Menu

Showing posts with label Frustration. Show all posts
Showing posts with label Frustration. Show all posts

Thursday, May 5, 2011

Finding Comfort in Pain


[image: Ben @ flickr]

อากาศมันช่างร้อนเหลือเกินในช่วงนี้
เมื่อต้องเดินฝ่าแดดก็เหมือนผิวจะถูกเผาจนไหม้
เมื่อขึ้นรถที่ตากแดดไว้ค่อนวันก็เหมือนโดนอบ
เป็นโชคดีแค่ไหนที่ทุกวันนี้มีเครื่องปรับอากาศ
ร้อนเมื่อไหร่ก็เอื้อมมือไปเร่งแอร์
พอความร้อนหาย เริ่มจะหนาวก็ปรับแอร์ให้พอสบาย

... ชีวิตมันง่ายไปมั้ย?

เราถูกรายล้อมไปด้วยอุปกรณ์ให้ความสะดวกจนเคยชิน
จนกระทั่งเราไม่ทันได้สังเกตความไม่สบายที่สัมผัสชั่วครู่
แค่มีอะไรมาระคายความสบายเข้าหน่อย เราก็มีตัวช่วย
มาแก้ทันที

อาาศร้อนก็แค่เร่งแอร์
อากาศหนาวก็มีน้ำอุ่นอาบ
อาหารไม่ร้อนก็เข้าไมโครเวฟ
น้ำไม่เย็นก็เข้าตู้เย็น ... รีบหน่อยก็เข้าช่องฟรีซ
ไม่อยากเดินเมื่อยก็ขึ้นลิฟต์
ไม่อยากเดินก็ใช้รีโมท
ไม่อยากเดินก็โทรศัพท์

... ชีวิตมันง่ายไปมั้ย?

เราอยู่ในสังคมที่เต็มไปด้วยความรู้สึกจำเป็นจะต้องได้ทุกอย่าง "ทันที"
อยากกินอะไรก็โทรสั่ง 'ทันที'
อยากซื้ออะไรก็เปิดเว็บช้อปปิ้ง 'ทันที'
อยากได้อะไรราคาแพงก็ใช้บัตรเครดิตซื้อได้ 'ทันที'
อยากรู้เรื่องอะไรก็รีบกดโทรศัพท์สมาร์ทโฟนหา 'ทันที'
อยากระบายอะไรก็รีบพ่นความในใจออกมาสู่โลกออนไลน์ 'ทันที'

... จน 'บางที' เราก็ลืมเลือนไปว่าขั้นตอนที่เราเคยต้องรอมันหายไป
... จน 'บางที' เราก็ลืมเลือนชีวิตมีเรื่องลำบาก มีเรื่องต้องทน มีเรื่องต้องรอ
... จน 'บางที' เราก็ลืมเลือนว่าจะรับมือกับเรื่องเหล่านี้ได้ยังไง

ทุกวันนี้ผมเห็นคนเป็นทุกข์มากกว่าคนมีความสุข
เห็นคนบ่นเรื่องความรัก บ่นเรื่องการงาน บ่นเรื่องเจอคนน่ารำคาญ

เพราะเรื่องเหล่านี้มันยังไม่มีเครื่องมืออะไร
มาช่วยจัดการให้ได้ทันที

ลองถอยตัวเองออกมาจากความสบายบ้าง
ให้ชีวิตเราได้เจอเรื่องไม่เป็นอย่างใจบ้าง
หาพื้นที่ในใจจัดเก็บและค่อยๆปล่อยเรื่องเหล่านั้นออกไปบ้าง
รู้จักแยกแยะระหว่าง 'ความทุกข์' กับ 'ความรู้สึกเป็นทุกข์' ออกจากกัน

ครั้งต่อไปที่คุณเอื้อมมือไปปรับแอร์คุณอาจจะรู้สึกว่าเราถูกรายล้อมไปด้วยเรื่องดีๆมากมายก็ได้

Note:
- ขอปิดด้วยเพลงที่ผมฟังติดกันมาสองวันแล้วนะครับ 'เช้าที่ไม่ต่างไป' โดยวงดนตรี ภูมิจิต

Wednesday, November 17, 2010

One Day in 2010


[image: lerk7]

เคยรึเปล่า - ที่บางวันตื่นนอนขึ้นมาแล้วรู้สึกได้เลยว่ามันจะต้องเป็นวันที่ดีแน่ๆ
วันนี้ผมลืมตาตื่นขึ้นพร้อมกับความมั่นใจว่ามันจะต้องเป็นวันที่ไม่ดีแน่ๆ

ถึงจะฟังดูต่างกันโดยสิ้นเชิงแต่ทั้งสองความคิดนี้มันมีอะไรที่คล้ายกันอยู่
ในกรณีแรก หากคุณตื่นมาพร้อมกับความรู้สึกว่าวันนี้จะเป็นวันที่ดี
ไม่ว่าระหว่างวันคุณจะพบเจออะไร คุณจะไม่รู้สึกว่ามันเลวร้ายมากนัก
แถมเรื่องเล็กๆที่เกิดขึ้นเป็นประจำทุกวันก็สามารถถูกมองเป็นเรื่องดีๆได้

ส่วนกรณีของผมที่ตื่นมาพร้อมความรู้สึกว่าไม่มีทางมีเรื่องดีเกิดขึ้นแน่ๆ
พอเจอเรื่องไม่ว่าเล็กน้อยแค่ไหนก็จะต้องรู้สึกแย่ไปหมด
เศษดินรถบรรทุกกระเด็นใส่ น้ำทิ้งหยดใส่ ของที่อยากกินหมด
และถ้าหากมีเรื่องที่แย่จริงๆเกิดขึ้นเมื่อไหร่ ความคิดแรกที่เข้ามาในหัวก็คือ
... "กูว่าแล้ว"

ถ้าใครรอตอนจบที่ได้แง่คิดสอนใจจากเรื่องนี้อยู่ อย่างที่เมื่ออดีตผมพยายามทำ
วันนี้ผมคงไม่สามารถคิดประดิษฐ์มันขึ้นมาได้ นอกจากบอกทุกคนว่า
"ขอให้นอนหลับสนิทยามค่ำคืน จะได้ตื่นมาพร้อมความสดใส"

... เท่านี้ล่ะครับวันนี้

Note:
- ไม่รู้มีคนรออยู่มั้ย แต่เรื่องงานแฟตของผมไม่มีกำหนดตอนต่อไปนะครับ เพราะอยากลงรูปให้ดูด้วย แต่คนถ่ายรูปหารูปไม่เจอ ... ก็รอไปด้วยกันครับ

Tuesday, November 9, 2010

Fat Impression


[image: Sittichai Jittatad @ deephead.com]

งานแฟตกับผมนับว่ามีความผูกพันกันมายาวนานพอสมควร แม้ว่าผมจะไม่ใช่กลุ่มผู้บุกเบิกที่ไปเทศกาลดนตรีนี้ตั้งแต่หนแรกที่โรงงานยาสูบก็ตาม แต่หากนับจำนวนชั่วโมงที่อยู่ในงานนี้ ผมค่อนข้างมั่นใจว่าไม่น้อยกว่าใครแน่นอน แม้กระทั่งทีมงานก็เถอะ เพราะว่าผมมักจะต้องไปตั้งแต่วัน set up + soundcheck ในวันงานจริงก็จะไปตั้งแต่เช้าของวันแรก (เช้าตรู่ในบางครั้ง) และอยู่กระทั่งปิดงานวันที่สอง จนคนงานเข้ามาเก็บกวาดสถานที่นั่นแหละถึงจะได้กลับ

ผมไม่สามารถตอบได้ว่าผมชอบงานแฟตมากน้อยเพียงใด เพราะความรู้สึกที่มีต่อเทศกาลนี้มันเปลี่ยนไปอยู่ตลอด บางมุมผมก็ชอบที่เรามีงานที่ทำให้ได้ดูโชว์ดนตรีแปลกๆจำนวนเยอะๆในงานเดียว ในราคาไม่แพง (หรือฟรีในครั้งแรกๆ) การจัดคอนเสิร์ตพร้อมกันหลายๆเวทีให้เราต้องตัดสินใจเลือกดูได้แค่วงเดียวในช่วงเวลาหนึ่งก็เป็นเสน่ห์อย่างหนึ่ง theme งานและสถานที่ที่เปลี่ยนไปตลอดทุกครั้งก็ทำให้ชื่นชมความพยายามของทีมงาน(ไม่ว่าสุดท้ายจะได้ผลตอบรับที่ดีหรือไม่ก็ตาม) และมีน้อยงานนักที่เราจะได้พบเพื่อนร่วมรสนิยม และพูดคุยกับศิลปินได้อย่างใกล้ชิดอย่างงานแฟต

กลับกันในอีกหลายๆมุมก็มีเรื่องที่ไม่ชอบอยู่เช่นกัน เช่นการที่ศิลปินอิสระบางท่านมองว่ามันเป็นงานสำคัญที่สุดประจำปีจนหลายคนที่ผมรู้จักต้องพยายามเร่งให้งานเสร็จทันขายในงานแฟตเหมือนว่าเส้นทางการเป็นศิลปินขึ้นอยู่กับงานนี้งานเดียวเท่านั้น หรือบางทีก็มีคนที่ตั้งหน้าตั้งตาจะมาหาผลกำไรจากงานเพียงอย่างเดียวโดยละเลยความกลมกลืนกับงานไปเสียสนิท รวมไปถึงความตั้งใจของศิลปินหรือค่ายเพลงที่จะมานำเสนอผลงานในเทศกาลนี้ที่ถดถอยลงไป สังเกตได้จากบูธที่ว่างเปล่าหลังประตูเข้างานเปิดแล้ว ต่างจากงานครั้งแรกๆที่ค่ายเพลงดูจะตื่นเต้นกับการได้มาร่วมงานแบบนี้มาก ซึ่งนั่นก็อาจเป็นเพราะปัจจุบันมีสิ่งที่ถูกเรียกว่าเทศกาลดนตรีเกิดขึ้นแทบทุกเดือนจนไม่เหลือความน่าตื่นเต้นแล้วก็เป็นได้

และที่คนอย่างผมจะไม่บ่นไม่ได้ก็คือเรื่องของกลุ่มคนจำนวนมากที่เข้ามายังงานเพียงเพื่อแสดงออกถึงอัตตาความ cool ในรูปแบบของตนเองโดยไม่สนใจว่าวัตถุประสงค์หรือกฎเกณ์ภายในงานเป็นอย่างไร

หากเหมือนว่าผมเริ่มเข้าสู่วัยกลางคนที่มองอดีตเป็นเรื่องสวยงามกว่าเหตุการณ์ปัจจุบัน และมีมุมมองปฏิเสธค่านิยมและพฤติกรรมของคนรุ่นใหม่ก็ไม่ผิดนัก เพราะผมก็ยังมีความอยากส่วนตัวที่ให้คนรักเรื่องราวของดนตรีให้ถึงแก่นของมันมากกว่าการเสพมันแบบฉาบฉวย ซึ่งมันคงไม่มีวันเป็นความจริงได้เพราะไม่ว่าอย่างไรยุคสมัยใดกระแสความฉาบฉวยนั้นย่อมเป็นกลุ่มเป้าหมายหลักอันเป็นตัวผลักดันทิศทางของธุรกิจต่างๆซึ่งเป็นแหล่งเงินทุนที่ทำให้เกิดงานที่ไม่น่าจะทำเงินจากกลุ่มคนเพียงหยิบมือได้

ที่เขียนมาข้างต้นนั้น ความตั้งใจแรกมันควรจะเป็นบทเกริ่นนำของสิ่งที่ผมกำลังจะเขียนต่อไป นั่นก็คือความทรงจำของผมเกี่ยวกับงานแฟตในแต่ละครั้งที่ผ่านมา แต่มองไล่ย้อนกลับขึ้นไปก็รู้สึกว่ามันเริ่มยาวกว่า entry ปกติที่ผมเคยๆเขียน หากเขียนต่อไปมันก็คงจะยาวอย่างมหาศาลเพราะความทรงจำในแต่ละปีนั้นมันช่างเยอะเหลือเกิน ขืนเขียนทั้งหมดไปคงไม่ทำให้ใครรู้สึกดีกับมันแน่ๆ

... ก็ขอยกไปไว้โอกาสหน้าละกัน

(ยินดีให้ติดตามอ่านตอนต่อไป)

Note:
- ลองทำสิ่งเนิร์ดๆด้วยการนับชั่วโมงที่อยู่ในงานแฟตแต่ละปีดู นับเฉพาะวัน set up และวันงานเท่านั้น (ไม่นับวันสำรวจสถานที่) ผลออกมาดังนี้:

ครั้งที่ 1 โรงงานยาสูบ
ระยะเวลาที่อยู่ในงานโดยประมาณ: 0 ชั่วโมง

ครั้งที่ 2 ห้างอิมพีเรียล ลาดพร้าว
ระยะเวลาที่อยู่ในงานโดยประมาณ: 0 ชั่วโมง

ครั้งที่ 3 สวนสยาม
ระยะเวลาที่อยู่ในงานโดยประมาณ: 48 ชั่วโมง

ครั้งที่ 4 สนามม้านางเลิ้ง
ระยะเวลาที่อยู่ในงานโดยประมาณ: 46 ชั่วโมง

ครั้งที่ 5 แดนเนรมิต
ระยะเวลาที่อยู่ในงานโดยประมาณ: 33 ชั่วโมง

ครั้งที่ 6 IMPACT Challenger Hall
ระยะเวลาที่อยู่ในงานโดยประมาณ: 35 ชั่วโมง

ครั้งที่ 7 IMPACT Challenger Hall
ระยะเวลาที่อยู่ในงานโดยประมาณ: 0 ชั่วโมง

ครั้งที่ 8 IMPACT Challenger Hall
ระยะเวลาที่อยู่ในงานโดยประมาณ: 32 ชั่วโมง

ครั้งที่ 9 IMPACT Challenger Hall
ระยะเวลาที่อยู่ในงานโดยประมาณ: 31 ชั่วโมง

ครั้งที่ 10 ลานทะเลสาบเมืองทองธานี
ระยะเวลาที่อยู่ในงานโดยประมาณ: 12 ชั่วโมง


รวมทั้งสิ้น 237 ชั่วโมง -- เยอะประมาณคนที่ไปงานทั้งสองวันทุกปี และอยู่ในงานตั้งแต่ประตูเปิดจนปิดงาน

- ภาพด้านบนเป็นภาพที่ผมชอบมากจากงานแฟตครั้งที่ 9 ถ่ายโดยคุณ สิทธิชัย จิตตะทัต (ช่างภาพสารคดีของกลุ่มช่างภาพ Hanuman และเว็บไซต์ deephead.com) -- เป็นภาพวันซาวด์เช็ค ขณะที่แม่บ้านกำลังทำความสะอาดพื้นที่ และต่างสงสัยว่าศิลปินที่ขึ้นมาซาวด์เช็คคนแล้วคนเล่าเหล่านั้นเป็นใครกัน

Thursday, May 20, 2010

Burned


ผมตื่นมาเห็นกรุงเทพมหานครจมหายไปในกลุ่มควันที่พวยพุ่ง

และได้แต่นั่งดูกรุงเทพมหานครมอดไหม้ไปในกองเพลิงยามค่ำคืน

Thursday, July 9, 2009

Long Weekend of Thoughts


[collage by: lerk7]

Saturday:
  • Nawamin City Avenue บนถนนนวมินทร์อยู่ห่างจาก The Crystal เลียบทางด่วนรามอินทราไม่เกิน 4 กิโลเมตร แต่คนที่ไปเดินเล่นและใช้บริการต่างกันอย่างมาก
  • ทั้งสองที่ที่ว่านี่ห่างจากตลาดปัฐวิกรณ์บนถนนนวมินทร์ราวๆ 7 กิโลเมตร แต่คนที่อยู่ที่นั่นยิ่งต่างออกไปอย่างมาก
  • ตลาดปัฐวิกรณ์คือหลักฐานว่ามีคนจำนวนมากอยากทำอะไรเป็นของตัวเองแต่ไม่ประสบความสำเร็จ
Sunday:
  • ในเวลา 4 ชั่วโมงคุณสามารถโหลดเพลงแบบละเมิดลิขสิทธิ์โดยไม่ต้องวางแผนล่วงหน้าว่าวันนี้อยากได้เพลงอะไรได้ราวๆ 40 อัลบั้ม ด้วยอินเตอร์เนทที่เร็ว 1Mbps
  • ของเล่นที่ชื่อว่าฟิงเกอร์บอร์ด (ไม่ใช่ช่องระหว่างเฟร็ทกีตาร์ที่เรากดคอร์ดกันนะ) กำลังกลับมาฮิตแบบเงียบๆ และเล่นโคตรยากแต่คุ้มค่าที่จะฝึกฝน ส่วนสาเหตุของการกลับมาน่าจะเป็นเพราะมันกลายเป็น app ใน iPhone + iPod Touch ละมั้ง
  • เนื้อที่ร้าน กิว กิว เต้ อร่อยก็จริง แต่ไม่อร่อยขนาดที่เราจะทรมานตัวเองไปร้านนี้อีกเป็นหนที่สอง และสภาพโดยรวมไม่ทำให้รู้สึกยินดีจะจ่ายเงินค่าเนื้อจานละ 2,500 บาทแน่ๆ (ไม่ว่าเนื้อมันจะดีและเยอะแค่ไหน)
  • คนบางคนสามารถเปลี่ยนไปได้อย่างมากเพียงแค่เปลี่ยนสายงานได้ไม่ถึงครึ่งปี
  • คนบางคนกลัวการเป็นคนไม่สำคัญจนต้องพยายามทำทุกวิถีทางให้ถูกสังเกตและมีคนรับฟัง ถ้าต้องการแบบนั้นจริงไปอยู่บน youtube ดีกว่ามั้ย??
  • ความเหี้ยไม่ต้องการเหตุผลมารองรับ คนบางคนรู้ตัวว่าผิดก็ยังสามารถเหี้ยใส่คนที่ไม่ผิดได้หน้าตาเฉย
Monday:
  • อยากแนะนำให้ทุกท่านรู้จัก Lucky ฟิล์มสี 35mm คุณภาพดีราคาถูก 40 บาทต่อม้วนเท่านั้น
  • ถนนจากกรุงเทพไปกาญจนบุรีเป็นถนนที่ขับสบายมากๆ ในบรรดาถนนออกต่างจังหวัดนี่น่าจะเป็นถนนที่เราชอบที่สุด
  • ไม่มีหนังสือแนะนำสถานที่ท่องเที่ยวกาญจนบุรีขายในจังหวัดกาญจนบุรี (จริงๆแล้วมี แต่หายากมากๆ)
  • มีหลายคนบอกว่าผัดไทยที่ร้าน ซุ่นเฮง ณ สี่แยกลาดหญ้า กาญจนบุรี อร่อยมาก (บางคนถึงกับบอกว่าอร่อยที่สุดในโลก) แต่สำหรับเรานี่เป็นอีกหลักฐานว่าโลกนี้มีสื่งที่เหี้ยแบบไม่อายฟ้าดิน เพื่อการเอาใจคน 10 กว่าคน คนอีกราว 30 คนที่มาถึงก่อน ต้องรอมันกินจนเสร็จอิ่มคิดเงินกลับบ้าน -- แน่นอนว่าเราไม่รอและเขวี้ยงเงินค่าเป๊ปซี่ 1 ขวด น้ำแข็ง 1 ถังและค่าหลบฝน 1 ชั่วโมงใส่ร้านมันไป
  • ถึงเราจะไม่ได้กิน เราก็มั่นใจว่านี่ไม่ต่างจากผัดไทยประตูผี ข้าวเหนียวมะม่วงป้าเจือ โรตีตลาดหัวหิน โรตีสายไหมอยุธยา เครปป้าพร หรือร้านไหนๆที่คนไปรอนานๆแบบไม่มีเหตุผล ทั้งๆที่ร้านข้างๆหรือร้านแถวบ้านมันอร่อยเท่ากัน
  • เกิดความสงสัยขึ้นมาว่ามีคนพยายามเดินทางไปสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆเพียงเพื่อดื่มเหล้าและทำลายบรรยากาศคนอื่นๆ แค่นั้นจริงๆหรือ?
  • ตอนนี้เราสามารถถ่ายรูปด้วยกล้อง Fuji Instax Mini 7s ได้โดยไม่ต้องเล็งผ่าน viewfinder อย่างแม่นยำสุดๆ
  • ร้านคีรีธารา ริมแม่น้ำแควอาหารไม่ได้วิเศษเลิศเลอ แต่บริการโคตรจะดีเลยครับ
  • ถ้าอยากลองดูรีสอร์ทที่ไม่ลงทุนเยอะแต่ไม่ขี้เหร่แนะนำให้ไปอินจันทรี (Inchan Tree) ใกล้ๆสะพานข้ามแม่น้ำแคว
Tuesday:
  • ผึ้ง เป็นแมลงที่ไวต่อกลิ่นน้ำหวานมาก แยมส้มมาตั้งบนโต๊ะไม่ถึง 1 นาทีมีผึ้งมารุมที่จานเราแล้วเกือบครึ่งรัง (ถ้ารังนั้นมีแค่ 20 ตัว) และพยายามจะมาเกาะกินคราบแยมบนปากเราด้วย
  • นั่งดู หม่ำ on Stage จากช่องเคเบิ้ลในห้องพัก ได้ฟังน้าแอ๊ดร้องเพลงทะเลใจแล้วน้ำตาซึม คนอื่นว่าไงไม่รู้ แต่ถ้าถึงวันที่จะไม่มีโอกาสได้ฟังได้ดูคาราบาวสดๆอีกเราคงเสียใจมากแน่นอน
  • กาญจนบุรีสามารถพัฒนาให้เป็นจังหวัดที่น่าไปมากๆได้ ขอแค่คนเริ่มไปลงทุนกัน (ไปลงทุนกันเถอะ)
  • หลังจากปตท.ไปเทคโอเวอร์กิจการปั๊ม Jet อรรถรสในการขับรถทางไกลข้ามจังหวัดก็ลดลงไปเยอะมากๆ เพราะคุณจะหมดโอกาสพูดว่า “ขอแวะเจ๊ตหน่อย” กับเพื่อนร่วมทาง
  • Union Mall ลาดพร้าวมีคนไปเยอะขึ้นแล้ว อย่างน้อยๆก็หาที่จอดรถยากขึ้นล่ะ ไม่รู้รถคนมาดูหรือรถคนขาย แต่เราไปหาซื้อแม็กกาซีนเก่าต่างประเทศที่ชั้น 3 (ใครรู้จักว่าที่ไหนมีเยอะๆช่วยบอกด้วย)
  • ยิ่งฟังอัลบั้ม‘ทิงนองนอย’ ของโมเดิร์นด็อกก็ยิ่งชอบ ยิ่งรู้สึกว่ามีอะไรให้คิดต่ออีกเยอะจริงๆ

Friday, June 26, 2009

Dark Side Story


[image by: eco-photography @ flickr]

ธีรดล แกสตั้น เคยบอกเอาไว้ในหนังสือ Flure Therapy ใจความคร่าวๆคือ
การที่เขาไปร่วมงาน(คอนเสิร์ต)กับอรอรีย์ จุฬารัตน์เป็นเสมือนการปลดปล่อยความบ้าในตัว
ชำระด้านมืดของตัวเองเพื่อให้สามารถกลับมาทำเพลงกับฟลัวร์ได้อย่างเป็นฟลัวร์เต็มที่

เราว่าทุกคนก็มีด้านมืดในใจทั้งนั้น มากบ้างน้อยบ้าง เก็บอยู่บ้างไม่อยู่บ้าง
ซึ่งคำว่าด้านมืดนั้นไม่ได้แปลว่าด้านที่เลวร้าย หรือน่าหวาดกลัวเสมอไปหรอก
สำหรับเราด้านมืดคือความเป็นตัวของตัวเอง ที่ฝืนกับภาระหน้าที่ที่รับผิดชอบอยู่
ทุกคนมีความฝัน มีอุดมคติ แต่บทบาทของตนในสังคมมักไม่เปิดโอกาสให้แสดงออกมา
ดังนั้นถ้ามีโอกาสที่สามารถทำแบบนั้นได้ ก็ย่อมอยากจะระบายปลดปล่อยมันออกมาให้สุด
ก่อนที่จะต้องกลับไปสวมหมวกบทบาทที่สังคมคาดหวังไว้อีกครั้งหนึ่ง

ในชั้นเรียนวิชาการตลาด อาจารย์ท่านหนึ่งได้พูดเอาไว้ว่า
คนเราส่วนใหญ่จะมีรองเท้าอยู่สามคู่

คู่แรกเป็นรองเท้าที่ใส่ไปทำงานเป็นประจำ
คู่ที่สองเป็นรองเท้าสวยๆไว้ใส่เฉพาะเวลาไปออกงาน
และคู่ที่สามคือรองเท้าแบบห่วยๆใส่สบายๆในวันว่าง
ความหมายของรองเท้าคู่แรกก็คือบุคลิกของเราที่เป็นไปตามบทบาททางสังคม
รองเท้าคู่ที่สองคือภาพลักษณ์ที่เราอยากจะแสดงให้คนอื่นเชื่อว่าเราเป็นอย่างไร
และคู่ที่สามคือตัวตนจริงๆอย่างที่เราเป็น โดยไม่ได้คำนึงว่าคนอื่นคิดอย่างไร

สัดส่วนความบ่อยในการใส่รองเท้าแต่ละแบบของแต่ละคนย่อมไม่เท่ากัน
บางคนใช้เวลาอยู่กับรองเท้าคู่แรก อีกคนนึงก็พยายามจะใส่คู่ที่สองตลอดเวลา
อาจจะมีคนกลุ่มนึงที่โชคดีที่สามารถใส่คู่ที่สามได้บ่อยๆ หรือแม้แต่สามารถใส่ไปทำงานได้
หลายๆคนอาจจะคิดว่านั่นน่าอิจฉา (ในแวบแรกเราก็คิดเหมือนกัน) แต่พอมาคิดดูดีๆแล้วไม่เลย
เพราะถ้างั้นก็ต้องพยายามทำบุคลิกให้เข้ากับรองเท้าบ้านๆคู่นั้นอยู่ดี
เพราะกลายเป็นว่าสังคมคาดหวังให้เราใส่คู่นั้นอยู่ตลอด
เวลา
ไม่ว่ารองเท้าแบบไหนใส่นานๆโดยไม่เปลี่ยนเลยมันก็คงจะไม่ดีทั้งนั้น

พอคิดยังงี้แล้ว คนที่น่าอิจฉาน่าจะเป็นคนอย่างธีรดลนี่แหละ
รองเท้าคู่แรกก็สบายเท้าดี แต่ก็ยังมีโอกาสให้ใส่รองเท้าคู่ที่สามได้บ่อยๆด้วย


Note:
- ไม่เข้ามาเขียนนานๆ เล่นเอาเกือบลืมวิธีใส่รูปประกอบแน่ะ

Monday, May 11, 2009

Suvarnabhumi : Land of Golden Hell

พึ่งกลับจากมาเลย์ เหนื่อยโคตร แต่ขอบ่นหน่อยเถอะ (ช่วงหลังๆเป็นคนขี้บ่นมาก)
ทั้งๆที่ตั้งใจจะเขียนชื่นชมทริปนี้ว่าถึงเหนื่อยแต่ก็สนุกโคตร แต่ก็ต้องยกไปไว้ทีหลัง
เพราะมีวาระเร่งด่วนที่อยากให้ทุกคนรับรู้กัีน ถึงความห่วยของชาติไทยเรา

ถ้าเคยได้คุยกับเราบ่อยๆจะรู้ว่าเราโคตรเกลียดสนามบินสุวรรณภูมิ
ไม่แปลกเพราะหลายๆคนก็เป็นแบบนี้ ทั้งคนไทยเองและต่างชาติไหนๆที่เคยมาเหยียบแผ่นดินทองนี่
เราได้ใช้สุวรรณภูมิบ่อยมากพอสมควร และไม่เคยมีครั้งไหนที่รู้สึกดีเลยจริงๆ
อย่างที่รู้กันว่ามันออกแบบได้แย่และไม่คำนึงถึงการใช้งานของมนุษย์ที่เดินทาง
ทุกอย่างอยู่ไกลหรือไกลมาก ห้องน้ำอยู่ไหนวะ? เคาน์เตอร์เยอะยังไงก็ต้องต่อแถวยาวมาก (แม้แต่ PB Air!)
นี่คิดแค่้เรื่องการใช้งานล้วนๆเลยนะ อย่าเอาเรื่องการเมืองเข้ามาเกี่ยว เดี๋ยวจะยิ่งเซ็ง

เมื่อวานนี้เราเดินทางกลับมาถึงสุวรรณภูมิประมาณ 22:20 พร้อมกับอาการเหนื่อยสูงสุดและกระเป๋า 2 ใบ
เครื่องจอดไกลๆให้ลงแล้วต้องต่อรถ Shuttle (ยืน) มาที่ Terminal ใช้เวลาอีกประมาณเกือบ 10 นาที
จากทางเข้าที่รถจอดต้องเดินย้อนไปอีกด้านของ Terminal เพื่อผ่านจุดตรวจคนเข้าเมือง
และจากนั้นต้องเดินย้อนไปสุดอีกด้านของ Terminal สนามบินที่ใหญ่อันดับต้นๆของโลก (โคตรภูมิใจจริงๆ)
เมื่อรอรับกระเป๋าเสร็จก็เดินออกมาตามปกติ เห็นเลขประตู 9 เลยบอกให้คนที่มารอรับ(พ่อ)ขับมาที่ประตู 9
ปรากฏว่าเดินออกไปแล้วทางเดินไปขึ้นรถทางสุวรรณภูมิแห่งประเทศไทยได้เอารั้วมากั้นไม่ให้คนขึ้นรถ!
มองย้อนไปตามถนนทุกทางข้ามไปขึ้นรถมีรั้วกั้นตลอดแนว เลยขึ้นไปชั้นบนเพื่อให้วนมารับที่ขาออกแทน
ขึ้นไปปุ๊บพ่อโทรกลับมาบอกว่าไม่แน่ใจว่าวนยังไงให้กลับมาเจอที่เดิม - - - อะ หาทางลงกลับไปก็ได้
ใครเคยรู้บ้างว่าถ้าคุณอยู่ขาเข้าประเทศแล้วเดินขึ้นไปขาออกคุณจะไม่มีวันลงมาได้อีก!!!!
บันไดเลื่อนที่ขนานกันตอนขาขึ้นมามันเลื่อนขึ้นทั้งหมด เหลือบไปเห็นอันนึงไกลๆเลื่อนลงอยู่ รีบวิ่งเ้ข้าๆ
ไปถึงมีเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยหนึ่งนายและรั่วกันหนึ่งแผงตั้งขวางอยู่ ไม่ยอมให้ลงง่ายๆ
เราก็ถามว่าแล้วจะให้ลงที่ไหน เจ้าหน้าที่ท่านนั้นก็ชี้ไปทางลิฟต์ที่อยู่ถัดไป เราก็รีบวิ่งไปเข้าลิฟต์
ก็ปรากฏว่าชั้นผู้โดยสารขาเข้ามันไม่สามารถกดหยุดได้ (เหี้ยจริงๆ) ระหว่างนี้พ่อก็โทรมาเร่งไม่หยุด
เราเลยเดินไปหาเจ้าหน้าที่ท่านหนึ่งด้วยความฉุนเฉียวแล้วถามว่า "ขอโทษครับ ตั้งใจจะให้ผมลงไปยังไงครับ"
เจ้าหน้าที่ก็ทำหน้าไม่อยากจะเชื่อว่าเราไม่รู้เลยชี้ไปที่บันไดเลื่อนอีกฟากหนึ่งของ Terminal (Fuck!)
เราก็เลยวิ่ง (โคตรจะเจ็บขาเลยตอนนั้น) ไปขึ้นบันไดเลื่อนนั้น
ระหว่างที่ขึ้นด้วยความฉุนเฉียวอีกแล้วเลยขอเตะบันไดเลื่อนดังกล่าวไปแบบดังๆทีหนึ่งอย่างที่คนหันมามอง

วินาทีที่ลงมาถึงชั้นผู้โดยสารขาเข้าเราก็เข้าใจทันทีว่าทำไมอดีตนายกฯท่านหนึ่งถึงกับต้องกราบพื้น
เพราะเราก็อยากจะทำเช่นนั้นเหมือนกันเมื่อมาถึง

ขอบพระคุณสนามบินแห่งชาติที่ยอมปล่อยให้ได้ลงมาเหยียบชั้นนี้อีกครั้ง


Note:
- เจ้าหน้าที่สนามบินนานาชาติสุวรรณภูมิกรุณาอ่านและทำความเข้าใจด้วยว่าพวกกระผมเป็นนักท่องเที่ยว ไม่ว่าจะเดินทางเยอะแค่ไหนกระผมก็ไม่มีทางมาสนามบินแห่งนี้บ่อยเท่าพวกท่านหรอก ดังนั้นก่อนที่จะปรับปรุ่งเพิ่มเติมอะไรแพงๆ ขอความกรุณาเพิ่มอุปกรณ์อำนวยความสะดวกพื้นฐานอย่างป้ายบอกทางให้พวกกระผมผมหน่อยเถอะ เพราะสนามบินที่ท่านทำงานกันนั้นใหญ่โตสมราคาจริงๆ แค่ป้ายบอกว่า "เดินไปขึ้นรถประตู 1-3" / หรือ "อย่าขึ้นไปชั้นบนยกเว้นว่าจะมีเวลาเหลือเพียงพอให้วิ่งไปอีกฟากของสนามบิน" อะไรแบบนี้ก็พอครับ ขอบพระคุณมากครับ

Thursday, April 30, 2009

Twitter is the Answer

entry นี้ตั้งใจว่าจะเข้ามาบ่นสั้นๆเรื่องเล็กๆน้อยๆ
แต่ถ้าทำแบบนั้นอาจขัดกับความเป็น blog ที่น่าจะต้องตั้งใจเขียนสักหน่อย (ถึงหลังๆดูไม่ตั้งใจ)

เล่น twitter ดีมั้ยวะเนี่ย??

Thursday, April 2, 2009

Series, Misery, Trends

ขณะนี้ เว็บขายของออนไลน์ Trendyday.com ที่เราทำงานอยู่จะมีการปรับชื่อหมวดสินค้าให้เป็นภาษาไทย
เลยต้องเช็คดูว่าคำบางคำ คนสะกด search หายังไง จะได้หามาเจอเว็บของเราได้
เครื่องมือที่มีประโยชน์มากคือ Google Trends ที่จะบอกให้รู้ได้ว่าtrend ของคำๆนึงที่คน search เป็นยังไง
ดูแล้วก็เศร้าใจว่าทำไมคนไทยเขียนหนังสือกันแย่ลงเรื่อยๆ

ยกตัวอย่างคำว่า Series ที่เราคิดว่ายังไงๆก็ต้องสะกดแบบนี้ --> ซีรี่ส์
แต่โดนเถียงมาว่าต้องสะกดแบบนี้ถึงจะถูก --> ซีรี่ย์
เราก็คิดว่าจะเป็นไปได้ไงฟะ จะเอาย.ยักษ์มาจากไหนในคำว่า series เลยลองมาเช็คดู

ปรากฏว่า ....


เออ ยอมก็ได้



และด้วยความทำตัวว่างงานเลยลอง search ดัชนีความทุกข์ของคนไทยดูเล่นๆ


คนไทยเหนื่อยมากในเดือน ก.ค. ของปีที่ผ่านมา
ในขณะที่ trend ความเบื่อพึ่งจะ peak ไปเมื่อเดือน ก.พ. ของปีนี้
trend ในอนาคตความเหนื่อยกำลังกลับมา
ความเครียดกำลังทรงตัว
ความหิวและความง่วงยังมีไม่เยอะ แต่รักษาระดับไว้ได้ตลอด

จบข่าว

Tuesday, February 24, 2009

Feces



เราได้หนังสือเล่มข้างบนนี้มานานแล้วเหมือนกัน และอ่านจบทันทีในวันแรกที่ซื้อมา
ส่วนหนึ่งเป็นเพราะมันรูปเยอะและบาง แต่ว่าเราอ่านเร็วเพราะเนื้อหามันดีจริงๆ
หนังสือพูดเรื่องคนกับอึ ว่ามีความสัมพันธ์กันยังไง เราละเลยไม่ให้ความสำคัญมันยังไง
เคยมีคนพูดไว้แล้วว่าอึเป็นเครื่องบอกสุขภาพ แต่หนังสือเล่มนี้ทำให้เข้าใจง่ายขึ้นอีก
ถึงแม้มือจะไม่เคยได้สัมผัสกับอึ แต่เราก็เข้าใจเวลาหนังสือพูดถึงลักษณะความหยุ่นของอึ
ถ้ามีโอกาสก็ลองหาอ่านดูละกันนะ มันดีจริงๆ (พูดซ้ำ)

ส่วนอีกเรื่องใกล้เคียงกับอึคือเรื่องของ'ขี้'
จริงๆเรื่องขี้นี้เราตั้งใจจะไม่พูดถึง อย่างน้อยก็ในบล็อกแห่งนี้
แต่ว่าบางที'ขี้'มันก็มาเยอะเกินไป เราจะสมมุติบทสนทนาให้ดู

A: คุณทำอะไรอยู่
B: ผมกำลังทำธุระ
A: ขี้อยู่หรอครับ
B: ...
A: งั้นไปขี้ต่อเถอะครับ
B: ...

2-3 วันต่อมา

A: คุณอยู่ที่ไหน
B: ผมอยู่ที่นี่
A: ไปขี้หรอครับ
B: ... ... คุณอยู่ไหนล่ะ
A: ผมอยู่นั่นครับ ผมมาขี้
B: ...
A: ผมอยากจะเลิกขี้ ขี้ให้น้อยลง เพราะช่วงนี้ขี้เยอะมาก
B: ก็ดีครับ
A: แต่ถึงผมอยากเลิกขี้ก็คงทำไม่ได้เพราะผมเป็นคนชอบขี้ ผมก็คงต้องขี้ต่อไป
B: ...
A: ผมมีถ่ายวิดีโอตัวเองตอนขี้ไว้ด้วยนะ คุณอยากดูมั้ย
B: คิดว่าคงไม่ครับ

เห็นไหม ว่าบางทีถ้าขี้เยอะมากๆมันก็ดูไม่มีเหตุผลเอาซะเลย

Note:
- ถ้ายังไม่รู้ละก็ เราแถยกเอาหนังสือเรื่องอึมาพูดถึงก่อน เพราะเราจะพูดเรื่องขี้นะ
- และเรื่องบทสนทนาเรื่องขี้ที่เราเล่านี่ก็ไม่ใช่ขี้จริงๆหรอกนะ ขี้มันอาจจะเป็น symbolic ของคำอื่นๆที่คล้ายๆกัน
- แต่หนังสือนั้นมันดีจริงๆนะ

Friday, October 17, 2008

Time Flies, With or Without Fun


[image by: Alan Joyce @ Flickr]

ขอยอมจำนน ยอมรับว่าไม่มีอะไรจะมาเขียนเลยจริงๆ
เรื่องอะไรต่ออะไรต่ออะไรผ่านๆเข้ามาแล้วก็รีบๆออกไป
ไม่มีเวลาจะมาหยุดคิดแล้วชื่นชมหรือรำคาญอย่างที่เคยๆ
วันๆล่วงเลยไปแบบไม่ค่อยรู้เนื้อรู้ตัวอะไร
นั่งอยู่ดีๆก็ผ่านเที่ยงคืน หมดไปอีกวัน
เดี๋ยวนอนได้แป๊บๆก็หมดไปอีก 3-4-5-6-7-8 ชั่วโมง (แล้วแต่ความเหนื่อยสะสม)
ไปทำงานนั่งๆอยู่ก็บ่าย พอออกไปกินข้าวนั่งอีกเดี๋ยวก็เย็น
นั่งต่ออีกหน่อยไปๆมาๆก็ 2-3 ทุ่ม
หรือถ้าวันไหนมีเรียนก็ต้องรีบไปให้ทัน ไม่ให้อายคนอื่นๆเพราะเข้าสาย
ไม่เข้าใจจริงๆว่าทำไมมันถึงเป็นแบบนี้ไปได้
และยังไงๆก็หาทางออกให้กับตัวเองไม่ได้สักที

เฮ้อๆ

(ถ้ายังไม่รู้สึก ทุกบรรทัดที่ผ่านมามีไม้ยมก --> ๆ ในทุกๆบรรทัดนะ)

จบและๆ

Sunday, August 31, 2008

Surrendering


[image by: lastoneontherack @ deviantART]


ก่อนวันนี้ การตัดผมสองครั้งล่าสุดของเราไม่ได้เกิดขึ้นที่ร้านตัดผม
เราไปซื้อกรรไกรอันละ 200 กว่าๆ มาตัดซอยเอง โดยมีคนช่วยเหลือบ้าง
กรรไกรซอยผมมันดีตรงที่ตัดมั่วยังไงก็ไม่เสียทรง (เพราะมันไม่เป็นทรงอยู่แล้ว)

วันนี้รู้สึกรำคาญความยาวของผมอีกครั้งก็เลยจะตัดเองอีก
เริ่มปุ๊บก็ตัดๆๆๆๆๆๆๆๆ กะเอาด้านหลังที่เริ่มยาวออกก่อนเลย
ใช้ความรู้สึกเอาเองว่าพอแล้ว ก็ขยับจะตัดด้านบนและลามไปด้านหน้าต่อ
แต่อยากเห็นผลงานเลยเอากระจกมือถือไปส่องสะท้อนกระจกห้องน้ำดู
ปรากฏว่าเบี้ยว! ด้านซ้ายยังยาว ตรงกลางบางและลึกเข้าไป ด้านขวาดูยุ่งๆ

แต่ไม่ยอมแพ้หรอก เราก็เลยถือกระจกส่องมือนึง อีกมือพยายามแก้ไขด้วยกรรไกร
และอย่างที่บอกไปว่ากรรไกรซอยมันทำอะไรกัับทรงผมมากไม่ได้ เลยตัดแก้ไขไม่ได้
ก็ยังไม่ยอม เอามีดโกนหนวดมาโกนไรผมและผมด้านซ้ายที่ยาวเกินออก
แต่การขยับมีดผ่านกระจกสะท้อนสองชั้นมันยากมาก ก็เลยทำได้ไม่ดีนัก (ยังเบี้ยวอยู่)
ก็เลยเอาที่โกนหนวดไฟฟ้ามาแก้ไข เพราะที่โกนเรามีอุปกรณ์กำหนดความยาวอยู่

หลังจากใช้ที่โกนไฟฟ้าที่ว่านี้แก้ไขเสร็จสิ้น เราก็เลิกและไปอาบน้ำ
ถึงใครที่อ่านอยู่ตอนที่เรากำลังโพสต์นี้ พรุ่งนี้เจอเราได้ที่ออฟฟิศแต่เช้า
เพราะจะไปให้ร้านตัดผมชั้น B2 ซ่อมแซมผมที่โคตรจะบิดเบี้ยวตอนนี้

เจอกันครับ


Note:
- จริงๆอยากตัดสั้นแบบเดิมมาหลายเดือนแล้ว แต่ไม่มีตังค์ไปร้านตัดผม (เอาไปซื้อกรรไกรแทน)
- เดี๋ยวจะซื้อบัตตาเลี่ยนแบบมือโปรมาติดไว้แล้ว เพื่อจะโกนเองในอนาคต
- ช่วงนี้สภาวะจิตใจแย่ถึงแย่มากครับ ถ้าดูหงุดหงิดหรือพูดจาไม่ดีก็ขออภัย
- นอกจากนั้นแล้วช่วงนี้ก็นอนน้อยถึงน้อยมากด้วย ถ้าดูหงุดหงิดหรือพูดจาไม่ดีก็ขออภัย (copy+paste ข้างบนมา)

Thursday, February 28, 2008

The Social Rules


[image by: Birger Hoppe @ flickr]

สังคมมันมีกฎกติกาของมัน แต่ไม่ได้ถูกเขียนเอาไว้
แต่ละคนก็เลยตีความกันไปเอง และเลือกปฏิบัติเป็นอย่างๆ
อะไรที่คนหมู่มากทำก็คิดว่าดี ของที่เห็นคำทำแล้วรู้สึกไม่ดีก็บอกว่าแย่
แต่ละคนก็มีเหตุผลของตัวเองกันทั้งนั้น

เหมือนที่เคยเขียนไว้เรื่อง "Keys of Virtue"
แต่ละข้อที่บอกไว้มันก็เป็นคุณงามความดีในมุมมองของคนบางกลุ่ม
คนบางคนเค้าอาจจะหัวเราะเยาะคนที่เป็นแบบนั้นก็ได้
บอกไม่ได้หรอกว่าใครผิดใครไม่ผิด และคิดแบบไหนถึงจะถูก

แต่อย่างหนึ่งที่เรารู้มาและเราคิดว่ามันจริง(สำหรับเรา)ก็คือ
"อะไรก็ตามที่ทำแล้วรู้สึกดี ให้สงสัยไว้ก่อนว่ามันไม่ใช่เรื่องดี"

Note:
- เดี๋ยวจะมาเขียนต่อเรื่องประโยคที่ว่านี่ทีหลัง

Monday, January 14, 2008

The Fall of Thai T-Shirt

ขอความกรุณาผู้ผลิตเสื้อยืดขายในประเทศไทยใช้สมองในการออกแบบลวดลายมากกว่านี้ด้วย

ไปเดินสวน(จตุจักร)มา ทำให้ยืนยันความจริงบางอย่างได้
ตอนนี้คนทำเสื้อยืดขายในบ้านเรากำลังขาดความคิดสร้างสรรค์อย่างมาก
เข้าใจว่าการทำเสื้อยืดขายเป็นกิจการที่ทำได้ง่าย เหมาะกับคนรักอิสระรุ่นใหม่
แต่คนทำขายเยอะขึ้น กลับมีเสื้อมห้รู้สึกว่าอยากซื้อลดลง ทั้งๆที่เราชอบซื้อเสื้อยืดมากๆ

ไม่ว่าจะเป็นที่สวนฯ ที่ตลาดนัดเมเจอร์ เมืองทอง ยูเนี่ยนมอลล์ หรือที่ไหนๆก็เหมือนกัน
ถ้าไม่ใช่ไปซื้อมาจากประตูน้ำหรือที่ขายส่งใดๆ ก็ลอกมาจากอินเตอร์เนต โดยเฉพาะ threadless.com
และที่แย่คือพวกเสื้อที่เป็น type-tee (เสื้อที่ใช้ตัวอักษรเป็นหลัก เป็นคำ/ประโยค)
type-tee พวกนี้มีแต่ประโยคห่า(ขออภัย)อะไรก็ไม่รู้ แถมตัวหนังสือยังเหี้ย(ขออภัย)มากๆ
เห็นแล้วทำให้ไม่อยากไปเดินเลือกหาซื้อเสื้อไปอีกนานๆ จนกว่าไอ้พวกนี้จะเจ๊งตามๆกันไป

แต่ยังไงก็ยังมีร้านดีๆที่ไปเจอมาอยู่เหมือนกันนะ
ที่สวนลุมไนท์ โซนอยุธยา ซอยอะไรไม่รู้จำไม่ได้ (7 หรือ 8 มั้ง)
เป็นร้านสองห้อง ทำเสื้อ type-tee ที่สวยมากๆ
ถ้าใครแวะเวียนไปก็ลองไปเดินหาดู ถ้าไปอีกทีจะเอารายละเอียดร้านมาให้

เพิ่มเติมนิดนึง ถ้าใครคิดจะเปิดร้านเสื้อผ้าช่วงนี้ขอให้คิดดูดีๆ
ตอนนี้มีคนหันมาทำร้านเสื้อผ้าเยอะมากๆ
ถ้าไม่แน่จริง (ทั้งด้านทรัพยากรความคิดและเงินทุน) ไม่ควรทำ
... เตือนเอาไว้ให้รู้กัน


Note:
- วันนี้พูดคำหยาบไปบ้าง ขอโทษด้วย แค่ไม่ชอบใจจริงๆ

Wednesday, January 9, 2008

A Useless Statement


[image by: michaelcooper @ flickr]

ถ้าใครไม่เคยสงสัยก็ควรจะสงสัยกันได้แล้วว่า เนคไท(Necktie)มันมีไว้ทำอะไร
ถ้า search คำว่า necktie คู่กับ useless จะได้ผลลัพธ์กลับมา 55,900 อัน
แต่ถ้า search necktie คู่กับ useful กลับได้มาถึง 113,000 อัน!!
คิดแบบไม่คิดอะไรก็จะเดาเอาว่าเนคไทนี่มันคงมีประโยชน์เหมือนกันนะ
(ขอคิดก่อนว่าจะเขียนยังไงต่อดี เพราะไม่คิดว่าผลมันจะออกมาแบบนี้)
.
.
.


ช่างมันละกัน - จะเขียนไปแบบที่ตั้งใจเอาไว้อยู่ดีว่าเนคไทมันเป็นเครื่องแต่งกายที่ไร้ประโยชน์ที่สุด
ไม่ใช่แค่ไร้ประโยชน์มากที่สุดอันหนึ่ง แต่เป็นไร้ประโยชน์ที่สุดเลย
แบบที่ถ้ามีการจัดอันดับประโยชน์ของเครื่องแต่งกายทั้งหมด มันจะมาเป็นอันดับสุดท้าย
ถ้าไม่เชื่ออยากให้ลอง list ประโยชน์ของมันให้ไว้ในคอมเมนท์หน่อย
ขอแค่ซัก 2 ข้อเราก็อาจจะเปลี่ยนใจแล้วล่ะ

มาลองไล่เรียงประวัติของมันกันหน่อยนะ ว่าเนคไทมีที่มายังไง ตั้งแต่ตอนไหน (อ้างอิง: wikipedia)
ตั้งแต่สมัยราชวงศ์ Qin (ฉิน) ชนชั้นนักรบจะมีผืนผ้ามาผูกคอไว้เป็นสัญลักษณ์ของบรรดาศักดิ์
เนื่องจากสมัยนั้นผ้าธรรมดายังหายาก การจะไปหาผ้ามาผูกคออย่างไม่เกิดประโยชน์จึงถือเป็นการแสดงความรวย
และการที่ชนชั้นนักรบของจีน หรือชาติอื่นๆในภายหลังนิยมผูกมันก็เป็นการแสดงออกของความเข้มแข็งของเพศชาย
ให้พูดง่ายๆก็คือ มันเป็นของที่ถูกประดิษฐ์(?)มาเพื่อแสดงออกถึงความรวยและความเป็นชายเท่านั้นเอง

นักวิชาการยังพยายามให้เหตุผลเพิ่มเติมถึงเรื่องการแสดงความเป็นชายด้วยเนคไทเพิ่มเติมให้อีก
ด้วยรูปทรงของเนคไท และการห้อยจากคอลงมา มันเปรียบเสมือนลักษณะอวัยวะของเพศชาย
อีกทั้งปลายแหลมของมันก็ยังชี้ไปที่อวัยวะนั้นอีกด้วย เพื่อเป็นการยืนยันว่าเราผู้พบเห็นเข้าใจถูกต้องแล้ว
(นอกจากเนคไทแล้ว กีตาร์ก็เป็นอีกตัวอย่างของสัญลักษณ์เพศชาย - โปรดสังเกตจากรูปร่าง)

มาคิดดูในยุคปัจจุบันนี้หน่อยว่ามันมีประโยชน์อะไร หรือมันไร้ประโยชน์ยังไงบ้าง
ประโยชน์:
- ซับเหงื่อ ซับเลือด (ผ้ายาวๆที่ไม่น่าซับได้ดีราคาแพงได้เป็นหมื่น - พกผ้าเช็ดหน้าดีกว่ามั้ย)
- รัดแขนหรือขาเวลาถูกงูกัด (เผื่อว่างูจะทะลึ่งเลื้อยเข้ามาในออฟฟิศ หรือคุณจะทะลึ่งผูกไทเดินในป่า)
- ผูกหัวเวลากินเหล้าหลังเลิกงาน (ไม่รู้เหมือนกันว่าทำแล้วดียังไง)
- เป็นอาวุธลอบรัดคอคนจากด้านหลัง (ช่างตรงข้ามกับสัญลักษณ์นักรบกล้าหาญในยุคก่อนจริงๆ)

ไร้ประโยชน์:
- ดูตลกบนเสื้อเชิ้ต ยิ่งตลกบนเสื้อยืด และอย่าได้คิดใส่กับเสื้อกล้าม หรือไม่ใส่เสื้อเลยเด็ดขาด
- ในยุคนี้ พอใส่เนคไทแล้วดูเหมือนเป็นทาศขององค์กร (corporate slave)
- ใส่ให้ดูไม่เข้ากับบุคลิก ไม่เข้ากับเสื้อผ้าชิ้นอื่นๆได้ง่ายกว่าทำให้ดูดี
- วีธีผูกซับซ้อนซ่อนเงื่อน (ลองคิดดูว่าถ้าเราต้องจำวิธีใส่เสื้อแบบต่างๆชีวิตจะยากแค่ไหน)

เอาอีกแล้ว list ปรโยชน์มาได้เกินสองข้อ แถมเขียนประโยชน์ได้เท่ากับความไร้ประโยชน์อีก
สงสัยต้องลองกลับไปคิดใหม่ วางแผนให้ดีๆก่อนจะเขียนอะไรแล้วสินะ
(หรือว่าเนคไทมีประโยชน์จริงๆกันแน่? - ไม่หรอกมั้ง)

Note:
- ที่ IKEA เค้าห้าม (ย้ำว่าห้าม) พนักงานใส่เนคไทมาทำงาน ... จะมีคนที่รู้สึกเดือดร้อนมั้ยนะ

Wednesday, December 26, 2007

Fitting Frenzy


[image from screenshot of "Fashion Fits!" by FunnyPCGames.com]

เมื่อวันเสาร์ไปห้างใหญ่ใจกลางเมืองมา มีร้านลดราคามากมาย
มีร้านเสื้อร้านหนึ่งคนเลือกกันเยอะเลย แฟนเราก็ไปเลือกดูด้วย
พอมาถึงตอนที่เลือกได้แล้วจะลองนี่ล่ะ ที่ต้องไปเจอกับแถวยาวเหยียด
ระหว่างรอเราก็เลยนึกสงสัยขึ้นมาว่า นี่มันน่าจะเป็นเรื่องปกติของฤดูการจับจ่าย
แต่ว่าเวลาเขาออกแบบร้านเสื้อเนี่ย เขาก็น่าจะคิดไว้สิว่าห้องลองเพียงพอรึเปล่า

เราเข้าใจว่าค่าเช่าที่ในห้างนั้นต้องแพง จำเป็นต้องมีพื้นที่สำหรับแสดงและจัดเก็บสินค้าเป็นหลัก
แต่ว่าการลองเสื้อนั้นก็เป็นสาระสำคัญในการตัดสินใจจ่ายเงินนี่นะ
ถ้าหากไม่ได้ลอง คงไม่สามารถตัดสินใจซื้อเสื้อผ้าได้ง่ายๆแน่
(ถ้าคิดว่าไม่จริง ป่านนี้ร้านเสื้อออนไลน์คงรวยกันหมดแล้ว)
ถ้างั้นทำยังไงถึงจะมีทางออกที่พอดีสำหรับทุกฝ่าย

ปัญหานี้นักออกแบบร้านค้าปลีกหรือตัวบริษัทเสื้อผ้าพบนี้น่าจะพบเจอบ่อยๆ
ไม่สามารถจัดสรรพื้นที่เพื่อให้ใช้สอยได้ครบเพียงพอตามต้องการ
แต่ว่าของที่มักจะถูกมองข้ามไปในขั้นตอนการออกแบบหรือวางแผนคือการใช้เทคโนโลยีเข้าช่วย
เอาเท่าที่นึกออกแบบเร็วๆเราว่าน่าจะมีทางแก้ได้โดยวิธีคิดสองหลักด้วยกัน
1. อะไรจะทำให้ลูกค้าลองเสื้อได้ในเวลาที่ลดลง เพื่อลดความยาวของแถวที่รอ
2. อะไรจะทำให้สินค้าถูกแสดงได้ครบในพื้นที่ที่ลดน้อยลง (เพื่อเพิ่มห้องลอง)

ตอบทีละข้อโดยเริ่มจาก 1 ก่อนเลย - -
ลองนึกถึงกระจกอันหนึ่งที่สะท้อนตัวคุณออกมา ... แต่ว่าสวมใส่ชุดที่คุณต้องการลองแทนชุดจริง!
(ไม่ได้หมายความว่าไปเปลี่ยนชุดมาแล้ว แล้วเดินมาส่องกระจกนะ)
คุณสามารถเลือกลองชุดที่ต้องการใส่ได้โดยที่ไม่ต้องเปลี่ยนชุดจริงๆ
และคุณสามารถเห็นตัวคุณเองในอิริยาบถต่างๆได้ตามที่คุณแสดงด้วย (ไม่ใช่แค่ทาบชุด)
นี่ไม่ใช่เพ้อเจ้อ แต่คือเรื่องที่เกิดขึ้นจริง โดยของที่เรียกกันว่า "Virtual Mirror"*
จริงๆแล้วคุณไม่ได้ส่องกระจกของจริงที่ฉาบด้วยเวทมนตร์อะไรทั้งนั้น
คุณจะเห็นตัวคุณเองผ่านเทคโนโลยี real-time simulation ที่มีการคำนวณรูปร่างคุณ
และแสดงออกมาโดยการประมวนผลรูปร่างของคุณในเสื้อผ้าแบบที่ต้องการลองจริงๆ
ด้วยนวัตกรรมนี้ ลูกค้าสามารถที่จะ"ลอง"เสื้อที่ต้องการว่าเข้ากับตัวเองไหมก่อนที่จะลองว่าพอดีรึเปล่า
และน่าจะทำให้เวลาในการลองเสื้อของลูกค้าลดลงได้อย่างเห็นได้ชัด
* บ.Toshiba ร่วมมือกับ บจก. Digital Fashion ร่วมมือกันพัฒนาระบบขึ้นมา [link]

และข้อ 2 คือลดพื้นที่จัดแสดง - -
ถ้าเห็นว่าข้อแรกยังเป็นไปได้จริง ข้อนี้ยิ่งเป็นไปได้ง่ายใหญ่เลย
มันมีของที่เรียกว่า virtual catalog อยู่ (เอาไว้ใช้คู่กับ virtual mirror ก็ได้)
สิ่งนี้มันจะทำให้คุณเลือกแบบเสื้อผ้าผ่านจอคอมพิวเตอร์ทุกรูปแบบได้
พอเลือกแบบที่ต้องการได้แล้วค่อยแจ้งพนักงานให้หยิบแบบที่ต้องการมาให้ก็ได้
เท่านี้ก็สามารถลดพื้นที่ที่จัดแสดงลงไปได้ไม่น้อยแน่ๆ

หยิบยกเรื่องนี้มาพูดถึงเพราะว่าร้านเสื้อผ้าเป็นธุรกิจแบบดั้งเดิมมากๆ
และขั้นตอนในการดำเนินธุรกิจเปลี่ยนไปน้อยมากๆในช่วง 10-20 ปีที่ผ่านมา
ในยุคที่ธุรกิจในหลายๆอุตสาหกรรมเปลี่ยนแปลงไปอย่างมากเพราะความเปลี่ยนแปลงทางสภาพแวดล้อม
ทั้งพฤติกรรมผู้บริโภค ทั้งข้อบังคับทางเศรษฐกิจ กฎหมาย สิ่งแวดล้อม และเทคโนโลยี
ผู้ประกอบการควรต้องหันมามองตนเอง และสิ่งที่ตนเองสามารถปรับปรุงได้ เพื่อพัฒนาโอกาสของตนเอง

อีกอย่างหนึ่งคือ เราชาวไทยต้องปรับเปลี่ยนทัศนคติเรื่องเทคโนโลยีและนวัตกรรม
คนส่วนมากนึกว่ามันเป็นเรื่องไกลตัว เรื่องของต่างชาติ เรื่องล้ำยุคและยากที่จะเข้าใจ
แต่จริงๆทุกคนสามารถเข้าถึงมันได้ เพราะมันมีอยู่เพื่อประโยชน์ของเราทุกคน
เราต้องมองเทคโนโลยีว่าเป็นเรื่องที่เราจัดการเอามาใช้เองได้โดยที่ไม่ต้องพึ่งพาใคร
ไม่ใช่คิดว่าชาวต่างชาติค่าตัวแพงเก่งกว่าเรา และไม่ใช่คิดว่าของแพงคือของดี


Note:
- วันถัดมาก็ไปเลือกตั้ง ต่อแถวยาวเหยียดอีก นี่ก็เป็นอีกเรื่องที่ไม่ปรับปรุง process เป็นระยะเวลาสิบๆปีแล้ว ... เราเห็นคนต่อแถวหลังเรายืนรอลงคะแนนราว 20 นาที (เราก็รอนานเท่านั้นด้วย) จนไปถึงเจ้าหน้าที่ แต่ว่าเค้าลืมลำดับเลขที่ของตนเองไปแล้ว เจ้าหน้าที่น่ารักมาก ชี้ไปที่กระดานท้ายแถวว่าให้ไปดูตรงโน้นและต่อแถวมาใหม่ซะนะ ... ไม่มีวิธีดีกว่านี้แล้วจริงๆหรอ?
- เรื่อง virtual mirror ข้างบนมีการใช้ในร้านเสื้อผ้าจริงๆแล้วด้วยนะ แต่ว่าจำไม่ได้จริงๆว่าที่ไหน (หา web ไม่เจอ)

Friday, December 21, 2007

Let's Vote Against All Stupidity in This World


[image by: Black Glenn @ flickr]

ขออภัยทุกท่านที่หายไปนานกว่าทุกที ติดภารกิจการศึกษาอีกแล้ว
แต่ตอนนี้ชีวิตดีขึ้นแล้ว เมื่อเหลืองานแค่ชิ้นเดียว (ซะที)

ช่วงนี้เจอเรื่องน่าหงุดหงิดในแต่ละวันเยอะมาก
อาจจะเป็นเพราะความวุ่นๆทำให้ใจรับเรื่องที่เข้ามาไม่ค่อยได้
พอเขียนเลยเหมือนระบายความอึดอัด จนอาจจะเหมือนคนขี้โมโห
.... วันนี้ก็จะทำอีกอยู่ดีละนะ ...

เช้านี้ก็เจอความไม่มีเหตุผล ไม่มีความคิด ไม่มีอะไรก็ตามที่ควรจะมี
นำเสนอโดยสำนักงานเขตแห่งหนึ่งที่เราต้องขับรถผ่านเพื่อมาทำงาน
พอใกล้วันเลือกตั้งพวกเขาก็เลยคิดจะส่งเสริมให้คนไปเลือกตั้งกันเยอะๆ
ซึ่งมันก็ดีและถูกต้องแล้ว แค่วิธีทำมันดูสิ้นคิดมาก มาก มาก มาก มาก

เอาแบบสั้นๆก็คือพวกเขามาตั้งขบวนพาเหรดในซอยที่มีที่พอให้รถสวน 2 เลน
เพื่อบอกให้คนออกไปใช้สิทธิ์เลือกตั้งกันในวันที่ 23 นี้
ถ้านึกไม่ออกว่าขบวนพาเหรดที่ครบถ้วนจะมีอะไรมั่งจะบอกให้ (จากหน้าสุดไปหลังสุด)

เทศกิจ(มั้ง)เดินนำ 3-5 คน / เพื่อเคลียร์ที่ทางไม่ให้รถขยับมาขวางขบวน
มอเตอร์ไซค์ตำรวจ / เพื่อกั้นถนนไม่ให้รถผ่านไปได้จริงๆในกรณีที่เทศกิจทำหน้าที่ไม่สำเร็จ
รถตำรวจ / เพื่อทำสิ่งที่ 2 อย่างข้างต้นอาจจะทำไม่สำเร็จ
รถเล็กที่มีแผ่นป้ายเชิญชวนไปเลือกตั้ง 2 คัน / สร้างสีสัน และความสนุกสนานให้กับเจ้าหน้าที่ของเขตที่ขับรถนั้น
รถกระบะที่มีเครื่องขยายเสียงประกาศเชิญชวนไปเลือกตั้ง / เพื่อบอกคนที่ยังไม่รู้ตัวว่าจะมีการเลือกตั้งให้ไปลงคะแนน
เจ้าหน้าที่ของเขต 20 คนเดินแจกสื่อประชาสัมพันธ์ให้คนละแวกนั้น / เผื่อมีคนหูหนวกไม่ได้ยินเสียงประกาศจากรถด้านหน้า
เจ้าหน้าที่ของเขต 10 คนเดินถือธงและป้ายเชิญชวนไปเลือกตั้ง / เผื่อมีใครพึ่งตื่นไม่ทันเห็นหัวขบวนที่ผ่านไปเมื่อ 25 นาทีก่อน
ขบวนกลองยาวและดนตรีไทยจากนักเรียน 30 คน / เพื่อปลุกให้คนที่ยังไม่ตื่นตื่นมาดูขบวนนี้
รถกระบะที่มีเครื่องขยายเสียงประกาศเชิญชวนไปเลือกตั้ง / เพื่อให้คนที่ตื่นรอบหลังสุดได้ยินประกาศอีกครั้ง
รถตำรวจและเทศกิจเดินปิดขบวน / ตอนแรกนึกว่าเพื่อขอโทษผู้คน แต่จะขอโทษทำไมในเมื่อข้างหน้าเค้าทำสิ่งที่ถูกต้องกันอยู่
และตามมาด้วยรถบุคคลทั่วไปยาวราวๆ 45 คันพร้อมคนขับทำหน้าตาละม้ายไอ้หมอนี่
คนที่พบเห็นคงจะรู้สึกได้ว่าการประชาสัมพันธ์ครั้งนี้ประสบความสำเร็จแค่ไหน
สามารถทำให้เราและผู้คนหยุดดูได้นานถึงชั่วโมงครึ่ง ทั้งๆที่จริงๆเราใช้เวลาแค่ 20 นาทีก็ถึงออฟฟิศ

... สุดยอดเลยชาวไทย


Note:
- แต่ยังไงก็อย่าลืมไปลงคะแนนเลือกตั้งกันนะครับ เดี๋ยวจะอดเล่นการเมืองหรือลงชื่อถอดถอนในอนาคต

Monday, December 17, 2007

A Man with a Face of a Rotten Foot


[image by: Sebastian Niedlich (Grabthar) @ flickr]

ขออภัยอย่างสุดชีวิตหากภาพข้างบนทำให้ท่านผู้อ่านทานอาหารไม่ลง
แต่นี่คือภาพเสมือน (จริงๆอาจจะแค่คล้าย) กับใบหน้าของบุคคลที่เรารู้จักเร็วๆนี้

เหตุการณ์สมมุติ ณ สถานที่สาธารณะแห่งหนึ่ง ตัวละครดังต่อไปนี้:
เรา (เพศชาย-นามสมมุติ) เป็นตัวเดินเรื่อง
A (เพศหญิง-นามสมมุติ) เป็นเพื่อนเรา
B (เพศชาย-นามสมมุติ) เป็นแฟน A

เรานัดทำงานกับ A โดย A พา B มาด้วย
เราคุยงานกับ A ได้สักพักก็เห็น B เงียบ
ก็เลยทำสิ่งที่ไม่เป็นตัวเองออกไป นั่นก็คือการเอ่ยทัก B ก่อน
เรา: ชื่ออะไรนะครับ
B: …
A: เค้าชื่อ B … และคนนี้“เรา”นะ
B: …

B: (หลังจากเงียบได้ที่แล้ว) โทษนะครับ นี่รุ่นไหนนะครับ
รา: ... (งงกับคำถาม) ยังไงนะครับ
A: เฮ้ย เค้าเป็นรุ่นพี่เรา
B: ... (หน้ามันถามว่า มึงตอบกูมาสิว่ารุ่นไหน)
เรา: อ่อ รุ่นนี้ๆนั้นๆครับ
B: อ่อ ... งึกๆ(เสียงพยักหน้า)

เราก็เลยทำอย่างอื่นไปซักพัก

เรา: (ไม่เข็ด) ทำงานอยู่ที่เดียวกันรึเปล่าครับ
B: …
A: ใช่แล้ว
B: … แต่อยู่ตรงส่วนนี้ๆนั้นๆ
เรา: อ่อ ถามดูพอดีมีเพื่อนอยู่ที่นั่นเหมือนกัน แต่ทำตรงนู้นๆ
A: อ๋อ .. แต่อันนั้นมันยังงั้นงี้นะ ... “เรา”ไม่ลองไปทำบ้างล่ะ
เรา: ไม่เอาล่ะ มันเข้างานเช้ายังกะไปโรงเรียน
A: ฮ่าๆ

และทุกคนก็ไม่ได้พูดอะไรราว 30 วินาที

B: (เหมือนมันเงียบมานานได้ที่แล้ว) แล้วนี่เคยทำงานรึเปล่าครับเนี่ย
เรา: (กูเข้าใจคำถามถูกรึเปล่านะ ไม่ค่อยแน่ใจ เลยถามไปแบบดีๆ) ว่าไงนะครับ
B: เคยทำงานรึเปล่าครับ
เรา: (จี๊ดเบาๆในตอนนั้น) ฮ่ะๆ ผมไม่เหมือนคนทำงานหรอครับ
B: เปล่าครับ เห็นใส่ยีนส์
เรา: ฮ่ะๆๆ

และโทรศัพท์ก็ดังขึ้นมาพอดี เลยปล่อยให้แฟนมันตอบแทนไป
พอวางโทรศัพท์เราก็ทำเฉยๆปล่อยผ่านๆไป

แต่ในใจได้หยิบยืมคำพูดของไอ้โทรศัพท์โรคจิตมาใช้ว่า:

เหี้ยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย


... ก็จบเท่านี้ละครับ ไม่ต้องบอกหรอกครับว่าเราควรโมโหมั้ย
เพราะตอนนั้นไม่ได้โมโห แต่มาโมโหพอกลับถึงบ้านแล้ว
ถึงขนาดต้องมาเขียนระบายเลยทันที


เหี้ยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย
อารายยยย ของงงงงง มึงงงงงงงงงงงง

Thursday, November 29, 2007

Social Bug

ประกาศๆ

กำลังจะยกเลิก account บน hi5 แล้ว เนื่องจากได้รับเมล์ว่ามีคนรับ add request เราเยอะมาก ซึ่งคนเหล่านั้นไม่ได้รู้จักเลย และไม่มีทางแน่ๆที่เราจะไปขอ add คนที่ไม่รู้จักก่อน ซึ่งทำให้คิดได้ว่า 1. มี bug หรือ ไวรัสในระบบ hi5 หรือ 2. มีคนเข้า account เรา ซึ่งทั้งสองทางก็ไม่น่ายินดีทั้งนั้น ที่สำคัญคือ ...

it hurts my pride as an anti-social!!!!

(สามารถฟ้องร้องได้มั้ยนะ ... เสีย brand equity)