Menu

Showing posts with label Dream. Show all posts
Showing posts with label Dream. Show all posts

Thursday, November 19, 2009

A Quest for Questions


[image: jamuraa @ flickr]

เคยมีเวลาที่คุณนั่งอยู่เฉยๆแล้วลองมองเรื่องราวต่างๆในชีวิตรึเปล่า?
ไม่ว่าจะเป็นเรื่องสิ่งที่ทำอยู่ในวันๆ เรื่องความฝันที่ต้องการ เรื่องผู้คนรอบๆตัว
มีใครเคยบอกไว้ ซึ่งผมก็จำไม่ได้และวันนี้ก็ไม่อยู่ในอารมณ์ที่จะหาคำตอบนั้นด้วย
"ยิ่งเราวิ่งเร็วขึ้น สิ่งรอบตัวเราก็จะยิ่งกลายเป็นเพียงภาพเบลอ"
ถ้าพอมีเวลาก็อยากชวนให้ลองหยุดคิดตั้งคำถามกับตัวเองดูบ้าง แทนที่จะถามคนอื่น

เราทำสิ่งที่ทำอยู่ทุกวันนี้ทำไม?
สิ่งที่เราทำมันทำให้ชีวิตเราหรือใครดีขึ้นบ้างมั้ย?
ความฝันที่เราเคยอยากทำทุกวันนี้เข้าใกล้หรือยิ่งออกห่างไปไกล?
ของที่เราเคยชอบตอนนี้ยังรู้สึกชอบมันรึเปล่า?
เพื่อนที่เคยสนิทชอบพอ ทุกวันนี้ยังอยากคุยด้วยบ้างมั้ย?

คำถามพวกนี้มันอาจจะไมได้เปลี่ยนแปลงชีวิตของเรา
แต่อย่างน้อยนานๆทีมันก็ช่วยให้เราจำได้อีกครั้งว่าเราคือใคร

ก็อย่างที่บอกว่าถ้าว่างผมก็อยากชวนให้ลองถามตัวเองกันบ้าง
บางทีคำตอบที่ได้กลับมาอาจจะทำให้คุณแปลกใจ
อย่างน้อยๆผมก็แปลกใจกับตัวเองมาแล้วเหมือนกัน

Wednesday, April 22, 2009

Flure Therapy


[image from Se-Ed]

ครั้งแรกที่เห็นหนังสือเล่มข้างบนนี้ไม่ได้มีความคิดว่ามันจะเป็นหนังสือที่พูดถึงวงดนตรีชื่อ Flure เลย
เพราะปกกับชื่อหนังสือไม่ได้สื่อถึงอารมณ์ของวงในแบบที่เรารู้จักแม้แต่นิดเดียว

Flure เป็นวงที่เราติดตามแบบไม่ได้ใกล้ชิดมาก แต่สนใจข่าวคราวอยู่เสมอ
เหตุผลสำคัญที่สุดของการติดตามคือ สมาชิกคนหนึ่งของวงเคยเป็นเพื่อนร่วมวงของเรา
และอีกหลายๆคนในวงก็คุ้นๆหน้ากันมาเป็นสิบปี
ส่วนเหตุผลที่รองๆลงมาคือเราชอบเพลงของพวกเค้าบางเพลง
เหตุผลรองลงมาอีกนิดคือมีชื่อเราในปกอัลบั้มแรกด้วย (ลองหากันเอาเอง)

ที่ผ่านมาภาพวง Flure ในแบบที่เรารู้จักคุ้นเคยคืออัลบั้มแรก
เพราะเรารู้ตัวตนของคนที่เรารู้จักว่ามันดิบ มันพล่าน
พออัลบั้มที่สองเรารู้ว่ามันละเมียดขึ้น มันโตขึ้น
แต่มันไม่ใช่ภาพในแบบที่เราคุ้นเคยก็เลยไม่ค่อยสนใจเท่าไหร่
ชุดที่สามยิ่งแล้วใหญ่ ไม่หามาฟังเลย เพราะเพลงที่โปรโมทมันราบเรียบมาก

อยู่มาวันนึงเมื่อปีที่แล้ว (2008) ไม่รู้ทำไมเราถึงหยิบ DDT เล่มเก่า (ปี 2007) ในออฟฟิศมาอ่าน
เป็นเล่มที่สัมภาษณ์ Flure พอดี และด้วยเหตุผลที่พูดๆมาข้างบนก็เลยอ่านแบบทุกตัวอักษร
บทสัมภาษณ์นี้ทำให้เรารู้สึกว่า "พวกมันพูดจาดีว่ะ"
(ขออนุญาตเรียกวงนี้ว่า'มัน'ด้วยความสนิทสนมครั้งก่อนเก่า)
มันมีจุดยืนของวงดนตรีที่ชัดเจน
พวกมันมีที่มา มีการเติบโต
พวกมันจริงจังกับของที่มันทำจริงๆ
เวลามันพูดเรื่องการทำดนตรีมันพูดละเอียดมากแบบไม่แคร์ว่าคนจะไม่อิน
มันไม่ตอบคำถามแบบห่วงลุค แต่มันแคร์ตัวตนของแต่ละคนและของวง

ความรู้สึกลึกๆตอนอ่านจบคือ "เด็กที่กำลังเล่นดนตรีน่าจะได้อ่านอะไรแบบนี้"
เพราะพวกมันมี 'จิตวิญญาณ' (กรุณาอย่าเห็นคำนี้เป็นเรื่องตลก เพราะกำลังพิมพ์ด้วยน้ำเสียงในหัวที่จริงจัง)
อยากให้ความตั้งใจในแบบของพวกมันทำให้เด็กบางคนเอาเยี่ยงอย่างบ้าง

กลับมาที่หนังสือเล่มนี้ ที่ปกกับชื่อหนังสือเหมาะจะเป็นหนังสือของ BrandAge มากกว่า
แต่ว่าเนื้อหาข้างในก็จัดว่าหนักใช้ได้เลย ถึงจะพูดถึงเรื่องราวของวงมากกว่าการทำงาน
(อ่านแล้วจะเหมือนกับอ่านการ์ตูนเรื่อง Beck ที่พูดถึงวงดนตรีที่เต็มไปด้วยปัญหา)
ยังไงซะ อ่านแล้วก็จะรู้อยู่ดีว่าคนพวกนี้เค้าตั้งใจแค่ไหน

ขอแค่มีเด็กที่เล่นดนตรีได้อ่านเรื่องของ Flure ไม่ว่าจะจากที่ไหนก็ตาม
เราเชื่อว่าจะมีคนรู้สึกถึง 'จิตวิญญาณ' ของพวกเค้าและอยากเอาเยี่ยงอย่าง
ขอแค่นั้นแหละ วงการเพลงของเราก็มีทางรอดแล้ว


Note:
- นี่คือ entry ที่ 199 ของ blog แห่งนี้ ... กดดันเลยว่าครั้งหน้าจะเขียนอะไรดี

Thursday, August 28, 2008

thank you, thank you so much


[image by: KathrynKelly @ deviantArt]

"ขอบคุณ ขอบคุณมาก"
ประโยคนี้หลุดออกมาซ้ำๆไม่รู้กี่ครั้ง พร้อมกับน้ำตาที่ไหลพรู
ผู้คนส่วนใหญ่ได้แต่สงสัยว่าเกิดอะไรขึ้น
แต่เราจะจำประโยคนี้ให้ขึ้นใจ ไม่มีวันลืม
เรื่องราวในคืนฤดูร้อนปี 2004

"ขอบคุณ ขอบคุณมาก"

Tuesday, March 18, 2008

A Geeky Dream


[image by: JamFactory @ flickr]

เมื่อคืนฝันว่ารู้คะแนนสอบวิชาเศรษฐศาสตร์ที่พึ่งสอบไปเมื่อสองอาทิตย์ก่อน
ปรากฏว่าได้คะแนนเต็ม!!! เล่นเอาทั้งห้องฮือฮา เพราะนี่เป็นวิชาที่คนทำไม่ค่อยได้กัน
ข้อสอบมีทั้งหมด 5 ข้อ ข้อละ 30 เราได้เต็ม 150 คะแนน!!!!!

หลังจากนั้นอาจารย์ก็เฉลยข้อสอบ เราจำได้ไม่ละเอียด แต่จะลองยกตัวอย่างดูนะ

2. ให้ยกตัวอย่างพฤติกรรมที่ไม่ดีของดาราในยุคปัจจุบันมา 2 ตัวอย่าง และคิดว่าเกิดจากสาเหตุอะไร
หรือ
4. ถ้าหากอยู่ในบริเวณที่มีงู (พันธุ์อะไรซักอย่าง) อยู่ 3 ตัว จะออกจากที่นั่นอย่างไร

ถามยากขนาดนี้เราทำได้เต็มได้ยังไงกันเนี่ย
ทั้งห้องบ่นกันใหญ่เลยเพราะทำให้ mean สูงขึ้น
ก็รู้สึกผิดนิดหน่อยนะ แต่ลึกๆก็ดีใจอยู่

... เมื่อกี๊บอกว่าสอบวิชาอะไรนะ

Tuesday, January 8, 2008

Moment of Awkwardness: Reprise


[image by: Barbara L. Slavin @ flickr]

เมื่อวานตอนกินข้าวในกลุ่ม blogger กัน มีคนพูดถึง entry ของเราอันนึง
อันที่เขียนไว้ใน blog ที่เก่าเมื่อปีที่แล้ว และมีคนชอบกัน
วันนี้เลยเอามาลงอวดไว้ให้อ่านกันสำหรับคนที่ยังไม่เคยอ่าน
ส่วนคนที่เข้ามาอ่านประจำน่าจะเคยอ่านกันหมดแล้วมั้ง



Moment of Awkwardness (March 09, 2007)

ไม่อยากจะเชื่อตัวเองเลย เมื่อคืนเราทำอะไรลงไปเนี่ย
มีเพื่อนพ่อ 2 คนมาเยี่ยมบ้าน ซึ่งทั้งคู่พาลูกสาวมาด้วย

และขอบอกว่าสองคนนี้ไม่ใช่ธรรมดาๆเลยนะ
คนนึงเป็นดารานักแสดงรุ่นใหม่ที่บอกชื่อแล้วหลายคนจะรู้จัก
ในขณะที่อีกคนเป็นนางแบบโฆษณาวัยรุ่นที่คุ้นหน้าคุ้นตากัน
พวกพ่อๆเค้านัดกันจะออกไปเที่ยวที่อื่น เลยพาลูกสาวของพวกเค้ามาฝากไว้ที่บ้านเรา
(ทำไมกันวะเนี่ย? เราได้แต่ถามตัวเอง)

เหล่าพ่อๆออกจากบ้านไปแล้ว เหลือแต่เรากับสาวๆสุดฮอตเหล่านี้
ด้วยความเป็นคนอัธยาศัยดีเลิศ และความผ่อนคลายเมื่ออยู่ใกล้คนหน้าตาดี
(แน่นอนว่าไม่เป็นความจริงเลยทั้งสองอย่าง) เราเลยตัดสินใจที่จะไปนั่งเล่นคอมเฉยๆ
ทั้งสองคนคงจะอึดอัดและกลัวเราจะอึดอัดเลยมานั่งใกล้ๆแล้วชวนเราคุย (เอาเข้าไปสิ)
เราก็ถามคำตอบคำไปเรื่อยตามประสาคนขี้เขิน ... ดีจริงๆ

ไม่นานผ่านไปคุณนางแบบคงเบื่อก็เลยเสนอให้ขับรถพาพวกเขาไปข้างนอก
ทั้งคู่อยากจะไปหาอะไรกิน ไอ้เราก็เริ่มหิวแล้วเหมือนกัน
แต่ด้วยสถานะของสองคนนี้เราก็ไม่รู้ว่าจะกินข้างถนนแบบที่เรากินปกติได้มั้ย
เลยตัดสินใจว่าคงต้องไปร้านที่ดูดีๆหน่อยในเมือง ดังนั้นแล้วเราจึงไปเปลี่ยนเสื้อ

ขณะที่เปลี่ยนเสื้อนั้นเอง จู่ๆทั้งคู่ก็เปิดประตูเดินเข้ามาในห้องเราซะนี่!!
แล้วก็มานั่งชวนคุยกันไปมาระหว่างที่เราเปลี่ยนเสื้อซะยังงั้น
ด้วยความตื่นกลัว เรารีบใส่เสื้อ แล้วขับรถพาทั้งคู่ออกไปหาอะไรกิน
ที่ร้านอาหารทั้งคู่ก็ยังพยายามชวนเราคุยต่อไปอย่างไม่ลดละ ช่างทรมานกันจริงๆ
เราว่าถ้าเป็นผู้ชายคนอื่นคงจะมีความสุขดีแน่ๆ เพราะเราเห็นคนโต๊ะอื่นก็มองมาที่โต๊ะเรากันเรื่อยๆ
แต่เรากลับอึดอัดอย่างบอกไม่ถูก ...

อาจจะเข้าข้างตัวเอง แต่เรารู้สึกเหมือนว่าสองคนนี้สนใจเราจังเลย
นั่นยิ่งทำให้เราอึดอัดเพราะตอนนี้เรามีแฟนแล้ว และก็กำลังมีความสุขกันดี
เรากลัวคนอื่นมาเจอแล้วเอาไปพูด เรากลัวแฟนเราโทรมาแล้วเข้าใจผิด
ที่น่ากลัวที่สุดคือเรากลัวใจตัวเอง (เพราะสองคนนี้ช่างฮอตจริงๆ)

เรารีบกินให้เสร็จแล้วรีบกลับบ้าน จะได้พ้นความทุกข์ทรมานครั้งนี้ไป
พอกลับมาถึง พวกพ่อๆก็กลับกันมาพอดี (ขอบคุณมาก)
พอพวกพ่อๆเห็นเหล่าลูกๆเข้ากันได้ดี (เดาเอาจากการที่ออกไปข้างนอกกันมา) ก็หัวเราะกันใหญ่
แต่พวกเขายังคุยกันต่ออีกพักนึง เราเลยต้องไปนั่งเล่นคอมต่อ โดยที่มีสาวสองคนนั้นอยู่ใกล้ๆ
พ่อของน้องนักแสดงกำลังจะกลับแล้วเลยเรียกลูกสาวของเค้าให้ไปสวัสดีพ่อเรา
ก่อนจะลุกไปเธอยิ้มให้เราแปลกๆ แล้วก็บ๊ายบายเรา ก่อนไปลาพ่อเราแล้วพากันกลับไป
และพอพ่อน้องนางแบบจะกลับ เธอก็ขยับเข้ามาใกล้เรา แล้วพูดเบาๆว่า "เดี๋ยวจะโทรหา รับสายด้วยนะ"
เราตกตะลึง ตกใจ และมึนงงไปหมด "แล้วจะไปเอาเบอร์เรามาจากไหน" "พ่อเราให้มาไว้ก่อนแล้ว" เธอตอบทันที
วินาทีนั้นเรายิ่งรู้สึกตื่นกลัวมากอย่างบอกไม่ถูก เรื่องแบบนี้มันน่าจะไปเกิดกับคนที่ต้องการมากกว่านะ
ความคิดวนเวียนอยู่ในสมอง เวลาจริงๆผ่านไปไม่นาน แต่สำหรับเรามันนานเหลือเกิน
เราตัดสินใจครั้งสำคัญก่อนจะเรียกคุณน้องนางแบบนี่ให้เดินกลับมาก่อน
เรามองหน้าเธอ แล้วพูดด้วยสีหน้าจริงจังที่สุด
"อย่าโทรมาเลยนะ เรามีแฟนแล้วล่ะ และเราก็ไม่อยากทำให้แฟนเราเสียใจด้วย"
วินาทีนั้นเรารู้สึกโล่งอย่างบอกไม่ถูก การเป็นคนซื่อสัตย์มันให้ความรู้สึกดีอย่างนี้เชียว
เธอไม่ตอบอะไร แต่สีหน้าร่าเริง และความช่างหยอกล้อลดหายไป ก่อนจะเดินกลับไปกับพ่อของเธอ
... หลายคนคงคิดว่าสิ่งที่เราทำนั้นเป็นหนึ่งสิ่งที่โง่ที่สุดที่ผู้ชายจะทำได้แน่ๆ
แต่เรากลับรู้สึกภูมิใจกับสิ่งที่เราทำ และทำให้รู้ว่าอะไรที่สำคัญกับเรามากกว่า

...

หลังจากเหตุการณ์นี้จบลง เราก็รีบตื่นขึ้นมาทันที
ขอยืนยันว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องจริงแท้แน่นอน ไม่ผ่านการบิดเบือนใดๆทั้งสิ้น



เรื่องก็มีอยู่เท่านี้ละครับ


Note:
- "Apple is the fruit of temptation"
- Inside Joke of the Day: คนที่เข้ามา blog นี้แต่ยังไม่เคยอ่านอาจจะมีแค่คุณ Plop นะครับ
- จริงๆแล้ววันนี้ไม่รู้จะเขียนอะไรดี

Saturday, October 6, 2007

Timely Technology


[image by: rutty @ flickr]

"อะไรคือสาเหตุที่ทำให้เกิดเทคโนโลยีใหม่ๆขึ้น?"
ดร. ณัฐสิทธิ์ เกิดศรี ถามขึ้นมาในชั้นเรียนวิชา Management of Innovation
เพราะอะไรคนเราจึงขวนขวายพัฒนาเทคโนโลยีชนิดใหม่ๆขึ้นมาเรื่อยๆ
อาจคิดได้ว่าคนเราไม่เคยพอใจในสิ่งที่ตนเองมีอยู่สักที
หรือมองในแง่ดีคือความฝันและจินตนาการของเราไม่เคยจบลง
แต่คำตอบที่เราบอกออกไปคือ ... เวลา

เราคิดว่าเวลาคือตัวแปรที่ทำให้มนุษย์มีพัฒนาการทางด้านความรู้
เพราะเราไม่ได้มีอายุขัยที่ไม่จำกัด และเรามีเรื่องต่างๆที่ต้องทำมากมาย
นวัตกรรมคือสิ่งที่ทำให้เราใช้เวลาในกิจกรรมหนึ่งๆสั้นลง
และยังสามารถช่วยยืดอายุขัยของเราออกไปได้อีกด้วย
ทั้งหมดนี้ทำให้เรามีเวลาเพื่อนที่จะทำกิจกรรมได้มากขึ้น

เพื่อที่เราจะมีประสบการณ์ที่ได้ใช้ชีวิตอยู่มากขึ้น

... นั่นคงไม่ใช่เหตุผลที่เลวร้ายเกินไปที่จะพัฒนาเทคโนโลยีหรอก

Wednesday, September 19, 2007

hyü : Preface



Hue [hyü]
-noun

1. a gradation or variety of a color; tint: pale hues.
2. the property of light by which the color of an object is classified as red, blue, green, or yellow in reference to the spectrum.
3. color: all the hues of the rainbow.
4. form or appearance.
5. complexion.

—Related forms
hueless, -adjective




เนื่องจากคงไม่มีคนเข้า Blog นี้มากกว่านี้อีกแล้ว
และไหนๆรูปก็ไปอยู่บน Blog ของพีร์แล้ว
เลยถือโอกาสนับตั้งแต่ตอนนี้ ค่อยๆแนะนำให้ทุกคนได้รู้จัก
โปรเจกต์ล่าสุด และ(น่าจะ)เอาจริงเอาจังที่สุดเท่าที่เคยคิดทำมา
เจอกันเต็มๆงาน Fat Fest #7 ครับผม

ระหว่างนี้คอยเข้ามาอ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่ครับ

Note:
- พี่พีอย่าลืมจองบูธให้ผมด้วยนะครับ ขอบคุณครับผม
- Definition by Dictionary.com

Tuesday, July 3, 2007

'tis

Be Brave
Be Bold
Be Free
Be Strong

These are the words I want to live and die for.

I want to be brave enough to face my fear.
I want to be bold enough to chase my dreams.
I want to be free so that I won’t be enslaved by human creations.
I want to be strong so I can fight for what I cherish.

And this will be what I live and die for.