไร้ประโยชน์ที่สุดเลย
แบบที่ถ้ามีการจัดอันดับประโยชน์ของเครื่องแต่งกายทั้งหมด มันจะมาเป็นอันดับสุดท้าย
ถ้าไม่เชื่ออยากให้ลอง list ประโยชน์ของมันให้ไว้ในคอมเมนท์หน่อย
ขอแค่ซัก 2 ข้อเราก็อาจจะเปลี่ยนใจแล้วล่ะ

มาลองไล่เรียงประวัติของมันกันหน่อยนะ ว่าเนคไทมีที่มายังไง ตั้งแต่ตอนไหน (อ้างอิง: wikipedia)
ตั้งแต่สมัยราชวงศ์ Qin (ฉิน) ชนชั้นนักรบจะมีผืนผ้ามาผูกคอไว้เป็นสัญลักษณ์ของบรรดาศักดิ์
เนื่องจากสมัยนั้นผ้าธรรมดายังหายาก การจะไปหาผ้ามาผูกคออย่างไม่เกิดประโยชน์จึงถือเป็นการแสดงความรวย
และการที่ชนชั้นนักรบของจีน หรือชาติอื่นๆในภายหลังนิยมผูกมันก็เป็นการแสดงออกของความเข้มแข็งของเพศชาย
ให้พูดง่ายๆก็คือ มันเป็นของที่ถูกประดิษฐ์(?)มาเพื่อแสดงออกถึงความรวยและความเป็นชายเท่านั้นเอง

นักวิชาการยังพยายามให้เหตุผลเพิ่มเติมถึงเรื่องการแสดงความเป็นชายด้วยเนคไทเพิ่มเติมให้อีก
ด้วยรูปทรงของเนคไท และการห้อยจากคอลงมา มันเปรียบเสมือนลักษณะอวัยวะของเพศชาย
อีกทั้งปลายแหลมของมันก็ยังชี้ไปที่อวัยวะนั้นอีกด้วย เพื่อเป็นการยืนยันว่าเราผู้พบเห็นเข้าใจถูกต้องแล้ว
(นอกจากเนคไทแล้ว กีตาร์ก็เป็นอีกตัวอย่างของสัญลักษณ์เพศชาย - โปรดสังเกตจากรูปร่าง)

มาคิดดูในยุคปัจจุบันนี้หน่อยว่ามันมีประโยชน์อะไร หรือมันไร้ประโยชน์ยังไงบ้าง
ประโยชน์:
- ซับเหงื่อ ซับเลือด (ผ้ายาวๆที่ไม่น่าซับได้ดีราคาแพงได้เป็นหมื่น - พกผ้าเช็ดหน้าดีกว่ามั้ย)
- รัดแขนหรือขาเวลาถูกงูกัด (เผื่อว่างูจะทะลึ่งเลื้อยเข้ามาในออฟฟิศ หรือคุณจะทะลึ่งผูกไทเดินในป่า)
- ผูกหัวเวลากินเหล้าหลังเลิกงาน (ไม่รู้เหมือนกันว่าทำแล้วดียังไง)
- เป็นอาวุธลอบรัดคอคนจากด้านหลัง (ช่างตรงข้ามกับสัญลักษณ์นักรบกล้าหาญในยุคก่อนจริงๆ)

ไร้ประโยชน์:
- ดูตลกบนเสื้อเชิ้ต ยิ่งตลกบนเสื้อยืด และอย่าได้คิดใส่กับเสื้อกล้าม หรือไม่ใส่เสื้อเลยเด็ดขาด
- ในยุคนี้ พอใส่เนคไทแล้วดูเหมือนเป็นทาศขององค์กร (corporate slave)
- ใส่ให้ดูไม่เข้ากับบุคลิก ไม่เข้ากับเสื้อผ้าชิ้นอื่นๆได้ง่ายกว่าทำให้ดูดี
- วีธีผูกซับซ้อนซ่อนเงื่อน (ลองคิดดูว่าถ้าเราต้องจำวิธีใส่เสื้อแบบต่างๆชีวิตจะยากแค่ไหน)

เอาอีกแล้ว list ปรโยชน์มาได้เกินสองข้อ แถมเขียนประโยชน์ได้เท่ากับความไร้ประโยชน์อีก
สงสัยต้องลองกลับไปคิดใหม่ วางแผนให้ดีๆก่อนจะเขียนอะไรแล้วสินะ
(หรือว่าเนคไทมีประโยชน์จริงๆกันแน่? - ไม่หรอกมั้ง)

Note:
- ที่ IKEA เค้าห้าม (ย้ำว่าห้าม) พนักงานใส่เนคไทมาทำงาน ... จะมีคนที่รู้สึกเดือดร้อนมั้ยนะ

Thursday, December 27, 2007

In and Out - Color-wise



เราไม่ใช่คนที่ติดตามแฟชั่นมากนัก (จริงแล้วค่อนไปทางไม่ตามเลย)
แต่ว่าช่วงนี้ถ้าใครออกไปเดินเล่นนอกบ้านบ้างน่าจะสังเกตเห็น
มีสีที่กำลัง "อิน" มากๆอยู่ และมันสะดุดตาเมื่อพบเห็นมากๆ
นั่นก็คือสีที่เห็นอยู่ข้างบนนี่เอง ชื่อว่า Cobalt Blue
เราไม่รู้ว่าใครเป็นคนริเริ่มหรือทำไมมันถึงดังขึ้นมาในช่วงนี้
แต่มีเกร็ดความรู้นิดๆหน่อยๆมาฝากกันเอาไว้เกี่ยวกับสีนี้

- จริงๆแล้วคำจำกัดความของสีนี้จริงๆคือสีน้ำเงินที่ desaturate ลงมา (ความเข้มลดลงมา)
- เป็นสีที่ได้มาจากเกลือโคบอลต์
- code สีแบบ RGB ที่ถูกต้องคือ 0-71-171
- อ่านเพิ่มเติมได้จาก wikipedia ครับ

แค่นี้พอละกันนะวันนี้

Note:
- สีที่เราให้ดูข้างบนเป็นสีที่ใกล้เคียงกับสีที่ถูกเรียกว่า cobalt blue ในวันนี้มากกว่า RGB 23-18-173
- และข้างล่างนี่คือสีที่กำลังค่อยๆ "เอาท์" ออกจากกระแสแฟชั่นวันนี้

Wednesday, December 26, 2007

Fitting Frenzy


[image from screenshot of "Fashion Fits!" by FunnyPCGames.com]

เมื่อวันเสาร์ไปห้างใหญ่ใจกลางเมืองมา มีร้านลดราคามากมาย
มีร้านเสื้อร้านหนึ่งคนเลือกกันเยอะเลย แฟนเราก็ไปเลือกดูด้วย
พอมาถึงตอนที่เลือกได้แล้วจะลองนี่ล่ะ ที่ต้องไปเจอกับแถวยาวเหยียด
ระหว่างรอเราก็เลยนึกสงสัยขึ้นมาว่า นี่มันน่าจะเป็นเรื่องปกติของฤดูการจับจ่าย
แต่ว่าเวลาเขาออกแบบร้านเสื้อเนี่ย เขาก็น่าจะคิดไว้สิว่าห้องลองเพียงพอรึเปล่า

เราเข้าใจว่าค่าเช่าที่ในห้างนั้นต้องแพง จำเป็นต้องมีพื้นที่สำหรับแสดงและจัดเก็บสินค้าเป็นหลัก
แต่ว่าการลองเสื้อนั้นก็เป็นสาระสำคัญในการตัดสินใจจ่ายเงินนี่นะ
ถ้าหากไม่ได้ลอง คงไม่สามารถตัดสินใจซื้อเสื้อผ้าได้ง่ายๆแน่
(ถ้าคิดว่าไม่จริง ป่านนี้ร้านเสื้อออนไลน์คงรวยกันหมดแล้ว)
ถ้างั้นทำยังไงถึงจะมีทางออกที่พอดีสำหรับทุกฝ่าย

ปัญหานี้นักออกแบบร้านค้าปลีกหรือตัวบริษัทเสื้อผ้าพบนี้น่าจะพบเจอบ่อยๆ
ไม่สามารถจัดสรรพื้นที่เพื่อให้ใช้สอยได้ครบเพียงพอตามต้องการ
แต่ว่าของที่มักจะถูกมองข้ามไปในขั้นตอนการออกแบบหรือวางแผนคือการใช้เทคโนโลยีเข้าช่วย
เอาเท่าที่นึกออกแบบเร็วๆเราว่าน่าจะมีทางแก้ได้โดยวิธีคิดสองหลักด้วยกัน
1. อะไรจะทำให้ลูกค้าลองเสื้อได้ในเวลาที่ลดลง เพื่อลดความยาวของแถวที่รอ
2. อะไรจะทำให้สินค้าถูกแสดงได้ครบในพื้นที่ที่ลดน้อยลง (เพื่อเพิ่มห้องลอง)

ตอบทีละข้อโดยเริ่มจาก 1 ก่อนเลย - -
ลองนึกถึงกระจกอันหนึ่งที่สะท้อนตัวคุณออกมา ... แต่ว่าสวมใส่ชุดที่คุณต้องการลองแทนชุดจริง!
(ไม่ได้หมายความว่าไปเปลี่ยนชุดมาแล้ว แล้วเดินมาส่องกระจกนะ)
คุณสามารถเลือกลองชุดที่ต้องการใส่ได้โดยที่ไม่ต้องเปลี่ยนชุดจริงๆ
และคุณสามารถเห็นตัวคุณเองในอิริยาบถต่างๆได้ตามที่คุณแสดงด้วย (ไม่ใช่แค่ทาบชุด)
นี่ไม่ใช่เพ้อเจ้อ แต่คือเรื่องที่เกิดขึ้นจริง โดยของที่เรียกกันว่า "Virtual Mirror"*
จริงๆแล้วคุณไม่ได้ส่องกระจกของจริงที่ฉาบด้วยเวทมนตร์อะไรทั้งนั้น
คุณจะเห็นตัวคุณเองผ่านเทคโนโลยี real-time simulation ที่มีการคำนวณรูปร่างคุณ
และแสดงออกมาโดยการประมวนผลรูปร่างของคุณในเสื้อผ้าแบบที่ต้องการลองจริงๆ
ด้วยนวัตกรรมนี้ ลูกค้าสามารถที่จะ"ลอง"เสื้อที่ต้องการว่าเข้ากับตัวเองไหมก่อนที่จะลองว่าพอดีรึเปล่า
และน่าจะทำให้เวลาในการลองเสื้อของลูกค้าลดลงได้อย่างเห็นได้ชัด
* บ.Toshiba ร่วมมือกับ บจก. Digital Fashion ร่วมมือกันพัฒนาระบบขึ้นมา [link]

และข้อ 2 คือลดพื้นที่จัดแสดง - -
ถ้าเห็นว่าข้อแรกยังเป็นไปได้จริง ข้อนี้ยิ่งเป็นไปได้ง่ายใหญ่เลย
มันมีของที่เรียกว่า virtual catalog อยู่ (เอาไว้ใช้คู่กับ virtual mirror ก็ได้)
สิ่งนี้มันจะทำให้คุณเลือกแบบเสื้อผ้าผ่านจอคอมพิวเตอร์ทุกรูปแบบได้
พอเลือกแบบที่ต้องการได้แล้วค่อยแจ้งพนักงานให้หยิบแบบที่ต้องการมาให้ก็ได้
เท่านี้ก็สามารถลดพื้นที่ที่จัดแสดงลงไปได้ไม่น้อยแน่ๆ

หยิบยกเรื่องนี้มาพูดถึงเพราะว่าร้านเสื้อผ้าเป็นธุรกิจแบบดั้งเดิมมากๆ
และขั้นตอนในการดำเนินธุรกิจเปลี่ยนไปน้อยมากๆในช่วง 10-20 ปีที่ผ่านมา
ในยุคที่ธุรกิจในหลายๆอุตสาหกรรมเปลี่ยนแปลงไปอย่างมากเพราะความเปลี่ยนแปลงทางสภาพแวดล้อม
ทั้งพฤติกรรมผู้บริโภค ทั้งข้อบังคับทางเศรษฐกิจ กฎหมาย สิ่งแวดล้อม และเทคโนโลยี
ผู้ประกอบการควรต้องหันมามองตนเอง และสิ่งที่ตนเองสามารถปรับปรุงได้ เพื่อพัฒนาโอกาสของตนเอง

อีกอย่างหนึ่งคือ เราชาวไทยต้องปรับเปลี่ยนทัศนคติเรื่องเทคโนโลยีและนวัตกรรม
คนส่วนมากนึกว่ามันเป็นเรื่องไกลตัว เรื่องของต่างชาติ เรื่องล้ำยุคและยากที่จะเข้าใจ
แต่จริงๆทุกคนสามารถเข้าถึงมันได้ เพราะมันมีอยู่เพื่อประโยชน์ของเราทุกคน
เราต้องมองเทคโนโลยีว่าเป็นเรื่องที่เราจัดการเอามาใช้เองได้โดยที่ไม่ต้องพึ่งพาใคร
ไม่ใช่คิดว่าชาวต่างชาติค่าตัวแพงเก่งกว่าเรา และไม่ใช่คิดว่าของแพงคือของดี


Note:
- วันถัดมาก็ไปเลือกตั้ง ต่อแถวยาวเหยียดอีก นี่ก็เป็นอีกเรื่องที่ไม่ปรับปรุง process เป็นระยะเวลาสิบๆปีแล้ว ... เราเห็นคนต่อแถวหลังเรายืนรอลงคะแนนราว 20 นาที (เราก็รอนานเท่านั้นด้วย) จนไปถึงเจ้าหน้าที่ แต่ว่าเค้าลืมลำดับเลขที่ของตนเองไปแล้ว เจ้าหน้าที่น่ารักมาก ชี้ไปที่กระดานท้ายแถวว่าให้ไปดูตรงโน้นและต่อแถวมาใหม่ซะนะ ... ไม่มีวิธีดีกว่านี้แล้วจริงๆหรอ?
- เรื่อง virtual mirror ข้างบนมีการใช้ในร้านเสื้อผ้าจริงๆแล้วด้วยนะ แต่ว่าจำไม่ได้จริงๆว่าที่ไหน (หา web ไม่เจอ)

Tuesday, October 23, 2007

Short-Term Plan

ลองคิดเล่นๆดูว่าต้องการจะทำอะไรในช่วงนี้ แต่เอาแบบเป็นไปได้จริงๆนะ
ถ้าหากจะเริ่มทำอะไรใหม่ๆ หรือเลิกทำอะไรเดิมๆ เราอยากจะทำอะไรบ้าง
มาดูกัน

1. เขียน blog เป็นอาชีพ (หมายถึงว่าอยากได้รายได้จากการเขียน blog)
จะทำยังไง? - อาจจะต้องเริ่มจากการหาthemeในการเขียนที่เหมาะสม มีกลุ่มเป้าหมายผู้อ่านที่ชัดเจน อาจจะไม่ได้ทำด้วยตัวคนเดียวแต่สามารถทำแบบรวมกับคนรู้จักเป็นกลุ่มเป็นก้อนเพื่อเขียนของที่เป็นประเด็นเดียวกันหรือมีความเกี่ยวโยงกันหรือเพื่อการโต้แย้งกัน รายได้ที่คาดว่าจะได้รับอาจจะไม่มากไม่มายอะไร อาจจะได้รับการสนับสนุน(endorsement)จากสินค้าประเภทต่างๆบ้าง หรือง่อยๆแบบคิดอะไรไม่ออกก็ขายbannerละกัน
เป็นไปได้มากแค่ไหน? - 7/10 จะเริ่มเขียน blog นั้นเริ่มได้ตลอดเวลาอยู่แล้ว แต่จะเขียนในเรื่องที่มีคนสนใจอ่านและหาช่องทางโปรโมทได้นั้นอาจจะทำให้ยากขึ้นมาอีกหน่อย แต่ที่ยากจริงๆคือมี traffic เข้ามาที่ blog มากพอจนจะได้ endorsement นี่สิ ยากแน่ๆ

2. เปิดร้านเสื้อแบบมี theme ไม่ใหญ่โตมาก
จะทำยังไง? - หา theme ในการขายเสื้อที่ไม่เคยเห็นคนทำ (อย่างน้อยก็ในประเทศนี้) ยกตัวอย่างเช่น UTStore ที่ญี่ปุ่นที่ เป็นร้านขายเสื้อที่ให้อารมณ์ร้านสะดวกซื้อบวกกับรถไฟใต้ดิน คือไปเดินเลือกแล้วหยอดเหรียญเพื่อซื้อเสื้อตามแบบจากตู้อัตโนมัติในร้านได้เลย
เป็นไปได้มากแค่ไหน? - 7/10 Theme ในหัวก็พอมีอยู่บ้าง เรื่อง supplier และการผลิตก็พอจะมีที่พึ่งอยู่ ที่ยากจริงๆคงเป็นเรื่องทำเล และก็ต้นทุนละมั้ง

3. เป็นครูบาอาจารย์
จะทำยังไง? - อยากเป็นคนที่ให้ความรู้คนอื่นได้ แต่อยากเน้นการสอนแบบสอนให้รู้จักคิด ให้รู้จักการหาข้อมูล หัดพัฒนาความรู้ด้วยตัวเอง และจะพยายามเป็นที่ปรึกษาด้านความคิดของเด็กนักเรียนด้วย
เป็นไปได้มากแค่ไหน? - 6.5/10 อยากเป็นอาจารย์สอนระดับชั้นมัธยมหรือมหาวิทยาลัย แต่จะสอนมหา'ลัยได้คงต้องจบปริญญาโทก่อน ดังนั้นที่พอจะเป็นไปได้คือระดับมัธยม ไม่รู้เหมือนกันว่าการจะเข้าไปเป็นครูหรืออาจารย์นั้นมันยากแค่ไหน แต่อยากทำจริงๆนะ

4. ไปเที่ยวต่างประเทศ
จะทำยังไง? - เหนื่อยหน่ายกับวิวทิวทัศน์เดิมๆในประเทศ อยากไปสิงคโปร์อีกแล้ว ทั้งๆที่ไปมาหลายทีแล้วก็ยังอยากไป คงเพราะไปง่าย ถูก และสะดวกเรื่องที่พัก แต่ก็อยากไปที่อื่นๆด้วยเหมือนกัน (ตอนนี้อยากไปนิวยอร์คนะ แปลกใจตัวเองเหมือนกัน)
เป็นไปได้มากแค่ไหน? - 9.5/10 สำหรับสิงคโปร์ : 5/10 สำหรับนิวยอร์ค

5. เริ่มทำทุกอย่างที่บอกไว้ข้างบน
จะทำยังไง? - เนื่องจากติดภารกิจทั้งงานและเรียนอยู่อาจจะดูเป็นไปไม่ได้ที่จะทำทุกอย่าง แต่ถ้าตัดอะไรสักอย่างออกไปได้ละก็ .... หึๆๆ
เป็นไปได้มากแค่ไหน? - ไม่รู้จริงจริ๊งงงงง

Note:
- เขียนเสร็จแล้วมาย้อนดูก็รู้สึกว่ามีคำว่า theme เยอะจัง
- เรื่องเขียน blog กลุ่มนั้นอยากทำจริงๆนะ ใครมีไอเดีย ใครอยากทำ ลองบอกมาได้

Friday, October 19, 2007

hyü : NOT at FF#7


ด้วยความคลาดเคลื่อนบางอย่าง จึงทำให้ไม่สามารถไปแสดงตัวให้คนเห็นได้ในงาน Fat Fest ครั้งที่ 7 ตามที่ได้บอกไว้ก่อนหน้านี้
ยังไงก็ตาม อาจจะไปปรากฏตัวหรือสิงสู่ในบูธของคนอื่นในงานแทน ซึ่งยังไม่แน่นอนว่าบูธใครคนไหน
ราวๆต้นปีหน้าคงได้เจอกันจริงๆซะที

Wednesday, September 19, 2007

hyü : Preface



Hue [hyü]
-noun

1. a gradation or variety of a color; tint: pale hues.
2. the property of light by which the color of an object is classified as red, blue, green, or yellow in reference to the spectrum.
3. color: all the hues of the rainbow.
4. form or appearance.
5. complexion.

—Related forms
hueless, -adjective




เนื่องจากคงไม่มีคนเข้า Blog นี้มากกว่านี้อีกแล้ว
และไหนๆรูปก็ไปอยู่บน Blog ของพีร์แล้ว
เลยถือโอกาสนับตั้งแต่ตอนนี้ ค่อยๆแนะนำให้ทุกคนได้รู้จัก
โปรเจกต์ล่าสุด และ(น่าจะ)เอาจริงเอาจังที่สุดเท่าที่เคยคิดทำมา
เจอกันเต็มๆงาน Fat Fest #7 ครับผม

ระหว่างนี้คอยเข้ามาอ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่ครับ

Note:
- พี่พีอย่าลืมจองบูธให้ผมด้วยนะครับ ขอบคุณครับผม
- Definition by Dictionary.com

Tuesday, July 31, 2007

Megacreativity

อ่านหนังสือเกี่ยวกับการพัฒนาความคิดสร้างสรรค์มา
มีโจทย์ข้อหนึ่งให้ลองทดสอบ (เอาคำตอบแรกที่เข้ามาในหัว)
ให้ลองเลือกตัวเลขคี่มาหนึ่งตัวที่ไม่เกิน 10
ตัวเลขที่เลือกจะบ่งบอกถึงความคิดสร้างสรรค์ของคุณ
คำตอบที่ได้นั้นน่าจะค่อนข้างตรงเลยล่ะ
ใครเลือกอะไรลองบอกมา เดี๋ยวจะเฉลยให้ใน comment

แต่ประเด็นก็คือ เราลองเอาไปถามเพื่อนเราคนหนึ่งมา
เขาตอบออกมาอย่างรวดเร็วว่า

.
.
.
.


6



เจ๋งจริงๆ แม่ง



Update:
และเนื่องจากว่ามีผู้มากมาย(ใคร?) เรียกร้องอยากจะเห็นหน้าเจ้าของคำตอบสะเทือนขวัญนี้
เราเลยไม่อยากขัดใจ ไปดูภาพจังหวะก่อนจะตอบออกมาให้เห็นกันจะๆเลย



Ta-Daaaa

.
.
.
.






Thank You Note:
- เอื้อเฟื้อสถานที่ถ่ายภาพโดย ร้านอาหารญี่ปุ่น ZEN Cucina @ Central World (3rd Floor) ... ไปอุดหนุนกันด้วยนะครับ

Tuesday, July 10, 2007

Introducing New Niche

GRUMPY-7 : Home of Grumpiness (and other stuff too)

Virtually : Open Soon

Physically : Open Soon Too

Do visit ... often

Monday, July 9, 2007

Mental Frustration

อึดอัดอะไรก็ไม่รู้ แต่เจอเรื่องไม่น่าชอบใจอยู่เยอะเหมือนกัน
เกือบทุกเรื่องจะเกิดจาก "คน" อย่างเราๆนี่แหละ
และเรื่องที่เรารู้สึกว่าเป็นปัญหาของคนเหล่านี้คือการขาด "ความเคารพ"
จริงๆมันอาจจะดูเป็นเรื่องปกติของชีวิตในเมืองที่คนจะไม่ค่อยเคารพกัน
และน้ำใจก็ดูจะเป็นของที่หายากยิ่งกว่าเงินทอง (ทำไมเป็นงั้นนะ)


แต่สิ่งที่ทำให้เราถึงกับสิ้นศรัทธาคือคนเราดูจะขาดความเคารพแม้แต่ตนเอง
เราเจอคนที่มีท่าทีทำให้ตัวเองดูไม่น่านับถือด้วยความสมัครใจของเขาเองอยู่ทุกวัน
ทั้งคนที่แสดงความงกอย่างไม่เกรงใจอะไรบนท้องถนน (กลัวคนไม่รู้ว่างก)
การแต่งตัว-ทำผมอันน่าหัวเราะ แต่ดันกลายเป็นแฟชั่น (ถ้าเป็นรสนิยมจริงๆก็ไม่เป็นไร)
คนที่พูดจาด่าคนอื่นหน้าตาเฉย ทั้งๆที่ตัวเองไม่ได้ทำอะไรน่าชื่นชม

พอเขียนได้แค่สองสามข้อก็รู้สึกว่าควรหยุดดีกว่า
พวกเราเจอของแย่ๆมามากพอแล้วในชีวิตประจำวัน
การมาชวนให้นึกถึงอีกอาจจะไม่ใช่เรื่องน่าทำนัก
แต่ขอฝากอะไรไว้สักอย่าง ... ถ้าใครมีเพื่อน - ญาติ - พี่น้อง
ขอความกรุณาบอกคนเหล่านั้นด้วยว่า "มึงช่วยเอาปกเสื้อลงได้มั้ย"

อย่าลืมนะครับ