Menu

Showing posts with label New. Show all posts
Showing posts with label New. Show all posts

Wednesday, April 29, 2009

Only Change is Certain


[image by: จิตต์ จงมั่นคง]

รูปข้างบนนี้มีชื่อว่า "เมื่อพายุโหม" เป็นผลงานชนะเลิศรางวัลถ้วยพระราชทานพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จากนิทรรศการภาพถ่ายศิลปะนานาชาติครั้งที่ 2 โดยสมาคมภาพถ่ายแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ เมื่อปี 2505 ผลงานของอาจารย์จิตต์ จงมั่นคง ศิลปินแห่งชาติ สาขาทัศนศิลป์(ถ่ายภาพศิลปะ) พ.ศ. 2538 ซึ่งถึงแก่กรรมไปเมื่อต้นเดือนที่ผ่านมานี้ และเผอิญว่าหลานของอาจารย์จิตต์เป็นเพื่อนสนิทคนหนึ่งของเรา เลยทำให้เราได้พบเจอร่วมโต๊ะอาหารพูดคุยกับท่านอยู่บ้าง และได้เรียกท่านว่า 'คุณปู่'

ครั้งแรกๆที่เราเจอปู่เราก็ไม่รู้หรอกว่าปู่เป็นปูชนียบุคคลด้านถ่ายภาพของไทย ไม่รู้ว่าเป็นศิลปินแห่งชาติ และไม่รู้ว่าภาพในบ้านเพื่อนเป็นผลงานของปู่เอง จนกระทั่งวันนึงได้ยินคนพูดถึงปู่และรูปที่แขวนอยู่โดดเด่นที่สุดในบ้าน นั่นก็คือรูปที่อยู่ด้านบนนี้เอง เราถึงได้รู้ว่าปู่ที่เรารู้จักเป็นบุคคลระดับตำนานของไทย หลังจากนั้นเลยภูมิใจทุกครั้งที่ได้นั่งกินข้าวกับปู่หรือว่าเวลาที่ปู่ถ่ายรูปให้ (ถึงแม้จะไม่เคยเห็นรูปที่อัดออกมาก็เถอะ)

เรื่องราวของรูปข้างบนนี้แบบสรุปให้ฟังคือ มันเป็นเทคนิคการตัดแต่งภาพ 2 ภาพเข้าด้วยกัน คือรูปคนถ่อเรือที่ถ่ายที่คลองบางรัก ฉากหลังเป็นเพียงบ้านริมคลองเกะกะรกตา กับภาพเมฆฝนอีกภาพหนึ่ง ซึ่งต้องใช้ความละเอียด พยายาม และเทคนิคสูงมากๆในยุคสมัยที่บ้านคนทั่วๆไปยังไม่มีคอมพิวเตอร์ด้วยซ้ำ (Photoshop พึ่งจะเกิดขึ้นในปี 2531)

สิ่งที่อยากจะบอกคือถ้าเด็กสมัยนี้ที่เกิดมาพร้อมกับกล้องดิจิตอลและโปรแกรมปรับแต่งภาพที่ทำมาให้ใช้ได้ง่ายมากๆมาเห็นรูปนี้ อาจจะไม่รู้สึกถึงความยิ่งใหญ่ของมันเลยก็ได้ เพราะคงจะคิดว่าใครก็สามารถทำได้เหมือนๆกัน และนั่นก็ทำให้เราเกิดความสงสัยขึ้นมาว่าความรู้สึกของช่างภาพที่ทำงานในห้องมืดมาตลอดชีวิตที่มีต่อโปรแกรมแต่งภาพบนคอมพิวเตอร์นั้นเป็นยังไง -- จะเป็นความชื่นชมความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี หรือ ความรู้สึกหวั่นใจว่าคุณค่าของผลงานตัวเองจะลดลงไปในอนาคต

ที่เราสงสัยแบบนี้เพราะว่ามีโปรแกรมที่กำลังฮิตขึ้นมาชื่อว่า Poladroid ที่เป็นโปรแกรมแปลงรูปดิจิตอลให้กลายเป็นรูปเสมือนรูปถ่ายจากกล้อง Polaroid ทั้งสี กรอบรูป และ effect ต่างๆเช่นรอยนิ้วมือบนรูป ซึ่่งเราที่พึ่งจะเริ่มเล่นกล้อง instant ของ Fuji อยู่รู้สึกว่า ต่อไปคนจะรู้ได้ยังไงว่ารูปของเราเป็นรูปที่เราถ่ายมาด้วยกล้อง instant จริงๆ ไม่ได้เป็นการแต่งโดยโปรแกรม (มันเป็นเหมือนศักดิ์ศรีนะจะว่าไป เพราะเราก็รู้สึกว่าเราลงทุนกับค่าฟิล์ม instant แต่ละรูปไปไม่น้อยเลย)

ถ้ามาคิดดูดีๆก็คงเหมือนช่างภาพฟิล์มตอนกล้องดิจิตอลพึ่งพัฒนา ซึ่งตอนนั้นคนทั่วไปก็คงรู้สึกดีเพราะมันลดค่าใช้จ่ายในการซื้อฟิล์มไปได้เยอะมาก หรือเหมือนความรู้สึกของ sound engineer ที่ทำงานแบบ analog มาตลอดจนกระทั่งมีการบันทึกเสียงแบบดิจิตอล หรือแม้กระทั่งพ่อครัวทำอาหารที่มาเจอกับอาหารสำเร็จรูปเป็นครั้งแรก ซึ่งเหล่านี้แต่ละคนคงมีคำตอบไม่ต่างกัน เช่นเราเชื่อว่าปู่ หรืออาจารย์จิตต์ คงไม่ได้ต่อต้านกระแส digital processing เท่าไหร่ (อาจจะตื่นเต้นด้วยซ้ำ) แต่ในที่สุดแล้วความเปลี่ยนแปลงนั้นคงไม่สามารถเลี่ยงได้ ไม่ว่าคนทำงานมาก่อนจะรู้สึกยังไงมันไม่ใช่เรื่องสำคัญเลย ไม่ว่าคุณจะเป็นใครมาก่อนก็ตาม ... มันคือความรู้สึกความต้องการของคนใช้งานหมู่มากต่างหากที่จะกำหนดทิศทางของความเปลี่ยนแปลงได้

แค่นั้นเองจริงๆ


Link:
- อ่านเรื่องราวโดยละเอียดของรูป เมื่อพายุโหม ที่นี่
- อ่านบทสัมภาษณ์ อ.จิตต์ จงมั่นคง ที่นี่

Tuesday, March 24, 2009

Geeky Dilemma

พยายามสร้าง blog ใหม่อยู่หลายหนหลายแห่ง
ไม่ว่าจะเป็น wordpress, livejournal, exteen, หรือ trendyday
แต่ก็ยังไม่ถูกใจซักที่ แม้แต่ใน blogger นี้เองก็เถอะ
เราพยายามหาที่ๆมีความยืดหยุ่น ทำอะไรได้มากๆเท่าที่อยากทำ
หรือทำอะไรที่อาจจะอยากทำในอนาคตต่อไปได้ด้วย
ยังไงๆก็ยังไม่ลงตัว

คิดไปคิดมาก็เลยพาตัวเองไปอีก step นึงซะเลย
นั่นคือจะทำ wiki!

... จะไหวมั้ยเนี่ย (นั่งทำมาทั้งคืนแล้ว อยากลองทำขึ้นให้ได้ภายในสุดสัปดาห์หน้านี้)


Note:
- entry นี้แค่แสดงความ geek เฉยๆ ไม่มีอะไร

Wednesday, December 26, 2007

Fitting Frenzy


[image from screenshot of "Fashion Fits!" by FunnyPCGames.com]

เมื่อวันเสาร์ไปห้างใหญ่ใจกลางเมืองมา มีร้านลดราคามากมาย
มีร้านเสื้อร้านหนึ่งคนเลือกกันเยอะเลย แฟนเราก็ไปเลือกดูด้วย
พอมาถึงตอนที่เลือกได้แล้วจะลองนี่ล่ะ ที่ต้องไปเจอกับแถวยาวเหยียด
ระหว่างรอเราก็เลยนึกสงสัยขึ้นมาว่า นี่มันน่าจะเป็นเรื่องปกติของฤดูการจับจ่าย
แต่ว่าเวลาเขาออกแบบร้านเสื้อเนี่ย เขาก็น่าจะคิดไว้สิว่าห้องลองเพียงพอรึเปล่า

เราเข้าใจว่าค่าเช่าที่ในห้างนั้นต้องแพง จำเป็นต้องมีพื้นที่สำหรับแสดงและจัดเก็บสินค้าเป็นหลัก
แต่ว่าการลองเสื้อนั้นก็เป็นสาระสำคัญในการตัดสินใจจ่ายเงินนี่นะ
ถ้าหากไม่ได้ลอง คงไม่สามารถตัดสินใจซื้อเสื้อผ้าได้ง่ายๆแน่
(ถ้าคิดว่าไม่จริง ป่านนี้ร้านเสื้อออนไลน์คงรวยกันหมดแล้ว)
ถ้างั้นทำยังไงถึงจะมีทางออกที่พอดีสำหรับทุกฝ่าย

ปัญหานี้นักออกแบบร้านค้าปลีกหรือตัวบริษัทเสื้อผ้าพบนี้น่าจะพบเจอบ่อยๆ
ไม่สามารถจัดสรรพื้นที่เพื่อให้ใช้สอยได้ครบเพียงพอตามต้องการ
แต่ว่าของที่มักจะถูกมองข้ามไปในขั้นตอนการออกแบบหรือวางแผนคือการใช้เทคโนโลยีเข้าช่วย
เอาเท่าที่นึกออกแบบเร็วๆเราว่าน่าจะมีทางแก้ได้โดยวิธีคิดสองหลักด้วยกัน
1. อะไรจะทำให้ลูกค้าลองเสื้อได้ในเวลาที่ลดลง เพื่อลดความยาวของแถวที่รอ
2. อะไรจะทำให้สินค้าถูกแสดงได้ครบในพื้นที่ที่ลดน้อยลง (เพื่อเพิ่มห้องลอง)

ตอบทีละข้อโดยเริ่มจาก 1 ก่อนเลย - -
ลองนึกถึงกระจกอันหนึ่งที่สะท้อนตัวคุณออกมา ... แต่ว่าสวมใส่ชุดที่คุณต้องการลองแทนชุดจริง!
(ไม่ได้หมายความว่าไปเปลี่ยนชุดมาแล้ว แล้วเดินมาส่องกระจกนะ)
คุณสามารถเลือกลองชุดที่ต้องการใส่ได้โดยที่ไม่ต้องเปลี่ยนชุดจริงๆ
และคุณสามารถเห็นตัวคุณเองในอิริยาบถต่างๆได้ตามที่คุณแสดงด้วย (ไม่ใช่แค่ทาบชุด)
นี่ไม่ใช่เพ้อเจ้อ แต่คือเรื่องที่เกิดขึ้นจริง โดยของที่เรียกกันว่า "Virtual Mirror"*
จริงๆแล้วคุณไม่ได้ส่องกระจกของจริงที่ฉาบด้วยเวทมนตร์อะไรทั้งนั้น
คุณจะเห็นตัวคุณเองผ่านเทคโนโลยี real-time simulation ที่มีการคำนวณรูปร่างคุณ
และแสดงออกมาโดยการประมวนผลรูปร่างของคุณในเสื้อผ้าแบบที่ต้องการลองจริงๆ
ด้วยนวัตกรรมนี้ ลูกค้าสามารถที่จะ"ลอง"เสื้อที่ต้องการว่าเข้ากับตัวเองไหมก่อนที่จะลองว่าพอดีรึเปล่า
และน่าจะทำให้เวลาในการลองเสื้อของลูกค้าลดลงได้อย่างเห็นได้ชัด
* บ.Toshiba ร่วมมือกับ บจก. Digital Fashion ร่วมมือกันพัฒนาระบบขึ้นมา [link]

และข้อ 2 คือลดพื้นที่จัดแสดง - -
ถ้าเห็นว่าข้อแรกยังเป็นไปได้จริง ข้อนี้ยิ่งเป็นไปได้ง่ายใหญ่เลย
มันมีของที่เรียกว่า virtual catalog อยู่ (เอาไว้ใช้คู่กับ virtual mirror ก็ได้)
สิ่งนี้มันจะทำให้คุณเลือกแบบเสื้อผ้าผ่านจอคอมพิวเตอร์ทุกรูปแบบได้
พอเลือกแบบที่ต้องการได้แล้วค่อยแจ้งพนักงานให้หยิบแบบที่ต้องการมาให้ก็ได้
เท่านี้ก็สามารถลดพื้นที่ที่จัดแสดงลงไปได้ไม่น้อยแน่ๆ

หยิบยกเรื่องนี้มาพูดถึงเพราะว่าร้านเสื้อผ้าเป็นธุรกิจแบบดั้งเดิมมากๆ
และขั้นตอนในการดำเนินธุรกิจเปลี่ยนไปน้อยมากๆในช่วง 10-20 ปีที่ผ่านมา
ในยุคที่ธุรกิจในหลายๆอุตสาหกรรมเปลี่ยนแปลงไปอย่างมากเพราะความเปลี่ยนแปลงทางสภาพแวดล้อม
ทั้งพฤติกรรมผู้บริโภค ทั้งข้อบังคับทางเศรษฐกิจ กฎหมาย สิ่งแวดล้อม และเทคโนโลยี
ผู้ประกอบการควรต้องหันมามองตนเอง และสิ่งที่ตนเองสามารถปรับปรุงได้ เพื่อพัฒนาโอกาสของตนเอง

อีกอย่างหนึ่งคือ เราชาวไทยต้องปรับเปลี่ยนทัศนคติเรื่องเทคโนโลยีและนวัตกรรม
คนส่วนมากนึกว่ามันเป็นเรื่องไกลตัว เรื่องของต่างชาติ เรื่องล้ำยุคและยากที่จะเข้าใจ
แต่จริงๆทุกคนสามารถเข้าถึงมันได้ เพราะมันมีอยู่เพื่อประโยชน์ของเราทุกคน
เราต้องมองเทคโนโลยีว่าเป็นเรื่องที่เราจัดการเอามาใช้เองได้โดยที่ไม่ต้องพึ่งพาใคร
ไม่ใช่คิดว่าชาวต่างชาติค่าตัวแพงเก่งกว่าเรา และไม่ใช่คิดว่าของแพงคือของดี


Note:
- วันถัดมาก็ไปเลือกตั้ง ต่อแถวยาวเหยียดอีก นี่ก็เป็นอีกเรื่องที่ไม่ปรับปรุง process เป็นระยะเวลาสิบๆปีแล้ว ... เราเห็นคนต่อแถวหลังเรายืนรอลงคะแนนราว 20 นาที (เราก็รอนานเท่านั้นด้วย) จนไปถึงเจ้าหน้าที่ แต่ว่าเค้าลืมลำดับเลขที่ของตนเองไปแล้ว เจ้าหน้าที่น่ารักมาก ชี้ไปที่กระดานท้ายแถวว่าให้ไปดูตรงโน้นและต่อแถวมาใหม่ซะนะ ... ไม่มีวิธีดีกว่านี้แล้วจริงๆหรอ?
- เรื่อง virtual mirror ข้างบนมีการใช้ในร้านเสื้อผ้าจริงๆแล้วด้วยนะ แต่ว่าจำไม่ได้จริงๆว่าที่ไหน (หา web ไม่เจอ)

Sunday, November 25, 2007

Something New #5

New color, new mood ... for the love of environment (sort of)

PS. ช่วงนี้ในชีวิตจริงเราแทนตัวเองว่า "ผม" มากกว่า "เรา" ดังนั้นเวลาเขียนบาง entry อาจจะแทนตัวเองว่าผม ตามความเหมาะสมของเนื้อหาละกัน อย่าอ่านเพื่อจับผิดหาความไม่สม่ำเสมอล่ะ

Wednesday, October 24, 2007

Rebranding



วันที่ 24 ตุลาคม 2550 - บริษัท Total Access Communication (PLC)
หรือที่รู้จักกันดีกว่าในนามของ DTAC ได้มีการแถลงข่าวการปรับภาพลักษณ์บริษัท
ถ้าพูดภาษานักการตลาด(ซึ่งเราไม่ได้เป็น) ก็คือการ rebrand นั่นเอง

สาระสำคัญของการ rebrand ครั้งนี้คือ การเป็นองค์กรที่สร้างความรู้สึกดีๆ
ทั้งตัวบริษัท พนักงาน และที่สำคัญคือสินค้าและบริการจะต้องสร้างความรู้สึกที่ดีให้กับลูกค้า
พร้อมๆกับลบความรู้สึกแย่ใดๆ ความยุ่งยาก ความไม่สะดวกที่มีก่อนหน้าออกไปจากภาพลักษณ์

ที่มาเล่าให้ฟังไม่ได้จะมาช่วยใครขายของอะไรทั้งนั้น
แต่อยากยกตัวอย่างขององค์กรที่ให้ความสำคัญกับความรู้สึกของผู้บริโภค (consumer-oriented)
และที่สำคัญเท่าๆกันคือการให้ความสำคัญกับบุคลากรภายในองค์กร

เรารู้มาว่า DTAC เน้นการสร้างวัฒนธรรมองค์กรและทัศนคติในการทำงานที่ดีของพนักงาน
ด้วยหลักการและเหตุผลที่ผู้บริหารทุกคนย้ำนักหนาว่า


"... คู่แข่งของเรามีเหนือกว่าแทบทุกอย่างโดยเฉพาะเงินลงทุน
ซึ่งส่งผลให้เขามีเทคโนโลยีที่ดีกว่า มีสื่อโฆษณามากกว่า
อะไรที่เราสามารถลงทุนสร้างขึ้นมาได้ เขาก็ใช้เงินซื้อมาได้เช่นกัน
แต่มีอยู่อย่างที่เขามีไม่เหมือนเราคือพนักงาน
หากเราสามารถทำให้พนักงานทุกคนร่วมแรงร่วมใจทำเพื่อบริษัทได้
นั่นคือสิ่งที่เขาไม่สามารถใช้เงินซื้อหามาได้ ..."

"... ถ้าหากเราเอาเงินไปแข่งกับเงินเราก็มีแต่แพ้ เพราะเงินเขาเยอะกว่าเรามาก
ทางเดียวที่เราจะแข่งกับเขาได้คือเราใช้เท้าแข่งกับเงิน
เราต้องเดินเข้าหาลูกค้าให้มากกว่าเขา เราต้องลงแรงให้มากกว่าเขา
ยิ่งเขาใช้เงินเรายิ่งต้องออกเดิน ..."

ฟังดูตลกมั้ย? แล้วรู้สึกว่าตลกกว่าอีกมั้ยที่พนักงานแทบทุกคนเชื่อและยินดีที่จะทำตาม
เพราะ DTAC นั้นกระตุ้นให้พนักงานรู้สึกว่าต้องท้าทาย (challenge) อยู่เสมอ
ทำให้รู้สึกว่าคำพูดของลูกค้าทุกคนคือเรื่องสำคัญที่ต้องรับฟังแล้วนำมาปรับปรุง
สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่แค่คำพูดสวยหรูหรือ cliche ที่แค่พูดออกไปเวลาแถลงข่าวเท่านั้น
แต่มันเป็นสิ่งที่พวกเค้าพูดออกมาจากใจจริงๆ



ให้ลองดู Desktop Wallpaper สำหรับพนักงานเล่นๆ

© All rights reserved by Total Access Communication (PLC)


Note:
- ย้ำอีกทีว่าไม่ได้มาขายของจริงๆ แค่อยากเล่าให้ฟังถึงเรื่องที่ได้รู้มา
- ภาพที่ใช้ประกอบวันนี้ © All rights reserved นะครับ
- มีภาพมาให้ดูเพิ่ม เป็นความเปลี่ยนแปลงเล็กๆน้อยๆที่อาคารชัยซึ่งเป็นที่ตั้งของ DTAC


" feeling good is not just an emotion;
it's a philosophy "

Tuesday, October 23, 2007

Short-Term Plan

ลองคิดเล่นๆดูว่าต้องการจะทำอะไรในช่วงนี้ แต่เอาแบบเป็นไปได้จริงๆนะ
ถ้าหากจะเริ่มทำอะไรใหม่ๆ หรือเลิกทำอะไรเดิมๆ เราอยากจะทำอะไรบ้าง
มาดูกัน

1. เขียน blog เป็นอาชีพ (หมายถึงว่าอยากได้รายได้จากการเขียน blog)
จะทำยังไง? - อาจจะต้องเริ่มจากการหาthemeในการเขียนที่เหมาะสม มีกลุ่มเป้าหมายผู้อ่านที่ชัดเจน อาจจะไม่ได้ทำด้วยตัวคนเดียวแต่สามารถทำแบบรวมกับคนรู้จักเป็นกลุ่มเป็นก้อนเพื่อเขียนของที่เป็นประเด็นเดียวกันหรือมีความเกี่ยวโยงกันหรือเพื่อการโต้แย้งกัน รายได้ที่คาดว่าจะได้รับอาจจะไม่มากไม่มายอะไร อาจจะได้รับการสนับสนุน(endorsement)จากสินค้าประเภทต่างๆบ้าง หรือง่อยๆแบบคิดอะไรไม่ออกก็ขายbannerละกัน
เป็นไปได้มากแค่ไหน? - 7/10 จะเริ่มเขียน blog นั้นเริ่มได้ตลอดเวลาอยู่แล้ว แต่จะเขียนในเรื่องที่มีคนสนใจอ่านและหาช่องทางโปรโมทได้นั้นอาจจะทำให้ยากขึ้นมาอีกหน่อย แต่ที่ยากจริงๆคือมี traffic เข้ามาที่ blog มากพอจนจะได้ endorsement นี่สิ ยากแน่ๆ

2. เปิดร้านเสื้อแบบมี theme ไม่ใหญ่โตมาก
จะทำยังไง? - หา theme ในการขายเสื้อที่ไม่เคยเห็นคนทำ (อย่างน้อยก็ในประเทศนี้) ยกตัวอย่างเช่น UTStore ที่ญี่ปุ่นที่ เป็นร้านขายเสื้อที่ให้อารมณ์ร้านสะดวกซื้อบวกกับรถไฟใต้ดิน คือไปเดินเลือกแล้วหยอดเหรียญเพื่อซื้อเสื้อตามแบบจากตู้อัตโนมัติในร้านได้เลย
เป็นไปได้มากแค่ไหน? - 7/10 Theme ในหัวก็พอมีอยู่บ้าง เรื่อง supplier และการผลิตก็พอจะมีที่พึ่งอยู่ ที่ยากจริงๆคงเป็นเรื่องทำเล และก็ต้นทุนละมั้ง

3. เป็นครูบาอาจารย์
จะทำยังไง? - อยากเป็นคนที่ให้ความรู้คนอื่นได้ แต่อยากเน้นการสอนแบบสอนให้รู้จักคิด ให้รู้จักการหาข้อมูล หัดพัฒนาความรู้ด้วยตัวเอง และจะพยายามเป็นที่ปรึกษาด้านความคิดของเด็กนักเรียนด้วย
เป็นไปได้มากแค่ไหน? - 6.5/10 อยากเป็นอาจารย์สอนระดับชั้นมัธยมหรือมหาวิทยาลัย แต่จะสอนมหา'ลัยได้คงต้องจบปริญญาโทก่อน ดังนั้นที่พอจะเป็นไปได้คือระดับมัธยม ไม่รู้เหมือนกันว่าการจะเข้าไปเป็นครูหรืออาจารย์นั้นมันยากแค่ไหน แต่อยากทำจริงๆนะ

4. ไปเที่ยวต่างประเทศ
จะทำยังไง? - เหนื่อยหน่ายกับวิวทิวทัศน์เดิมๆในประเทศ อยากไปสิงคโปร์อีกแล้ว ทั้งๆที่ไปมาหลายทีแล้วก็ยังอยากไป คงเพราะไปง่าย ถูก และสะดวกเรื่องที่พัก แต่ก็อยากไปที่อื่นๆด้วยเหมือนกัน (ตอนนี้อยากไปนิวยอร์คนะ แปลกใจตัวเองเหมือนกัน)
เป็นไปได้มากแค่ไหน? - 9.5/10 สำหรับสิงคโปร์ : 5/10 สำหรับนิวยอร์ค

5. เริ่มทำทุกอย่างที่บอกไว้ข้างบน
จะทำยังไง? - เนื่องจากติดภารกิจทั้งงานและเรียนอยู่อาจจะดูเป็นไปไม่ได้ที่จะทำทุกอย่าง แต่ถ้าตัดอะไรสักอย่างออกไปได้ละก็ .... หึๆๆ
เป็นไปได้มากแค่ไหน? - ไม่รู้จริงจริ๊งงงงง

Note:
- เขียนเสร็จแล้วมาย้อนดูก็รู้สึกว่ามีคำว่า theme เยอะจัง
- เรื่องเขียน blog กลุ่มนั้นอยากทำจริงๆนะ ใครมีไอเดีย ใครอยากทำ ลองบอกมาได้

Friday, October 19, 2007

hyü : NOT at FF#7


ด้วยความคลาดเคลื่อนบางอย่าง จึงทำให้ไม่สามารถไปแสดงตัวให้คนเห็นได้ในงาน Fat Fest ครั้งที่ 7 ตามที่ได้บอกไว้ก่อนหน้านี้
ยังไงก็ตาม อาจจะไปปรากฏตัวหรือสิงสู่ในบูธของคนอื่นในงานแทน ซึ่งยังไม่แน่นอนว่าบูธใครคนไหน
ราวๆต้นปีหน้าคงได้เจอกันจริงๆซะที

Saturday, September 22, 2007

Something New #4

New look (again).

Nothing to say much today, just enjoy (or bash) the new appearance.

Wednesday, September 19, 2007

hyü : Preface



Hue [hyü]
-noun

1. a gradation or variety of a color; tint: pale hues.
2. the property of light by which the color of an object is classified as red, blue, green, or yellow in reference to the spectrum.
3. color: all the hues of the rainbow.
4. form or appearance.
5. complexion.

—Related forms
hueless, -adjective




เนื่องจากคงไม่มีคนเข้า Blog นี้มากกว่านี้อีกแล้ว
และไหนๆรูปก็ไปอยู่บน Blog ของพีร์แล้ว
เลยถือโอกาสนับตั้งแต่ตอนนี้ ค่อยๆแนะนำให้ทุกคนได้รู้จัก
โปรเจกต์ล่าสุด และ(น่าจะ)เอาจริงเอาจังที่สุดเท่าที่เคยคิดทำมา
เจอกันเต็มๆงาน Fat Fest #7 ครับผม

ระหว่างนี้คอยเข้ามาอ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่ครับ

Note:
- พี่พีอย่าลืมจองบูธให้ผมด้วยนะครับ ขอบคุณครับผม
- Definition by Dictionary.com

Sunday, August 19, 2007

Something New #2

หลังจากเปลี่ยนหน้าตา Blog ครั้งก่อน
มีคนทักว่ามันดูหวาน ไม่เหมาะกับเรื่องที่เราเขียน

วันนี้ทำหน้าตาใหม่ ให้ดูสุขุม (?) ขึ้น
คนๆเดิมบอกว่า ... อันเก่าสวยกว่า

เอาใจยากจริงๆ คนเรา

(เปลี่ยนกลับไม่ได้แล้วด้วย ทำ Banner เก่าหายไปแล้ว)

Tuesday, July 10, 2007

Introducing New Niche

GRUMPY-7 : Home of Grumpiness (and other stuff too)

Virtually : Open Soon

Physically : Open Soon Too

Do visit ... often

Monday, July 2, 2007

First Entry

Dear my few fans,

this here will be the new address for my "Journal of Thoughts", due to the difficulties I have had with MSN Live! Space. From now on, please check in here to keep up with my train of thoughts.

Cheers,

LERK-7