Menu

Friday, November 16, 2007

Life is but a Joke

ชีวิตคนมันเป็นเรื่องตลก ไม่ใช่ตลกแบบหัวเราะก๊าก แต่ตลกแบบแดกดันเสียดสี (irony)
เราใช้ชีวิตอยู่ด้วยการมองเรื่องตลกเหล่านั้นผ่านเข้ามาในชีวิต และร่วมแสดงไปกับมัน
จะลองยกตัวอย่างให้คิดตามกันดู เอาเรื่องใกล้ตัวที่สุดเลยคือเรื่องใจของเราเอง
ถ้าถามขึ้นมาตอนนี้เลยว่า ใจของเรามีใครเป็นคนควบคุม?
แน่นอนว่ามันคววรจะเป็น: ใจเราเอง ตัวเราเอง ควบคุมเอง
แล้วมันเป็นแบบนั้นจริงๆรึเปล่าล่ะ?

เราควบคุมความคิดได้ และถ้ามีการบริหารใจมากพอก็จะสามารถควบคุมความรู้สึกได้ด้วย
แต่ว่าไม่ว่าจะทำได้เก่งแค่ไหน สุดท้ายใจเรากลับถูกควบคุมโดยปัจจัยภายนอกแทน
คุณอาจจะศรัทธาในตัวคุณเองและความสามารถของคุณ ศรัทธาความคิดตัวเอง
คุณอาจจะมองโลกในแง่ดีและหาความสุขในเรื่องต่างๆในชีวิตได้เสมอ
ความเชื่อมั่น ความรู้สึกดี ความคิดในเชิงบวก คุณต้องก่อสร้างมันขึ้นมาเอง
ทีนี้ ความตลกในบทเรียนนี้ก็คือ คนที่จะทำให้มันพังหายไปกลับไม่ใช่ตัวคุณ
คนรอบตัว สังคม และเหตุการณ์ที่คุณไม่ได้ควบคุมต่างหากที่จะทำลายคุณ
อยู่ดีๆคุณคงไม่รู้สึกแย่กับตัวเองถ้าไม่ถูกอะไรมากระทบใจ
แต่พอรู้สึกแย่แล้วจะกลับมารู้สึกดีให้ได้นั้น กลับต้องใช้ความพยายามของตัวเองอีก
ลองคิดดูสิว่ามันยุติธรรมมั้ย? มันมีเหตุผลมั้ย? แล้วแบบนี้มันจะไม่ตลกได้ยังไง?

ถ้าหากทุกอย่างบนโลกนี้ดำรงอยู่ด้วยเหตุผล ซึ่งเราเชื่ออย่างนั้นจริงๆ
ความไม่สมเหตุผลนี้ล่ะ มันมีอยู่บนหลักเหตุผลว่าอะไรกัน
เราไม่เชื่อว่าความทุกข์ยากลำบากในชีวิตเป็นบททดสอบอะไรอย่างที่บางคนพูดกัน
คนบางคนรู้สึกแย่กับตัวเอง ท้อแท้เมื่อเจออุปสรรค เค้าจะรู้สึกบ้างมั้ยว่ามันเป็นบททดสอบ
บางทีมันอาจจะง่ายกว่านั้น มันอาจจะเป็น Survival of the Fittest
หากเราไม่สามารถเตรียมความพร้อมและปรับสภาวะใจเราให้เปลี่ยนไปตามสถานการณ์
หากเราเอาด้านแข็งของใจเราไปชนกับตัวแปรที่เข้ามาทำลายใจเรา ใจเราก็คงจะต้องมีรอยช้ำ

ความช้ำในที่นี้ก็คือความรู้สึกแย่ที่เกิดขึ้นในใจ เมื่อเราเอาใจเราตั้งรับเรื่องที่เข้ามา
ถ้าอย่างนั้นทำยังไงใจเราถึงจะไม่ช้ำถ้าเจออะไรมาทำลาย?
คิดง่ายๆคือเสริมใจให้แข็งเข้าไว้ แล้วสะท้อนมันออกไปให้ไกลที่สุด
เราไม่ได้เรียนฟิสิกส์มา แต่เชื่อว่าการที่จะสะท้อนอะไรออกไปได้นั้น
วัตถุที่ตั้งรับจะต้องดูดซับแรงเอาไว้ก่อนและใช้แรงต้านที่มากกว่าผลักมันออกไป
ถ้าครั้งสองครั้งคงไม่เป็นไร แต่เชื่อจริงๆหรอว่ามันจะมาแค่ไม่กี่ทีแบบนั้น
บ่อยๆเข้าใจเราก็คงร้าว และต้องแตกในที่สุด

สาเหตุที่เราคอยปัดป้องเรื่องร้ายๆให้พ้นตัวเป็นเพราะเรากลัว
กลัวว่าเราจะเสียความรู้สึกดีๆที่มี กลัวเพราะไม่รู้ว่าเราจะรู้สึกยังไง
ถ้างั้นลองทำอีกวิธีนึงดู ค่อยๆปล่อยให้มันเข้ามาในใจแทน
ไม่ใช่ให้มันเข้ามาทำร้ายเรา แค่เอาเข้ามาเพื่อดูให้รู้ว่ามันคืออะไร
ให้รู้ว่ามันเกิดจากอะไร และจะทำให้เราเจ็บได้ยังไง
พอเรารู้เราก็ไม่ต้องกลัว ไม่ต้องกังวล ไม่ต้องระแวง
ที่สำคัญคือเราจะรู้วิธีที่จะจัดการกับมันได้

คนที่เข้ามาอ่าน Blog นี้คงไม่มีใครปราศจากความรู้สึกโดยสิ้นเชิง
แต่การที่เรารับเอาเรื่องไม่พึงประสงค์มากลั่นออกเป็นความรู้สึกแย่ๆ
แล้วเอาความรู้สึกแย่นั้นมาปรุงแต่งจนรู้สึกแย่ลงไปอีก นั่นมันก็เป็นเรื่องตลกเหมือนกัน
เราต้องเรียนรู้ที่จะยอมรับว่าไม่มีทุกอย่างเป็นได้ตามใจเราต้องการ
ทำให้ตัวเองเข้าใจให้ได้ว่าความรู้สึกแย่ๆทุกอย่างมันเป็นเรื่องปกติ
รู้สึกมัน รู้ตัวว่ารู้สึกมัน แล้วก็ปล่อยให้มันผ่านออกไป


มันธรรมดาอยู่แล้วที่เราจะเจ็บ เศร้า เสียใจ ท้อแท้ กลัว หรือกังวล
แต่มองให้มันเป็นเรื่องตลกซะ ... แล้วก็เข้าใจมัน


I do not fear difficulties
I do not fear hardship
I do not fear poverty
I do not fear sickness
I do not fear ignorance
I do not fear pain
I do not fear suffering
I do not fear despair
I do not fear loneliness
I do not fear sadness

I fear that I will not have this strength

Note:
- รีบเขียนให้จบเพราะจะรีบออกจากออฟฟิศ อาจจะทำให้ดูงุนงงในตอนหลัง แถมไม่มีรูปไว้แก้เลี่ยนอีก ถ้าทำได้จะกลับมาแก้ใหม่

3 comments: