Menu

Showing posts with label Me. Show all posts
Showing posts with label Me. Show all posts

Monday, February 20, 2012

The Truth Behind This Facade of Mine


[image: Pink-Promise @ deviantART]

สิ่งที่ใครหรือใครเห็นว่าผมได้ทำ พูด เขียน หรือแสดงออกมา
สิ่งเหล่านั้นอาจไม่ใช่สิ่งที่เป็นตัวตนของผมเลยก็ได้

แม้กระทั่งสิ่งที่คุณกำลังอ่านอยู่ในขณะเวลานี้ก็ตาม

สิ่งที่คุณเห็นอาจเป็นเพียงฉากที่ผมทำขึ้นมากันที่อยู่ให้ตนเอง
เป็นภาพสะท้อนของตัวตนในแบบที่คุณต้องการ

หรือผมอาจเป็นเพียงเปลือกของความกระจัดกระจายที่ก่อตัวขึ้นก็เป็นได้

Note:
- ที่มาของชื่อ entry นี้มาจากลิงค์น [LINK] -- เป็นวลีที่ชอบมากและรู้สึกว่าเหมาะกับตัวเองจริงๆ

Wednesday, November 17, 2010

One Day in 2010


[image: lerk7]

เคยรึเปล่า - ที่บางวันตื่นนอนขึ้นมาแล้วรู้สึกได้เลยว่ามันจะต้องเป็นวันที่ดีแน่ๆ
วันนี้ผมลืมตาตื่นขึ้นพร้อมกับความมั่นใจว่ามันจะต้องเป็นวันที่ไม่ดีแน่ๆ

ถึงจะฟังดูต่างกันโดยสิ้นเชิงแต่ทั้งสองความคิดนี้มันมีอะไรที่คล้ายกันอยู่
ในกรณีแรก หากคุณตื่นมาพร้อมกับความรู้สึกว่าวันนี้จะเป็นวันที่ดี
ไม่ว่าระหว่างวันคุณจะพบเจออะไร คุณจะไม่รู้สึกว่ามันเลวร้ายมากนัก
แถมเรื่องเล็กๆที่เกิดขึ้นเป็นประจำทุกวันก็สามารถถูกมองเป็นเรื่องดีๆได้

ส่วนกรณีของผมที่ตื่นมาพร้อมความรู้สึกว่าไม่มีทางมีเรื่องดีเกิดขึ้นแน่ๆ
พอเจอเรื่องไม่ว่าเล็กน้อยแค่ไหนก็จะต้องรู้สึกแย่ไปหมด
เศษดินรถบรรทุกกระเด็นใส่ น้ำทิ้งหยดใส่ ของที่อยากกินหมด
และถ้าหากมีเรื่องที่แย่จริงๆเกิดขึ้นเมื่อไหร่ ความคิดแรกที่เข้ามาในหัวก็คือ
... "กูว่าแล้ว"

ถ้าใครรอตอนจบที่ได้แง่คิดสอนใจจากเรื่องนี้อยู่ อย่างที่เมื่ออดีตผมพยายามทำ
วันนี้ผมคงไม่สามารถคิดประดิษฐ์มันขึ้นมาได้ นอกจากบอกทุกคนว่า
"ขอให้นอนหลับสนิทยามค่ำคืน จะได้ตื่นมาพร้อมความสดใส"

... เท่านี้ล่ะครับวันนี้

Note:
- ไม่รู้มีคนรออยู่มั้ย แต่เรื่องงานแฟตของผมไม่มีกำหนดตอนต่อไปนะครับ เพราะอยากลงรูปให้ดูด้วย แต่คนถ่ายรูปหารูปไม่เจอ ... ก็รอไปด้วยกันครับ

Tuesday, November 9, 2010

Fat Impression


[image: Sittichai Jittatad @ deephead.com]

งานแฟตกับผมนับว่ามีความผูกพันกันมายาวนานพอสมควร แม้ว่าผมจะไม่ใช่กลุ่มผู้บุกเบิกที่ไปเทศกาลดนตรีนี้ตั้งแต่หนแรกที่โรงงานยาสูบก็ตาม แต่หากนับจำนวนชั่วโมงที่อยู่ในงานนี้ ผมค่อนข้างมั่นใจว่าไม่น้อยกว่าใครแน่นอน แม้กระทั่งทีมงานก็เถอะ เพราะว่าผมมักจะต้องไปตั้งแต่วัน set up + soundcheck ในวันงานจริงก็จะไปตั้งแต่เช้าของวันแรก (เช้าตรู่ในบางครั้ง) และอยู่กระทั่งปิดงานวันที่สอง จนคนงานเข้ามาเก็บกวาดสถานที่นั่นแหละถึงจะได้กลับ

ผมไม่สามารถตอบได้ว่าผมชอบงานแฟตมากน้อยเพียงใด เพราะความรู้สึกที่มีต่อเทศกาลนี้มันเปลี่ยนไปอยู่ตลอด บางมุมผมก็ชอบที่เรามีงานที่ทำให้ได้ดูโชว์ดนตรีแปลกๆจำนวนเยอะๆในงานเดียว ในราคาไม่แพง (หรือฟรีในครั้งแรกๆ) การจัดคอนเสิร์ตพร้อมกันหลายๆเวทีให้เราต้องตัดสินใจเลือกดูได้แค่วงเดียวในช่วงเวลาหนึ่งก็เป็นเสน่ห์อย่างหนึ่ง theme งานและสถานที่ที่เปลี่ยนไปตลอดทุกครั้งก็ทำให้ชื่นชมความพยายามของทีมงาน(ไม่ว่าสุดท้ายจะได้ผลตอบรับที่ดีหรือไม่ก็ตาม) และมีน้อยงานนักที่เราจะได้พบเพื่อนร่วมรสนิยม และพูดคุยกับศิลปินได้อย่างใกล้ชิดอย่างงานแฟต

กลับกันในอีกหลายๆมุมก็มีเรื่องที่ไม่ชอบอยู่เช่นกัน เช่นการที่ศิลปินอิสระบางท่านมองว่ามันเป็นงานสำคัญที่สุดประจำปีจนหลายคนที่ผมรู้จักต้องพยายามเร่งให้งานเสร็จทันขายในงานแฟตเหมือนว่าเส้นทางการเป็นศิลปินขึ้นอยู่กับงานนี้งานเดียวเท่านั้น หรือบางทีก็มีคนที่ตั้งหน้าตั้งตาจะมาหาผลกำไรจากงานเพียงอย่างเดียวโดยละเลยความกลมกลืนกับงานไปเสียสนิท รวมไปถึงความตั้งใจของศิลปินหรือค่ายเพลงที่จะมานำเสนอผลงานในเทศกาลนี้ที่ถดถอยลงไป สังเกตได้จากบูธที่ว่างเปล่าหลังประตูเข้างานเปิดแล้ว ต่างจากงานครั้งแรกๆที่ค่ายเพลงดูจะตื่นเต้นกับการได้มาร่วมงานแบบนี้มาก ซึ่งนั่นก็อาจเป็นเพราะปัจจุบันมีสิ่งที่ถูกเรียกว่าเทศกาลดนตรีเกิดขึ้นแทบทุกเดือนจนไม่เหลือความน่าตื่นเต้นแล้วก็เป็นได้

และที่คนอย่างผมจะไม่บ่นไม่ได้ก็คือเรื่องของกลุ่มคนจำนวนมากที่เข้ามายังงานเพียงเพื่อแสดงออกถึงอัตตาความ cool ในรูปแบบของตนเองโดยไม่สนใจว่าวัตถุประสงค์หรือกฎเกณ์ภายในงานเป็นอย่างไร

หากเหมือนว่าผมเริ่มเข้าสู่วัยกลางคนที่มองอดีตเป็นเรื่องสวยงามกว่าเหตุการณ์ปัจจุบัน และมีมุมมองปฏิเสธค่านิยมและพฤติกรรมของคนรุ่นใหม่ก็ไม่ผิดนัก เพราะผมก็ยังมีความอยากส่วนตัวที่ให้คนรักเรื่องราวของดนตรีให้ถึงแก่นของมันมากกว่าการเสพมันแบบฉาบฉวย ซึ่งมันคงไม่มีวันเป็นความจริงได้เพราะไม่ว่าอย่างไรยุคสมัยใดกระแสความฉาบฉวยนั้นย่อมเป็นกลุ่มเป้าหมายหลักอันเป็นตัวผลักดันทิศทางของธุรกิจต่างๆซึ่งเป็นแหล่งเงินทุนที่ทำให้เกิดงานที่ไม่น่าจะทำเงินจากกลุ่มคนเพียงหยิบมือได้

ที่เขียนมาข้างต้นนั้น ความตั้งใจแรกมันควรจะเป็นบทเกริ่นนำของสิ่งที่ผมกำลังจะเขียนต่อไป นั่นก็คือความทรงจำของผมเกี่ยวกับงานแฟตในแต่ละครั้งที่ผ่านมา แต่มองไล่ย้อนกลับขึ้นไปก็รู้สึกว่ามันเริ่มยาวกว่า entry ปกติที่ผมเคยๆเขียน หากเขียนต่อไปมันก็คงจะยาวอย่างมหาศาลเพราะความทรงจำในแต่ละปีนั้นมันช่างเยอะเหลือเกิน ขืนเขียนทั้งหมดไปคงไม่ทำให้ใครรู้สึกดีกับมันแน่ๆ

... ก็ขอยกไปไว้โอกาสหน้าละกัน

(ยินดีให้ติดตามอ่านตอนต่อไป)

Note:
- ลองทำสิ่งเนิร์ดๆด้วยการนับชั่วโมงที่อยู่ในงานแฟตแต่ละปีดู นับเฉพาะวัน set up และวันงานเท่านั้น (ไม่นับวันสำรวจสถานที่) ผลออกมาดังนี้:

ครั้งที่ 1 โรงงานยาสูบ
ระยะเวลาที่อยู่ในงานโดยประมาณ: 0 ชั่วโมง

ครั้งที่ 2 ห้างอิมพีเรียล ลาดพร้าว
ระยะเวลาที่อยู่ในงานโดยประมาณ: 0 ชั่วโมง

ครั้งที่ 3 สวนสยาม
ระยะเวลาที่อยู่ในงานโดยประมาณ: 48 ชั่วโมง

ครั้งที่ 4 สนามม้านางเลิ้ง
ระยะเวลาที่อยู่ในงานโดยประมาณ: 46 ชั่วโมง

ครั้งที่ 5 แดนเนรมิต
ระยะเวลาที่อยู่ในงานโดยประมาณ: 33 ชั่วโมง

ครั้งที่ 6 IMPACT Challenger Hall
ระยะเวลาที่อยู่ในงานโดยประมาณ: 35 ชั่วโมง

ครั้งที่ 7 IMPACT Challenger Hall
ระยะเวลาที่อยู่ในงานโดยประมาณ: 0 ชั่วโมง

ครั้งที่ 8 IMPACT Challenger Hall
ระยะเวลาที่อยู่ในงานโดยประมาณ: 32 ชั่วโมง

ครั้งที่ 9 IMPACT Challenger Hall
ระยะเวลาที่อยู่ในงานโดยประมาณ: 31 ชั่วโมง

ครั้งที่ 10 ลานทะเลสาบเมืองทองธานี
ระยะเวลาที่อยู่ในงานโดยประมาณ: 12 ชั่วโมง


รวมทั้งสิ้น 237 ชั่วโมง -- เยอะประมาณคนที่ไปงานทั้งสองวันทุกปี และอยู่ในงานตั้งแต่ประตูเปิดจนปิดงาน

- ภาพด้านบนเป็นภาพที่ผมชอบมากจากงานแฟตครั้งที่ 9 ถ่ายโดยคุณ สิทธิชัย จิตตะทัต (ช่างภาพสารคดีของกลุ่มช่างภาพ Hanuman และเว็บไซต์ deephead.com) -- เป็นภาพวันซาวด์เช็ค ขณะที่แม่บ้านกำลังทำความสะอาดพื้นที่ และต่างสงสัยว่าศิลปินที่ขึ้นมาซาวด์เช็คคนแล้วคนเล่าเหล่านั้นเป็นใครกัน

Monday, March 1, 2010

The First of the Decade

นี่เป็น draft ที่ผมใช้เวลากับมันมานานที่สุดเท่าที่เคยเขียนมา
นานจนพี่พีและคุณพีร์ตัดหน้าผมไปซะแล้ว (เสียหน้ามากๆ)
การใช้ภาษาของผมตอนนี้เมื่อเทียบกับอันก่อนๆดูจะต่างกันมาก
อาจจะทำให้คุณไม่ชอบ ... หรือคุณอาจจะไม่เคยชอบมาตั้งแต่แรกแล้ว
แต่นั่นก็ไม่สำคัญ เพราะคงสามารถใช้นิ้วมือนับจำนวนคนอ่านได้หมด

ผมแค่หวังว่าทุกคนจะสบายดี ...

........................................................................

We are not the same persons this year as last; nor are those we love. It is a happy chance if we, changing, continue to love a changed person.
W. Somerset Maugham (1874-1965)


ทุกๆคนต้องมีความเปลี่ยนแปลง ไม่มีใครเหมือนเดิมไปได้ตลอด
แค่ปีที่ผ่านมาคนรู้จักคุ้นเคยของผมก็เปลี่ยนงานกันนับสิบราย
เพื่อนหลายๆคนแต่งงานมีครอบครัว มีลูกหลานกันไป
บางคนอ้วนขึ้น บางคนผอมลง บ้างก็ดูโทรมลงมาก แต่ก็มีคนที่กลับดูดีผิดหูผิดตา
หลายๆคนที่เคยเป็นคนน่าเบื่อกลับมีชีวิตที่เต็มไปด้วยสีสัน
และหลายคนที่เคยเป็นคนที่น่าสนใจ กลับกลายเป็นคนหม่นหมอง

ชีวิตมันไม่ใช่ของแน่นอน

ผมเองเคยเป็นคนใจร้อน วันหนึ่งมารู้ตัวอีกทีก็กลายเป็นคนใจเย็น
แต่พอไม่ได้โกรธใครมานานหลายปี จู่ๆก็กลายเป็นคนหงุดหงิดง่ายอีกครั้ง
ร่างกายที่เคยแข็งแรง คล่องแคล่ว วันนี้กลับรู้สึกอ่อนแอมากๆ
เรื่องที่เห็นคนอื่นทำแล้วเคยบ่นด่าคนเอาไว้ คงมีบ้างที่วันนี้กลับทำซะเอง
สิ่งที่เคยทำเคยพูดกับคนอื่นไว้ หลายทีพอเจอกับตัวเองแล้วรู้สึกว่าไม่ดีเหมือนกัน

ชีวิตมันไม่ใช่ของแน่นอน

เวลาที่รู้สึกได้ถึงความเปลี่ยนแปลง เรามักจะตกใจ ประหลาดใจ
ทั้งที่จริงๆแล้วทุกอย่างมันมีที่มา ส่วนความเปลี่ยนแปลงก็เป็นที่ไปตามทางของมัน
เราไม่ได้เปลี่ยนในชั่วข้ามคืน เราไม่ได้เปลี่ยนกันโดยไร้เหตุ
แต่เราเปลี่ยนเพราะทุกอย่างล้วนเปลี่ยน


เราเปลี่ยนเพราะเราเป็นผลของความเปลี่ยนแปลง
เราเปลี่ยนเพื่อส่งผลให้เกิดความเปลี่ยนแปลง

ชีวิตที่บอกว่าไม่แน่นอนมันเป็นผลและเหตุของชีวิตและเหตุการณ์อื่นๆ
เรามีเพียงจิตที่รับรู้ถึงความเปลี่ยนแปลงเหล่านั้น ก่อนที่วันหนึ่งจิตของเรานั้นก็จะหายจากไปเช่นกัน

เหมือนว่าเราเกิดมาเป็นเพียงกลไกทางธรรมชาติ ที่ทำให้ธรรมชาติเองดำรงอยู่ได้ต่อไป

........................................................................

ไม่มีคำสัญญาว่าจะกลับมาเมื่อไหร่ แต่หวังว่าจะได้เจอทุกคนอีกครั้ง
ไม่ว่าผมหรือคุณจะเปลี่ยนไปแค่ไหนก็ตาม

Monday, September 21, 2009

Tell Me Why


[image by: Daniel Y. Go @ flickr)

หยุดเขียนบล็อกไปพักใหญ่ๆ น่าจะเป็นการห่างหายที่นานที่สุดตั้งแต่เริ่มเขียนเมื่อปี 2005
สาเหตุของการหยุดไปสรุปได้ใจความที่สุดคือความขี้เกียจของเราเอง ไม่เฉพาะเขียนบล็อก แต่เป็นทุกเรื่อง
แต่จะพยายามจะกลับมาเขียนให้ได้บ่อยเท่าๆเดิมอีกครั้ง ตั้งใจว่าอาทิตย์นึงไม่อยากต่ำกว่า 4 entry

เหตุที่คิดจะกลับมาเขียนก็เพราะว่าแผนการที่วางไว้ในอนาคตจะต้องกลับมาเขียน(แบบฉลาด)เยอะมากๆ
ไม่ว่าจะเขียนเป็นบล็อก เขียนเรื่องที่คิด เขียนแสดงความเห็น เขียนรายงานข่าว เขียน เขียน เขียน และ เขียนอีกหลายที
ถ้าไม่ดึงนิสัยและอารมณ์รักการคิดแล้วเขียนให้กลับมาอยู่ในระดับเดิมน่าจะทำให้เกิดปัญหาแน่นอน

ลองเลยละกัน กับหนึ่งในหลายเรื่องที่ draft เอาไว้:

Tell Me Why

ช่วง 2-3 ปีมานี้ผมตั้งคำถามอยู่บ่อยๆว่าทำไมทุกวันนี้วงการดนตรีมันเสื่อมถอยลงทุกวัน
ถ้าถามหลายๆคนก็น่าจะรู้สึกแบบเดียวกัน แต่นี่ไม่ใช่การต่อว่าคนหรือบริษัทไหนนะ
ผมเชื่อว่าเกือบทุกคนที่ทำงานในแวดวงดนตรีรักงานด้านนี้ และให้ใจกับมันเต็มที่
เพราะเอาจริงๆมันไม่ใช่งานที่รายได้ดีกลับมาคุ้มความเหนื่อยเลย -- ถ้าใจไม่รักอยู่ไม่ได้หรอก

ถ้าแกรมมี่เอาเงินที่มีอยู่ทุกวันนี้ไปลงทุนทำอย่างอื่นจะรวยกว่านี้มั้ย? เป็นไปได้มากๆ
ถ้าวันนี้คุณไพบูลย์ ดำรงชัยธรรม พูดออกจากปากมาว่า "ปีนี้เรางดทำเพลงแล้วเอาเงินค่าเพลงค่าโปรโมทไปสร้างคอนโดดีกว่า"
มั่นใจเลยว่ามันจะต้องเป็นคอนโดหน้าตาดีมากๆ(ที่ผมไม่มีปัญญาซื้อได้) ที่จะทำกำไรให้แกรมมี่มหาศาลกว่าที่เพลงทำได้นัก
แน่นอนว่ามันคงไม่มีทางเกิดเหตุการณ์นี้ขึ้น (การงดทำเพลงนะ แต่การไปสร้างคอนโดนั่นก็ไม่แน่ เพราะถึงไม่งดก็มีเงินมากพอ)
เพราะว่าเพลงมันคือตัวผลักดันให้ธุรกิจทุกส่วนในแกรมมี่เดินไปได้ ไม่ว่าจะวิทยุ โทรทัศน์ Digital Content หรือ Artist Management
พูดได้ว่าไม่มีเพลง ก็ไม่มีบริษัท จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ จำกัด (มหาชน) และราคาหุ้นร่วงลงเร็วกว่าคุณจะพูดคำว่า"ตก"จบคำด้วยซ้ำ

แต่อีกเหตุผลนึงที่ผมคิดว่าจะไม่เกิดเหตุการณ์นั้นขึ้นก็เพราะว่าทุกคนที่ทำงานรักวงการนี้
ผมคนนึงล่ะที่รักการเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องกับงานสร้างสรรค์ ถึงจะไม่ได้ทำเองเพราะฝีมือไม่พอ
ชอบการพูดคุยกับคนที่ทำงานด้านนี้เหมือนกัน เพราะเรามีมุมมองที่น่าสนใจมาเล่าให้ฟังกันได้ตลอด
ชอบบรรยากาศการทำงานที่หาไม่ได้จากงานสายอื่นๆเลยจริงๆ
คุณไพบูลย์ คุณเล็ก-บุษบา หรือผู้บริหารไม่ว่าระดับไหนก็คงรู้สึกเดียวกัน ว่ามันเป็นเหมือนบ้านหลังใหญ่
คนที่เราเจอก็คือสมาชิกของครอบครัว งานที่เราทำก็เป็นเหมือนงานดูแลบ้าน
ความสุขของเราคือเวลาเปิดบ้านให้คนอื่นเข้ามาเยี่ยมชมแล้วเค้ามีความสุขเราก็มีความสุขด้วย

แล้วถ้าทุกคนเป็นแบบนั้นจริงๆ(ซึ่งผมคิดว่า 90% เป็นงั้นจริงๆ) ทำไมเวลาเปิดวิทยุถึงได้ฟังแต่เพลงน่าเบื่อขนาดนี้
ศิลปิน นักร้อง นักดนตรี นักแต่งเพลง คนทำเบื้องหลัง คนทำงานก็เก่งขึ้นเรื่อยๆ อุปกรณ์การทำงานก็มีแต่พัฒนาขึ้น
แต่เพลงที่ถูกโปรโมทมันให้ความรู้สึกแห้งๆ แข็งๆ เซ็งๆ ทุกอย่างดูสำเร็จรูปไปหมด
จากประสบการณ์ที่ผมได้สัมผัสมานิดหน่อย ผมให้เหตุผลกับมันว่ามันเป็นเรื่องข้อจำกัดของคำๆเดียวว่า 'ธุรกิจ'

เมื่อเพลงถูกผลักดันจนกลายเป็นอาชีพ เป็นกิจการที่ทำเงินเลี้ยงชีพคนคนนึงหรือหลายพันคนได้
มันก็มีข้อผูกมัดและความกดดันที่จะต้องให้เพลงทุกเพลงที่ทำขึ้นมันทำเงินให้ได้ต่อไปอีกเรื่อยๆ
มีอยู่วันนึงผมนั่งกินข้าวอยู่แถวบ้านและบังเอิญมีโปรดิวเซอร์ท่านนึงนั่งคุยกับนักดนตรีรุ่นน้องโต๊ะติดกันพอดิบพอดี
ความเสือกทำให้ผมได้ยินเค้าคุยกันเรื่องเพลงที่กำลังแต่งอยู่ ยกตัวอย่างประโยคนึงของบทสนทนามาให้ดูกัน:
"ไอ้เพลงนี้นะ ถ้าร้องแบบปกติก็จะเป็น xx-yy-zz
แต่ถ้าตรงคำว่า yy เราใส่เอื้อนเสียงเข้าไปอีกนิด
เหมือนกับที่เพลง ABC ทำ มันก็จะฟังดูมีสเน่ห์ ติดหู และคนชอบได้"

ผมเคยได้ยินประโยคทำนองนี้มาหลายทีแล้วเหมือนกัน แต่วันนั้นผมสงสัยขึ้นมาว่าทำไมต้องพยายามหาทางให้คนชอบตลอด
นิดๆหน่อยๆก็ยังโอเค แต่พอมาทำแบบเป็นล่ำเป็นสัน เก็บทุกเม็ดในทุกเพลง เพลงมันก็เริ่มฟังดูจอมปลอมไปหมด
และส่วนใหญ่โปรดิวเซอร์นักแต่งเพลงพวกนี้นี่แหละที่เขียนเพลงเก็บไว้ใน song bank ของค่ายต่างๆ
พอมีนักร้องที่ร้องเพลงพอได้ หน้าตาดูดี ก็หยิบเพลงที่มีเนื้อหาเหมาะกับบุคลิกเข้ามาสวม ทำดนตรีใหม่ซะหน่อย พร้อมโปรโมททันที

พูดตรงๆผมทำใจยอมรับได้ที่จะมีศิลปินที่ขายหน้าตาที่หาเพลงที่คนอื่นทำไว้มาร้อง เพราะประเทศไหนๆก็ไม่ต่างกัน
แต่ว่าทำไมศิลปินที่มีความสามารถทำเพลงเองได้ถึงทำเพลงที่ออกมาให้ความรู้สึกแบบเดียวกันเลย

... มันเกิดอะไรขึ้นกับดนตรีที่ออกมาจากความรู้สึกจริงๆ บอกผมหน่อย?

Monday, May 11, 2009

Suvarnabhumi : Land of Golden Hell

พึ่งกลับจากมาเลย์ เหนื่อยโคตร แต่ขอบ่นหน่อยเถอะ (ช่วงหลังๆเป็นคนขี้บ่นมาก)
ทั้งๆที่ตั้งใจจะเขียนชื่นชมทริปนี้ว่าถึงเหนื่อยแต่ก็สนุกโคตร แต่ก็ต้องยกไปไว้ทีหลัง
เพราะมีวาระเร่งด่วนที่อยากให้ทุกคนรับรู้กัีน ถึงความห่วยของชาติไทยเรา

ถ้าเคยได้คุยกับเราบ่อยๆจะรู้ว่าเราโคตรเกลียดสนามบินสุวรรณภูมิ
ไม่แปลกเพราะหลายๆคนก็เป็นแบบนี้ ทั้งคนไทยเองและต่างชาติไหนๆที่เคยมาเหยียบแผ่นดินทองนี่
เราได้ใช้สุวรรณภูมิบ่อยมากพอสมควร และไม่เคยมีครั้งไหนที่รู้สึกดีเลยจริงๆ
อย่างที่รู้กันว่ามันออกแบบได้แย่และไม่คำนึงถึงการใช้งานของมนุษย์ที่เดินทาง
ทุกอย่างอยู่ไกลหรือไกลมาก ห้องน้ำอยู่ไหนวะ? เคาน์เตอร์เยอะยังไงก็ต้องต่อแถวยาวมาก (แม้แต่ PB Air!)
นี่คิดแค่้เรื่องการใช้งานล้วนๆเลยนะ อย่าเอาเรื่องการเมืองเข้ามาเกี่ยว เดี๋ยวจะยิ่งเซ็ง

เมื่อวานนี้เราเดินทางกลับมาถึงสุวรรณภูมิประมาณ 22:20 พร้อมกับอาการเหนื่อยสูงสุดและกระเป๋า 2 ใบ
เครื่องจอดไกลๆให้ลงแล้วต้องต่อรถ Shuttle (ยืน) มาที่ Terminal ใช้เวลาอีกประมาณเกือบ 10 นาที
จากทางเข้าที่รถจอดต้องเดินย้อนไปอีกด้านของ Terminal เพื่อผ่านจุดตรวจคนเข้าเมือง
และจากนั้นต้องเดินย้อนไปสุดอีกด้านของ Terminal สนามบินที่ใหญ่อันดับต้นๆของโลก (โคตรภูมิใจจริงๆ)
เมื่อรอรับกระเป๋าเสร็จก็เดินออกมาตามปกติ เห็นเลขประตู 9 เลยบอกให้คนที่มารอรับ(พ่อ)ขับมาที่ประตู 9
ปรากฏว่าเดินออกไปแล้วทางเดินไปขึ้นรถทางสุวรรณภูมิแห่งประเทศไทยได้เอารั้วมากั้นไม่ให้คนขึ้นรถ!
มองย้อนไปตามถนนทุกทางข้ามไปขึ้นรถมีรั้วกั้นตลอดแนว เลยขึ้นไปชั้นบนเพื่อให้วนมารับที่ขาออกแทน
ขึ้นไปปุ๊บพ่อโทรกลับมาบอกว่าไม่แน่ใจว่าวนยังไงให้กลับมาเจอที่เดิม - - - อะ หาทางลงกลับไปก็ได้
ใครเคยรู้บ้างว่าถ้าคุณอยู่ขาเข้าประเทศแล้วเดินขึ้นไปขาออกคุณจะไม่มีวันลงมาได้อีก!!!!
บันไดเลื่อนที่ขนานกันตอนขาขึ้นมามันเลื่อนขึ้นทั้งหมด เหลือบไปเห็นอันนึงไกลๆเลื่อนลงอยู่ รีบวิ่งเ้ข้าๆ
ไปถึงมีเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยหนึ่งนายและรั่วกันหนึ่งแผงตั้งขวางอยู่ ไม่ยอมให้ลงง่ายๆ
เราก็ถามว่าแล้วจะให้ลงที่ไหน เจ้าหน้าที่ท่านนั้นก็ชี้ไปทางลิฟต์ที่อยู่ถัดไป เราก็รีบวิ่งไปเข้าลิฟต์
ก็ปรากฏว่าชั้นผู้โดยสารขาเข้ามันไม่สามารถกดหยุดได้ (เหี้ยจริงๆ) ระหว่างนี้พ่อก็โทรมาเร่งไม่หยุด
เราเลยเดินไปหาเจ้าหน้าที่ท่านหนึ่งด้วยความฉุนเฉียวแล้วถามว่า "ขอโทษครับ ตั้งใจจะให้ผมลงไปยังไงครับ"
เจ้าหน้าที่ก็ทำหน้าไม่อยากจะเชื่อว่าเราไม่รู้เลยชี้ไปที่บันไดเลื่อนอีกฟากหนึ่งของ Terminal (Fuck!)
เราก็เลยวิ่ง (โคตรจะเจ็บขาเลยตอนนั้น) ไปขึ้นบันไดเลื่อนนั้น
ระหว่างที่ขึ้นด้วยความฉุนเฉียวอีกแล้วเลยขอเตะบันไดเลื่อนดังกล่าวไปแบบดังๆทีหนึ่งอย่างที่คนหันมามอง

วินาทีที่ลงมาถึงชั้นผู้โดยสารขาเข้าเราก็เข้าใจทันทีว่าทำไมอดีตนายกฯท่านหนึ่งถึงกับต้องกราบพื้น
เพราะเราก็อยากจะทำเช่นนั้นเหมือนกันเมื่อมาถึง

ขอบพระคุณสนามบินแห่งชาติที่ยอมปล่อยให้ได้ลงมาเหยียบชั้นนี้อีกครั้ง


Note:
- เจ้าหน้าที่สนามบินนานาชาติสุวรรณภูมิกรุณาอ่านและทำความเข้าใจด้วยว่าพวกกระผมเป็นนักท่องเที่ยว ไม่ว่าจะเดินทางเยอะแค่ไหนกระผมก็ไม่มีทางมาสนามบินแห่งนี้บ่อยเท่าพวกท่านหรอก ดังนั้นก่อนที่จะปรับปรุ่งเพิ่มเติมอะไรแพงๆ ขอความกรุณาเพิ่มอุปกรณ์อำนวยความสะดวกพื้นฐานอย่างป้ายบอกทางให้พวกกระผมผมหน่อยเถอะ เพราะสนามบินที่ท่านทำงานกันนั้นใหญ่โตสมราคาจริงๆ แค่ป้ายบอกว่า "เดินไปขึ้นรถประตู 1-3" / หรือ "อย่าขึ้นไปชั้นบนยกเว้นว่าจะมีเวลาเหลือเพียงพอให้วิ่งไปอีกฟากของสนามบิน" อะไรแบบนี้ก็พอครับ ขอบพระคุณมากครับ

Wednesday, April 22, 2009

200 is Pretty Significant


[image by Sittichai Jittatad]

คิดอยู่นานว่าจะเขียนอะไรใน Entry ที่ 200 ให้สมกับที่ทำหัว Blog ใหม่มาฉลอง (เว่อร์มาก)
ประจวบเหมาะว่าพี่เป้ ช่างภาพที่ออฟฟิศหยิบกล้อง Fuji Instax เราไปเล่น แต่ว่าลองถ่ายจริงๆ
ก็ปรากฏออกมาเป็นรูปอย่างที่เห็น ทั้งๆที่เราไม่ชอบถ่ายรูปตัวเองแท้ๆ แถมรูปนึงก็ไม่ได้ถูกนะ

แต่ปัญญาก็เกิดขึ้นมาทันใด ว่าควรพลิกวิกฤตให้กลายเป็นโอกาส เอารูปนี้มาลงซะเลย
เพราะมั่นใจว่าไม่เคยเอารูปที่เห็นหน้าชัดขนาดนี้ลง blog มาก่อน ~~ พิเศษแค่ไหนคิดดู

นับตั้งแต่วันแรกที่เริ่มเขียนคือวันที่ 2 ก.ค. 2007 จนถึงวันนี้
blog แห่งนี้มีอายุ 661 วันแล้ว มี entry นี้เป็นลำดับที่ 200
นั่นหมายความว่า ทุกๆ 3.3 วันเราจะเขียน entry ใหม่ที (ก็ไม่เลวนะ)

สำหรับคนที่เข้ามาเป็นประจำก็ขอแสดงความขอบคุณนะครับ รู้สึกตื้นตันเสมอ
ส่วนคนที่เข้ามาไม่ว่าจะเพราะ ญารินดา, Michael Cera, DTAC Rebrand, หรือนมใดๆก็ตาม
ก็คิดว่าคงจะมีคนอย่างพวกคุณเข้ามาอย่างต่อเนื่อง จะได้เริ่มหาโฆษณามาลงบ้าง

ขอบคุณอีกแล้วครับ



วู้ว ~~~ 200 แล้ว!!!!

Wednesday, March 25, 2009

Repetitive Strain Injury

ขอฝาก entry นี้ให้ทุกๆคนที่ใช้คอมพิวเตอร์ประจำสม่ำเสมอ

เมื่อวานนี้เราเกิดอาการปวดไหล่ข้างขวาอย่างรุนแรงมาก
อีกทั้งมีอาการชาที่แขนขวาทำให้ขยับแขนได้ไม่สะดวก
จากการวินิจฉัยด้วยตนเองแล้ว นี่คืออาการที่เกิดจากการวางมือไว้ที่เมาส์ไว้เป็นเวลานานอย่างต่อเนื่อง
จะมีปวดตึงมากขึ้นหากเอามือขึ้นมาวางบนเมาส์ หรือกิจกรรมอื่นๆที่ต้องยกมือลักษณะองศาเดียวกันนี้
ยกตัวอย่างเช่น การเขียนหนังสือ การจับพวงมาลัยรถ การกดน้ำชำระโถปัสสาวะชาย การหมุนลูกบิดประตู
กิจกรรมอื่นๆที่น่าจะทำไม่ได้เช่นกันเช่น การเล่นซูโม่ หรือแม้แต่การเต้นรำแบบวอลทซ์หรือแทงโก้

คงเป็นเพราะท่ามาตรฐานของเราเวลานั่งที่คอมคือ มือขวาอยู่บนเมาส์
ส่วนมือซ้ายจะวางนิ้วนาง-กลาง-ชี้ไว้บนปุ่ม A-S-D ตามลำดับ (Damn that Counterstrike!)
และเราก็เป็นคนที่อยู่หน้าคอมเกือบตลอด ที่ทำงาน ที่มหาลัย ที่บ้าน เป็นแบบนี้มาตั้งแต่มีคอมที่บ้าน
แต่ถึงคนอื่นจะไม่ได้อยู่ในท่าที่ว่าบ่อยและนานเท่าเรา ก็อย่าประมาทละกัน
เพราะคนที่ทำงานหน้าคอมนานๆก็น่าจะมีความเสี่ยงที่จะเกิดอาการนี้ได้เสมอ
ต้องรู้จักหยุดพัก เดินไปเดินมา บริหารแขน คอ สายตา เป็นระยะๆ

ไม่อย่างนั้นอาจจะต้องงดเว้นการเต้นแทงโก้ไปซักระยะ


Note:
- เมื่อคืนใช้กระเป๋าน้ำร้อนประคบก็ดีขึ้นนิดหน่อย แต่ไม่หายขาด คาดว่าอาการนี้คงต้องไปฝังเข็ม
- ชื่ออาการนี้เรียกเป็นภาษาอังกฤษว่า Repetitive Strain Injury [อ่านข้อมูลเพิ่มได้ที่นี่]

Tuesday, March 24, 2009

Geeky Dilemma

พยายามสร้าง blog ใหม่อยู่หลายหนหลายแห่ง
ไม่ว่าจะเป็น wordpress, livejournal, exteen, หรือ trendyday
แต่ก็ยังไม่ถูกใจซักที่ แม้แต่ใน blogger นี้เองก็เถอะ
เราพยายามหาที่ๆมีความยืดหยุ่น ทำอะไรได้มากๆเท่าที่อยากทำ
หรือทำอะไรที่อาจจะอยากทำในอนาคตต่อไปได้ด้วย
ยังไงๆก็ยังไม่ลงตัว

คิดไปคิดมาก็เลยพาตัวเองไปอีก step นึงซะเลย
นั่นคือจะทำ wiki!

... จะไหวมั้ยเนี่ย (นั่งทำมาทั้งคืนแล้ว อยากลองทำขึ้นให้ได้ภายในสุดสัปดาห์หน้านี้)


Note:
- entry นี้แค่แสดงความ geek เฉยๆ ไม่มีอะไร

Monday, December 22, 2008

I Heart Chiang Rai


[image by: lerk7]

"I Heart Chiang Rai"
Memoir of My Trip to the North


หลีกหนีโลกความจริงเพื่อเดินทางไปเหนือกับครอบครัวมาเมื่อเร็วๆนี้
จุดประสงค์ของทริป(กำหนดโดยพี่ๆ)คือการพาแม่ไปชมดอยเมืองเหนือ
แม่บอกว่าแม่เกิดปีกุน ต้องไปไหว้พระธาตุดอยตุง (แล้วเกิดปีระกาต้องไหว้อะไร)
และไหนๆก็ไหนๆเลยไปเที่ยวให้ได้หลายๆดอยก่อนจะไม่มีแรงเที่ยว
ถึงจะไม่ชอบไปไหนมาไหนกับครอบครัว แต่ก็ถือว่าได้ทำอะไรให้แม่บ้าง
และเป็นจังหวะที่ชีวิตการงานย่ำแย่มาก เลยถือเป็นการ break ไปในตัว
หวังว่าจะแกล้ง enjoy ชีวิตในวันว่างได้บ้างก็ดี

วันแรก:
- ตารางทัวร์ออกแบบโดยพี่สาวเราเองแน่นมาก
- อาหารเช้าร้านเฮือนเพ็ญอร่อยดี (ข้าวเหนียวนุ่ม + แกงฮังเล)
- พี่ประเสริฐ คนขับรถตู้นิสัยดีมากๆๆๆ
- หนานอ้าย ลุงไกด์เวียงกุมกามนิสัยดี
- ไส้อั่วในเวียงกุมกามเป็นไส้อั่วที่อร่อยที่สุดในชีวิต
- ทำตัว anti-pop culture ด้วยการไม่เข้าไปในร้านของ comedian ชื่อดังท่านหนึ่ง
- คืนแรกได้พักในค่ายทหาร ศูนย์เรดาร์ ยอดดอยอินทนนด้วยล่ะ (ถูก+ไม่มีคนอื่น)
- Latte ร้อนของ Cafe Amazon บนดอยอินทนนท์อร่อยดี
- กลางคืนอากาศเย็นดีมาก(ชอบ) แต่ที่บ้านรีบเข้านอนกันหมดเพราะบอกว่าหนาว
- เราเลยต้องกินเบียร์ไปพร้อมดูดาว(ที่เยอะมากๆๆๆๆๆ)คนเดียว
- ดาวบนดอยเยอะจริงๆ

วันที่สอง:
- Latte ร้อนตอนเช้าไม่อร่อยเท่าเมื่อวาน เพราะมันเย็นเร็วมาก
- แต่ไวไวควิก (ถ้วย) รสหมูสับให้ความรู้สึกที่ดี
- แกงเลียงในโครงการหลวงดอยอินทนนท์เผ็ดมาก
- ถ้าไปวัดถ้ำเชียงดาว ไม่ต้องเข้าถ้ำนะ (ไกด์เลวมาก)
- นอแล ชายแดนไทย-พม่า บรรยากาศดี แต่รู้สึกเกร็งๆบอกไม่ถูก
- ขอบด้ง มีบ้านไม้ชาวเขาอยู่ใน valley สวยดี (ไปบริจาคของ)
- คนไปกินข้าวในโครงการหลวงบนดอยอ่างขางเยอะเกิน
- พนักงานเสิร์ฟอาหารในโครงการหลวงบริการดีมาก
- เราคิดว่าคนส่วนใหญ่พยายาม build ตัวเองให้หนาวกันเกินจริง
- เราใส่เสื้อยืดขาสั้นเกือบทั้งทริปเลย
- กินไวน์ลูกท้อไป 1 ขวดใหญ่และเหล้าสตรอว์เบอรี่ไปขวดครึ่งกับพี่อีก 1 คน

วันที่สาม:
- ตื่นมาแฮงก์นิดหน่อย แต่ท้องเสียมาก
- เลือกไปนั่งหลังเพราะอยากอ้วก ... และก็สมใจจริงๆ
- ไปไหว้พระธาตุดอยตุง แม่ได้ไปห่มผ้าพระธาตุด้วย ดีจัง
- ชอบพระตำหนักดอยตุง ชอบผนังไม้ที่แกะเป็นคำกลอน (ถ้ามีบ้านจะทำ)
- ไปแม่สาย!!!!!!!! พีคที่สุดของทริปนี้ โว้ว!!!!! (ได้หนังเยอะมาก)
- ไปหอฝิ่น ดูสารคดีสมเด็จย่า น้ำตาซึมเลย
- นวดเท้าในเมืองเชียงราย พี่ๆเราเสียงดังกันมาก (แย่ๆ)
- Dusit Island Resort ไม่มีอะไรให้ทำตอนกลางคืน แต่อากาศดี

วันสุดท้าย:
- วัดร่องขุ่นสวยดี แต่ภาพวาด อ.เฉลิมชัย สวยจริงๆ
- หลงรักเชียงรายด้วยอากาศดีๆ ขนาดเมืองพอเหมาะ ความเจริญกำลังดี

พอแล้วล่ะ อ่านแล้วอาจจะไม่รู้ว่าทำไมเราชอบเชียงราย
เราเองก็อธิบายไม่ได้ เพราะมันเป็นเรื่องเล็กน้อยที่หยิบมาพูดไม่ถูก
แต่รวมกันแล้วทำให้อยากไปอยู่จริงๆ

Thursday, November 13, 2008

Refreshed

(วันนี้ขี้เกียจหารูป)

เขียน entry นี้ตอนช่วงโดดงานสองวัน(ขอโทษครับพี่พี) หลังจากงานแฟตจบลง
จะว่าเหนื่อยก็ไม่ได้เหนื่อยเท่าปีที่เคยๆทำมานะ เฉพาะหน้างานเรียกว่าเหนื่อยน้อยมากก็ได้
ก็ต้องขอขอบคุณสมาชิกชาวคณะสนามหลวงทุกๆท่าน
พี่เต็ด (ที่มาช่วยขายในวันแรกด้วย) พี่พี (ที่คอยเตือนให้ plan ตั้งแต่ 3-4 เดือนก่อน และโทรมาถามไถ่)
พี่เจี๊ยบ พี่นุ้ย พี่ปลา พี่แก้ว กี้ แยม เซาะ ตี๋ พี่ปอ ที่ช่วยทั้งที่บูธ และก่อน+หลังงาน
น้องฝึกงานทุกๆคนที่ช่วยกันคนละไม้ละมือ เพื่อนๆทุกท่านที่แวะเวียนมาที่บูธ
ศิลปินทั้งเดี่ยวและกลุ่มที่แสดงโชว์ดีๆให้คนดูสนุกและคนในค่ายปลื้มใจ
จนทำให้งานนี้พอจะเรียกได้ว่าผ่านพ้นไปได้ด้วยดี
ต้องขอขอบคุณเพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ อีกครั้งที่ร่วมทำงานนี้ด้วยกัน

ขอบคุณครับ


Note:
- ไม่รู้ทำไม ช่วงนี้รู้สึกสุขภาพจิตดี๊ดี (ดี)
- รู้ตัวมากขึ้นว่าต้องการทำอะไร และควรทำอะไร (ดี)
- ไม่ค่อยได้สนใจการเรียนเท่าไหร่ช่วงนี้ (ไม่ดี)
- กำลังอ้วนมาก (ไม่ดี) อาจทำให้ต้องซื้อเสื้อผ้าใหม่ (ดีบ้างไม่ดีบ้าง)
- เดือนนี้เป็นเดือนเสียเงินโดยแท้ ต้องซื้อของเยอะมาก (ไม่ดี)
- หวังว่าจะออกกำลังกายสม่ำเสมอในสัปดาห์นี้เป็นต้นไป (น่าจะดี)
- ได้ไปสถานที่ hip / cool มา รู้สึกว่าไม่เหมาะกับเราเลยจริงๆ (ไม่ดี)
- แต่คนที่ไปอยู่ที่นั่นก็ไม่ได้เหมาะหรอกเนา่ะ มีแต่ wannabes (ไม่ดี)
- เดือนธันวาจะลาพาแม่ไปขึ้นดอยที่เชียงใหม่-เชียงราย (น่าจะดี)

- ถ้านึกอะไรออกจะมาเขียนใหม่นะ ...

Friday, October 17, 2008

Time Flies, With or Without Fun


[image by: Alan Joyce @ Flickr]

ขอยอมจำนน ยอมรับว่าไม่มีอะไรจะมาเขียนเลยจริงๆ
เรื่องอะไรต่ออะไรต่ออะไรผ่านๆเข้ามาแล้วก็รีบๆออกไป
ไม่มีเวลาจะมาหยุดคิดแล้วชื่นชมหรือรำคาญอย่างที่เคยๆ
วันๆล่วงเลยไปแบบไม่ค่อยรู้เนื้อรู้ตัวอะไร
นั่งอยู่ดีๆก็ผ่านเที่ยงคืน หมดไปอีกวัน
เดี๋ยวนอนได้แป๊บๆก็หมดไปอีก 3-4-5-6-7-8 ชั่วโมง (แล้วแต่ความเหนื่อยสะสม)
ไปทำงานนั่งๆอยู่ก็บ่าย พอออกไปกินข้าวนั่งอีกเดี๋ยวก็เย็น
นั่งต่ออีกหน่อยไปๆมาๆก็ 2-3 ทุ่ม
หรือถ้าวันไหนมีเรียนก็ต้องรีบไปให้ทัน ไม่ให้อายคนอื่นๆเพราะเข้าสาย
ไม่เข้าใจจริงๆว่าทำไมมันถึงเป็นแบบนี้ไปได้
และยังไงๆก็หาทางออกให้กับตัวเองไม่ได้สักที

เฮ้อๆ

(ถ้ายังไม่รู้สึก ทุกบรรทัดที่ผ่านมามีไม้ยมก --> ๆ ในทุกๆบรรทัดนะ)

จบและๆ

Tuesday, September 23, 2008

Golden Generation


[image by: lerk7]

วันก่อนเราพูดกับเพื่อนเราว่ารู้สึกโชคดีที่ได้เกิดและโตมาในยุคของเรา
ได้เห็นเทคโนโลยีค่อยๆพัฒนาเร็วขึ้น และเร็วขึ้นเรื่อยๆ
เห็น computer เปลี่ยนจากอุปกรณ์สำนักงานชั้นสูงจนเป็นกลายเครื่องใช้สามัญ
ทันใช้ DOS แล้วเปลี่ยนเป็น Windows จนอีกหน่อยทุกอย่างคงเป็น Surface Computing
ได้ใช้อินเตอร์เนทตั้งแต่ยุคแรก เห็น Dot-Com Boom และ Dot-Com Bust จนฟื้นตัวอีกครั้ง
ผ่านช่วง cycle เศรษฐกิจช่วงรุ่งเรือง ช่วงตกต่ำ ช่วงฟื้นตัว ช่วงวิกฤติการเงินโลก
ทันชีวิตการสอบเอนทรานซ์แบบเก่า (ถึงจะไม่ได้ทำอะไรมาก และไม่รู้ว่าแบบใหม่เป็นยังไง)
ดนตรี alternative และ britpop เข้ามาในช่วงอายุที่ดีที่สุดของการฟังเพลง

แล้วเราก็คิดขึ้นมาว่าคนในทุกยุคก็คงคิดเหมือนๆกันละมั้ง

แต่ถ้าเกิดเร็วกว่านี้คงพลาดความน่าตื่นตะลึงของวิทยาการใหม่ๆ และขอบเขตความคิดมนุษย์
แต่ถ้าเกิดช้ากว่านี้คงไม่มีความรู้สึกตื่นเต้นกับอะไรสักอย่างในโลกนี้ เพราะมันเป็นเรื่องธรรมดาไปหมด


Note:
- งานศิลปะ(?)แบบ collage(?) ที่เห็นด้านบนนี้เราทำเองนะ ช่วยชื่นชมในความพยายามด้วย
- Inspiration ของหัวข้อนี้เกิดจากการดู Back to the Future เมื่อเร็วๆนี้อีกครั้ง

Sunday, August 31, 2008

Surrendering


[image by: lastoneontherack @ deviantART]


ก่อนวันนี้ การตัดผมสองครั้งล่าสุดของเราไม่ได้เกิดขึ้นที่ร้านตัดผม
เราไปซื้อกรรไกรอันละ 200 กว่าๆ มาตัดซอยเอง โดยมีคนช่วยเหลือบ้าง
กรรไกรซอยผมมันดีตรงที่ตัดมั่วยังไงก็ไม่เสียทรง (เพราะมันไม่เป็นทรงอยู่แล้ว)

วันนี้รู้สึกรำคาญความยาวของผมอีกครั้งก็เลยจะตัดเองอีก
เริ่มปุ๊บก็ตัดๆๆๆๆๆๆๆๆ กะเอาด้านหลังที่เริ่มยาวออกก่อนเลย
ใช้ความรู้สึกเอาเองว่าพอแล้ว ก็ขยับจะตัดด้านบนและลามไปด้านหน้าต่อ
แต่อยากเห็นผลงานเลยเอากระจกมือถือไปส่องสะท้อนกระจกห้องน้ำดู
ปรากฏว่าเบี้ยว! ด้านซ้ายยังยาว ตรงกลางบางและลึกเข้าไป ด้านขวาดูยุ่งๆ

แต่ไม่ยอมแพ้หรอก เราก็เลยถือกระจกส่องมือนึง อีกมือพยายามแก้ไขด้วยกรรไกร
และอย่างที่บอกไปว่ากรรไกรซอยมันทำอะไรกัับทรงผมมากไม่ได้ เลยตัดแก้ไขไม่ได้
ก็ยังไม่ยอม เอามีดโกนหนวดมาโกนไรผมและผมด้านซ้ายที่ยาวเกินออก
แต่การขยับมีดผ่านกระจกสะท้อนสองชั้นมันยากมาก ก็เลยทำได้ไม่ดีนัก (ยังเบี้ยวอยู่)
ก็เลยเอาที่โกนหนวดไฟฟ้ามาแก้ไข เพราะที่โกนเรามีอุปกรณ์กำหนดความยาวอยู่

หลังจากใช้ที่โกนไฟฟ้าที่ว่านี้แก้ไขเสร็จสิ้น เราก็เลิกและไปอาบน้ำ
ถึงใครที่อ่านอยู่ตอนที่เรากำลังโพสต์นี้ พรุ่งนี้เจอเราได้ที่ออฟฟิศแต่เช้า
เพราะจะไปให้ร้านตัดผมชั้น B2 ซ่อมแซมผมที่โคตรจะบิดเบี้ยวตอนนี้

เจอกันครับ


Note:
- จริงๆอยากตัดสั้นแบบเดิมมาหลายเดือนแล้ว แต่ไม่มีตังค์ไปร้านตัดผม (เอาไปซื้อกรรไกรแทน)
- เดี๋ยวจะซื้อบัตตาเลี่ยนแบบมือโปรมาติดไว้แล้ว เพื่อจะโกนเองในอนาคต
- ช่วงนี้สภาวะจิตใจแย่ถึงแย่มากครับ ถ้าดูหงุดหงิดหรือพูดจาไม่ดีก็ขออภัย
- นอกจากนั้นแล้วช่วงนี้ก็นอนน้อยถึงน้อยมากด้วย ถ้าดูหงุดหงิดหรือพูดจาไม่ดีก็ขออภัย (copy+paste ข้างบนมา)

Thursday, August 28, 2008

thank you, thank you so much


[image by: KathrynKelly @ deviantArt]

"ขอบคุณ ขอบคุณมาก"
ประโยคนี้หลุดออกมาซ้ำๆไม่รู้กี่ครั้ง พร้อมกับน้ำตาที่ไหลพรู
ผู้คนส่วนใหญ่ได้แต่สงสัยว่าเกิดอะไรขึ้น
แต่เราจะจำประโยคนี้ให้ขึ้นใจ ไม่มีวันลืม
เรื่องราวในคืนฤดูร้อนปี 2004

"ขอบคุณ ขอบคุณมาก"

Tuesday, July 29, 2008

Sorry, Blog


[image by: martbeee @ flickr]

ใครบ้างรักษาสัญญาที่ให้กับตัวเองไว้ตอนปีใหม่ไปได้ตลอดปี
คงมีไม่มากเท่าไหร่ เพราะของที่จะสัญญากับตัวเองส่วนใหญ่จะยากพอสมควร
เพราะรู้ว่าโอกาสทำสำเร็จมีน้อยเลยตั้งเป็นความมุ่งมั่นที่จะเริ่มปี
พอเข้าสู่กลางๆปีมันก็ค่อยๆหายไป

ยกเรื่องนี้มาพูดก็เพราะว่าเราเองก็มีความตั้งใจตอนปีใหม่เหมือนกัน
และพอผ่านครึ่งปีมาได้เดือนนึงแล้วก็ปรากฏว่า ...
เหลือแค่ข้อเดียวที่เรายังทำได้อยู่สม่ำเสมอ (ขอให้เดาเอาเอง)

ขอนึงที่ทุกคนคงเห็นว่าเราทำไม่ได้คือเขียน blog อย่างต่อเนื่อง
เราหยุดไปนานขนาดนี้เพราะอะไรก็บอกไม่ได้เหมือนกัน
เรารู้สึกว่ามีอากาศที่ negative เวียนวนอยู่รอบๆตัว
เราไม่อยากเขียนอะไรออกมากเพราะมันก็จะมีแต่ความ negative
แต่การทรยศต่อความตั้งใจของตนเองก็กลับมาทำร้ายเราจนได้
พอเราไม่เขียนกลายเป็นว่าเราสุขภาพจิตเสียไปพอสมควร
ความคิดไม่ปะติดปะต่อ อารมณ์ก็ไม่ค่อยจะดี อะไรๆก็เครียดไปหมด
รู้สึกได้จริงๆตอนเขียน entry ล่าสุดเมื่อ 2-3 วันก่อน
พอเขียนออกมาได้มันรู้สึกเบาสบายขึ้นเหมือนกัน

รู้อย่างนี้แล้วคงจะพยายามลากตัวเองมาเขียนอะไรบ่อยขึ้น
style อาจจะเปลี่ยนไปนิดหน่อย เพราะว่าห่างเหินไปบ้าง
... แต่เดี๋ยวนี้ก็ไม่ค่อยมีคนเข้ามาอ่านอยู่แล้วมั้ง


Note:
- ขอโทษครับ blog ที่ผมทิ้งคุณไปนาน อภัยให้ผมด้วยนะ
- ขอโทษมิตรสหายรอบข้างถ้าผมทำให้ท่านเป็นห่วง ผมจะทำตัวให้ดีขึ้นครับ

Sunday, February 17, 2008

Can't Smile Without You



"ปิดปาก"
เจอรี่ ศศิศ มิลินทวณิช
Jerry Blueberry

นี่คือเพลงที่เราฟังเยอะที่สุดในช่วงนี้
ไม่มีเหตุผลอะไรพิเศษ แค่ชอบฟัง

Note:
- ชื่อ "ศศิศ" เขียนแล้วสวยดี

Wednesday, February 6, 2008

The Soup Question


[image by: mister bend @ flickr]

เราชอบหนังเรื่อง Finding Forrester และพึ่งดูจบไปอีกรอบเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา
มีหนังอยู่ไม่กี่เรื่องที่เราดูซ้ำเรื่อยๆแล้วยังให้ความรู้สึกดีเหมือนตอนที่ดูครั้งแรก

Finding Forrester พูดถึงหลายอย่างเกี๋ยวกับการหาที่ที่เหมาะสมของตัวเองในสังคม
และมีประโยคหนึ่งที่เราชอบมากๆ ในขณะที่คนจำพวกหนึ่งไม่มีวันเข้าใจมัน
"The object of a question is to obtain information that matters only to us."
ในหนังจะมีคำถามที่ถูกเรียกว่า Soup Question คือคำถามที่มีคุณสมบัติตามที่บอกไว้ข้างบนนี้
เราก็เชื่อแบบนั้นเหมือนกัน อาจจะเพราะว่าเราไม่ชอบการคุยสัพเพเหระเพียงเพื่อให้มีการพูดคุย
เวลาได้ยินคำถามแบบนั้นมันทำให้รู้สึกรำคาญ รังเกียจ และเบื่อหน่ายมากๆ
ที่แย่คือ ในบ้านเรามีคนแบบนี้อยู่ไม่น้อย ทำให้คำถามที่ไม่ใช่ Soup Question อยู่ในชีวิตเยอะมาก
ยกตัวอย่างคำถามที่เราจะได้ยิน - - "ยังจำภาษาเยอรมันได้บ้างมั้ย?"
คำถามแบบนี้จะถูกถามขึ้นมาลอยๆ และพอมีคำตอบไม่ว่าแบบไหนก็จะผ่านไปแบบลอยๆ
ประโยชน์ของคำตอบที่ได้มันคืออะไร รู้แล้วเอาไปทำอะไรต่อได้
ที่แย่ไปกว่านั้นคือเวลาที่ถูกถามจากคนที่ไม่ได้อยู่ในวงจรชีวิตปกติของเรา
พวกคนที่ไม่ได้เจอกันมานาน และอาจจะไม่เจอกันไปอีกนาน

คนพวกนี้ที่ถาม เค้าก็ถามแค่เพราะอยากจะหาทาง connect กับเราแต่ไม่ได้ใส่ใจในคำตอบของคำถาม
เค้าไม่ได้สนใจอยากรู้หรอกว่าคุณกินอะไรมาตอนเที่ยง แต่อยากให้คุณเห็นตัวตนของเค้ามากกว่า

แต่มันก็มีคำถามที่ถามเรื่องของคนอื่น เพราะว่าสนใจที่จะรู้เรื่องราวของคนนั้นจริงๆอยู่เช่นกัน
การถามคนรักของคุณว่าเหนื่อยมั้ย คุณถามออกไปเพราะคุณมีความห่วงใย
การถามความคิดของคนที่คุณชื่นชอบมันก็มีความหมายต่อตัวคุณ เพราะความคิดของเค้ามี value ต่อคุณ

สำหรับเราแล้ว เราอยากให้ในสังคมมี Soup Question เยอะๆ และคำถามแบบแค่ขอให้ได้พูดลดหายไป

... อย่างน้อยเริ่มจากในบ้านก็ยังดี

Sunday, February 3, 2008

Back to My Post: an Update of My Life


[image by: MrLomo @ flickr]

I've been away for a while, not from where I usually am, but from what I usually do. I did things I normally hadn't got to do much of late - that's working. I also didn't get to do what I would normally do, and that's blogging. It's pretty good that I finally got to do something meaningful at work, unfortunately the timing was just bad; I'll tell you why afterwards. What's even worse was that I missed blogging, reading and commenting so much - my apologies to all of you, I'm catching up now.

Now on to blogging.

There are manythings I'd want to talk about, but that'd take too much of the time I have today so I'll save that for later. Instead I'll do something I rarely do and that's giving updates of things happening around me.

One of my good colleagues is leaving to take a job that he loves. He's an illustrator/3D animator who happened to be working in a very wrong environment for him. I'm glad he finally gets to do what he's good at and wishes him the best of luck. You can read his blog HERE (You won't be seeing any of his works there though.)

My good friends have left to do whatever it is that they do abroad. (Obviously blogging is not one of the things that they do.)

My sister had a miscarriage: very sorry for her. (It happened about a few months ago, but I didn't get to mention it.)

I'll be working here for about 1.5 months more then I'm going back home. That's why the timing of the works they assigned to me was just bad.


That's all for today. See you around soon.


Note:
- This blog is in English just because I wanted to know that I still can use English.

Saturday, January 26, 2008

Home Awaits


[image by: gottcha78 @ flickr]

อึดอัดมาก ไม่ค่อยได้เขียนอะไรในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมานี้
จู่ๆงานก็เข้ามาเยอะมากผิดหูผิดตา จากว่างๆก็มีโปรเจกต์มา 3-4 อย่าง
ทำให้ตั้งตัวไม่ค่อยทันเหมือนกัน และเวลาก็ลดหายไปหมด
มีเรื่องเกิดขึ้นเยอะนะ รอบๆตัวเราช่วงนี้
พยายาม draft ทิ้งไว้ก่อน ถ้าว่างจะมาเขียนเล่าต่อ
แต่มีเรื่องนึงจำเป็นต้องเขียนก่อนเลย

ไม่รู้จะเกริ่นยังไง บอกง่ายๆเลยดีกว่า


"จะกลับไปละนะ"


ขอบคุณ คนนี้ และ คนนี้ ที่มีพื้นที่ให้ผมมาตลอด และยังให้โอกาสดีๆอีกครับ
ขอบคุณทุกท่านเหล่านี้ที่ไม่เคยลืมกัน ทำให้ผมไม่ต้องกังวลที่จะตัดสินใจ
... แล้วจะรีบไปครับ


This is the easiest decision for me;
there are no worries or anxiousness,
only happiness and excitement.
I know it's still very early to talk,
but this will be good.

... I'm running home