Menu

Showing posts with label Entertainment. Show all posts
Showing posts with label Entertainment. Show all posts

Tuesday, November 9, 2010

Fat Impression


[image: Sittichai Jittatad @ deephead.com]

งานแฟตกับผมนับว่ามีความผูกพันกันมายาวนานพอสมควร แม้ว่าผมจะไม่ใช่กลุ่มผู้บุกเบิกที่ไปเทศกาลดนตรีนี้ตั้งแต่หนแรกที่โรงงานยาสูบก็ตาม แต่หากนับจำนวนชั่วโมงที่อยู่ในงานนี้ ผมค่อนข้างมั่นใจว่าไม่น้อยกว่าใครแน่นอน แม้กระทั่งทีมงานก็เถอะ เพราะว่าผมมักจะต้องไปตั้งแต่วัน set up + soundcheck ในวันงานจริงก็จะไปตั้งแต่เช้าของวันแรก (เช้าตรู่ในบางครั้ง) และอยู่กระทั่งปิดงานวันที่สอง จนคนงานเข้ามาเก็บกวาดสถานที่นั่นแหละถึงจะได้กลับ

ผมไม่สามารถตอบได้ว่าผมชอบงานแฟตมากน้อยเพียงใด เพราะความรู้สึกที่มีต่อเทศกาลนี้มันเปลี่ยนไปอยู่ตลอด บางมุมผมก็ชอบที่เรามีงานที่ทำให้ได้ดูโชว์ดนตรีแปลกๆจำนวนเยอะๆในงานเดียว ในราคาไม่แพง (หรือฟรีในครั้งแรกๆ) การจัดคอนเสิร์ตพร้อมกันหลายๆเวทีให้เราต้องตัดสินใจเลือกดูได้แค่วงเดียวในช่วงเวลาหนึ่งก็เป็นเสน่ห์อย่างหนึ่ง theme งานและสถานที่ที่เปลี่ยนไปตลอดทุกครั้งก็ทำให้ชื่นชมความพยายามของทีมงาน(ไม่ว่าสุดท้ายจะได้ผลตอบรับที่ดีหรือไม่ก็ตาม) และมีน้อยงานนักที่เราจะได้พบเพื่อนร่วมรสนิยม และพูดคุยกับศิลปินได้อย่างใกล้ชิดอย่างงานแฟต

กลับกันในอีกหลายๆมุมก็มีเรื่องที่ไม่ชอบอยู่เช่นกัน เช่นการที่ศิลปินอิสระบางท่านมองว่ามันเป็นงานสำคัญที่สุดประจำปีจนหลายคนที่ผมรู้จักต้องพยายามเร่งให้งานเสร็จทันขายในงานแฟตเหมือนว่าเส้นทางการเป็นศิลปินขึ้นอยู่กับงานนี้งานเดียวเท่านั้น หรือบางทีก็มีคนที่ตั้งหน้าตั้งตาจะมาหาผลกำไรจากงานเพียงอย่างเดียวโดยละเลยความกลมกลืนกับงานไปเสียสนิท รวมไปถึงความตั้งใจของศิลปินหรือค่ายเพลงที่จะมานำเสนอผลงานในเทศกาลนี้ที่ถดถอยลงไป สังเกตได้จากบูธที่ว่างเปล่าหลังประตูเข้างานเปิดแล้ว ต่างจากงานครั้งแรกๆที่ค่ายเพลงดูจะตื่นเต้นกับการได้มาร่วมงานแบบนี้มาก ซึ่งนั่นก็อาจเป็นเพราะปัจจุบันมีสิ่งที่ถูกเรียกว่าเทศกาลดนตรีเกิดขึ้นแทบทุกเดือนจนไม่เหลือความน่าตื่นเต้นแล้วก็เป็นได้

และที่คนอย่างผมจะไม่บ่นไม่ได้ก็คือเรื่องของกลุ่มคนจำนวนมากที่เข้ามายังงานเพียงเพื่อแสดงออกถึงอัตตาความ cool ในรูปแบบของตนเองโดยไม่สนใจว่าวัตถุประสงค์หรือกฎเกณ์ภายในงานเป็นอย่างไร

หากเหมือนว่าผมเริ่มเข้าสู่วัยกลางคนที่มองอดีตเป็นเรื่องสวยงามกว่าเหตุการณ์ปัจจุบัน และมีมุมมองปฏิเสธค่านิยมและพฤติกรรมของคนรุ่นใหม่ก็ไม่ผิดนัก เพราะผมก็ยังมีความอยากส่วนตัวที่ให้คนรักเรื่องราวของดนตรีให้ถึงแก่นของมันมากกว่าการเสพมันแบบฉาบฉวย ซึ่งมันคงไม่มีวันเป็นความจริงได้เพราะไม่ว่าอย่างไรยุคสมัยใดกระแสความฉาบฉวยนั้นย่อมเป็นกลุ่มเป้าหมายหลักอันเป็นตัวผลักดันทิศทางของธุรกิจต่างๆซึ่งเป็นแหล่งเงินทุนที่ทำให้เกิดงานที่ไม่น่าจะทำเงินจากกลุ่มคนเพียงหยิบมือได้

ที่เขียนมาข้างต้นนั้น ความตั้งใจแรกมันควรจะเป็นบทเกริ่นนำของสิ่งที่ผมกำลังจะเขียนต่อไป นั่นก็คือความทรงจำของผมเกี่ยวกับงานแฟตในแต่ละครั้งที่ผ่านมา แต่มองไล่ย้อนกลับขึ้นไปก็รู้สึกว่ามันเริ่มยาวกว่า entry ปกติที่ผมเคยๆเขียน หากเขียนต่อไปมันก็คงจะยาวอย่างมหาศาลเพราะความทรงจำในแต่ละปีนั้นมันช่างเยอะเหลือเกิน ขืนเขียนทั้งหมดไปคงไม่ทำให้ใครรู้สึกดีกับมันแน่ๆ

... ก็ขอยกไปไว้โอกาสหน้าละกัน

(ยินดีให้ติดตามอ่านตอนต่อไป)

Note:
- ลองทำสิ่งเนิร์ดๆด้วยการนับชั่วโมงที่อยู่ในงานแฟตแต่ละปีดู นับเฉพาะวัน set up และวันงานเท่านั้น (ไม่นับวันสำรวจสถานที่) ผลออกมาดังนี้:

ครั้งที่ 1 โรงงานยาสูบ
ระยะเวลาที่อยู่ในงานโดยประมาณ: 0 ชั่วโมง

ครั้งที่ 2 ห้างอิมพีเรียล ลาดพร้าว
ระยะเวลาที่อยู่ในงานโดยประมาณ: 0 ชั่วโมง

ครั้งที่ 3 สวนสยาม
ระยะเวลาที่อยู่ในงานโดยประมาณ: 48 ชั่วโมง

ครั้งที่ 4 สนามม้านางเลิ้ง
ระยะเวลาที่อยู่ในงานโดยประมาณ: 46 ชั่วโมง

ครั้งที่ 5 แดนเนรมิต
ระยะเวลาที่อยู่ในงานโดยประมาณ: 33 ชั่วโมง

ครั้งที่ 6 IMPACT Challenger Hall
ระยะเวลาที่อยู่ในงานโดยประมาณ: 35 ชั่วโมง

ครั้งที่ 7 IMPACT Challenger Hall
ระยะเวลาที่อยู่ในงานโดยประมาณ: 0 ชั่วโมง

ครั้งที่ 8 IMPACT Challenger Hall
ระยะเวลาที่อยู่ในงานโดยประมาณ: 32 ชั่วโมง

ครั้งที่ 9 IMPACT Challenger Hall
ระยะเวลาที่อยู่ในงานโดยประมาณ: 31 ชั่วโมง

ครั้งที่ 10 ลานทะเลสาบเมืองทองธานี
ระยะเวลาที่อยู่ในงานโดยประมาณ: 12 ชั่วโมง


รวมทั้งสิ้น 237 ชั่วโมง -- เยอะประมาณคนที่ไปงานทั้งสองวันทุกปี และอยู่ในงานตั้งแต่ประตูเปิดจนปิดงาน

- ภาพด้านบนเป็นภาพที่ผมชอบมากจากงานแฟตครั้งที่ 9 ถ่ายโดยคุณ สิทธิชัย จิตตะทัต (ช่างภาพสารคดีของกลุ่มช่างภาพ Hanuman และเว็บไซต์ deephead.com) -- เป็นภาพวันซาวด์เช็ค ขณะที่แม่บ้านกำลังทำความสะอาดพื้นที่ และต่างสงสัยว่าศิลปินที่ขึ้นมาซาวด์เช็คคนแล้วคนเล่าเหล่านั้นเป็นใครกัน

Monday, September 21, 2009

Tell Me Why


[image by: Daniel Y. Go @ flickr)

หยุดเขียนบล็อกไปพักใหญ่ๆ น่าจะเป็นการห่างหายที่นานที่สุดตั้งแต่เริ่มเขียนเมื่อปี 2005
สาเหตุของการหยุดไปสรุปได้ใจความที่สุดคือความขี้เกียจของเราเอง ไม่เฉพาะเขียนบล็อก แต่เป็นทุกเรื่อง
แต่จะพยายามจะกลับมาเขียนให้ได้บ่อยเท่าๆเดิมอีกครั้ง ตั้งใจว่าอาทิตย์นึงไม่อยากต่ำกว่า 4 entry

เหตุที่คิดจะกลับมาเขียนก็เพราะว่าแผนการที่วางไว้ในอนาคตจะต้องกลับมาเขียน(แบบฉลาด)เยอะมากๆ
ไม่ว่าจะเขียนเป็นบล็อก เขียนเรื่องที่คิด เขียนแสดงความเห็น เขียนรายงานข่าว เขียน เขียน เขียน และ เขียนอีกหลายที
ถ้าไม่ดึงนิสัยและอารมณ์รักการคิดแล้วเขียนให้กลับมาอยู่ในระดับเดิมน่าจะทำให้เกิดปัญหาแน่นอน

ลองเลยละกัน กับหนึ่งในหลายเรื่องที่ draft เอาไว้:

Tell Me Why

ช่วง 2-3 ปีมานี้ผมตั้งคำถามอยู่บ่อยๆว่าทำไมทุกวันนี้วงการดนตรีมันเสื่อมถอยลงทุกวัน
ถ้าถามหลายๆคนก็น่าจะรู้สึกแบบเดียวกัน แต่นี่ไม่ใช่การต่อว่าคนหรือบริษัทไหนนะ
ผมเชื่อว่าเกือบทุกคนที่ทำงานในแวดวงดนตรีรักงานด้านนี้ และให้ใจกับมันเต็มที่
เพราะเอาจริงๆมันไม่ใช่งานที่รายได้ดีกลับมาคุ้มความเหนื่อยเลย -- ถ้าใจไม่รักอยู่ไม่ได้หรอก

ถ้าแกรมมี่เอาเงินที่มีอยู่ทุกวันนี้ไปลงทุนทำอย่างอื่นจะรวยกว่านี้มั้ย? เป็นไปได้มากๆ
ถ้าวันนี้คุณไพบูลย์ ดำรงชัยธรรม พูดออกจากปากมาว่า "ปีนี้เรางดทำเพลงแล้วเอาเงินค่าเพลงค่าโปรโมทไปสร้างคอนโดดีกว่า"
มั่นใจเลยว่ามันจะต้องเป็นคอนโดหน้าตาดีมากๆ(ที่ผมไม่มีปัญญาซื้อได้) ที่จะทำกำไรให้แกรมมี่มหาศาลกว่าที่เพลงทำได้นัก
แน่นอนว่ามันคงไม่มีทางเกิดเหตุการณ์นี้ขึ้น (การงดทำเพลงนะ แต่การไปสร้างคอนโดนั่นก็ไม่แน่ เพราะถึงไม่งดก็มีเงินมากพอ)
เพราะว่าเพลงมันคือตัวผลักดันให้ธุรกิจทุกส่วนในแกรมมี่เดินไปได้ ไม่ว่าจะวิทยุ โทรทัศน์ Digital Content หรือ Artist Management
พูดได้ว่าไม่มีเพลง ก็ไม่มีบริษัท จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ จำกัด (มหาชน) และราคาหุ้นร่วงลงเร็วกว่าคุณจะพูดคำว่า"ตก"จบคำด้วยซ้ำ

แต่อีกเหตุผลนึงที่ผมคิดว่าจะไม่เกิดเหตุการณ์นั้นขึ้นก็เพราะว่าทุกคนที่ทำงานรักวงการนี้
ผมคนนึงล่ะที่รักการเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องกับงานสร้างสรรค์ ถึงจะไม่ได้ทำเองเพราะฝีมือไม่พอ
ชอบการพูดคุยกับคนที่ทำงานด้านนี้เหมือนกัน เพราะเรามีมุมมองที่น่าสนใจมาเล่าให้ฟังกันได้ตลอด
ชอบบรรยากาศการทำงานที่หาไม่ได้จากงานสายอื่นๆเลยจริงๆ
คุณไพบูลย์ คุณเล็ก-บุษบา หรือผู้บริหารไม่ว่าระดับไหนก็คงรู้สึกเดียวกัน ว่ามันเป็นเหมือนบ้านหลังใหญ่
คนที่เราเจอก็คือสมาชิกของครอบครัว งานที่เราทำก็เป็นเหมือนงานดูแลบ้าน
ความสุขของเราคือเวลาเปิดบ้านให้คนอื่นเข้ามาเยี่ยมชมแล้วเค้ามีความสุขเราก็มีความสุขด้วย

แล้วถ้าทุกคนเป็นแบบนั้นจริงๆ(ซึ่งผมคิดว่า 90% เป็นงั้นจริงๆ) ทำไมเวลาเปิดวิทยุถึงได้ฟังแต่เพลงน่าเบื่อขนาดนี้
ศิลปิน นักร้อง นักดนตรี นักแต่งเพลง คนทำเบื้องหลัง คนทำงานก็เก่งขึ้นเรื่อยๆ อุปกรณ์การทำงานก็มีแต่พัฒนาขึ้น
แต่เพลงที่ถูกโปรโมทมันให้ความรู้สึกแห้งๆ แข็งๆ เซ็งๆ ทุกอย่างดูสำเร็จรูปไปหมด
จากประสบการณ์ที่ผมได้สัมผัสมานิดหน่อย ผมให้เหตุผลกับมันว่ามันเป็นเรื่องข้อจำกัดของคำๆเดียวว่า 'ธุรกิจ'

เมื่อเพลงถูกผลักดันจนกลายเป็นอาชีพ เป็นกิจการที่ทำเงินเลี้ยงชีพคนคนนึงหรือหลายพันคนได้
มันก็มีข้อผูกมัดและความกดดันที่จะต้องให้เพลงทุกเพลงที่ทำขึ้นมันทำเงินให้ได้ต่อไปอีกเรื่อยๆ
มีอยู่วันนึงผมนั่งกินข้าวอยู่แถวบ้านและบังเอิญมีโปรดิวเซอร์ท่านนึงนั่งคุยกับนักดนตรีรุ่นน้องโต๊ะติดกันพอดิบพอดี
ความเสือกทำให้ผมได้ยินเค้าคุยกันเรื่องเพลงที่กำลังแต่งอยู่ ยกตัวอย่างประโยคนึงของบทสนทนามาให้ดูกัน:
"ไอ้เพลงนี้นะ ถ้าร้องแบบปกติก็จะเป็น xx-yy-zz
แต่ถ้าตรงคำว่า yy เราใส่เอื้อนเสียงเข้าไปอีกนิด
เหมือนกับที่เพลง ABC ทำ มันก็จะฟังดูมีสเน่ห์ ติดหู และคนชอบได้"

ผมเคยได้ยินประโยคทำนองนี้มาหลายทีแล้วเหมือนกัน แต่วันนั้นผมสงสัยขึ้นมาว่าทำไมต้องพยายามหาทางให้คนชอบตลอด
นิดๆหน่อยๆก็ยังโอเค แต่พอมาทำแบบเป็นล่ำเป็นสัน เก็บทุกเม็ดในทุกเพลง เพลงมันก็เริ่มฟังดูจอมปลอมไปหมด
และส่วนใหญ่โปรดิวเซอร์นักแต่งเพลงพวกนี้นี่แหละที่เขียนเพลงเก็บไว้ใน song bank ของค่ายต่างๆ
พอมีนักร้องที่ร้องเพลงพอได้ หน้าตาดูดี ก็หยิบเพลงที่มีเนื้อหาเหมาะกับบุคลิกเข้ามาสวม ทำดนตรีใหม่ซะหน่อย พร้อมโปรโมททันที

พูดตรงๆผมทำใจยอมรับได้ที่จะมีศิลปินที่ขายหน้าตาที่หาเพลงที่คนอื่นทำไว้มาร้อง เพราะประเทศไหนๆก็ไม่ต่างกัน
แต่ว่าทำไมศิลปินที่มีความสามารถทำเพลงเองได้ถึงทำเพลงที่ออกมาให้ความรู้สึกแบบเดียวกันเลย

... มันเกิดอะไรขึ้นกับดนตรีที่ออกมาจากความรู้สึกจริงๆ บอกผมหน่อย?

Friday, May 1, 2009

The Real Thing

ขอโทษแฟน blog ทุกคนถ้าทำให้รู้สึกว่าวันนี้เราเขียนบ่อยเกินไป
เชื่อเถอะว่าไม่ได้คิดจะเขียนเยอะขนาดนี้ แต่พอดีมันมีเรื่องด่วนเข้ามา
เรื่องที่ว่านั่นก็คือเราเสือกไปเจอดาราคนหนึ่งมาเมื่อกี๊นี้เลย

สื่อมักกล่าวถึงดาราคนนี้ในเรื่องๆหนึ่งอยู่อย่างไม่ขาดช่วง
ผู้คนที่ไม่เคยเจอตัวจริงก็อาจจะคล้อยตามไปด้วย เพราะสื่อกรอกหูเหลือเกิน
จนกระทั่งวันนี้เราได้เจอตัวจริงในระยะใกล้ชิด ขอยืนยันเลยว่าที่สื่อพูดๆกันน่ะ ...

















ไม่เกินเลยความจริงเลยแม้แต่นิดเดียว สมราคาจริงๆ


ขอพูดด้วยความมั่นใจเลยว่า คนนี้น่ะ "ของจริง"

The Next Big Thing


[image from BlackBook (www.blackbookmag.com)]

ดูหนังเรื่อง Milk ไปเมื่อคืนนี้หมาดๆ พอจบปุ๊บคิดทันทีว่าจะต้องมีคนคิดเหมือนเรา
คือคิดว่า James Franco คือนักแสดงที่จะขึ้นมาแทนที่ Heath Ledger ได้ในอนาคต
ไม่ใช่แค่เพราะบทคู่รักเกย์ในเรื่อง Milk เทียบได้กับบทคู่รักเกย์ใน Brokeback Mountain (ซึ่งเราไม่ได้ดู)
แต่ด้วย range ความสามารถในการแสดงที่กว้างมากๆ (ลองดู Pineapple Express สิ แล้วจะเข้าใจ)
ด้วยความขยันศึกษาคาแรกเตอร์และพยายามอินกับบทถึงแก่น ไม่ว่าจะเป็นตัวละครเด่นแค่ไหน
ด้วยความหลากหลายของหน้าตาที่อาจทำให้คนไม่ติดกับภาพจากหนังเรื่องเดียว
ทั้งหมดนี้คงไม่ยากที่จะเกิดความคิดแบบเดี่ยวกันนี้ขึ้นมาหรอก

ถ้าอยากรู้ว่ามีคนคิดแบบนี้เหมือนกันมั้ยก็ลอง search ชื่อสองคนนี้พร้อมกันดูนะ

Wednesday, April 22, 2009

Flure Therapy


[image from Se-Ed]

ครั้งแรกที่เห็นหนังสือเล่มข้างบนนี้ไม่ได้มีความคิดว่ามันจะเป็นหนังสือที่พูดถึงวงดนตรีชื่อ Flure เลย
เพราะปกกับชื่อหนังสือไม่ได้สื่อถึงอารมณ์ของวงในแบบที่เรารู้จักแม้แต่นิดเดียว

Flure เป็นวงที่เราติดตามแบบไม่ได้ใกล้ชิดมาก แต่สนใจข่าวคราวอยู่เสมอ
เหตุผลสำคัญที่สุดของการติดตามคือ สมาชิกคนหนึ่งของวงเคยเป็นเพื่อนร่วมวงของเรา
และอีกหลายๆคนในวงก็คุ้นๆหน้ากันมาเป็นสิบปี
ส่วนเหตุผลที่รองๆลงมาคือเราชอบเพลงของพวกเค้าบางเพลง
เหตุผลรองลงมาอีกนิดคือมีชื่อเราในปกอัลบั้มแรกด้วย (ลองหากันเอาเอง)

ที่ผ่านมาภาพวง Flure ในแบบที่เรารู้จักคุ้นเคยคืออัลบั้มแรก
เพราะเรารู้ตัวตนของคนที่เรารู้จักว่ามันดิบ มันพล่าน
พออัลบั้มที่สองเรารู้ว่ามันละเมียดขึ้น มันโตขึ้น
แต่มันไม่ใช่ภาพในแบบที่เราคุ้นเคยก็เลยไม่ค่อยสนใจเท่าไหร่
ชุดที่สามยิ่งแล้วใหญ่ ไม่หามาฟังเลย เพราะเพลงที่โปรโมทมันราบเรียบมาก

อยู่มาวันนึงเมื่อปีที่แล้ว (2008) ไม่รู้ทำไมเราถึงหยิบ DDT เล่มเก่า (ปี 2007) ในออฟฟิศมาอ่าน
เป็นเล่มที่สัมภาษณ์ Flure พอดี และด้วยเหตุผลที่พูดๆมาข้างบนก็เลยอ่านแบบทุกตัวอักษร
บทสัมภาษณ์นี้ทำให้เรารู้สึกว่า "พวกมันพูดจาดีว่ะ"
(ขออนุญาตเรียกวงนี้ว่า'มัน'ด้วยความสนิทสนมครั้งก่อนเก่า)
มันมีจุดยืนของวงดนตรีที่ชัดเจน
พวกมันมีที่มา มีการเติบโต
พวกมันจริงจังกับของที่มันทำจริงๆ
เวลามันพูดเรื่องการทำดนตรีมันพูดละเอียดมากแบบไม่แคร์ว่าคนจะไม่อิน
มันไม่ตอบคำถามแบบห่วงลุค แต่มันแคร์ตัวตนของแต่ละคนและของวง

ความรู้สึกลึกๆตอนอ่านจบคือ "เด็กที่กำลังเล่นดนตรีน่าจะได้อ่านอะไรแบบนี้"
เพราะพวกมันมี 'จิตวิญญาณ' (กรุณาอย่าเห็นคำนี้เป็นเรื่องตลก เพราะกำลังพิมพ์ด้วยน้ำเสียงในหัวที่จริงจัง)
อยากให้ความตั้งใจในแบบของพวกมันทำให้เด็กบางคนเอาเยี่ยงอย่างบ้าง

กลับมาที่หนังสือเล่มนี้ ที่ปกกับชื่อหนังสือเหมาะจะเป็นหนังสือของ BrandAge มากกว่า
แต่ว่าเนื้อหาข้างในก็จัดว่าหนักใช้ได้เลย ถึงจะพูดถึงเรื่องราวของวงมากกว่าการทำงาน
(อ่านแล้วจะเหมือนกับอ่านการ์ตูนเรื่อง Beck ที่พูดถึงวงดนตรีที่เต็มไปด้วยปัญหา)
ยังไงซะ อ่านแล้วก็จะรู้อยู่ดีว่าคนพวกนี้เค้าตั้งใจแค่ไหน

ขอแค่มีเด็กที่เล่นดนตรีได้อ่านเรื่องของ Flure ไม่ว่าจะจากที่ไหนก็ตาม
เราเชื่อว่าจะมีคนรู้สึกถึง 'จิตวิญญาณ' ของพวกเค้าและอยากเอาเยี่ยงอย่าง
ขอแค่นั้นแหละ วงการเพลงของเราก็มีทางรอดแล้ว


Note:
- นี่คือ entry ที่ 199 ของ blog แห่งนี้ ... กดดันเลยว่าครั้งหน้าจะเขียนอะไรดี

Tuesday, March 10, 2009

Something is Made for Certain Someone

เมื่อวานนี้ได้คุยกับรุ่นพี่โรงเรียนคนหนึ่ง
เค้าก็บอกว่าตอนนี้งานเค้ากำลังยุ่งๆ
ทั้งงานประจำที่เร่งด่วน แล้วยังมีงานที่เค้าคิดจะทำ
ฟังเรื่องงานที่กำลังจะเกิดแล้วบอกได้คำเดียว


มัน - แน่ - แน่

(2 คำ 3 พยางค์)









โฉมหน้ารุ่นพี่คนนั้น



Note:
- ตอนนี้พี่ต้าร์ผมยาว
- ชื่อจริงพี่ต้าร์คือ อิทธิพงศ์ กฤดากร ณ อยุธยา --- ไม่ใช่กฤษดากรอย่างที่หลายๆคนพยายามเขียน

Monday, March 2, 2009

NME Awards 2009

ช่วงนี้คงมีอะไรให้มาอัพ blog เรื่อยๆ เพราะมีงานเขียนอย่างอื่นอยู่ด้วย (แต่สำนวนบางครั้งอาจจะไม่ใช่ตัวเรานัก) ลองเอามาให้ดูเล่นอันนึงก่อน

+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-

NME นิตยสารเพลงที่จัดได้ว่าดังที่สุดในเกาะอังกฤษ (ประมาณ Rolling Stone ของทางฝั่งอเมริกา) พึ่งจัดงานประกาศรางวัล NME AWARDS 2009 ไปเมื่อวันที่ 25 ก.พ. ที่ผ่านมานี้เอง เลยเอามาให้ดูกันว่าผลงานของใครในปีที่ผ่านมาเข้าตากรรมการจนได้รางวัลไป



Best Brit Band - Oasis

Oasis เบียด Radiohead คว้ารางวัลใหญ่ประจำปีที่ให้กับวงยอดเยี่ยมที่อยู่ในเกาะอังกฤษ


Best International Band – The Killers

อีกหนึ่งวงปากดีที่คว้ารางวัลใหญ่สำหรับศิลปินนอกเกาะอังกฤษ



Best Solo Artist - Pete Doherty

อดีตสมาชิกวง The Libertines ที่ตกเป็นข่าวอย่างสม่ำเสมอ ได้รับรางวัลศิลปินเดี่ยวยอดเยี่ยม


Best New Band - MGMT

คู่ duo จากอเมริกากับอัลบั้มแรกที่ทำให้สื่อดนตรีทั่วโลกจับตามองกับรางวัลศิลปินกลุ่มหน้าใหม่ยอดเยี่ยม


Best Live Band - Muse

ใครที่ไม่รู้จักหรือไม่เคยดูวงนี้เล่นสด ขอให้ไปหาดูใน YouTube โดยด่วน เพราะนี่คือรางวัลวงแสดงสดยอดเยี่ยมครั้งที่ 3 ของ Muse แล้ว! (บ้านเราน่าจะมีรางวัลนี้บ้างนะ)


Best Album 'Only By The Night' โดย Kings Of Leon

ไม่พลิกโผใดๆเพราะอัลบั้มนี้พึ่งจะคว้ารางวัลอัลบั้มยอดเยี่ยมมาจากเวที BRIT Awards ก่อนหน้างานนี้เพียง 1 สัปดาห์เท่านั้น


Best Track - 'Time To Pretend' โดย MGMT

บอกแล้วว่า duo คู่นี้นี้น่าจับตาจริงๆ (ยืนยันด้วยรางวัลเพลงยอดเยี่ยมประจำปี)


Best Video - 'My Mistakes Were Made For You' โดย The Last Shadow Puppets

โปรเจกพิเศษที่นักร้องของ Arctic Monkeys และ The Rascals ร่วมมือกันทำ ขอเชิญไปดูความยอดเยี่ยมใน YouTube อีกเช่นเคย


Best Live Event - Glastonbury

บางปี Glastonbury ก็โดนด่า บางปีงานก็ดูกร่อยๆ แต่ปี 2008 เทศกาลดนตรีที่ใหญ่ที่สุดในโลกกู้ชื่อให้ตัวเองอีกครั้งด้วยทุนจัดงาน 22 ล้านปอนด์!


Best TV Show - The Mighty Boosh

ไม่มีข้อมูลมาก รู้แต่ว่าเป็นละครเวทีตลก แล้วขยายตัวเป็นละครวิทยุ จนลามมาถึงทีวีในที่สุด


Best Dancefloor Filler - 'Dance Wiv Me' โดย Dizzee Rascal

รางวัลเพลงที่คนเต้นตามมากที่สุด (รางวัลนี้เก๋ดีนะ) เพลงพิเศษของ rapper ผิวสีชาวอังกฤษน่าเต้นตามแค่ไหนต้องฟังกันเอง


Best DVD - Arctic Monkeys At The Apollo

DVD บันทึกการแสดงสดครั้งสุดท้ายของทัวร์ประจำปี 2007 ของวงอินดี้ที่เริ่มโด่งดังจากอินเตอร์เนท


Best Band Blog - Noel Gallagher / Oasis

บล็อกของมือกีตาร์หัวหน้าวง Oasis ที่มักจะเขียนเรื่องให้คนหยิบไปเป็นประเด็นถกเถียงได้เรื่อยๆ


Best Venue - London Astoria

รางวัลสถานที่จัดคอนเสิร์ตที่ดีที่สุดเป็นของ Astoria ณ ลอนดอน (คอนเสิร์ตบ้านเราจัดกี่ทีๆก็ที่เดิมๆ) ศิลปินชั้นนำทุกคนตั้งแต่ Nirvana ไปจนถึง Eminem ล้วนเคยมาเหยียบที่นี่ รางวัลนี้เหมือนเป็นการให้เกียรติสถานที่ด้วยเพราะพึ่งจะปิดตัวลงเมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมานี้เอง


Best Album Artwork - 'HAARP' โดย Muse

รางวัลปกอัลบั้มยอดเยี่ยมของวง Muse (สวยมั้ยล่ะ)


Hero Of The Year - Barack Obama

ไม่มีใครเป็นที่สนใจของทั้งโลกได้เท่าเค้าอีกแล้ว


Villain Of The Year - George W. Bush

อดีตผู้นำสหรัฐฯได้รางวัลวายร้ายแห่งปีมา 6 ปีติดต่อกันแล้ว!


Best Dressed - Alexa Chung

อดีตนางแบบและผู้ประกาศข่าวสาวชาวอังกฤษได้รางวัลแต่งกายยอดเยี่ยมไป


Worst Dressed - Amy Winehouse

ตรงข้ามกับรางวัลเมื่อกี๊เลย แต่เธอคนนี้คงไม่ได้แคร์หรอก


Worst Album - 'A Little Bit Longer' Jonas Brothers

รางวัลอัลบั้มสุดห่วยประจำปีเป็นของวงขวัญใจเด็กสาววัยประถมของอเมริกาไป (บ้านเราจะมีใครกล้าแจกรางวัลนี้มั้ยนะ)


Worst Band - Jonas Brothers

รางวัลวงสุดห่วยจะเป็นใครไปได้อีก ที่น่าสนใจคือ Oasis ได้เข้าชิงทั้งรางวัลวงยอดเยี่ยมและวงสุดห่วยในปีเดียวกัน!


Sexiest Male - Matt Bellamy

นอกจากจะมีพรสวรรค์ทางดนตรีล้นเหลือแล้ว นักร้องนำวง Muse ยังได้รางวัลผู้ชายสุดเซ็กซ์อีกต่างหาก


Sexiest Female - Hayley Williams

ส่วนรางวัลผู้หญิงสุดเอ็กซ์เป็นของนักร้องนำสุดเปรี้ยววง Paramore ไป (คนนี้เป็น idol ขวัญใจของ ฟักแฟงวง No More Tears ล่ะ คล้ายกันเชียว)


Best Website - YouTube

เว็บไซต์แห่งยุค หาคนล้มได้ยากจริงๆ


ก็ประมาณนี้ อยากรู้จักใคร ฟังเพลงใคร ก็ต้องลอง google หาดูหาฟังกันเองนะ


+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-


Note:
- เปล่า เ้ราไม่ได้เปลี่ยนไปเป็นนักเขียนให้นิตยสารหรือเว็บไซต์ทางดนตรีใดๆหรอก
- คาดว่า entry นี้จะพาคนเข้ามา blog เราจำนวนไม่น้อย เพราะว่า keyword เยอะเชียว
- article ใน entry นี้มาจาก trendyday.com
- หรือจะลองเข้าไปดูเว็บไซต์นี้ก็ดีนะ (แค่คลิกแวะเข้าไปก็ถือว่าช่วยกันแล้ว)

Sunday, February 8, 2009

Hail to the Nerds


[All rights reserved: Sony Pictures Digital Inc.]

เมื่อวานไปร้านเช่าหนังแล้วเห็นหนังเรื่องข้างบนนี้พึ่งมาใหม่ - มีป้ายแปะว่าหมด
ตกใจมากเพราะไม่คิดว่าจะมีคนที่เห็นหน้าปกแล้วอยากจะยืมไปดูเยอะ (ถึงทั้งร้านจะมีแค่ 5-6 แผ่น)
และไม่น่าจะเป็นไปได้ที่คนแถวบ้านจะรู้จักหนังเรื่องนี้ แล้วมายืมกันไปหมด
ขนาด Eagle Eye ที่แสดงโดยดาราแห่งยุคยังเหลือให้เช่าเลย
ก็เลยถามพนักงานดูปรากฏว่ามีเหลือแผ่นนึงพอดี -- ดีใจมากๆ -- กลับบ้านแล้วดูเลยทันที

เรารอดูหนังเรื่องนี้มานานมาก และฟัง Soundtrack ไปแล้วมากกว่า 50 รอบ (ดูจาก iTunes)
ไม่เล่าหรอกว่าหนังเรื่องนี้เป็นยังไง เพราะถึงเล่าไปก็ไม่ได้อารมณ์ที่มันควรจะเป็น
แต่ถ้าคุณชอบหนังรักโรแมนติกใสๆ ชอบหนัง-ละครเกาหลี
ถ้าคุณชอบ Zac Efron, Shia LaBeouf, Hannah Montana หรือ Jonas Brothers

คุณคงไม่ได้ดูหนังเรื่องนี้แล้วรู้สึกชอบมันเท่าไหร่หรอก
และ Nick กับ Norah ก็ไม่ได้ขอให้คุณมาชอบด้วย


Note:
- แต่เรารู้ว่าคนที่หลงเข้ามาที่นี่เป็นประจำน่าจะชอบ และขอบอกว่า "ไปหาดูซะ"
- ดูจบแล้วถ้ามีเวลาก็ไปหา Pineapple Express มาดูด้วยนะ แล้วจะรู้ว่า James Franco มี range การแสดงที่กว้างจริงๆ (จริงๆ)
- Michael Cera คงเป็นนักแสดงที่ต้อง 'แสดง' น้อยที่สุดในยุคนี้
- ปีนี้จะมีหนัง nerdๆ ของ Judd Apatow อีกอย่างน้อย 2 เรื่องคือ Year One (Jack Black, Michael Cera) และ Funny People (Adam Sandler, Seth Rogen, Jonah Hill) และหนังที่ Rogen, Cera, Hill เล่นอีก 4-5 เรื่อง -- นี้เป็นช่วงเวลาของคนพวกนี้จริงๆ

Monday, November 26, 2007

Digital Property


[image by: blarygake @ flickr]

Warning: Long and Serious Entry - บทความวันนี้ยาวและจริงจังเป็นพิเศษ หากต้องการความบันเทิงกรุณาอ่านบทความอื่นๆแทน

"Life finds a way"

นี่คือประโยคจาก Jurassic Park และสามารถใช้ได้จริงเสมอตราบที่ยังมีสิ่งมีชีวิตอยู่
เราคิดว่าสิ่งมีชีวิตทุกอย่างอยู่ด้วยปรัชญาของประโยคนี้เหมือนกันหมด
แต่ว่าวันนี้ไม่ได้จะเขียนเรื่องธรรมชาติหรือเรื่องชีวิตหรอก
ตรงข้ามด้วยซ้ำ จะมาเขียนเรื่องของที่ไม่มีชีวิต และไม่มีกระทั่งตัวตน
ต่อยอดบทความของ phir เรื่องทรัพย์สินทางปัญญา (Intellectual Property : IP)

แต่เพราะว่าเราไม่ได้เรียนด้านกฎหมายมาเหมือน phir เราก็จะขอเขียนในแง่มุมที่เราถนัดกว่าแทน
เราอยากจะเสนอมุมมองเกี่ยวกับผลงานสร้างสรรค์ในเชิงบริหารจัดการ (Management) แทน

เรื่องของการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา ว่าด้วยเทคโนโลยีที่มันก้าวหน้าไปมากทำให้ผู้ที่จะทำการละเมิดนั้นสามารถทำได้ง่ายขึ้นเรื่อยๆ ผู้ที่เสียประโยชน์โดยตรงก็คือบริษัทหรือบุคคลที่เป็นผู้สร้างสรรค์ความคิดนั้นขึ้นมา มาตรการตอบโต้หรือป้องกันตนของกลุ่มผู้เสียประโยชน์เหล่านี้ที่จะใช้กันส่วนใหญ่จะมีอยู่สองทางด้วยกันคือ 1.ใช้ข้อได้เปรียบทางกฎหมายของการเป็นเจ้าของสิทธิ์ทางความคิดนั้นเพื่อป้องกันหรือเอาผิดจากผู้ที่มาละเมิด หรือ 2.พัฒนาสินค้าหรือบริการของตัวเองให้ถูกลอกเลียนให้ยากขึ้น เช่นทำให้มันซับซ้อนขึ้นหรือเอาเทคโนโลยีบางอย่างเข้าไปเป็นส่วนประกอบไม่ให้ถูกลอกเลียนหรือทำซ้ำ

ซึ่งทั้งสองวิธีที่ว่านี้ก็ฟังดูสมเหตุสมผลดี เมื่อคิดจากฐานะผู้ผลิตว่าเราเป็นผู้ลำบากพัฒนาความคิดขึ้นมาและมีต้นทุนในการผลักดันความคิดนั้นออกมาสู่ตลาด (Commercialization) มันมีทั้งค่าจ้างผู้วิจัยพัฒนา ค่าวัตถุดิบหรือวัสดุสิ้นเปลืองต่างๆ รวมไปถึงค่าใช้จ่ายในการดำเนินการ และการโฆษณาประชาสัมพันธ์อีกที่เราจะต้องหารายได้มาชดเชย เราย่อมไม่ต้องการให้บุคคลอื่นมาฉกฉวยโอกาสแย่งรายได้ไปจากเราง่ายๆเพียงแค่ทำซ้ำหรือคัดลอกความคิดของเราไปขายในราคาที่ถูกกว่ามากโดยอาจจะมีเพียงแค่ต้นทุนการผลิตเท่านั้น ดังนั้นเราจึงต้องหาทางปกป้องตัวเองจากความเสี่ยงที่จะถูกฉกฉวยโอกาสแบบนี้โดยการใช้ กฎหมาย หรือ เทคโนโลยี ดังกล่าว

เราเห็นด้วยว่าผู้ที่เป็นเจ้าของความคิดย่อมสมควรได้รับการปกป้อง ถ้าหากสินค้านั้นมันเป็นสิ่งของจับต้องได้ (Physical Goods) เช่นกระเป๋าแบรนด์เนมจากยุโรปที่มักถูกผู้ผลิตจากจีนหรือเกาหลีลอกเลียนอยู่เสมอ โดยเฉพาะปัจจุบันนี้ผู้ผลิตของเลียนแบบเหล่านี้สามารถไปหาวัตถุดิบและผู้ผลิตเดียวกับเจ้าของ brand ได้จนทำให้คุณภาพนั้นเรียกได้ว่าแทบจะเหมือนกันเลยทีเดียว แต่ผู้ลอกเลียนจากจีนและเกาหลีนี้ไม่ต้องเสียค่าจ้างนักออกแบบ และค่าใช้จ่ายในการทำ branding เลยแม้แต่นิดเดียว แค่ผลิตออกมาก็มีคนทำการตลาดให้อยู่แล้ว รอแค่ขายอย่างเดียวในราคาที่ถูกกว่ามาก กรณีนี้เราคิดว่าเจ้าของแบรนด์ควรจะได้รับการปกป้อง เพราะว่ากระเป๋าของจริงที่ถูกผลิตขึ้นมาหากไม่สามารถขายได้ก็จะทำให้บริษัทเกิดการขาดทุน (และยังเสียทรัพยากรธรรมชาติไปอีกด้วย)

แต่ว่าในกรณีของสินค้าที่เป็น digital นั้นสภาพแวดล้อมของธุรกิจมันต่างออกไป เนื่องจากต้นทุนในการผลิตเพิ่มต่อหน่วยนั้นแทบจะไม่มีเลย (มีค่าไฟ ค่าเสื่อมของอุปกรณ์ และอาจจะมีค่าสื่อในการจัดเก็บข้อมูล) กลับกัน หากยิ่งผลิต (จริงๆควรใช้คำว่าคัดลอกและกระจาย) ได้มากขึ้นกลับยิ่งทำให้ต้นทุนต่อหน่วยลดต่ำลง (เช่นค่าจ้างพนักงาน นักวิจัย ค่าโฆษณา ค่าเช่าสำนักงาน) ซึ่งสินค้าที่เราจะนับรวมเป็น digital นั้นไม่ใช่แค่สินค้าที่เป็น computer software เท่านั้น แต่รวมไปถึงสื่อชนิดต่างๆที่สามารถแปลงให้เป็น digital format ได้เช่น ภาพถ่าย ภาพยนตร์ ดนตรี หรือหนังสือ

สินค้าเหล่านี้ผู้ผลิตจะรู้สึกว่ามีความเสี่ยงต่อการถูกลอกเลียนมากกว่าสินค้าชนิดอื่นๆ เพราะว่าเมื่อเป็น digital แล้วการลอกเลียนนั้นก็คือการ copy บนคอมพิวเตอร์นั่นแหละ ทำได้ง่ายแค่ไหน? คนที่เข้ามา blog นี้ได้คงทำกันเป็นทุกคน และเพราะว่ามันง่ายขนาดนั้นผู้ผลิตจึงต้องดิ้นรนหาทางป้องกันตนเองจากภัยคุกคามนี้ทั้งจากการใช้กฎหมายคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญา (IP Law) และเทคโนโลยีเพื่อป้องกันการถูก copy รูปแบบต่างๆ ซึ่งอย่างที่บอกว่าคิดในแง่ผู้ผลิตนั้น การป้องกันตนเองก็อาจจะมองว่าถูกต้องแล้ว แต่ว่าหากมองในแง่การพัฒนาธุรกิจแล้วอาจถือได้ว่าเป็นการฝืนกลไกของตลาดแทนก็ได้

มีกลุ่มคนไม่น้อย (ส่วนใหญ่จะเป็น geek และ computer nerd) ที่เชื่อว่า “Bits are made to be copied” นั่นหมายความว่าการที่เรามีการบันทึกข้อมูลลงคอมพิวเตอร์เป็น digital format ลงบน medium ต่างๆนั้น เราทำเพื่อลดต้นทุนของการคัดลอกทั้งในแง่ของเงิน เวลา ทรัพยากร และความพยายาม ดังนั้นหากเราผลิตสินค้าที่เป็น digital ออกมาแต่ว่าห้ามไม่ให้คัดลอกแล้ว นั่นไม่เท่ากับขัดวัตถุประสงค์ของตัวเทคโนโลยีเองหรอกหรือ

เราไม่เถียงว่าคนสร้างสรรค์ผลงานใดๆขึ้นมาควรจะได้รับผลตอบแทนเต็มที่เมื่อผลิตชิ้นงานออกมาสู่ตลาด แต่ว่าโครงสร้างรายได้หรือ Revenue Model ของงานสร้างสรรค์มันไม่ได้จำกัดอยู่ที่การขายต่อหน่วย (per unit sales) เท่านั้น มันยังมีหนทางอีกมากที่จะสร้างรายได้โดยการใช้ประโยชน์จากข้อดีจาก digital distribution นี้อีก

จะขอเจาะไปที่อุตสาหกรรมดนตรีโดยเฉพาะ เนื่องจากมีความรู้ความเข้าใจอยู่บ้าง และกำลังทำรายงานเรื่องนี้พอดี แน่นอนว่าการเข้ามาของ digital distribution รูปแบบต่างๆในวงการเพลง ถูกกฎหมายบ้าง ละเมิดลิขสิทธิ์บ้าง ทั้ง Full-Song Download, File-Sharing, Music Streaming, Online Broadcasting และแน่นอนรวมถึงแผ่นผี แผ่นMP3 มันไปกระทบยอดขายซึ่งเป็นรายได้ทางตรงแบบจังๆ การที่เราหาเพลงฟังฟรีได้มันย่อมทำให้ยอดขายสินค้าลิขสิทธิ์ที่ต้นทุนสูงกว่าและราคาสูงกว่าลดลง แต่บริษัทในอุตสาหกรรมนี้เคยมองรึเปล่าว่าเพราะอะไรคนถึงไม่ซื้อ บางทีเราได้รับของ sample ฟรีที่เค้าแจกๆ เราก็ยังกลับไปซื้ออีกทั้งๆที่ไม่มีใครบังคับ อาจจะเถียงว่าเพราะมันเป็นสินค้า physical ใช้แล้วหมดไป แต่นั่นไม่ใช่เหตุผลหลักอย่างเดียวหรอก

หลักการตลาดพื้นฐานมากๆเลยบอกไว้ว่าในการที่ผู้บริโภคจะซื้ออะไรซักอย่าง Value MUST exceed price หรือมูลค่าที่ผู้ซื้อได้รับนั้นต้องมากกว่าเงินที่จ่ายออกไป หากเราไม่ซื้ออะไรย่อมหมายความว่าเราคิดว่าคุณค่าที่เราได้รับกลับมามันไม่คุ้มค่าเงิน และเราอาจมีทางเลือกอื่นที่ตอบสนอง need เดียวกันนั้นได้ในราคาที่คุ้มค่ากว่า (mp3) ดังนั้นหากคิดว่ายอดขาย CD เป็นเครื่องวัดความสำเร็จหรือเป็นแหล่งรายได้สำคัญที่จะเสียไปไม่ได้เลย ผู้ผลิต(ค่ายเพลง)ก็ต้องหาวิธีเพิ่ม value เข้าไปในตัวสินค้าโดยตรงผ่านขั้นตอนต่างๆใน value chain ที่ทำให้เกิดมูลค่าเพิ่มขึ้นต่อสินค้าสำเร็จนั้น เช่นอาจมี exclusive privilege พิเศษสำหรับผู้ซื้อ CD ของแท้ ซึ่งเป็น value ที่เฉพาะเจ้าของสิทธิจะให้ได้เท่านั้น เช่นสิทธิในตัวศิลปิน (note: packaging อาจมี value contribution โดยตรงต่อตัวสินค้า แต่ว่าไม่ใช่ exclusive value เพราะถ้าคนทำของปลอมอยากทำให้ดีก็ทำได้เหมือนกัน)

อีกแนวทางที่ไม่ค่อยถูกยกขึ้นมาเป็นประเด็นทางออกคือการปรับ business model และ revenue model ของธุรกิจนี้แทน แหล่งรายได้ของบริษัทค่ายเพลงหลักๆนอกจากยอดขาย Tape, CD, VCD, DVD, etc. แล้วก็จะมีรายได้จากการอนุญาตให้ผู้อื่นได้สิทธิในการเผยแพร่ในเชิงพานิชย์ (Publisher's Rights), การบริหารงานจ้างศิลปิน (Artist Management), การจัดกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับศิลปิน (Concerts & Activities), การออกสินค้าต่างๆที่เกี่ยวกับศิลปิน (Merchandising) และหากไม่นับการขาย CD แล้ว ช่องทางรายได้อื่นแทบจะไม่ได้รับผลกระทบในเชิงลบจาก digital distribution เลยด้วยซ้ำ กลับกัน บางช่องทางสามารถใช้ digital distribution ช่วยส่งเสริมได้ซะอีก หากเราไม่คิดเพียงว่าผู้ที่จ่ายเงินให้กับเราคือผู้ที่ฟังเพลงเท่านั้น

จริงๆ value ของเพลงต่อคนที่เป็นคนฟังเพลงทั่วๆไปนั้นมีไม่มากเท่าไหร่นักหรอก มันเป็นแค่ของที่เราอยากได้อยากฟังเมื่อต้องการความผ่อนคลายหรือความสุนทรีย์ value มันอาจจะตีเป็นตัวเลขได้ไม่ชัดเจนแต่ที่แน่ๆเพลงหนึ่งเพลงไม่ใช่สินค้าชนิดเดียวที่จะตอบสนอง need นี้ได้ เพลงอื่นก็สามารถทำได้ และสินค้าอย่างอื่นก็อาจจะทำได้เช่นกัน ดังนั้นหากจะมุ่งหวังขายเพลงให้กับคนฟังเพลงอาจจะเป็นเรื่องยาก แต่ว่าเพลงๆเดียวกันนี้อาจถูกมองโดยคนกลุ่มอื่นๆว่ามี value อื่นที่มากกว่านั้นไปอีก เช่นการนำมาใช้ประกอบโฆษณาหรือละคร หรือการนำศิลปินไปแสดงเพลงนั้นๆในร้านอาหาร ซึ่ง value มันจะมากขึ้นเมื่อเพลงนี้ได้รับความนิยมมากขึ้น และความนิยมจะมากได้ก็ต่อเมื่อมันเข้าถึงคนกลุมใหญ่ สุดท้ายการเข้าถึงคนกลุ่มใหญ่ได้โดยไม่ต้องใช้ต้นทุนสูงมีวิธีอะไรบ้างก็ลองคิดดูเอาเองละกัน

วิธีการหาประโยชน์ในสภาพแวดล้อมของ digital distribution ยังมีอีกมาก แต่ว่าหากเราไปขัดขวางผู้บริโภคไม่ให้ได้รับประโยชน์จากมันไม่ว่าจะโดยการใช้เทคโนโลยีหรือกฎหมายเข้าว่า มันก็เท่ากับไปขัดขวางกลไกการพัฒนาตลาด เราไม่ควรไปริดรอนสิทธิของผู้บริโภค(แม้สิทธินั้นอาจจะมิชอบก็ตาม)โดยไม่มีทางออกที่ดีกว่าหรือเทียบเท่ากับสิทธิปัจจุบันของพวกเขา และไม่ว่าจะห้ามยังไง พวกเขาก็ต้องหาทางเอาสิทธิเก่านั้นกลับมาจนได้ กลุ่มผู้ประกอบการต่างหากที่ต้องหาทางปรับตัวเพื่ออยู่ให้ได้ในสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงไป

อย่างที่บอกไว้ตอนเปิดประเด็นครับ ... Life finds a way

Note:
- ถ้าคิดว่าเราเขียนยาวหรือเครียดไปก็ขอโทษด้วย แต่จริงๆยังยาวและเครียดกว่านี้ได้อีกมาก

Wednesday, October 3, 2007

Dear All Music Critics and Scrutinizers

เราไปอ่านๆใน Pantip แล้วเจอกระทู้ที่บอกว่า อยากให้มี "คลับจับผิดเพลง"
เราอ่านๆดูแล้วก็เลยเกิดอาการคันไม้คันมือ อยากเขียนอะไรที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ซะหน่อย
ก็เลยไปแตกประเด็นกระทู้เค้าซะ ... ใครอยากรู้อยากอ่านเข้าไปดูได้เลย ที่นี่
ส่วนคนที่ขี้เกียจไปตาม Link จะอ่านที่นี่ก็ได้นะ

======================================

ใครลอกใคร?? - การวิพากษ์วิจารณ์งานดนตรี

สืบเนื่องจากการที่มีคนคิดว่าศิลปินไทยมักไปลอกเลียนศิลปินต่างประเทศมา และอยากมีการถก การโต้แย้ง หรือ วิพากษ์วิจารณ์กัน

ส่วนตัวแล้ว ผมมีความคิดว่า ประเด็นที่สำคัญกว่าคือคนที่มาถกมาเปิดประเด็นดังกล่าว มีความรู้ความเข้าใจถึงทฤษฎีทางดนตรี และธรรมชาติของนักดนตรี รวมทั้งสภาพแวดล้อมของวงการดนตรีมากน้อยแค่ไหน และที่สุดแล้วเราต้องการอะไรจากการถกกันในประเด็นนี้กันแน่

ไม่ใช่จะบอกว่าจะต้องเป็นอาจารย์สอนดนตรี หรือโคต-รนักดนตรี หรือผู้คร่ำหวอดในวงการเพลงไทย แต่ผมอยากให้เรามาโต้แย้งกันอย่างเข้าใจถึงพื้นฐานที่มาของงานเพลงหนึ่งๆ และเป็นการเปิดโลกทัศน์ในการฟังเพลงมากกว่าที่จะเป็นการพูดว่า ชอบหรือเกลียด ดีหรือเลว เพียงเพื่อความสะใจส่วนตัว เพื่อดูถูกความคิดของคนอื่น และที่แย่กว่าคือเพื่อไปดูถูกผลงานสร้างสรรค์ของศิลปิน

ที่มาที่ไปของเพลงที่เปิดตามวิทยุที่พวกเราเห็นกันน่าจะอธิบายง่ายๆได้แบบนี้:
ศิลปินคิด-เขียนเนื้อเพลงและดนตรี --> เรียบเรียง --> อัดเสียง --> โปรโมท --> ดัง/ดับ --> วิจารณ์

แต่ผมจะบอกว่า ระหว่างทางนั้นยังมีขั้นตอนยิบย่อย มีผู้คนมากมายเกี่ยวข้อง มีบทสนทนา มีการประชุม มีการตัดสินใจ มีการปรับเปลี่ยน มากอย่างที่เราไม่สามารถบรรยายได้เลย

และในของเหล่านั้น ก็ยังมีของที่สำคัญที่สุดในทุกขั้นตอนนั่นคือ "ความคิด"

ผมขอเปลี่ยนบริบทของหัวข้อนี้ชั่วคราว จากดนตรีเป็นการออกแบบ จากนักดนตรีเป็นนักออกแบบ จากงานดนตรีเป็นงานออกแบบ

ทีนี้ คุณสมบัติของนักออกแบบที่ดีคืออะไร?
คือการหมั่นเปิดหูเปิดตารับงานออกแบบจากแหล่งต่างๆอยู่เสมอ คือการค้นหาแรงบันดาลใจใหม่ๆ เพื่อนำความคิดที่ได้จากการพบเห็นมาสังเคราะห์ให้เกิดเป็นความคิดในแบบของตนเอง และให้เหมาะสมกับโจทย์ของงานออกแบบที่ได้รับมา หรือที่ต้องการจะสื่อให้คนเข้าใจ

มันเป็นเรื่องแปลก(หรือ"ผิด")แค่ไหนที่งานออกแบบชิ้นหนึ่งจะไปคล้ายกับงานของอีกคนหนึ่ง
เป็นไปได้หรือเปล่าที่งานสองชิ้นจะเกิดจากกระบวนการคิดในรูปแบบที่คล้ายกัน
เป็นไปได้หรือเปล่าที่งานทั้งสองชิ้นเกิดจากพื้นฐานของโจทย์ที่งานนั้นต้องตอบรับเดียวกัน
และเป็นไปได้หรือเปล่า ที่ชิ้นงานนั้นมันถูกใช้สอยได้อย่างเกิดประโยชน์สูงสุดด้วยการออกแบบดังกล่าว

กลับมาที่งานดนตรีอีกครั้งด้วยพื้นฐานโครงสร้างแบบเดียวกัน นักดนตรี(หมายถึงนักดนตรีจริงๆ-ไม่ใช่คนร้องเพลงที่ถูกเรียกว่า"ศิลปิน")ย่อมมีความคิดหรือรูปแบบงานที่ต้องการสื่อออกมาให้คนฟังได้คิดและรู้สึกแบบเดียวกับตน ถ้าหากเรารู้วิธีที่เราจะสื่อเนื้อความของเราให้คนเข้าใจได้ดีที่สุด มันมีเหตุผลอะไรที่เราจะหลีกหนีจากวิธีการนั้น ทำไมเราต้องหลีกหนีจากความซื่อสัตย์ต่อตนเองเพียงเพราะเราไม่ต้องการที่จะซ้ำกับคนอื่น

แต่ในขณะเดียวกัน หากงานดนตรีที่ไม่มีความหมายที่จะสื่อออกมา ไม่มีโจทย์ที่ต้องการจะตอบ แต่ต้องถูก"ผลิต"ขึ้นมาเพียงเพื่อให้มีเพลงให้ครบ ให้มีเพลงโปรโมท ก็เท่ากับมันไม่มีแก่นที่เป็นจุดเริ่ม และที่พอจะทำได้ก็มีเพียงแค่หยิบยืมของที่มีอยู่แล้วในตลาดมาบวกกับเนื้อหาที่มีอยู่ดาษดื่นและคำที่ฟังดูดีไม่กี่คำเท่านั้นเอง

งานออกแบบที่ดีมันจะเกิดประโยชน์ตามที่มันถูกออกแบบมา ในขณะที่ของเลียนแบบไม่สามารถทำหน้าที่ของมันได้อย่างเต็มที่ อาจเกิดแตกหักเสียหาย หรือให้ภาพลักษณ์ที่ดูขัดหูขัดตา เพราะมันไม่ได้เกิดจาก"ความคิด" เช่นเดียวกันมันเป็นเรื่องง่ายมากที่จะแยกแยะงานดนตรีที่ถูกสร้างสรรค์ขึ้นมาจากความคิดออกจากงานที่เพียงแค่ต้องการความเป็นที่นิยม

ผมเชื่อว่าจิตวิญญาณและความตั้งใจมันเป็นของที่เราสามารถสัมผัสได้ ถ้าหากเราลองฟังด้วยความเข้าใจ


หมายเหตุ:
- ผมเป็นคนที่เคยเรียนดนตรีมาบ้าง เคยเล่นดนตรี และเคยทำงานในบริษัทอุตสาหกรรมดนตรีของประเทศเรา แต่ผมไม่ใช่นักดนตรีและไม่สามารถเรียกตัวเองอย่างนั้นได้แน่นอน
-ขออภัยที่เขียนซะยาว และขอบคุณผู้ที่อ่านจนจบ

======================================

ระหว่างที่เขียนไปก็ดู+ฟังเพลงสุดฮิต ณ วินาทีนี้ไปด้วย ได้อารมณ์มากๆ
ขออนุญาตละเมิดลิขสิทธิ์ไว้ ณ ที่นี้ด้วย

Thursday, August 16, 2007

All Music is About

ได้อ่าน Blog ของเพื่อนเรื่องการไปดู concert เลยอยากเล่าความประทับใจบ้าง

เราเคยมีโอกาสได้ไปดูคอนเสิร์ตของ"คนร้องเพลง"ชาวเกาหลีชายกลุ่มหนึ่ง
ซึ่งตอนนั้นกระแสของพวกเขาดังมากๆในประเทศไทย
เราเข้าไปในHallค่อนข้างช้าเพราะติดงานอยู่ข้างนอก
ทำให้แฟนพันธุ์แท้ทั้งหลายที่มาตั้งแต่ 9 โมงทั้งๆที่showเริ่มตอนทุ่มเข้าไปกันหมดแล้ว

วินาทีที่เปิดประตูเข้าไป เราถูกกระแทกออกด้วยเสียงกรี๊ดสนั่น
มองไปบนเวทียังไม่มีใคร เราไม่รู้ว่าเค้ากรี๊ดดังขนาดนี้กันมานานแค่ไหนแล้ว
ยิ่งไม่รู้เข้าไปอีกว่าเค้ากรี๊ดดังขนาดนี้ให้กับอะไร

เวลาสักพักผ่านไป เสียงกรี๊ดยังดังไม่ขาดสาย แผ่วบ้าง เร่งบ้าง
จน “คนร้องเพลง” เหล่านี้เดินออกมา (แน่นอนว่า)เสียงกรี๊ดเหล่านี้ยิ่งดังขึ้นไปอีก
พวกเขาร้องเพลง พวกเขาเต้น และพวกเขาก็พูด
ทุกๆอย่างที่พวกเขาทำ จะมีเสียงกรี๊ดเหล่านี้สอดประสานขึ้นมา

และวินาทีของความระทึกใจมาถึง

หลังจากร้องและเต้นไปได้ราวๆ 20 นาที กลุ่มชายบนเวทีก็กลับเข้าไปหลังเวที
ระหว่างนั้นก็มีการเปิด VTR Music Video และภาพเบื้องหลังการถ่ายแบบชุดหนึ่ง
ก็ไม่มีอะไร คนดูก็ดูไปพร้อมกับกรี๊ดงึมงำๆไปเรื่อย เปลี่ยนหน้าทีก็กรี๊ดที
กระทั่งมาที่ close-up shot หน้าสมาชิกคนหนึ่งกำลังถ่ายแบบ

ซูมเข้าไป

ซูมเข้าไปอีก

ซูมเข้าไปอีกจนหน้าเขาเต็มจอ



แล้วเขา(ในVTRบนจอ)ก็ยิ้ม!!!




กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด ! ! ! !

! ! ! ! ! ! ! ! ! ! ! ! ! ! ! ! ! ! ! ! ! ! ! ! ! ! ! ! !

! ! ! ! ! ! ! ! ! ! ! ! ! ! ! ! ! ! ! ! ! ! ! ! ! ! ! !

! ! ! ! ! ! ! ! ! ! ! ! ! ! ! ! ! ! ! ! ! ! ! ! ! ! !


.

. .

. . .


แล้วเหตุผลบนโลกนี้ก็หายไปชั่วขณะหนึ่ง
(รวมไปถึงเหตุผลที่จะทำให้เรานั่งดูจนจบ)