
[image by: Zerone Eric Ouano @ flickr]
ขอสำนึกผิดต่อสมาพันธ์ผู้เขียน blog ในฐานะที่ลงทะเบียนใน Blog Action Day เอาไว้แล้วไม่ได้เขียน
เพราะว่าตอนนั้นไม่รู้จริงๆว่าจะเขียนยังไงในเรื่อง poverty (แม้แต่จะแถยังทำไม่ได้)
แต่ตอนนี้พอจะนึกออกบ้างแล้วว่าจะเขียนเกี่ยวกับอะไรได้ ลองดูละกันนะ
เราคิดว่าการกินบุฟเฟต์เริ่มเป็นส่วนหนึ่งในวัฒนธรรมการกินของชาวไทยตั้งแต่ปี 2000 เป็นต้นมา
เมื่อก่อนบุฟเฟต์จะอยู่แต่ในโรงแรมซะส่วนใหญ่ แล้วก็มีร้านอาหารญี่ปุ่นเจ้าหนึ่งทำให้กระแสนิยมมากขึ้น
แต่ช่วงการเติบโตเป็นวัฒนธรรมคงเป็นพวกบุฟเฟต์หมูกระทะที่เข้าถึงกลุ่มผู้บริโภครากหญ้าอย่างทั่่วถึง
จ่ายเงินเพียงไม่ถึงร้อย หรือร้อยต้นๆก็ได้กินอาหารในปริมาณที่ปกติจะกินได้ 4-5 มื้อ
และช่วงปีนี้ยิ่งเข้าสู่จุดพีคเมื่อร้านอาหารหลายร้านผันตัวเองไปขายบุฟเฟต์
ไม่ว่าจะเป็นอาหารเวียดนาม พิซซ่า เนื้อย่าง ไอศกรีม (นี่คือการสะกดเป็นคำไทยแบบถูกต้อง) หรือก๋วยเตี๋ยว
ซึ่งจริงๆของพวกนี้ในสามัญสำนึกปกติเราคงไม่ได้อยากจะกินเยอะมากมายอะไรหรอก
แต่พอได้ยินคำว่าบุฟเฟต์ก็เหมือนหน้ามืดอยากกินขึ้นมา และพอกินก็จะกินเผื่ออีก 4 มื้อข้างหน้าด้วย
เหมือนกับซื้อของโปรโมชั่นตามมินิมาร์ท แบบ 2 ชิ้นถูกกว่า ทั้งที่ตอนแรกอาจจะไม่ได้อยากซื้อซักชิ้น
จริงๆการกินบุฟเฟต์ก็ไม่ใช่ไปเบียดเบียนทรัพยากรอาหารของใครหรอกนะ
เพราะปัญหาที่มีคนขาดแคลนอาหารมันอยู่ที่การกระจา่ย supply และรายได้ไม่เพียงพอ
และถ้ามีปัญญาจะกิน (ปัญญาในที่นี้คือเงินและความจุกระเพาะอาหาร) ก็กินไปเถอะ
แต่ว่าถ้าวันไหนไม่ได้หิวอดอยากมากมาย แค่เห็นคำว่าบุฟเฟต์เลยอยากกินขึ้นมา
ลองคิดดูหน่อยมั้ยว่า เงินที่จะเอาไปกินอิ่มเกินต้องการนั้น เอาไปทำให้เกิดประโยชน์มากกว่านี้ได้มั้ย
(อย่างน้อยเก็บออมไม่ให้ตัวเองอดอยากในภายภาคหน้าก็ยังดีนะ)
Note:
- เขียนไม่ค่อยเป็นตัวเองเลย
อืม.....
ReplyDeleteเรายังมีเนื้อย่างค้างกันอยู่Matchนึงนะพี่ 555
ได้ทันที ได้เสมอ
ReplyDeleteเหมือนจบห้วนๆ ยังไงยังงั้นเลยนะ
ReplyDeleteสองสามประโยคท้ายอ่านแล้วนึกถึง....
ReplyDeleteบางทีไปกินบุฟเฟต์
ReplyDeleteกินอิ่มแล้วก็นึกเสียดายตังค์
เพราะรู้สึกอิ่มเหมือนกินราดหน้าจานละ 25
แต่จ่ายแพงกว่า