Menu

Showing posts with label Business. Show all posts
Showing posts with label Business. Show all posts

Monday, September 21, 2009

Tell Me Why


[image by: Daniel Y. Go @ flickr)

หยุดเขียนบล็อกไปพักใหญ่ๆ น่าจะเป็นการห่างหายที่นานที่สุดตั้งแต่เริ่มเขียนเมื่อปี 2005
สาเหตุของการหยุดไปสรุปได้ใจความที่สุดคือความขี้เกียจของเราเอง ไม่เฉพาะเขียนบล็อก แต่เป็นทุกเรื่อง
แต่จะพยายามจะกลับมาเขียนให้ได้บ่อยเท่าๆเดิมอีกครั้ง ตั้งใจว่าอาทิตย์นึงไม่อยากต่ำกว่า 4 entry

เหตุที่คิดจะกลับมาเขียนก็เพราะว่าแผนการที่วางไว้ในอนาคตจะต้องกลับมาเขียน(แบบฉลาด)เยอะมากๆ
ไม่ว่าจะเขียนเป็นบล็อก เขียนเรื่องที่คิด เขียนแสดงความเห็น เขียนรายงานข่าว เขียน เขียน เขียน และ เขียนอีกหลายที
ถ้าไม่ดึงนิสัยและอารมณ์รักการคิดแล้วเขียนให้กลับมาอยู่ในระดับเดิมน่าจะทำให้เกิดปัญหาแน่นอน

ลองเลยละกัน กับหนึ่งในหลายเรื่องที่ draft เอาไว้:

Tell Me Why

ช่วง 2-3 ปีมานี้ผมตั้งคำถามอยู่บ่อยๆว่าทำไมทุกวันนี้วงการดนตรีมันเสื่อมถอยลงทุกวัน
ถ้าถามหลายๆคนก็น่าจะรู้สึกแบบเดียวกัน แต่นี่ไม่ใช่การต่อว่าคนหรือบริษัทไหนนะ
ผมเชื่อว่าเกือบทุกคนที่ทำงานในแวดวงดนตรีรักงานด้านนี้ และให้ใจกับมันเต็มที่
เพราะเอาจริงๆมันไม่ใช่งานที่รายได้ดีกลับมาคุ้มความเหนื่อยเลย -- ถ้าใจไม่รักอยู่ไม่ได้หรอก

ถ้าแกรมมี่เอาเงินที่มีอยู่ทุกวันนี้ไปลงทุนทำอย่างอื่นจะรวยกว่านี้มั้ย? เป็นไปได้มากๆ
ถ้าวันนี้คุณไพบูลย์ ดำรงชัยธรรม พูดออกจากปากมาว่า "ปีนี้เรางดทำเพลงแล้วเอาเงินค่าเพลงค่าโปรโมทไปสร้างคอนโดดีกว่า"
มั่นใจเลยว่ามันจะต้องเป็นคอนโดหน้าตาดีมากๆ(ที่ผมไม่มีปัญญาซื้อได้) ที่จะทำกำไรให้แกรมมี่มหาศาลกว่าที่เพลงทำได้นัก
แน่นอนว่ามันคงไม่มีทางเกิดเหตุการณ์นี้ขึ้น (การงดทำเพลงนะ แต่การไปสร้างคอนโดนั่นก็ไม่แน่ เพราะถึงไม่งดก็มีเงินมากพอ)
เพราะว่าเพลงมันคือตัวผลักดันให้ธุรกิจทุกส่วนในแกรมมี่เดินไปได้ ไม่ว่าจะวิทยุ โทรทัศน์ Digital Content หรือ Artist Management
พูดได้ว่าไม่มีเพลง ก็ไม่มีบริษัท จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ จำกัด (มหาชน) และราคาหุ้นร่วงลงเร็วกว่าคุณจะพูดคำว่า"ตก"จบคำด้วยซ้ำ

แต่อีกเหตุผลนึงที่ผมคิดว่าจะไม่เกิดเหตุการณ์นั้นขึ้นก็เพราะว่าทุกคนที่ทำงานรักวงการนี้
ผมคนนึงล่ะที่รักการเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องกับงานสร้างสรรค์ ถึงจะไม่ได้ทำเองเพราะฝีมือไม่พอ
ชอบการพูดคุยกับคนที่ทำงานด้านนี้เหมือนกัน เพราะเรามีมุมมองที่น่าสนใจมาเล่าให้ฟังกันได้ตลอด
ชอบบรรยากาศการทำงานที่หาไม่ได้จากงานสายอื่นๆเลยจริงๆ
คุณไพบูลย์ คุณเล็ก-บุษบา หรือผู้บริหารไม่ว่าระดับไหนก็คงรู้สึกเดียวกัน ว่ามันเป็นเหมือนบ้านหลังใหญ่
คนที่เราเจอก็คือสมาชิกของครอบครัว งานที่เราทำก็เป็นเหมือนงานดูแลบ้าน
ความสุขของเราคือเวลาเปิดบ้านให้คนอื่นเข้ามาเยี่ยมชมแล้วเค้ามีความสุขเราก็มีความสุขด้วย

แล้วถ้าทุกคนเป็นแบบนั้นจริงๆ(ซึ่งผมคิดว่า 90% เป็นงั้นจริงๆ) ทำไมเวลาเปิดวิทยุถึงได้ฟังแต่เพลงน่าเบื่อขนาดนี้
ศิลปิน นักร้อง นักดนตรี นักแต่งเพลง คนทำเบื้องหลัง คนทำงานก็เก่งขึ้นเรื่อยๆ อุปกรณ์การทำงานก็มีแต่พัฒนาขึ้น
แต่เพลงที่ถูกโปรโมทมันให้ความรู้สึกแห้งๆ แข็งๆ เซ็งๆ ทุกอย่างดูสำเร็จรูปไปหมด
จากประสบการณ์ที่ผมได้สัมผัสมานิดหน่อย ผมให้เหตุผลกับมันว่ามันเป็นเรื่องข้อจำกัดของคำๆเดียวว่า 'ธุรกิจ'

เมื่อเพลงถูกผลักดันจนกลายเป็นอาชีพ เป็นกิจการที่ทำเงินเลี้ยงชีพคนคนนึงหรือหลายพันคนได้
มันก็มีข้อผูกมัดและความกดดันที่จะต้องให้เพลงทุกเพลงที่ทำขึ้นมันทำเงินให้ได้ต่อไปอีกเรื่อยๆ
มีอยู่วันนึงผมนั่งกินข้าวอยู่แถวบ้านและบังเอิญมีโปรดิวเซอร์ท่านนึงนั่งคุยกับนักดนตรีรุ่นน้องโต๊ะติดกันพอดิบพอดี
ความเสือกทำให้ผมได้ยินเค้าคุยกันเรื่องเพลงที่กำลังแต่งอยู่ ยกตัวอย่างประโยคนึงของบทสนทนามาให้ดูกัน:
"ไอ้เพลงนี้นะ ถ้าร้องแบบปกติก็จะเป็น xx-yy-zz
แต่ถ้าตรงคำว่า yy เราใส่เอื้อนเสียงเข้าไปอีกนิด
เหมือนกับที่เพลง ABC ทำ มันก็จะฟังดูมีสเน่ห์ ติดหู และคนชอบได้"

ผมเคยได้ยินประโยคทำนองนี้มาหลายทีแล้วเหมือนกัน แต่วันนั้นผมสงสัยขึ้นมาว่าทำไมต้องพยายามหาทางให้คนชอบตลอด
นิดๆหน่อยๆก็ยังโอเค แต่พอมาทำแบบเป็นล่ำเป็นสัน เก็บทุกเม็ดในทุกเพลง เพลงมันก็เริ่มฟังดูจอมปลอมไปหมด
และส่วนใหญ่โปรดิวเซอร์นักแต่งเพลงพวกนี้นี่แหละที่เขียนเพลงเก็บไว้ใน song bank ของค่ายต่างๆ
พอมีนักร้องที่ร้องเพลงพอได้ หน้าตาดูดี ก็หยิบเพลงที่มีเนื้อหาเหมาะกับบุคลิกเข้ามาสวม ทำดนตรีใหม่ซะหน่อย พร้อมโปรโมททันที

พูดตรงๆผมทำใจยอมรับได้ที่จะมีศิลปินที่ขายหน้าตาที่หาเพลงที่คนอื่นทำไว้มาร้อง เพราะประเทศไหนๆก็ไม่ต่างกัน
แต่ว่าทำไมศิลปินที่มีความสามารถทำเพลงเองได้ถึงทำเพลงที่ออกมาให้ความรู้สึกแบบเดียวกันเลย

... มันเกิดอะไรขึ้นกับดนตรีที่ออกมาจากความรู้สึกจริงๆ บอกผมหน่อย?

Thursday, July 9, 2009

Long Weekend of Thoughts


[collage by: lerk7]

Saturday:
  • Nawamin City Avenue บนถนนนวมินทร์อยู่ห่างจาก The Crystal เลียบทางด่วนรามอินทราไม่เกิน 4 กิโลเมตร แต่คนที่ไปเดินเล่นและใช้บริการต่างกันอย่างมาก
  • ทั้งสองที่ที่ว่านี่ห่างจากตลาดปัฐวิกรณ์บนถนนนวมินทร์ราวๆ 7 กิโลเมตร แต่คนที่อยู่ที่นั่นยิ่งต่างออกไปอย่างมาก
  • ตลาดปัฐวิกรณ์คือหลักฐานว่ามีคนจำนวนมากอยากทำอะไรเป็นของตัวเองแต่ไม่ประสบความสำเร็จ
Sunday:
  • ในเวลา 4 ชั่วโมงคุณสามารถโหลดเพลงแบบละเมิดลิขสิทธิ์โดยไม่ต้องวางแผนล่วงหน้าว่าวันนี้อยากได้เพลงอะไรได้ราวๆ 40 อัลบั้ม ด้วยอินเตอร์เนทที่เร็ว 1Mbps
  • ของเล่นที่ชื่อว่าฟิงเกอร์บอร์ด (ไม่ใช่ช่องระหว่างเฟร็ทกีตาร์ที่เรากดคอร์ดกันนะ) กำลังกลับมาฮิตแบบเงียบๆ และเล่นโคตรยากแต่คุ้มค่าที่จะฝึกฝน ส่วนสาเหตุของการกลับมาน่าจะเป็นเพราะมันกลายเป็น app ใน iPhone + iPod Touch ละมั้ง
  • เนื้อที่ร้าน กิว กิว เต้ อร่อยก็จริง แต่ไม่อร่อยขนาดที่เราจะทรมานตัวเองไปร้านนี้อีกเป็นหนที่สอง และสภาพโดยรวมไม่ทำให้รู้สึกยินดีจะจ่ายเงินค่าเนื้อจานละ 2,500 บาทแน่ๆ (ไม่ว่าเนื้อมันจะดีและเยอะแค่ไหน)
  • คนบางคนสามารถเปลี่ยนไปได้อย่างมากเพียงแค่เปลี่ยนสายงานได้ไม่ถึงครึ่งปี
  • คนบางคนกลัวการเป็นคนไม่สำคัญจนต้องพยายามทำทุกวิถีทางให้ถูกสังเกตและมีคนรับฟัง ถ้าต้องการแบบนั้นจริงไปอยู่บน youtube ดีกว่ามั้ย??
  • ความเหี้ยไม่ต้องการเหตุผลมารองรับ คนบางคนรู้ตัวว่าผิดก็ยังสามารถเหี้ยใส่คนที่ไม่ผิดได้หน้าตาเฉย
Monday:
  • อยากแนะนำให้ทุกท่านรู้จัก Lucky ฟิล์มสี 35mm คุณภาพดีราคาถูก 40 บาทต่อม้วนเท่านั้น
  • ถนนจากกรุงเทพไปกาญจนบุรีเป็นถนนที่ขับสบายมากๆ ในบรรดาถนนออกต่างจังหวัดนี่น่าจะเป็นถนนที่เราชอบที่สุด
  • ไม่มีหนังสือแนะนำสถานที่ท่องเที่ยวกาญจนบุรีขายในจังหวัดกาญจนบุรี (จริงๆแล้วมี แต่หายากมากๆ)
  • มีหลายคนบอกว่าผัดไทยที่ร้าน ซุ่นเฮง ณ สี่แยกลาดหญ้า กาญจนบุรี อร่อยมาก (บางคนถึงกับบอกว่าอร่อยที่สุดในโลก) แต่สำหรับเรานี่เป็นอีกหลักฐานว่าโลกนี้มีสื่งที่เหี้ยแบบไม่อายฟ้าดิน เพื่อการเอาใจคน 10 กว่าคน คนอีกราว 30 คนที่มาถึงก่อน ต้องรอมันกินจนเสร็จอิ่มคิดเงินกลับบ้าน -- แน่นอนว่าเราไม่รอและเขวี้ยงเงินค่าเป๊ปซี่ 1 ขวด น้ำแข็ง 1 ถังและค่าหลบฝน 1 ชั่วโมงใส่ร้านมันไป
  • ถึงเราจะไม่ได้กิน เราก็มั่นใจว่านี่ไม่ต่างจากผัดไทยประตูผี ข้าวเหนียวมะม่วงป้าเจือ โรตีตลาดหัวหิน โรตีสายไหมอยุธยา เครปป้าพร หรือร้านไหนๆที่คนไปรอนานๆแบบไม่มีเหตุผล ทั้งๆที่ร้านข้างๆหรือร้านแถวบ้านมันอร่อยเท่ากัน
  • เกิดความสงสัยขึ้นมาว่ามีคนพยายามเดินทางไปสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆเพียงเพื่อดื่มเหล้าและทำลายบรรยากาศคนอื่นๆ แค่นั้นจริงๆหรือ?
  • ตอนนี้เราสามารถถ่ายรูปด้วยกล้อง Fuji Instax Mini 7s ได้โดยไม่ต้องเล็งผ่าน viewfinder อย่างแม่นยำสุดๆ
  • ร้านคีรีธารา ริมแม่น้ำแควอาหารไม่ได้วิเศษเลิศเลอ แต่บริการโคตรจะดีเลยครับ
  • ถ้าอยากลองดูรีสอร์ทที่ไม่ลงทุนเยอะแต่ไม่ขี้เหร่แนะนำให้ไปอินจันทรี (Inchan Tree) ใกล้ๆสะพานข้ามแม่น้ำแคว
Tuesday:
  • ผึ้ง เป็นแมลงที่ไวต่อกลิ่นน้ำหวานมาก แยมส้มมาตั้งบนโต๊ะไม่ถึง 1 นาทีมีผึ้งมารุมที่จานเราแล้วเกือบครึ่งรัง (ถ้ารังนั้นมีแค่ 20 ตัว) และพยายามจะมาเกาะกินคราบแยมบนปากเราด้วย
  • นั่งดู หม่ำ on Stage จากช่องเคเบิ้ลในห้องพัก ได้ฟังน้าแอ๊ดร้องเพลงทะเลใจแล้วน้ำตาซึม คนอื่นว่าไงไม่รู้ แต่ถ้าถึงวันที่จะไม่มีโอกาสได้ฟังได้ดูคาราบาวสดๆอีกเราคงเสียใจมากแน่นอน
  • กาญจนบุรีสามารถพัฒนาให้เป็นจังหวัดที่น่าไปมากๆได้ ขอแค่คนเริ่มไปลงทุนกัน (ไปลงทุนกันเถอะ)
  • หลังจากปตท.ไปเทคโอเวอร์กิจการปั๊ม Jet อรรถรสในการขับรถทางไกลข้ามจังหวัดก็ลดลงไปเยอะมากๆ เพราะคุณจะหมดโอกาสพูดว่า “ขอแวะเจ๊ตหน่อย” กับเพื่อนร่วมทาง
  • Union Mall ลาดพร้าวมีคนไปเยอะขึ้นแล้ว อย่างน้อยๆก็หาที่จอดรถยากขึ้นล่ะ ไม่รู้รถคนมาดูหรือรถคนขาย แต่เราไปหาซื้อแม็กกาซีนเก่าต่างประเทศที่ชั้น 3 (ใครรู้จักว่าที่ไหนมีเยอะๆช่วยบอกด้วย)
  • ยิ่งฟังอัลบั้ม‘ทิงนองนอย’ ของโมเดิร์นด็อกก็ยิ่งชอบ ยิ่งรู้สึกว่ามีอะไรให้คิดต่ออีกเยอะจริงๆ

Friday, June 19, 2009

Riding Facebook Wave



ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าไม่ได้มาอัพเดทนานมาก นั่นเป็นเพราะกำลังอินอยู่กับ facebook มากๆ
อันที่จริงเราสมัคร facebook ไว้นานมากแล้ว ราวๆ 2-3 ปี แต่ก็ไม่ได้เล่นมันเลย
ตอนนั้นรู้สึกว่าระบบ application มันซับซ้อนและรกหน้า profile ของเรามากๆ
นั่นเป็นเพราะเราคุ้นกับการบริหารหน้า profile ส่วนตัวให้เป็นตามที่ต้องการ
ก็เหมือนๆที่ทำกันใน myspace หรือ hi5 นั่นแหละ ทุกคนก็แต่งให้หน้าของตัวเองเป็นตัวเองที่สุด

แต่ facebook มันไม่ใช่แบบนั้น ซึ่งก็ต้องยอมรับว่าตอนนั้นไม่เข้าใจเลย
เราพยายาม 'ควบคุม' ให้หน้า profile เราแสดงข้อมูลอย่างที่เราต้องการเท่านั้น
ซึ่งไปๆมาๆมันทำให้เรารู้สึกว่ามันปรับอะไรยากเหลือเกิน ก็เลยเลิกราไปนาน
จนกระทั่งได้รับ email จาก facebook ถี่ขึ้นเรื่อยๆในช่วงหลัง ทำให้รู้ได้ว่ามันกำลัง 'มา'
ก็เลยคิดว่าจะให้โอกาสมันลองดูอีกซักทีเหมือนกับตอนที่ให้โอกาส hi5 อีกทีเมื่อปีก่อน

ด้วยความที่ facebook ปรับลักษณะการใช้งานให้เข้าใจได้ง่ายขึ้นเยอะ
และเราศึกษาเว็บมามากขึ้นด้วยทำให้เห็นประโยชน์ที่แท้จริงของมัน
หน้าที่สำคัญที่สุดของ facebook ไม่ใช่ profile แต่เป็นหน้า news feed ที่อัพเดทเพื่อนเราต่างหาก
(เราอาจจะเป็นคนสุดท้ายที่รู้ตัวก็ได้นะเนี่ย)
ถ้า hi5 กับ myspace เอาตัวเราเองเป็นที่ตั้ง facebook ก็คือสิ่งตรงกันข้ามที่เอาเรื่องคนอื่นมาใส่ให้เรา
เรามีหน้าที่แค่คอยดูว่าคนอื่นทำอะไรแล้วก็ไปคอมเม้นท์ทักทายเรื่องเหล่านั้นของเค้า
ถ้าอยากอัพเดทตัวเองก็ทำได้แบบง่ายๆ เรียบๆ และให้คนอื่นรับรู้มากกว่าความพอใจของตัวเอง

เทียบแล้ว hi5 อาจจะเหมาะสมกับการทำ branding ให้คนรับรู้ว่าเราคือใคร
แต่ถ้าอยากสื่อสารให้ได้ผล facebook ดูจะเป็นช่องทางที่หวังผลตอบรับได้ดีกว่ามาก
นั่นเพราะว่าผู้รับสารพร้อม(และรอคอยด้วยซ้ำ)ที่จะรับข่าวสารใหม่ๆอยู่เสมอ

สาเหตุที่ผู้ใช้ facebook ชาวไทยมีการเติบโตที่รวดเร็วน่าจะเกิดจาก:
1. กลุ่มคนไทยในต่างประเทศโดยเฉพาะสหรัฐที่เล่นกันเยอะตามคนอื่นในประเทศ ส่งผลให้เพื่อนที่อยู่เมืองไทยลองเล่นตาม และขยายวงกว้างไปในที่สุด
2. การปรับการใช้งานให้ง่ายขึ้นเรื่อยๆ ไม่ซับซ้อนเหมือนแต่ก่อน
3. interface ภาษาไทยที่นับว่าเป็นเว็บที่แปลได้ดีที่สุดเท่าที่เจอมาเลย
4. application การทำ quiz ที่แพร่หลายมากๆจริงๆ
5. จำนวนนักการตลาดที่หันมาใช้ facebook เป็นช่องทางการโฆษณาอย่างชัดเจน เนื่องจากสามารถกำหนดกลุ่มเป้าหมายได้โดยละเอียดมาก (selective communication) และควบคุมงบประมาณการประชาสัมพันธ์ได้อย่างสมบูรณ์

ด้วยเหตุเหล่านี้น่าจะส่งผลให้ปีนี้เป็นปีที่ facebook มีอัตราการเติบโตในประเทศไทยสูงที่สุด
คาดว่าคนไทยที่เล่น hi5 ไม่ต่ำกว่า 30% จะมีบัญชี facebook อยู่ด้วยภายในสิ้นปีนี้

ส่วนตัวเราก็ขอหมกมุ่นอยู่กับมันอีกสักนิดละกัน เพราะเราเจอโอกาสมากมายจริงๆในนั้น

... แล้วเดี๋ยวก็จะกลับมาอีกทีดังเดิม


Note:
- จำนวนผู้ใช้ facebook ที่อยู่ในประเทศไทย 648,800 ราย แบ่งเป็น

เพศ:
ชาย 266,000 ราย
หญิง 359,780 ราย
ไม่ระบุ 23,020
ราย

อายุ:
13-18 ปี 87,800 ราย
19-23 ปี 183,040 ราย
24-30 ปี
216,480 ราย
31-40 ปี
113,240 ราย
41 ปีขึ้นไป 49,340 ราย
ไม่ระบุ 48,240 ราย

ใครจะเอาข้อมูลพวกนี้ไปใช้ทำอะไรก็ยินดีนะ

Thursday, April 30, 2009

Seven Intelligence


[image from NIPPONIA]

คิดว่าหลายๆคนอาจจะไม่รู้หรือไม่เคยสังเกตเวลาที่ไปซื้อของในเซเว่น
ก่อนที่จะจ่ายเงิน พนักงานเค้าจะจิ้มปุ่มที่อยู่ขอบเครื่องคิดเงินก่อน
เป็นปุ่มที่แบ่งเป็นสีฟ้ากับชมพู สีละ 4 ปุ่มเรียงรายเป็นแนวตั้ง
ปุ่มที่ว่านี้เอาไว้บันทึกว่าลูกค้าที่ซื้อของเป็นผู้ชายหรือผู้หญิง อายุประมาณเท่าไหร่
เค้าเอาข้อมูลนี้ไปวิเคราะห์ว่าแต่ละช่วงเวลาลูกค้าเพศไหนอายุเท่าไหร่ซื้อสินค้าอะไร

คราวหน้าเวลาไปจ่ายเงินลองดูเล่นๆก็ได้ สนุกดีว่าเค้าจะกดอะไร
สีฟ้าคือผู้ชาย สีชมพูคือผู้หญิง อายุไล่จากบนลงล่างก็มี เด็ก วัยรุ่น 20-35 และ 35ขึ้นไป
วันก่อนพอถึงคิวเราก็ลองแอบดู พนักงานกดเลยทันที สีฟ้าแถวล่างสุด

ดีมาก


Note:
- ก็ยังดีเพราะวันก่อนเพื่อนเราผู้ชายไปซื้อพนักงานก็กดเป็นผู้หญิงอายุ 35 ซะ
- รูปข้างบนคือร้าน 7-11 สาขาแรกในญี่ปุ่นเปิดเมื่อเดือน พฤษภาคม 1974 ในกรุงโตเกียว
- นอกจากเซเว่นแล้ว เดี๋ยวนี้ร้านค้าส่วนใหญ่ก็เก็บข้อมูลพวกนี้เช่นกันนะ ไม่ว่าจะเป็นร้านอาหาร ร้านเสื้อผ้า ร้านขายยา ... ลองแอบดูสิ

Thursday, April 2, 2009

Series, Misery, Trends

ขณะนี้ เว็บขายของออนไลน์ Trendyday.com ที่เราทำงานอยู่จะมีการปรับชื่อหมวดสินค้าให้เป็นภาษาไทย
เลยต้องเช็คดูว่าคำบางคำ คนสะกด search หายังไง จะได้หามาเจอเว็บของเราได้
เครื่องมือที่มีประโยชน์มากคือ Google Trends ที่จะบอกให้รู้ได้ว่าtrend ของคำๆนึงที่คน search เป็นยังไง
ดูแล้วก็เศร้าใจว่าทำไมคนไทยเขียนหนังสือกันแย่ลงเรื่อยๆ

ยกตัวอย่างคำว่า Series ที่เราคิดว่ายังไงๆก็ต้องสะกดแบบนี้ --> ซีรี่ส์
แต่โดนเถียงมาว่าต้องสะกดแบบนี้ถึงจะถูก --> ซีรี่ย์
เราก็คิดว่าจะเป็นไปได้ไงฟะ จะเอาย.ยักษ์มาจากไหนในคำว่า series เลยลองมาเช็คดู

ปรากฏว่า ....


เออ ยอมก็ได้



และด้วยความทำตัวว่างงานเลยลอง search ดัชนีความทุกข์ของคนไทยดูเล่นๆ


คนไทยเหนื่อยมากในเดือน ก.ค. ของปีที่ผ่านมา
ในขณะที่ trend ความเบื่อพึ่งจะ peak ไปเมื่อเดือน ก.พ. ของปีนี้
trend ในอนาคตความเหนื่อยกำลังกลับมา
ความเครียดกำลังทรงตัว
ความหิวและความง่วงยังมีไม่เยอะ แต่รักษาระดับไว้ได้ตลอด

จบข่าว

Monday, August 18, 2008

Allergenic Defeat


[image by: cortnie dee. @ flickr]

เมื่อวันพฤหัสบดีที่พึ่งผ่านมาเราไปทำงานนอกสถานที่มา
เป็นโกดังของแต่งบ้านได้บ้างไม่ได้บ้างของร้าน ปาปาย่า
ของทั้งหมดในโกดัง 3 ชั้นเป็นของเก่าถึงเก่ามาก
ซึ่งพอมาอยู่รวมๆกันแล้วให้บรรยากาศที่ surreal มากๆ (ไม่รู้จะอธิบายยังไง)
เราเป็นคนแพ้ของเก่า (และของไม่มีประโยชน์) เห็นแล้วเลยอยากซื้ออะไรติดกลับมา
ตั้งแต่โคมไฟห้องผ่าตัด หุ่น Captain America (ขนาดเท่าตัวจริง)
Retro TV เก่าๆ (สวยมากๆ) หัวควายไบซันขนาดใหญ่มาก (อันเดียวกับปก Saturday Seiko)
และอีกต่างๆนาๆที่ไปเห็นแล้วจะตื่นตาตื่นใจ

แต่นอกจากแพ้ของเก่าแล้ว มีอีกอย่างที่เราแพ้ก็คือ ฝุ่น ซึ่งมีอยู่ทั่วไปในโกดังนี้
เพราะฉะนั้นตั้งแต่วันนั้นมา เรายังคันโพรงจมูกไม่หาย น้ำมูกไหล และจามอยู่เรื่อย

... ทรมานจริงๆ จบดีกว่า


Note:
- สามารถไปดูเวบไซต์ของร้านปาปาย่าได้ที่ http://www.design-athome.com/
- เอารูปมาให้ลองดูเพิ่มด้านล่างนะ





[2 images above by: saharlex @ flickr]

Monday, February 18, 2008

The Artistic Business


[image by: resa & krister @ flickr]

"การ simplify ถือเป็นหัวใจสำคัญของงานวิจัยต่างๆที่เกี่ยวข้องการการสร้างโมเดล
แม้ว่าจิตใต้สำนึกของเราจะอยากให้แบบจำลองของเรามีความซับซ้อน
เพราะผู้อื่นที่สนใจงานของเราจะสามารถทำความเข้าใจผลงานได้ง่าย
จุดนี้ต่างกับงานศิลปะอยู่บ้างตรงที่ภาระนี้ตกอยู่กับผู้สร้างผลงาน
ในขณะที่ทางศิลปะภาระนี้ตกอยู่กับผู้ชมผลงาน
น่าจะมีวิชา research paper appreciationบ้างแฮะ"


Curse of Simplification by Plop

จาก Entry ที่คุณ Plop เขียนล่าสุดนี้ เราเลยนึกถึงอะไรบางอย่างขึ้นมา
มีคืนหนึ่งเรานั่งคุยกับน้องที่ติสต์แดกมากๆคนหนึ่ง ในตอนที่มึนเมากันทั้งคู่
เราบอกเค้าว่าจริงๆแล้วทุกๆอย่างที่เราทำกันมันถือได้ว่าเป็นงานศิลปะทั้งนั้น
โดยเฉพาะการทำการตลาดที่เราคิดว่ามันเป็นศิลปะที่ซับซ้อนมากๆ

คือเรารู้สึกว่าถ้าหากสิ่งที่ทำมันเกิดจากความเข้าใจในสภาพแวดล้อมของงานที่เราทำ
หากเรารู้ข้อจำกัด เงื่อนไข กติกา และวิธีการใช้เครื่องมือที่มีอยู่
บวกเข้ากับสิ่งที่เราต้องการจะสื่อสาร และเป้าหมายที่เราอยากจะทำให้สำเร็จ
นั่นก็น่าจะทำให้มันเป็นงานศิลปะได้เหมือนกัน

ลองนึกถึง surfer หรือคนเล่นกระดานโต้คลื่น (ที่เราเล่นไม่เป็นเหมือนกัน)
มันก็มีคนที่เล่นไม่เป็นเลย พอเล่นเป็น เล่นได้ดี และคนที่โคตรจะเก่งใช่มั้ย
คนที่พอจะเล่นได้นิดหน่อย ก็คือคนที่รู้พื้นฐานวิธีเล่น แต่ทำอะไรได้ไม่มาก
คนที่เล่นได้ดีคือเริ่มมีเทคนิคที่สูงขึ้น และรู้ว่าจะทำอะไรเมื่อไหร่
ส่วนคนที่โคตรเก่งคือคนที่รู้เทคนิค และอ่านกระแสคลื่นกระแสลมได้ครบถ้วน
ถ้าเรามีทั้งเทคนิคและความรู้ของงานนั้นๆ เราก็จะสามารถทำสิ่งที่เราต้องการได้ดังใจ

การตลาดก็เหมือนกันคือเราต้องรู้ก่อนว่าเรามีเครื่องมืออะไรเทคนิคอะไรอยู่บ้าง (ซึ่งเยอะมากๆ)
และที่ยากกว่านั้นคือการเข้าใจกติกาสภาพแวดล้อมของสิ่งที่เราทำ นั่นคือเข้าใจผู้บริโภค และตลาด
นักการตลาดบางคนเข้าใจวิธีทำแต่ไม่เข้าใจสภาแวดล้อมก็ทำได้แค่ยืนบนกระดานโต้คลื่น
บางคนก็เก่งเรื่องผู้บริโภคมากๆแต่ไม่รู้ว่าจะเอาความรู้นั้นไปทำอะไรต่อได้

คนที่เก่งจริงๆคือคนที่รู้และเข้าใจทั้งสองด้าน รวมไปถึงเข้าใจตนเองว่าต้องการอะไร
ต้องหาเครื่องมือวิธีการที่จะทำให้ผู้บริโภครับรู้และคล้อยตาม
ทั้งหมดนี่มันเริ่มมาจากความต้องการให้คนเห็นคุณค่าของสิ่งที่เรากำลังบอก
และนั่นน่าจะยากกว่างานศิลปะหลายๆแบบด้วยซ้ำ ที่เกิดจากตัวศิลปินเองคนเดียว

จิตใจของศิลปินอาจจะคิดว่าแค่หาทางถ่ายทอดสารของตนออกไปให้ได้ครบถ้วนก็พอ
คนจะชอบก็ช่าง ไม่ชอบก็ช่าง งานมันสำเร็จเมื่อชิ้นงานเสร็จ
ถ้าคิดมากกว่านั้นอาจจะไม่นับถือตัวเองเป็นศิลปิน
แต่งานของคนทำการตลาดมันไม่ได้จบเมื่อลงมือทำเสร็จสิ้น
มันไปจบตอนที่เรารู้ว่าผู้บริโภครับรู้และคิดตามที่เราต้องการแล้วต่างหาก

Monday, February 4, 2008

Fakes and Frauds


[image by: Siobhan Curran @ flickr]

เราคิดว่าคำว่า fake ถูกใช้ทับศัพท์อย่างแพร่หลายจนเข้าใจตรงกันในสังคมแล้ว
แต่เราก็ยังสงสัยอยู่ดีว่าจริงๆแล้ว fake เนี่ยคืออะไร และแค่ไหนถึง fake
เราจะเรียกอะไรว่า fake ได้บ้าง และแค่ไหนถึงจะพอไม่ถูกเรียกว่า fake ได้

ขอพูดถึงเรื่องข้าวของใช้รวมไปถึงเสื้อผ้าเครื่องประดับต่างๆสักหน่อย
ยี่ห้อหรือบริษัทใหญ่ๆต่างเสียค่าทำการตลาดไปหลายล้านเพื่อสร้าง brand ของสินค้าขึ้นมา
แต่ว่ามีผู้ฉกฉวยโอกาสทำสินค้าลอกเลียนแบบ (หรือที่เรียกว่า fake) ออกมาวางขายเกลื่อน
แน่นอนว่าของจริงย่อมมีราคาแพงกว่า เนื่องจากมีต้นทุนการทำ branding และการออกแบบ(หรือ พัฒนา)อยู่ด้วย
และส่วนใหญ่สินค้าของจริงก็จะมีคุณภาพดีกว่าทั้งวัสดุและขั้นตอนการผลิต รวมไปถึงบริการหลังการขาย
แต่ข้อได้เปรียบของของปลอมคือราคาที่ต่ำกว่า(มาก) และรูปลักษณ์ภายนอกที่ดูคล้ายคลึงกัน
ผู้บริโภคที่ต้องการมีสินค้าเหล่านั้นไว้ในครอบครองก็เลือกหากันตามอัตภาพไป
คนรวยก็ซื้อของจริงไป รายได้น้อยก็ซื้อของเลียนแบบ - รายได้ปานกลางอาจจะซื้อของเลียนแบบที่เกรดดีหน่อย
(เกรดดี = มีลักษณะใกล้เคียงของจริงมาก)

ความสงสัยจริงๆของเราจากเรื่องนี้ก็คือ เราซื้อสินค้า"ของจริง"เพราะอะไรกัน?
เพราะว่ามันมีคุณภาพที่สูงกว่าของปลอมรึเปล่า?
โดยพื้นฐานแล้วคุณภาพสินค้าที่สูงย่อมให้ความพึงพอใจที่มากขึ้นตามลำดับไป
โอกาสที่สินค้าคุณภาพต่ำกว่าจะให้ความพึงพอใจที่มากกว่าหรือเท่าเทียมกันนั้นแทบเป็นไปไม่ได้

มันมีเรื่องที่เป็นประเด็นอยู่ตอนนี้คือ คุณภาพสินค้าลอกเลียนเหล่านี้นั้นดีขึ้นเรื่อย (ใกล้เคียงมากขึ้น)
นั่นเพราะผู้ผลิตไปซื้อวัตถุดิบเดียวกัน จากแหล่งเดียวกัน ว่าจ้างโรงงานที่มีเครื่องจักรและศักยภาพระดับเดียวกัน
หรือพูดง่ายๆคือ ทุกรายละเอียดของสินค้านั้นเหมือนกันหมด ต่างกันเพียงผู้สั่งผลิตเท่านั้น
ถ้าเป็นแบบนี้แล้วเราซื้อของจริงเพราะอะไร?
เพราะว่าของจริงนั้นได้รับ order การผลิตจากบริษัทเจ้าของ brand หรอ?
ของแบบนั้นมันมี value ตรงไหนกัน?
ถ้ามองในแง่ดี(มากๆ)คือเรายอมจ่ายเงินเพื่อให้ brand เหล่านี้มีเงินไปจ้างนักออกแบบ
เพื่อเราจะได้มีสินค้าสวยๆงามๆใหม่ๆใช้กันไปเรื่อยๆ ตามฤดูกาลในปีหนึ่งๆ
มีกี่คนที่คิดแบบนั้นบ้างตอนที่จ่ายเงินซื้อของ (และคิดว่ามันเป็น value)

ทั้งนี้ทั้งนั้นไม่ใช่บอกว่าซื้อของจริงแล้วโง่หรือซื้อของปลอมแล้วดีเลยนะ
การซื้อของปลอมมันไม่ดีแน่นอนอยู่แล้ว เพราะมันคือการส่งเสริมให้คนเอาเปรียบกัน
แต่ว่าอยากให้ลองหยุดคิดดูกันนิดนึง ว่าเส้นแบ่งของแท้กับของปลอมมันอยู่ตรงไหน
เหตุผลไหนกันแน่ที่ทำให้เราซื้อของจริง และเหตุผลนั้นมันมีคุณค่าต่อเรามากกว่าเงินที่จ่ายออกไปมั้ย
ถ้ายังนึกไม่ค่อยออก ลองตอบคำถามนี้ดูหน่อยก็ได้
- เสื้อยืดของจริงยี่ห้อ AB ราคา 1,500 กับของเลียนแบบยี่ห้อ A8 ราคา 150
- นาฬิกาของจริงราคา 4,000 กับนาฬิกาทำคล้ายมากๆ (วัสดุเข็มวินาทีไม่เหมือนกัน) ราคา 700
- รองเท้าของจริงราคา 11,000 กับรองเท้าทำเหมือนทุกอย่างแต่พิมพ์ข้างกล่องเป็น "Maed in Italy" ราคา 1,000
- กระเป๋าของจริงราคา 60,000 กับของที่โรงงานแอบทำออกมาเกินราคา 13,000 และของที่มีคนไปสั่งทำเหมือนราคา 4,500 เหมือนกันทุกประการ

แค่ไหนล่ะที่จะบอกว่าสิ่งนี้คือปลอมและสิ่งนี้คือแท้?
ถ้าทำให้แค่คล้ายๆเพื่อไม่ให้โดนข้อหาละเมิดลิขสิทธิ์ จะเรียกว่าปลอมมั้ย
ถ้าทำออกมาด้วยวัสดุและกระบวนการเดียวกันแต่ต่างกันที่คนสั่งจะปลอมมั้ย

คุณภาพดีมี brand ถูกต้อง / คุณภาพดีละเมิดลิขสิทธิ์ / คุณภาพดีแถว่าไม่ละเมิดลิขสิทธิ์

แค่ไหนกันถึงจะเรียกว่า fake???

Tuesday, January 15, 2008

Wintry Nonsense

เหมันต์.. ฤดูกาลแห่งความอร่อย..

โออิชิ ภัตตาคารบุฟเฟ่ต์ญี่ปุ่น และโออิชิ เอ๊กซ์เพรส..
ขอเชิญคุณมาสัมผัสกับบรรยากาศเหมันตฤดู.. "เหมันต์.. ฤดูกาลแห่งความอร่อย.."
บรรยากาศภายในร้านถูกตกแต่งให้ความรู้สึกเสมือนกับมีหิมะปกคลุมขาวโพลนทั่วทั้งร้าน
ทั้งยังมีเมนูที่สร้างสรรค์ขึ้นพิเศษเฉพาะช่วงฤดูกาลนี้เท่านั้น อาทิ
"ปลาบุรีสมุนไพร ซาชิมิ" จากปลาบุรีที่ถูกเลี้ยงด้วยสมุนไพร 4 ชนิด ได้แก่ ขิง
ออริกาโน ชินนามอน และลูกจันทน์ ทำให้ปลาบุรีสมุนไพรให้รสสัมผัสที่นุ่มลิ้น
แตกต่างจากปลาชนิดอื่นๆ โดยสิ้นเชิง, "อุด้ง"
เมนูพื้นบ้านที่ขาดไม่ได้ในช่วงฤดูกาลนี้ เหตุเพราะเป็นเมนูที่แฝงด้วยความอบอุ่น
และความสนุกสนาน ยามต้องลิ้น และเมนูอื่นๆ อีกกว่า 20 เมนู
รอให้คุณมาเปิดประสบการณ์ดีๆ ร่วมกัน ที่โออิชิ ภัตตาคารบุฟเฟ่ต์ญี่ปุ่น และโออิชิ
เอ๊กซ์เพรส ทุกสาขา เฉพาะเหมันตฤดู มกราคม กุมภาพันธ์ และมีนาคม 2551
เท่านั้น..

สอบถามเพิ่มเติม และสำรองที่นั่งทุกสาขาล่วงหน้า ที่ โออิชิ คอลล์ เซ็นเตอร์ 02
712 3456

เช้านี้ฟังวิทยุอยู่ราวๆ 2 นาที สะดุดหูกับสปอตโฆษณาของร้านอาหารญี่ปุ่นชื่อดังกระฉ่อน "โออิชิ"
ตอนนี้ร้านเค้ามีโปรโมชั่นใหม่นะ ถ้ายังไม่ได้อ่านข้อความข้างบนจะสรุปใจความให้ฟัง

โออิชิเค้าจัดเมนูพิเศษต้อนรับฤดูหนาวให้เราได้ไปลิ้มลองกินกัน
โดยจะเป็นอาหารที่กินเพื่อให้ความอบอุ่นแก่ร่างกาย ให้พร้อมเผชิญลมหนาว
จะได้รู้ว่าคนญี่ปุ่นจริงๆเค้ากินอะไรให้มีชีวิตรอดในฤดูอันหนาวเหน็บ

ขอสรุปสาขาของโออิชิให้รู้ไว้ด้วยละกัน เผื่อใครอยากไปกิน:
ทองหล่อ / พหลโยธิน / สาทร / จัสโก้รัชดา / ซีคอนสแควร์ / เมเจอร์บางแค / เมเจอร์ปิ่นเกล้า
ฟิวเจอร์ปาร์ครังสิต / เซ็นทรัลทาวน์ รัตนาธิเบศร์ / ไอทีสแควร์หลักสี่ / โลตัสลพบุรี / อินเด็กซ์ภูเก็ต

... คนคิดโปรโมชั่นคิดว่าสาขาไหนหนาวกันนะ??

แหล่งข้อมูล: http://www.oishigroup.com/
ความจริง: วัตถุดิบเหล่านั้นราคาถูกในช่วงนี้

Friday, January 4, 2008

The Lord of the Debt


[image by: Daveybot @ flickr]

"Need to have or Nice to have?" -- แฟนเราพูดประโยคที่มีคนพูดให้ฟังมาอีกที
เป็นประโยคเตือนสติที่ดีก่อนที่จะตัดสินใจจ่ายเงินทำอะไรในยุคที่ผู้คนจำนวนมากมีหนี้ท่วมหัว
มีบริการกู้ยืม-สินเชื่อ-เครดิต หรือชื่ออะไรๆก็ตามออกมาเยอะมาก แต่ใจความของมันก็คือ"หนี้"
มันคือการใช้เงินที่เราไม่ได้มีอยู่ไปก่อน เพื่อความต้องการเพียงชั่วขณะนั้น ก่อนที่จะไปขวนขวายหาทางจ่ายภายหลัง
และเกือบจะแน่นอนว่าถ้าตอนนี้ไม่มีปัญญาจ่าย การจะหาเงินมาจ่ายทีหลังนั้นแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย

เราเคยได้ดูรายการข่าวเกี่ยวกับกลุ่มผู้ติดหนี้บัตรเครดิตและไม่สามารถหาเงินมาจ่ายได้
ลักษณะเหมือนกันของคนเหล่านี้คือขาดความยับยั้งใจ ขาดการไตร่ตรองก่อนตัดสินใจซื้อของใดๆ
สิ่งที่ตามมาก็คือไม่รู้ตัวว่าเป็นหนี้ และไม่ยอมรับสภาความเป็นลูกหนี้นั้น
รับไม่ได้ที่โดนเจ้าหนี้โทรมาทวงเงิน ทั้งกับตัวเอง คนในครอบครัว หรือที่ทำงาน
ถึงขนาดมีการร้องเรียนหน่วยงานต่างๆ และจะฟ้องร้องเจ้าหนี้ว่าไม่มีสิทธิ์มาทวงแบบนั้น ... ดีมั้ยล่ะ

จะโทษสังคม สื่อ หรือกระแสทุนนิยมอะไรก็ช่าง ความจริงคือ เมื่อเราไม่มีเงินก็ไม่ควรใช้
เพราะว่าเกือบทุกคนย่อมคิดว่าเดี๋ยวก็หาทางมาจ่ายคืนได้ -- คำว่า "จ่ายคืน" นั้นแหละที่สำคัญมาก
เมื่อไหร่ที่ต้องจ่ายคืน นั่นแปลว่าตอนนี้ไม่มีเงิน และควรยอมรับว่าเมื่อเงินไม่เพียงพอก็ไม่ควรใช้

เคยมีกระทู้คุยกันเรื่องเกม ไปๆมาๆก็มีคนถามว่ามีกี่คนที่ซื้อเกมของจริงกันบ้าง
เดาไม่ยากว่าคนซื้อของปลอมมากกว่าอยู่แล้ว แต่ว่ามีคนที่ซื้อของปลอมที่ออกมาด่าสินค้าของจริงนี่สิ
เขาบอกว่าเงินเดือน 8,000-9,000 จะให้ซื้อเกมราคา 500-600 เดือนละ 2-3 เกมได้ยังไง
ตรงนี้แหละที่เป็นปัญหา คนที่เงินเดือนเท่านั้นกลับไม่รู้ตัวว่าเป็นกลุ่มผู้บริโภคที่ไม่สมควรซื้อเกมมาเล่นด้วยซ้ำ
มันไม่ใช่สินค้าที่ target มาที่ตัวเขาแต่แรก และการเอาเงินเดือนมาอ้างเป็นเหตุผลซื้อของปลอมก็ไม่ใช่ที่
ผู้บริโภคที่มีพฤติกรรมเหมาะสมไม่มีใครเค้าซื้อเกมเดือนละ 10 เกม หรือเพลงเดือนละ 100 อัลบั้มหรอก
แต่เค้าต้องรู้จักหาข้อมูล-คัด-เลือก ก่อนที่จะตัดสินใจจ่ายเงิน ต้องรู้ตัวว่าของนั้นคุ้มค่าและจำเป็นแค่ไหน

พูดเรื่องหนี้ เรื่องรายได้ แล้วก็อยากพูดเรื่องเงินเก็บหรือการออมสักหน่อย พอดีไปอยู่ในวงสนทนาเรื่องนี้มา
เค้าบอกว่าคนสมัยนี้ (โดยเฉพาะผู้หญิง) ดูเหมือนจะสนใจเรื่องการออมมากขึ้น แต่กลับมีการออมจริงน้อย
ปัจจัยน่าจะมีเรื่องความหลากหลายของหนี้ที่มีให้เลือกเป็นส่วนกระกอบสำคัญ และที่เหลือก็เป็นเรื่องขาดการวางแผน
มีคนบอกให้ลองคิดดูเล่นๆ: ถ้าให้เก็บเงินเดือนละ 20,000 คิดว่าเยอะมั้ย? (เยอะ - เงินเดือนเราทำไม่ได้)
แต่การเก็บเดือนละ 20,000 เนี่ยจะทำให้ปีนึงมีเงินเก็บ 240,000 ถ้าเก็บเท่านี้สิบปีจะได้ 2,400,000
บวกเพิ่มโบนัส และเงินเดือนที่เพิ่มขึ้นอาจจะทำให้มีเงินใกล้ๆ 3,500,000 ได้ -- ถามว่าเยอะมั้ย: ไม่เลย!
การที่ทำงานไปอีกสิบปีเก็บเงินได้ 3.5 ล้านนี่มันออกจะน้อยด้วยซ้ำ ยังไม่สามารถซื้อบ้านในยุคปัจจุบันได้เลย
แบบนี้เรายังต้องทำงานไปอีกกี่ปีกว่าเราจะมีเงินเก็บพอที่จะเลิกทำงานได้?? คงนานจนไม่อยากนึกเลยล่ะ

ถ้าแบบนี้ก็ควรจะต้องมาคิดกันก่อนว่าอยากทำงานจนถึงอายุเท่าไหร่ และค่าใช้จ่ายในช่วงชีวิตที่เหลือต้องใช้เท่าไหร่
แล้วก็คิดย้อนกลับมาว่าต้องมีเงินเก็บในแต่ละช่วงเป็นเท่าไหร่ และสำคัญที่สุดคือทำยังไงถึงจะมีเงินเก็บให้ได้เท่านั้น
จริงๆการออมรูปแบบต่างๆมันมีข้อดี/เสียต่างกันไป บางอันลดหย่อนภาษีได้ บางอันให้ความคุ้มครองสุขภาพ
แต่ทุกวันนี้คนที่รู้ข้อมูลทั้งหมดและให้คำแนะนำด้านการออมและด้านการบริหารเงินส่วนตัวได้นั้นมีน้อยจริงๆ
คนที่รู้(มากบ้างน้อยบ้าง) ก็ทำงานให้กับสถาบันการเงิน และแนะนำแต่ product การออมที่บริษัทตัวเองมี

ข้อคิดที่ได้จากการเขียน entry วันนี้คือ:
- ถามตัวเองว่าสิ่งที่เราทำกันอยู่ทุกวันนี้มันจะทำให้เรามีชีวิตแบบที่เราต้องการได้จริงหรือไม่
- คิดว่าทำยังไงถึงจะทำให้เงินที่เราพอจะออมได้ในแต่ละเดือนงอกเงยไปเท่าที่เราต้องการจริงๆได้
- น่าจะมีบริการให้คำปรึกษาด้าน personal wealth management แบบเป็นกลาง

จบเท่านี้ครับ

Wednesday, December 26, 2007

Fitting Frenzy


[image from screenshot of "Fashion Fits!" by FunnyPCGames.com]

เมื่อวันเสาร์ไปห้างใหญ่ใจกลางเมืองมา มีร้านลดราคามากมาย
มีร้านเสื้อร้านหนึ่งคนเลือกกันเยอะเลย แฟนเราก็ไปเลือกดูด้วย
พอมาถึงตอนที่เลือกได้แล้วจะลองนี่ล่ะ ที่ต้องไปเจอกับแถวยาวเหยียด
ระหว่างรอเราก็เลยนึกสงสัยขึ้นมาว่า นี่มันน่าจะเป็นเรื่องปกติของฤดูการจับจ่าย
แต่ว่าเวลาเขาออกแบบร้านเสื้อเนี่ย เขาก็น่าจะคิดไว้สิว่าห้องลองเพียงพอรึเปล่า

เราเข้าใจว่าค่าเช่าที่ในห้างนั้นต้องแพง จำเป็นต้องมีพื้นที่สำหรับแสดงและจัดเก็บสินค้าเป็นหลัก
แต่ว่าการลองเสื้อนั้นก็เป็นสาระสำคัญในการตัดสินใจจ่ายเงินนี่นะ
ถ้าหากไม่ได้ลอง คงไม่สามารถตัดสินใจซื้อเสื้อผ้าได้ง่ายๆแน่
(ถ้าคิดว่าไม่จริง ป่านนี้ร้านเสื้อออนไลน์คงรวยกันหมดแล้ว)
ถ้างั้นทำยังไงถึงจะมีทางออกที่พอดีสำหรับทุกฝ่าย

ปัญหานี้นักออกแบบร้านค้าปลีกหรือตัวบริษัทเสื้อผ้าพบนี้น่าจะพบเจอบ่อยๆ
ไม่สามารถจัดสรรพื้นที่เพื่อให้ใช้สอยได้ครบเพียงพอตามต้องการ
แต่ว่าของที่มักจะถูกมองข้ามไปในขั้นตอนการออกแบบหรือวางแผนคือการใช้เทคโนโลยีเข้าช่วย
เอาเท่าที่นึกออกแบบเร็วๆเราว่าน่าจะมีทางแก้ได้โดยวิธีคิดสองหลักด้วยกัน
1. อะไรจะทำให้ลูกค้าลองเสื้อได้ในเวลาที่ลดลง เพื่อลดความยาวของแถวที่รอ
2. อะไรจะทำให้สินค้าถูกแสดงได้ครบในพื้นที่ที่ลดน้อยลง (เพื่อเพิ่มห้องลอง)

ตอบทีละข้อโดยเริ่มจาก 1 ก่อนเลย - -
ลองนึกถึงกระจกอันหนึ่งที่สะท้อนตัวคุณออกมา ... แต่ว่าสวมใส่ชุดที่คุณต้องการลองแทนชุดจริง!
(ไม่ได้หมายความว่าไปเปลี่ยนชุดมาแล้ว แล้วเดินมาส่องกระจกนะ)
คุณสามารถเลือกลองชุดที่ต้องการใส่ได้โดยที่ไม่ต้องเปลี่ยนชุดจริงๆ
และคุณสามารถเห็นตัวคุณเองในอิริยาบถต่างๆได้ตามที่คุณแสดงด้วย (ไม่ใช่แค่ทาบชุด)
นี่ไม่ใช่เพ้อเจ้อ แต่คือเรื่องที่เกิดขึ้นจริง โดยของที่เรียกกันว่า "Virtual Mirror"*
จริงๆแล้วคุณไม่ได้ส่องกระจกของจริงที่ฉาบด้วยเวทมนตร์อะไรทั้งนั้น
คุณจะเห็นตัวคุณเองผ่านเทคโนโลยี real-time simulation ที่มีการคำนวณรูปร่างคุณ
และแสดงออกมาโดยการประมวนผลรูปร่างของคุณในเสื้อผ้าแบบที่ต้องการลองจริงๆ
ด้วยนวัตกรรมนี้ ลูกค้าสามารถที่จะ"ลอง"เสื้อที่ต้องการว่าเข้ากับตัวเองไหมก่อนที่จะลองว่าพอดีรึเปล่า
และน่าจะทำให้เวลาในการลองเสื้อของลูกค้าลดลงได้อย่างเห็นได้ชัด
* บ.Toshiba ร่วมมือกับ บจก. Digital Fashion ร่วมมือกันพัฒนาระบบขึ้นมา [link]

และข้อ 2 คือลดพื้นที่จัดแสดง - -
ถ้าเห็นว่าข้อแรกยังเป็นไปได้จริง ข้อนี้ยิ่งเป็นไปได้ง่ายใหญ่เลย
มันมีของที่เรียกว่า virtual catalog อยู่ (เอาไว้ใช้คู่กับ virtual mirror ก็ได้)
สิ่งนี้มันจะทำให้คุณเลือกแบบเสื้อผ้าผ่านจอคอมพิวเตอร์ทุกรูปแบบได้
พอเลือกแบบที่ต้องการได้แล้วค่อยแจ้งพนักงานให้หยิบแบบที่ต้องการมาให้ก็ได้
เท่านี้ก็สามารถลดพื้นที่ที่จัดแสดงลงไปได้ไม่น้อยแน่ๆ

หยิบยกเรื่องนี้มาพูดถึงเพราะว่าร้านเสื้อผ้าเป็นธุรกิจแบบดั้งเดิมมากๆ
และขั้นตอนในการดำเนินธุรกิจเปลี่ยนไปน้อยมากๆในช่วง 10-20 ปีที่ผ่านมา
ในยุคที่ธุรกิจในหลายๆอุตสาหกรรมเปลี่ยนแปลงไปอย่างมากเพราะความเปลี่ยนแปลงทางสภาพแวดล้อม
ทั้งพฤติกรรมผู้บริโภค ทั้งข้อบังคับทางเศรษฐกิจ กฎหมาย สิ่งแวดล้อม และเทคโนโลยี
ผู้ประกอบการควรต้องหันมามองตนเอง และสิ่งที่ตนเองสามารถปรับปรุงได้ เพื่อพัฒนาโอกาสของตนเอง

อีกอย่างหนึ่งคือ เราชาวไทยต้องปรับเปลี่ยนทัศนคติเรื่องเทคโนโลยีและนวัตกรรม
คนส่วนมากนึกว่ามันเป็นเรื่องไกลตัว เรื่องของต่างชาติ เรื่องล้ำยุคและยากที่จะเข้าใจ
แต่จริงๆทุกคนสามารถเข้าถึงมันได้ เพราะมันมีอยู่เพื่อประโยชน์ของเราทุกคน
เราต้องมองเทคโนโลยีว่าเป็นเรื่องที่เราจัดการเอามาใช้เองได้โดยที่ไม่ต้องพึ่งพาใคร
ไม่ใช่คิดว่าชาวต่างชาติค่าตัวแพงเก่งกว่าเรา และไม่ใช่คิดว่าของแพงคือของดี


Note:
- วันถัดมาก็ไปเลือกตั้ง ต่อแถวยาวเหยียดอีก นี่ก็เป็นอีกเรื่องที่ไม่ปรับปรุง process เป็นระยะเวลาสิบๆปีแล้ว ... เราเห็นคนต่อแถวหลังเรายืนรอลงคะแนนราว 20 นาที (เราก็รอนานเท่านั้นด้วย) จนไปถึงเจ้าหน้าที่ แต่ว่าเค้าลืมลำดับเลขที่ของตนเองไปแล้ว เจ้าหน้าที่น่ารักมาก ชี้ไปที่กระดานท้ายแถวว่าให้ไปดูตรงโน้นและต่อแถวมาใหม่ซะนะ ... ไม่มีวิธีดีกว่านี้แล้วจริงๆหรอ?
- เรื่อง virtual mirror ข้างบนมีการใช้ในร้านเสื้อผ้าจริงๆแล้วด้วยนะ แต่ว่าจำไม่ได้จริงๆว่าที่ไหน (หา web ไม่เจอ)

Monday, November 26, 2007

Digital Property


[image by: blarygake @ flickr]

Warning: Long and Serious Entry - บทความวันนี้ยาวและจริงจังเป็นพิเศษ หากต้องการความบันเทิงกรุณาอ่านบทความอื่นๆแทน

"Life finds a way"

นี่คือประโยคจาก Jurassic Park และสามารถใช้ได้จริงเสมอตราบที่ยังมีสิ่งมีชีวิตอยู่
เราคิดว่าสิ่งมีชีวิตทุกอย่างอยู่ด้วยปรัชญาของประโยคนี้เหมือนกันหมด
แต่ว่าวันนี้ไม่ได้จะเขียนเรื่องธรรมชาติหรือเรื่องชีวิตหรอก
ตรงข้ามด้วยซ้ำ จะมาเขียนเรื่องของที่ไม่มีชีวิต และไม่มีกระทั่งตัวตน
ต่อยอดบทความของ phir เรื่องทรัพย์สินทางปัญญา (Intellectual Property : IP)

แต่เพราะว่าเราไม่ได้เรียนด้านกฎหมายมาเหมือน phir เราก็จะขอเขียนในแง่มุมที่เราถนัดกว่าแทน
เราอยากจะเสนอมุมมองเกี่ยวกับผลงานสร้างสรรค์ในเชิงบริหารจัดการ (Management) แทน

เรื่องของการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา ว่าด้วยเทคโนโลยีที่มันก้าวหน้าไปมากทำให้ผู้ที่จะทำการละเมิดนั้นสามารถทำได้ง่ายขึ้นเรื่อยๆ ผู้ที่เสียประโยชน์โดยตรงก็คือบริษัทหรือบุคคลที่เป็นผู้สร้างสรรค์ความคิดนั้นขึ้นมา มาตรการตอบโต้หรือป้องกันตนของกลุ่มผู้เสียประโยชน์เหล่านี้ที่จะใช้กันส่วนใหญ่จะมีอยู่สองทางด้วยกันคือ 1.ใช้ข้อได้เปรียบทางกฎหมายของการเป็นเจ้าของสิทธิ์ทางความคิดนั้นเพื่อป้องกันหรือเอาผิดจากผู้ที่มาละเมิด หรือ 2.พัฒนาสินค้าหรือบริการของตัวเองให้ถูกลอกเลียนให้ยากขึ้น เช่นทำให้มันซับซ้อนขึ้นหรือเอาเทคโนโลยีบางอย่างเข้าไปเป็นส่วนประกอบไม่ให้ถูกลอกเลียนหรือทำซ้ำ

ซึ่งทั้งสองวิธีที่ว่านี้ก็ฟังดูสมเหตุสมผลดี เมื่อคิดจากฐานะผู้ผลิตว่าเราเป็นผู้ลำบากพัฒนาความคิดขึ้นมาและมีต้นทุนในการผลักดันความคิดนั้นออกมาสู่ตลาด (Commercialization) มันมีทั้งค่าจ้างผู้วิจัยพัฒนา ค่าวัตถุดิบหรือวัสดุสิ้นเปลืองต่างๆ รวมไปถึงค่าใช้จ่ายในการดำเนินการ และการโฆษณาประชาสัมพันธ์อีกที่เราจะต้องหารายได้มาชดเชย เราย่อมไม่ต้องการให้บุคคลอื่นมาฉกฉวยโอกาสแย่งรายได้ไปจากเราง่ายๆเพียงแค่ทำซ้ำหรือคัดลอกความคิดของเราไปขายในราคาที่ถูกกว่ามากโดยอาจจะมีเพียงแค่ต้นทุนการผลิตเท่านั้น ดังนั้นเราจึงต้องหาทางปกป้องตัวเองจากความเสี่ยงที่จะถูกฉกฉวยโอกาสแบบนี้โดยการใช้ กฎหมาย หรือ เทคโนโลยี ดังกล่าว

เราเห็นด้วยว่าผู้ที่เป็นเจ้าของความคิดย่อมสมควรได้รับการปกป้อง ถ้าหากสินค้านั้นมันเป็นสิ่งของจับต้องได้ (Physical Goods) เช่นกระเป๋าแบรนด์เนมจากยุโรปที่มักถูกผู้ผลิตจากจีนหรือเกาหลีลอกเลียนอยู่เสมอ โดยเฉพาะปัจจุบันนี้ผู้ผลิตของเลียนแบบเหล่านี้สามารถไปหาวัตถุดิบและผู้ผลิตเดียวกับเจ้าของ brand ได้จนทำให้คุณภาพนั้นเรียกได้ว่าแทบจะเหมือนกันเลยทีเดียว แต่ผู้ลอกเลียนจากจีนและเกาหลีนี้ไม่ต้องเสียค่าจ้างนักออกแบบ และค่าใช้จ่ายในการทำ branding เลยแม้แต่นิดเดียว แค่ผลิตออกมาก็มีคนทำการตลาดให้อยู่แล้ว รอแค่ขายอย่างเดียวในราคาที่ถูกกว่ามาก กรณีนี้เราคิดว่าเจ้าของแบรนด์ควรจะได้รับการปกป้อง เพราะว่ากระเป๋าของจริงที่ถูกผลิตขึ้นมาหากไม่สามารถขายได้ก็จะทำให้บริษัทเกิดการขาดทุน (และยังเสียทรัพยากรธรรมชาติไปอีกด้วย)

แต่ว่าในกรณีของสินค้าที่เป็น digital นั้นสภาพแวดล้อมของธุรกิจมันต่างออกไป เนื่องจากต้นทุนในการผลิตเพิ่มต่อหน่วยนั้นแทบจะไม่มีเลย (มีค่าไฟ ค่าเสื่อมของอุปกรณ์ และอาจจะมีค่าสื่อในการจัดเก็บข้อมูล) กลับกัน หากยิ่งผลิต (จริงๆควรใช้คำว่าคัดลอกและกระจาย) ได้มากขึ้นกลับยิ่งทำให้ต้นทุนต่อหน่วยลดต่ำลง (เช่นค่าจ้างพนักงาน นักวิจัย ค่าโฆษณา ค่าเช่าสำนักงาน) ซึ่งสินค้าที่เราจะนับรวมเป็น digital นั้นไม่ใช่แค่สินค้าที่เป็น computer software เท่านั้น แต่รวมไปถึงสื่อชนิดต่างๆที่สามารถแปลงให้เป็น digital format ได้เช่น ภาพถ่าย ภาพยนตร์ ดนตรี หรือหนังสือ

สินค้าเหล่านี้ผู้ผลิตจะรู้สึกว่ามีความเสี่ยงต่อการถูกลอกเลียนมากกว่าสินค้าชนิดอื่นๆ เพราะว่าเมื่อเป็น digital แล้วการลอกเลียนนั้นก็คือการ copy บนคอมพิวเตอร์นั่นแหละ ทำได้ง่ายแค่ไหน? คนที่เข้ามา blog นี้ได้คงทำกันเป็นทุกคน และเพราะว่ามันง่ายขนาดนั้นผู้ผลิตจึงต้องดิ้นรนหาทางป้องกันตนเองจากภัยคุกคามนี้ทั้งจากการใช้กฎหมายคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญา (IP Law) และเทคโนโลยีเพื่อป้องกันการถูก copy รูปแบบต่างๆ ซึ่งอย่างที่บอกว่าคิดในแง่ผู้ผลิตนั้น การป้องกันตนเองก็อาจจะมองว่าถูกต้องแล้ว แต่ว่าหากมองในแง่การพัฒนาธุรกิจแล้วอาจถือได้ว่าเป็นการฝืนกลไกของตลาดแทนก็ได้

มีกลุ่มคนไม่น้อย (ส่วนใหญ่จะเป็น geek และ computer nerd) ที่เชื่อว่า “Bits are made to be copied” นั่นหมายความว่าการที่เรามีการบันทึกข้อมูลลงคอมพิวเตอร์เป็น digital format ลงบน medium ต่างๆนั้น เราทำเพื่อลดต้นทุนของการคัดลอกทั้งในแง่ของเงิน เวลา ทรัพยากร และความพยายาม ดังนั้นหากเราผลิตสินค้าที่เป็น digital ออกมาแต่ว่าห้ามไม่ให้คัดลอกแล้ว นั่นไม่เท่ากับขัดวัตถุประสงค์ของตัวเทคโนโลยีเองหรอกหรือ

เราไม่เถียงว่าคนสร้างสรรค์ผลงานใดๆขึ้นมาควรจะได้รับผลตอบแทนเต็มที่เมื่อผลิตชิ้นงานออกมาสู่ตลาด แต่ว่าโครงสร้างรายได้หรือ Revenue Model ของงานสร้างสรรค์มันไม่ได้จำกัดอยู่ที่การขายต่อหน่วย (per unit sales) เท่านั้น มันยังมีหนทางอีกมากที่จะสร้างรายได้โดยการใช้ประโยชน์จากข้อดีจาก digital distribution นี้อีก

จะขอเจาะไปที่อุตสาหกรรมดนตรีโดยเฉพาะ เนื่องจากมีความรู้ความเข้าใจอยู่บ้าง และกำลังทำรายงานเรื่องนี้พอดี แน่นอนว่าการเข้ามาของ digital distribution รูปแบบต่างๆในวงการเพลง ถูกกฎหมายบ้าง ละเมิดลิขสิทธิ์บ้าง ทั้ง Full-Song Download, File-Sharing, Music Streaming, Online Broadcasting และแน่นอนรวมถึงแผ่นผี แผ่นMP3 มันไปกระทบยอดขายซึ่งเป็นรายได้ทางตรงแบบจังๆ การที่เราหาเพลงฟังฟรีได้มันย่อมทำให้ยอดขายสินค้าลิขสิทธิ์ที่ต้นทุนสูงกว่าและราคาสูงกว่าลดลง แต่บริษัทในอุตสาหกรรมนี้เคยมองรึเปล่าว่าเพราะอะไรคนถึงไม่ซื้อ บางทีเราได้รับของ sample ฟรีที่เค้าแจกๆ เราก็ยังกลับไปซื้ออีกทั้งๆที่ไม่มีใครบังคับ อาจจะเถียงว่าเพราะมันเป็นสินค้า physical ใช้แล้วหมดไป แต่นั่นไม่ใช่เหตุผลหลักอย่างเดียวหรอก

หลักการตลาดพื้นฐานมากๆเลยบอกไว้ว่าในการที่ผู้บริโภคจะซื้ออะไรซักอย่าง Value MUST exceed price หรือมูลค่าที่ผู้ซื้อได้รับนั้นต้องมากกว่าเงินที่จ่ายออกไป หากเราไม่ซื้ออะไรย่อมหมายความว่าเราคิดว่าคุณค่าที่เราได้รับกลับมามันไม่คุ้มค่าเงิน และเราอาจมีทางเลือกอื่นที่ตอบสนอง need เดียวกันนั้นได้ในราคาที่คุ้มค่ากว่า (mp3) ดังนั้นหากคิดว่ายอดขาย CD เป็นเครื่องวัดความสำเร็จหรือเป็นแหล่งรายได้สำคัญที่จะเสียไปไม่ได้เลย ผู้ผลิต(ค่ายเพลง)ก็ต้องหาวิธีเพิ่ม value เข้าไปในตัวสินค้าโดยตรงผ่านขั้นตอนต่างๆใน value chain ที่ทำให้เกิดมูลค่าเพิ่มขึ้นต่อสินค้าสำเร็จนั้น เช่นอาจมี exclusive privilege พิเศษสำหรับผู้ซื้อ CD ของแท้ ซึ่งเป็น value ที่เฉพาะเจ้าของสิทธิจะให้ได้เท่านั้น เช่นสิทธิในตัวศิลปิน (note: packaging อาจมี value contribution โดยตรงต่อตัวสินค้า แต่ว่าไม่ใช่ exclusive value เพราะถ้าคนทำของปลอมอยากทำให้ดีก็ทำได้เหมือนกัน)

อีกแนวทางที่ไม่ค่อยถูกยกขึ้นมาเป็นประเด็นทางออกคือการปรับ business model และ revenue model ของธุรกิจนี้แทน แหล่งรายได้ของบริษัทค่ายเพลงหลักๆนอกจากยอดขาย Tape, CD, VCD, DVD, etc. แล้วก็จะมีรายได้จากการอนุญาตให้ผู้อื่นได้สิทธิในการเผยแพร่ในเชิงพานิชย์ (Publisher's Rights), การบริหารงานจ้างศิลปิน (Artist Management), การจัดกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับศิลปิน (Concerts & Activities), การออกสินค้าต่างๆที่เกี่ยวกับศิลปิน (Merchandising) และหากไม่นับการขาย CD แล้ว ช่องทางรายได้อื่นแทบจะไม่ได้รับผลกระทบในเชิงลบจาก digital distribution เลยด้วยซ้ำ กลับกัน บางช่องทางสามารถใช้ digital distribution ช่วยส่งเสริมได้ซะอีก หากเราไม่คิดเพียงว่าผู้ที่จ่ายเงินให้กับเราคือผู้ที่ฟังเพลงเท่านั้น

จริงๆ value ของเพลงต่อคนที่เป็นคนฟังเพลงทั่วๆไปนั้นมีไม่มากเท่าไหร่นักหรอก มันเป็นแค่ของที่เราอยากได้อยากฟังเมื่อต้องการความผ่อนคลายหรือความสุนทรีย์ value มันอาจจะตีเป็นตัวเลขได้ไม่ชัดเจนแต่ที่แน่ๆเพลงหนึ่งเพลงไม่ใช่สินค้าชนิดเดียวที่จะตอบสนอง need นี้ได้ เพลงอื่นก็สามารถทำได้ และสินค้าอย่างอื่นก็อาจจะทำได้เช่นกัน ดังนั้นหากจะมุ่งหวังขายเพลงให้กับคนฟังเพลงอาจจะเป็นเรื่องยาก แต่ว่าเพลงๆเดียวกันนี้อาจถูกมองโดยคนกลุ่มอื่นๆว่ามี value อื่นที่มากกว่านั้นไปอีก เช่นการนำมาใช้ประกอบโฆษณาหรือละคร หรือการนำศิลปินไปแสดงเพลงนั้นๆในร้านอาหาร ซึ่ง value มันจะมากขึ้นเมื่อเพลงนี้ได้รับความนิยมมากขึ้น และความนิยมจะมากได้ก็ต่อเมื่อมันเข้าถึงคนกลุมใหญ่ สุดท้ายการเข้าถึงคนกลุ่มใหญ่ได้โดยไม่ต้องใช้ต้นทุนสูงมีวิธีอะไรบ้างก็ลองคิดดูเอาเองละกัน

วิธีการหาประโยชน์ในสภาพแวดล้อมของ digital distribution ยังมีอีกมาก แต่ว่าหากเราไปขัดขวางผู้บริโภคไม่ให้ได้รับประโยชน์จากมันไม่ว่าจะโดยการใช้เทคโนโลยีหรือกฎหมายเข้าว่า มันก็เท่ากับไปขัดขวางกลไกการพัฒนาตลาด เราไม่ควรไปริดรอนสิทธิของผู้บริโภค(แม้สิทธินั้นอาจจะมิชอบก็ตาม)โดยไม่มีทางออกที่ดีกว่าหรือเทียบเท่ากับสิทธิปัจจุบันของพวกเขา และไม่ว่าจะห้ามยังไง พวกเขาก็ต้องหาทางเอาสิทธิเก่านั้นกลับมาจนได้ กลุ่มผู้ประกอบการต่างหากที่ต้องหาทางปรับตัวเพื่ออยู่ให้ได้ในสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงไป

อย่างที่บอกไว้ตอนเปิดประเด็นครับ ... Life finds a way

Note:
- ถ้าคิดว่าเราเขียนยาวหรือเครียดไปก็ขอโทษด้วย แต่จริงๆยังยาวและเครียดกว่านี้ได้อีกมาก

Wednesday, October 24, 2007

Rebranding



วันที่ 24 ตุลาคม 2550 - บริษัท Total Access Communication (PLC)
หรือที่รู้จักกันดีกว่าในนามของ DTAC ได้มีการแถลงข่าวการปรับภาพลักษณ์บริษัท
ถ้าพูดภาษานักการตลาด(ซึ่งเราไม่ได้เป็น) ก็คือการ rebrand นั่นเอง

สาระสำคัญของการ rebrand ครั้งนี้คือ การเป็นองค์กรที่สร้างความรู้สึกดีๆ
ทั้งตัวบริษัท พนักงาน และที่สำคัญคือสินค้าและบริการจะต้องสร้างความรู้สึกที่ดีให้กับลูกค้า
พร้อมๆกับลบความรู้สึกแย่ใดๆ ความยุ่งยาก ความไม่สะดวกที่มีก่อนหน้าออกไปจากภาพลักษณ์

ที่มาเล่าให้ฟังไม่ได้จะมาช่วยใครขายของอะไรทั้งนั้น
แต่อยากยกตัวอย่างขององค์กรที่ให้ความสำคัญกับความรู้สึกของผู้บริโภค (consumer-oriented)
และที่สำคัญเท่าๆกันคือการให้ความสำคัญกับบุคลากรภายในองค์กร

เรารู้มาว่า DTAC เน้นการสร้างวัฒนธรรมองค์กรและทัศนคติในการทำงานที่ดีของพนักงาน
ด้วยหลักการและเหตุผลที่ผู้บริหารทุกคนย้ำนักหนาว่า


"... คู่แข่งของเรามีเหนือกว่าแทบทุกอย่างโดยเฉพาะเงินลงทุน
ซึ่งส่งผลให้เขามีเทคโนโลยีที่ดีกว่า มีสื่อโฆษณามากกว่า
อะไรที่เราสามารถลงทุนสร้างขึ้นมาได้ เขาก็ใช้เงินซื้อมาได้เช่นกัน
แต่มีอยู่อย่างที่เขามีไม่เหมือนเราคือพนักงาน
หากเราสามารถทำให้พนักงานทุกคนร่วมแรงร่วมใจทำเพื่อบริษัทได้
นั่นคือสิ่งที่เขาไม่สามารถใช้เงินซื้อหามาได้ ..."

"... ถ้าหากเราเอาเงินไปแข่งกับเงินเราก็มีแต่แพ้ เพราะเงินเขาเยอะกว่าเรามาก
ทางเดียวที่เราจะแข่งกับเขาได้คือเราใช้เท้าแข่งกับเงิน
เราต้องเดินเข้าหาลูกค้าให้มากกว่าเขา เราต้องลงแรงให้มากกว่าเขา
ยิ่งเขาใช้เงินเรายิ่งต้องออกเดิน ..."

ฟังดูตลกมั้ย? แล้วรู้สึกว่าตลกกว่าอีกมั้ยที่พนักงานแทบทุกคนเชื่อและยินดีที่จะทำตาม
เพราะ DTAC นั้นกระตุ้นให้พนักงานรู้สึกว่าต้องท้าทาย (challenge) อยู่เสมอ
ทำให้รู้สึกว่าคำพูดของลูกค้าทุกคนคือเรื่องสำคัญที่ต้องรับฟังแล้วนำมาปรับปรุง
สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่แค่คำพูดสวยหรูหรือ cliche ที่แค่พูดออกไปเวลาแถลงข่าวเท่านั้น
แต่มันเป็นสิ่งที่พวกเค้าพูดออกมาจากใจจริงๆ



ให้ลองดู Desktop Wallpaper สำหรับพนักงานเล่นๆ

© All rights reserved by Total Access Communication (PLC)


Note:
- ย้ำอีกทีว่าไม่ได้มาขายของจริงๆ แค่อยากเล่าให้ฟังถึงเรื่องที่ได้รู้มา
- ภาพที่ใช้ประกอบวันนี้ © All rights reserved นะครับ
- มีภาพมาให้ดูเพิ่ม เป็นความเปลี่ยนแปลงเล็กๆน้อยๆที่อาคารชัยซึ่งเป็นที่ตั้งของ DTAC


" feeling good is not just an emotion;
it's a philosophy "

Tuesday, October 23, 2007

Short-Term Plan

ลองคิดเล่นๆดูว่าต้องการจะทำอะไรในช่วงนี้ แต่เอาแบบเป็นไปได้จริงๆนะ
ถ้าหากจะเริ่มทำอะไรใหม่ๆ หรือเลิกทำอะไรเดิมๆ เราอยากจะทำอะไรบ้าง
มาดูกัน

1. เขียน blog เป็นอาชีพ (หมายถึงว่าอยากได้รายได้จากการเขียน blog)
จะทำยังไง? - อาจจะต้องเริ่มจากการหาthemeในการเขียนที่เหมาะสม มีกลุ่มเป้าหมายผู้อ่านที่ชัดเจน อาจจะไม่ได้ทำด้วยตัวคนเดียวแต่สามารถทำแบบรวมกับคนรู้จักเป็นกลุ่มเป็นก้อนเพื่อเขียนของที่เป็นประเด็นเดียวกันหรือมีความเกี่ยวโยงกันหรือเพื่อการโต้แย้งกัน รายได้ที่คาดว่าจะได้รับอาจจะไม่มากไม่มายอะไร อาจจะได้รับการสนับสนุน(endorsement)จากสินค้าประเภทต่างๆบ้าง หรือง่อยๆแบบคิดอะไรไม่ออกก็ขายbannerละกัน
เป็นไปได้มากแค่ไหน? - 7/10 จะเริ่มเขียน blog นั้นเริ่มได้ตลอดเวลาอยู่แล้ว แต่จะเขียนในเรื่องที่มีคนสนใจอ่านและหาช่องทางโปรโมทได้นั้นอาจจะทำให้ยากขึ้นมาอีกหน่อย แต่ที่ยากจริงๆคือมี traffic เข้ามาที่ blog มากพอจนจะได้ endorsement นี่สิ ยากแน่ๆ

2. เปิดร้านเสื้อแบบมี theme ไม่ใหญ่โตมาก
จะทำยังไง? - หา theme ในการขายเสื้อที่ไม่เคยเห็นคนทำ (อย่างน้อยก็ในประเทศนี้) ยกตัวอย่างเช่น UTStore ที่ญี่ปุ่นที่ เป็นร้านขายเสื้อที่ให้อารมณ์ร้านสะดวกซื้อบวกกับรถไฟใต้ดิน คือไปเดินเลือกแล้วหยอดเหรียญเพื่อซื้อเสื้อตามแบบจากตู้อัตโนมัติในร้านได้เลย
เป็นไปได้มากแค่ไหน? - 7/10 Theme ในหัวก็พอมีอยู่บ้าง เรื่อง supplier และการผลิตก็พอจะมีที่พึ่งอยู่ ที่ยากจริงๆคงเป็นเรื่องทำเล และก็ต้นทุนละมั้ง

3. เป็นครูบาอาจารย์
จะทำยังไง? - อยากเป็นคนที่ให้ความรู้คนอื่นได้ แต่อยากเน้นการสอนแบบสอนให้รู้จักคิด ให้รู้จักการหาข้อมูล หัดพัฒนาความรู้ด้วยตัวเอง และจะพยายามเป็นที่ปรึกษาด้านความคิดของเด็กนักเรียนด้วย
เป็นไปได้มากแค่ไหน? - 6.5/10 อยากเป็นอาจารย์สอนระดับชั้นมัธยมหรือมหาวิทยาลัย แต่จะสอนมหา'ลัยได้คงต้องจบปริญญาโทก่อน ดังนั้นที่พอจะเป็นไปได้คือระดับมัธยม ไม่รู้เหมือนกันว่าการจะเข้าไปเป็นครูหรืออาจารย์นั้นมันยากแค่ไหน แต่อยากทำจริงๆนะ

4. ไปเที่ยวต่างประเทศ
จะทำยังไง? - เหนื่อยหน่ายกับวิวทิวทัศน์เดิมๆในประเทศ อยากไปสิงคโปร์อีกแล้ว ทั้งๆที่ไปมาหลายทีแล้วก็ยังอยากไป คงเพราะไปง่าย ถูก และสะดวกเรื่องที่พัก แต่ก็อยากไปที่อื่นๆด้วยเหมือนกัน (ตอนนี้อยากไปนิวยอร์คนะ แปลกใจตัวเองเหมือนกัน)
เป็นไปได้มากแค่ไหน? - 9.5/10 สำหรับสิงคโปร์ : 5/10 สำหรับนิวยอร์ค

5. เริ่มทำทุกอย่างที่บอกไว้ข้างบน
จะทำยังไง? - เนื่องจากติดภารกิจทั้งงานและเรียนอยู่อาจจะดูเป็นไปไม่ได้ที่จะทำทุกอย่าง แต่ถ้าตัดอะไรสักอย่างออกไปได้ละก็ .... หึๆๆ
เป็นไปได้มากแค่ไหน? - ไม่รู้จริงจริ๊งงงงง

Note:
- เขียนเสร็จแล้วมาย้อนดูก็รู้สึกว่ามีคำว่า theme เยอะจัง
- เรื่องเขียน blog กลุ่มนั้นอยากทำจริงๆนะ ใครมีไอเดีย ใครอยากทำ ลองบอกมาได้

Friday, October 19, 2007

hyü : NOT at FF#7


ด้วยความคลาดเคลื่อนบางอย่าง จึงทำให้ไม่สามารถไปแสดงตัวให้คนเห็นได้ในงาน Fat Fest ครั้งที่ 7 ตามที่ได้บอกไว้ก่อนหน้านี้
ยังไงก็ตาม อาจจะไปปรากฏตัวหรือสิงสู่ในบูธของคนอื่นในงานแทน ซึ่งยังไม่แน่นอนว่าบูธใครคนไหน
ราวๆต้นปีหน้าคงได้เจอกันจริงๆซะที

Monday, September 24, 2007

Domestic PR

The article below is taken from the column "Talk" of thesundaytimes (The Straits Times - Sunday Issue), September 16, 2007.

-----------------------------------------------------------------



Caption: MUSEUM BUFF Rosalin Montrisuksirikul,
who owns Ayuthaya - The Royal Thai Spa, feels right
at home in Singapore. Among other things, the Thai
national is ethnic Chinese and comes from a Teochew family.
Image by: ST PHOTO - WANG HUI FEN


MS ROSALIN Montrisuksirikul remembers the day she came to Singapore for a job interview vividly. It was seven years ago and she had just finished her interview at a hotel here and was unwinding with a drink at Boat Quay. She looked across the river bank and saw the statue of Sir Stamford Raffles.

'I thought to myself then, I really want to move here,' said the 37-year-old Thai, who is single.

Singapore just felt right: Her father had spent all his teenage years studying here and had picked up some local habits, like eating toast with sliced butter instead of spreading it.

'I thought that was strange, until I moved here, had kaya toast for the first time and realised, oh gosh, that's exactly how my dad eats his toast.'

She happens to share the same birthday as Raffles too - July 6.

Today, the Singapore permanent resident, who is ethnic Chinese and comes from a Teochew family, can proudly say she enjoys Kumar's jokes, bak kut teh and museum jaunts.

When homesickness strikes, she hops on a plane and is back at her family home in Bangkok in under four hours.

The Les Roches School of Hotel Management graduate gave up her hotel management job in 2004 to pursue a lifelong dream of running her own business.

A Thai spa was an obvious choice - home massages have become her routine since she was 15.

Ayuthaya - The Royal Thai Spa now has two outlets, one at Gallery Hotel and one at Negara On Claymore hotel.

The spa offers traditional Thai massage and the Royal massage, recommended only for those with a high threshold for pain.

Q: Where do you go to nurse your homesickness in Singapore?

A:
I don't intentionally seek out Thai friends. In fact, I have only one Thai friend whom I met in my third year here, but lots of very good Singaporean friends.

Having said that, when I miss Thai food, I head to this stall on the second floor of Orchard Towers run by Thais. They cater mostly to the ladies who work there in the evenings and the food is very authentic.

My favourite is chicken with basil leaves and fried egg or Gai Pad Grapow. Tom Yam Goong or hot and sour shrimp soup is good too.

Q: Truth be told, why should one pay S$100 for a one-hour massage when one can get some good kneading for S$10 at Patong beach?

A:
A S$100 massage in Singapore is very reasonable. If you go to a five-star hotel in Bangkok, you pay US$150 (S$227).

It's like asking why pay S$5 for a cup of coffee at Starbucks when you can get good coffee at a neighbourhood coffeeshop for 80 Singapore cents. It's about selling a lifestyle, a service, the whole package.

Q: Singaporeans go to Bangkok for only three things: shopping, eating and massage. Surely there's much more the city has to offer?

A: What I like to do is take my car and drive to the old part of town around the Grand Palace. It might not show up on your tourist map but explore the little lanes, eat by the roadside stalls - if you have a strong stomach - and look beyond the neon signboards at the architecture. Some of the buildings are over 200 years old. Have coffee by the river and observe how the Thais live along that thoroughfare.

Q: What's the biggest misconception people have of Thai women?

A: Thais are easy-going by nature, so foreigners sometimes think Thai women are that way, too, and try to take advantage of us. I have to be very firm. I'm lucky because I can communicate in English. I don't blame them. As they say, it takes two to tango. Some Thais haven't been exposed to the world, so when they see a foreigner, they treat him like God.

We have a monarchy so we know how to be respectful. We treat foreigners as our guests. Beyond that, it's really up to the individual.

Q: Singaporeans inevitably stream to Hat Yai, Bangkok and Phuket when they want a holiday in Thailand. But tell us a little-known holiday paradise we ought to explore.

A: Trang in the south is a beautiful coastal province which is very good for diving. There's an emerald island which is shaped like a doughnut. You have to take a boat in, but once you're in there, you're confronted with immense beauty - a beach with powdery sand, slopes in the backdrop and emerald waters.

If the south is not for you, Mae Hong Son in the north is a picturesque mountainous province. You will have to get to Chiang Mai first, then take a smaller plane there.

Q: Singapore's service standards come under flak every now and then. The Thais' hospitality, by contrast, is world-renowned. What can this country's service people learn from you?

A: It has to come from within. You have to care about a person and once you do, the hospitality will come naturally.

-----------------------------------------------------------------

Ms. Rosalin is my eldest sister and I would like to congratulate her and wish her well on this little blog. So proud to have you as a sister!

Anyone visiting Singapore can visit one of her outlets - Ayuthaya - The Royal Thai Spa

Wednesday, September 19, 2007

hyü : Preface



Hue [hyü]
-noun

1. a gradation or variety of a color; tint: pale hues.
2. the property of light by which the color of an object is classified as red, blue, green, or yellow in reference to the spectrum.
3. color: all the hues of the rainbow.
4. form or appearance.
5. complexion.

—Related forms
hueless, -adjective




เนื่องจากคงไม่มีคนเข้า Blog นี้มากกว่านี้อีกแล้ว
และไหนๆรูปก็ไปอยู่บน Blog ของพีร์แล้ว
เลยถือโอกาสนับตั้งแต่ตอนนี้ ค่อยๆแนะนำให้ทุกคนได้รู้จัก
โปรเจกต์ล่าสุด และ(น่าจะ)เอาจริงเอาจังที่สุดเท่าที่เคยคิดทำมา
เจอกันเต็มๆงาน Fat Fest #7 ครับผม

ระหว่างนี้คอยเข้ามาอ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่ครับ

Note:
- พี่พีอย่าลืมจองบูธให้ผมด้วยนะครับ ขอบคุณครับผม
- Definition by Dictionary.com

Friday, August 17, 2007

Be All That You Can Be

Be imaginative
Be contributive
Be valuable
Be recognized
Be prepared ...

... to jump in

(รอการติดต่อจากเราเร็วๆนี้นะทุกท่าน)

Tuesday, July 10, 2007

Introducing New Niche

GRUMPY-7 : Home of Grumpiness (and other stuff too)

Virtually : Open Soon

Physically : Open Soon Too

Do visit ... often