Menu

Showing posts with label Joy. Show all posts
Showing posts with label Joy. Show all posts

Friday, February 1, 2013

Looking Back, Looking Forth

NEW ROAD LAYOUT AHEAD
[image: Gabriel Thomas @ flickr]

ผมพึ่งนึกอะไรบางอย่างได้ ...

ก่อนจะพูดถึงมัน ขอย้อนกลับไปราว 7 ปีกว่าๆก่อนหน้านี้
ผมกำลังนั่งอยู่กับหญิงสาวที่เป็น 'หัวหน้า' คนแรกของผม
น้ำตาผมไหลแบบควบคุมไม่ได้ จะพูดอะไรก็พูดไม่ออก
เวลาครึ่งปีก่อนหน้านั้นที่ผมคลุกคลีอยู่กับเธอและเพื่อนร่วมงานคนอื่นๆกำลังจะจบลง
ระยะเวลาครึ่งปีที่ผมได้ทำสิ่งที่รู้สึกว่าเป็นงานที่วิเศษที่สุดในชีวิตกำลังจะจบลง

นั่นคือการลาออกครั้งแรกของผม

ตอนนั้นผมรู้สึกเหมือนกำลังจะเสียสิ่งสำคัญในชีวิต
ผมลาออกเพื่อไปทำหน้าที่ที่สังคมและคนรอบตัวคาดหวัง
แต่ผมรู้สึกได้ว่าชีวิตผมคงไม่กลับไปมีช่วงเวลาวิเศษแบบนั้นได้อีกแล้ว
งานออฟฟิศอื่นไหนไม่มีทางมีความหมายเท่ากับที่นี่
เพื่อนร่วมงานที่อื่นก็ไม่มีทางมีเคมีที่เข้ากันได้มหัศจรรย์ขนาดนี้

ผมคิดแบบนั้นจริงๆ แม้ว่าจะไม่เคยทำงานออฟฟิศที่อื่นมาก่อน

ถัดจากวันนั้นมาอีก 3 ปี ผมนั่งตรงข้ามคนที่เป็นหัวหน้าเพื่อลาออกอีก 3 หน
การคุยแต่ละครั้งก็แตกต่างกันไป แต่ไม่มีครั้งไหนที่ผมจะฟูมฟายอย่างครั้งแรก
ส่วนหนึ่งเป็นเพราะผมทำใจไว้ตลอดว่าคงไม่สามารถผูกพันกับที่ไหนได้เท่านั้น
คงจะไม่มีที่ไหนที่เราจะรู้สึกอาลัย อยากทำงานให้ไปตลอดได้ขนาดนั้นอีก
นับจากวันที่ผมนั่งร้องไห้วันนั้น ผมจึงทำงานแต่ละที่เหมือนรอวันที่จะลาออกเท่านั้น

กลับสู่เวลาปัจจุบัน ... ขณะที่ผมพึ่งนึกอะไรบางอย่างได้ ...

ผมนึกออกว่าวันนี้คือวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2556
ผมกำลังทำงานให้กับบริษัทที่ทำธุรกิจประเภทที่ไม่เคยคาดว่าจะได้มามีส่วนเกี่ยวข้อง
ทำงานอยู่ในย่านที่ไม่คิดว่าจะมีคนสไตล์ที่เราคุ้นเคย และจะสนิทด้วยได้
วันที่ผมตัดสินใจทำงานที่นี่ ผมเผื่อใจว่าในไม่นานคงจะได้นั่งคุยกับหัวหน้าอีกแน่
ผมนึกออกว่าวันนี้คือวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2556 -- วันนี้ผมทำงานที่นี่ครบ 4 ปีพอดี

... และหากมีการลาออกครั้งต่อไป ผมอาจจะกลั้นน้ำตาไม่อยู่อีกครั้งก็ได้

Note:
- ขอบคุณเพื่อนร่วมงาน และหัวหน้างานทุกท่านที่อดทนความบ้าบอของผมได้

- ขอบคุณทุกคนในแผนก ที่ร่วมกันสร้างบรรยากาศที่ดีในการทำงานทุกวัน อยากให้รับรู้ว่าสิ่งที่เรามีร่วมกันนี้มันไม่ได้เกิดขึ้นง่ายๆนะครับ
- นึกว่าเขียนยาวแล้วนะ มาย้อนอ่านดูสั้นนิดเดียวเอง ถ้าเทียบกับแต่ก่อน

Friday, May 1, 2009

The Real Thing

ขอโทษแฟน blog ทุกคนถ้าทำให้รู้สึกว่าวันนี้เราเขียนบ่อยเกินไป
เชื่อเถอะว่าไม่ได้คิดจะเขียนเยอะขนาดนี้ แต่พอดีมันมีเรื่องด่วนเข้ามา
เรื่องที่ว่านั่นก็คือเราเสือกไปเจอดาราคนหนึ่งมาเมื่อกี๊นี้เลย

สื่อมักกล่าวถึงดาราคนนี้ในเรื่องๆหนึ่งอยู่อย่างไม่ขาดช่วง
ผู้คนที่ไม่เคยเจอตัวจริงก็อาจจะคล้อยตามไปด้วย เพราะสื่อกรอกหูเหลือเกิน
จนกระทั่งวันนี้เราได้เจอตัวจริงในระยะใกล้ชิด ขอยืนยันเลยว่าที่สื่อพูดๆกันน่ะ ...

















ไม่เกินเลยความจริงเลยแม้แต่นิดเดียว สมราคาจริงๆ


ขอพูดด้วยความมั่นใจเลยว่า คนนี้น่ะ "ของจริง"

Wednesday, April 22, 2009

200 is Pretty Significant


[image by Sittichai Jittatad]

คิดอยู่นานว่าจะเขียนอะไรใน Entry ที่ 200 ให้สมกับที่ทำหัว Blog ใหม่มาฉลอง (เว่อร์มาก)
ประจวบเหมาะว่าพี่เป้ ช่างภาพที่ออฟฟิศหยิบกล้อง Fuji Instax เราไปเล่น แต่ว่าลองถ่ายจริงๆ
ก็ปรากฏออกมาเป็นรูปอย่างที่เห็น ทั้งๆที่เราไม่ชอบถ่ายรูปตัวเองแท้ๆ แถมรูปนึงก็ไม่ได้ถูกนะ

แต่ปัญญาก็เกิดขึ้นมาทันใด ว่าควรพลิกวิกฤตให้กลายเป็นโอกาส เอารูปนี้มาลงซะเลย
เพราะมั่นใจว่าไม่เคยเอารูปที่เห็นหน้าชัดขนาดนี้ลง blog มาก่อน ~~ พิเศษแค่ไหนคิดดู

นับตั้งแต่วันแรกที่เริ่มเขียนคือวันที่ 2 ก.ค. 2007 จนถึงวันนี้
blog แห่งนี้มีอายุ 661 วันแล้ว มี entry นี้เป็นลำดับที่ 200
นั่นหมายความว่า ทุกๆ 3.3 วันเราจะเขียน entry ใหม่ที (ก็ไม่เลวนะ)

สำหรับคนที่เข้ามาเป็นประจำก็ขอแสดงความขอบคุณนะครับ รู้สึกตื้นตันเสมอ
ส่วนคนที่เข้ามาไม่ว่าจะเพราะ ญารินดา, Michael Cera, DTAC Rebrand, หรือนมใดๆก็ตาม
ก็คิดว่าคงจะมีคนอย่างพวกคุณเข้ามาอย่างต่อเนื่อง จะได้เริ่มหาโฆษณามาลงบ้าง

ขอบคุณอีกแล้วครับ



วู้ว ~~~ 200 แล้ว!!!!

Thursday, November 13, 2008

Refreshed

(วันนี้ขี้เกียจหารูป)

เขียน entry นี้ตอนช่วงโดดงานสองวัน(ขอโทษครับพี่พี) หลังจากงานแฟตจบลง
จะว่าเหนื่อยก็ไม่ได้เหนื่อยเท่าปีที่เคยๆทำมานะ เฉพาะหน้างานเรียกว่าเหนื่อยน้อยมากก็ได้
ก็ต้องขอขอบคุณสมาชิกชาวคณะสนามหลวงทุกๆท่าน
พี่เต็ด (ที่มาช่วยขายในวันแรกด้วย) พี่พี (ที่คอยเตือนให้ plan ตั้งแต่ 3-4 เดือนก่อน และโทรมาถามไถ่)
พี่เจี๊ยบ พี่นุ้ย พี่ปลา พี่แก้ว กี้ แยม เซาะ ตี๋ พี่ปอ ที่ช่วยทั้งที่บูธ และก่อน+หลังงาน
น้องฝึกงานทุกๆคนที่ช่วยกันคนละไม้ละมือ เพื่อนๆทุกท่านที่แวะเวียนมาที่บูธ
ศิลปินทั้งเดี่ยวและกลุ่มที่แสดงโชว์ดีๆให้คนดูสนุกและคนในค่ายปลื้มใจ
จนทำให้งานนี้พอจะเรียกได้ว่าผ่านพ้นไปได้ด้วยดี
ต้องขอขอบคุณเพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ อีกครั้งที่ร่วมทำงานนี้ด้วยกัน

ขอบคุณครับ


Note:
- ไม่รู้ทำไม ช่วงนี้รู้สึกสุขภาพจิตดี๊ดี (ดี)
- รู้ตัวมากขึ้นว่าต้องการทำอะไร และควรทำอะไร (ดี)
- ไม่ค่อยได้สนใจการเรียนเท่าไหร่ช่วงนี้ (ไม่ดี)
- กำลังอ้วนมาก (ไม่ดี) อาจทำให้ต้องซื้อเสื้อผ้าใหม่ (ดีบ้างไม่ดีบ้าง)
- เดือนนี้เป็นเดือนเสียเงินโดยแท้ ต้องซื้อของเยอะมาก (ไม่ดี)
- หวังว่าจะออกกำลังกายสม่ำเสมอในสัปดาห์นี้เป็นต้นไป (น่าจะดี)
- ได้ไปสถานที่ hip / cool มา รู้สึกว่าไม่เหมาะกับเราเลยจริงๆ (ไม่ดี)
- แต่คนที่ไปอยู่ที่นั่นก็ไม่ได้เหมาะหรอกเนา่ะ มีแต่ wannabes (ไม่ดี)
- เดือนธันวาจะลาพาแม่ไปขึ้นดอยที่เชียงใหม่-เชียงราย (น่าจะดี)

- ถ้านึกอะไรออกจะมาเขียนใหม่นะ ...

Monday, February 11, 2008

Get More of Your Money


[image from: ilmungo @ flickr]

เดาแบบไม่มีเหตุผลอ้างอิงว่าทุกคนคงต้องใช้เงิน และมักจะมีไม่ค่อยพอใช้
เงินมีไว้ใช้เพื่อแลกกับของที่ต้องการ และของที่ต้องการก็มักจะมีมูลค่ามากกว่าเงินที่มี
แต่เวลาที่มีเงินพอที่จะซื้อหาของที่ต้องการมาได้มันก็รู้สึกดี
เพราะนอกจากจะได้ประโยชน์จากของนั้นแล้ว เรายังมีความรู้สึกพึงพอใจที่ได้มันมา
แต่ว่าความรู้สึกนั้นมันอยู่ไม่นาน เพราะเดี๋ยวเราก็จะเบื่อและขยับไปต้องการอย่างอื่นแทน
ไม่ต้องรู้สึกผิดที่เป็นแบบนั้น เพราะใครๆในโลกทุนนิยมก็เป็นเหมือนกัน
ทุกคนก็อยากจะรวยพอที่จะมีทุกอย่างตามต้องการ แต่น้อยคนที่จะรวยแบบนั้น
ปัญหาจริงๆคือความรู้สึกดีๆที่ได้รับจากการใช้เงินนั้น มันคุ้มค่ารึเปล่า
มีของกี่อย่างกันที่เราเอาเงินไปแลกมาแล้วให้ความรู้สึกดีกับเราไปได้นาน?

ขอเล่าเรื่องของเราเช้าวันนี้ให้ฟังซักนิด เผื่อจะเป็นตัวอย่างให้เอาไปคิดอะไรต่อได้
เรามาถึงออฟฟิศตอนสายๆ แล้วก็เดินไปกินก๋วยเตี๋ยวกับน้องในทีม
ก็กินจนอิ่มพอสมควรและจ่ายเงิน 25 บาทเพื่อแลกกับความอิ่มนั้น
ก่อนที่จะกลับขึ้นมาทำงาน เราเห็นคุกกี้ที่ร้านกาแฟเลยแวะซื้อมาด้วย
คุกกี้ 8 ชิ้นราคา 40 บาท ตกชิ้นละ 5 บาท (ถ้าเงินเดือนไม่มากก็แพงเหมือนกัน)
ตอนแรกกะจะกินซักสองชิ้นตอนสายๆ ส่วนที่เหลือเก็บไว้กินตอนบ่าย
พอมาถึงโต๊ะเราก็แกะถุงคุกกี้นั้นออก ... ได้กลิ่นหอมก็อยากกิน
แต่ว่าเรายังอิ่มอยู่ และเมื่อวานมีคนทักว่าอ้วน เลยเปลี่ยนใจไม่กิน
เราก็เลยเดินไปตามโต๊ะสมาชิกในทีมที่มาทำงานวันนี้ 4 โต๊ะ
เอากระดาษทิชชู่วางปูไว้ และเอาคุกกี้วางไว้ให้โต๊ะละ 1 ชิ้น

เราเดินกลับมาที่โต๊ะ ตอนนี้มีคุกกี้เหลืออยู่ 4 ชิ้น
ถ้าคำนวณใหม่ก็ตกชิ้นละ 10 บาท แพงกว่าเดิมเป็น 2 เท่า
แต่ว่าคุกกี้อันเดียวกันที่ราคาแพงกว่าเดิมเป็นเท่าตัวนี้
ให้ความสุขใจได้มากกว่าคุกกี้ชิ้นละ 5 บาทเมื่อตอนซื้อเยอะเลย

เราใช้เงินไป 40 บาทเพื่อคุกกี้ 8 ชิ้นในตอนแรก
ถ้าเรากินหมดทั้ง 8 ชิ้นเราก็จะอิ่มบวกสุขใจเท่ากับ 40 บาท
แต่เรากินเองแค่ 4 และให้คนอีก 4
เราจ่ายเงินเท่าเดิม แต่อิ่มน้อยลงครึ่งหนึ่ง
แต่ความรู้สึกสุขใจที่ได้กลับมาจากเงินเท่ากันนั้นต่างกันมาก

ทำแบบนี้แล้วคุณอาจจะรู้สึกเหมือนกันว่าเงินซื้อความสุขได้
และเงินจำนวนน้อยกว่าอาจซื้อความสุขที่มากกว่าได้เหมือนกัน

Saturday, January 26, 2008

Home Awaits


[image by: gottcha78 @ flickr]

อึดอัดมาก ไม่ค่อยได้เขียนอะไรในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมานี้
จู่ๆงานก็เข้ามาเยอะมากผิดหูผิดตา จากว่างๆก็มีโปรเจกต์มา 3-4 อย่าง
ทำให้ตั้งตัวไม่ค่อยทันเหมือนกัน และเวลาก็ลดหายไปหมด
มีเรื่องเกิดขึ้นเยอะนะ รอบๆตัวเราช่วงนี้
พยายาม draft ทิ้งไว้ก่อน ถ้าว่างจะมาเขียนเล่าต่อ
แต่มีเรื่องนึงจำเป็นต้องเขียนก่อนเลย

ไม่รู้จะเกริ่นยังไง บอกง่ายๆเลยดีกว่า


"จะกลับไปละนะ"


ขอบคุณ คนนี้ และ คนนี้ ที่มีพื้นที่ให้ผมมาตลอด และยังให้โอกาสดีๆอีกครับ
ขอบคุณทุกท่านเหล่านี้ที่ไม่เคยลืมกัน ทำให้ผมไม่ต้องกังวลที่จะตัดสินใจ
... แล้วจะรีบไปครับ


This is the easiest decision for me;
there are no worries or anxiousness,
only happiness and excitement.
I know it's still very early to talk,
but this will be good.

... I'm running home

Wednesday, January 2, 2008

Myself in New Year's


[image by: StaarP @ flickr]

อากาศเย็นพัดมากรุงเทพอีกครั้งแล้ว ทำให้ออกไปเดินตามถนนได้ง่ายขึ้นหน่อย
แต่ได้ยินว่าที่อื่นๆหนาวเย็นมากๆอยู่ ญาติที่ใต้บอกหนาวมาก และฮ่องกงติดลบ 10 กว่าๆ!!
อาจจะเป็นปรากฏการณ์ที่ผิดเพี้ยนของธรรมชาติ แต่ชีวิตก็ต้องหาทางปรับแก้กันไป

เข้าปีใหม่แล้ว ช่วงวันหยุดตั้งใจจะมาเขียนให้เยอะหน่อย แต่เอาเข้าจริงก็ไม่ได้ทำ
หน้าตา blog ใหม่ที่ตั้งใจว่าจะเอามาอวดหลังวันหยุด (วันนี้) ก็ทำไม่เสร็จ
แต่ก็ดีเหมือนกันที่ไม่ต้องทำตามแผนการมากนัก แต่ได้ทำของที่อยากทำตอนนั้นๆแทน
การพักผ่อนถ้าไปกำหนดมันมากก็คงไม่ได้พักละนะ

วันที่ 31 ธ.ค. 2007 เราไปอยู่ที่บ้านเพื่อน อย่างเช่นที่ทำทุกๆปีมาตั้งแต่ปี 2001 (? - ใครคอนเฟิร์มที)
ไปมาติดต่อกันทุกปี ขนาดปีที่ตั้งใจจะไม่ไปสุดท้ายก็ยังโผล่หน้าไป 5-10 นาทีอยู่ดี
ข้อดีของการฉลองที่บ้านเพื่อนนอกจากไม่ต้องไปเบียดเสียดกับผู้คนมากมาย
และนอกเหนือจากปริมาณอาหาร-เครื่องดื่มมากเกินความพอเพียง
ก็คือการที่ได้อยู่กับเพื่อนสนิทจริงๆ เหมือนที่เคยบอกไว้ก่อนหน้านี้ ... ไม่ต้องเฮฮา แค่ยิ้มๆพอ
พอเช้าวันที่ 1 ก็กลับบ้านมานอนพัก ก่อนจะออกไปกินข้าวเย็นกับที่บ้าน เพื่อปิดฉากวันหยุดปีใหม่

พอเข้าปีใหม่แล้วหลายๆคนก็มีความตั้งใจจะเริ่มทำอะไรใหม่ๆกัน
ปกติเราไม่ค่อยมีกับเค้านัก และถึงมีก็ไม่ค่อยเป็นชิ้นเป็นอันเท่าไหร่
แต่ลองมา list ดูหน่อยละกันว่าปีนี้อยากทำอะไรบ้าง

- ออกกำลังกายมากขึ้น
- เก็บเงินให้ได้มากขึ้น
- เขียน blog ต่อไป
- ดูแลคนรอบตัวให้ดี

แค่นี้พอละกัน เยอะมากก็ไม่ใช่ว่าจะทำได้ทั้งหมด แล้วสิ้นปีมาดูกันอีกทีว่าทำอะไรได้บ้าง

Saturday, December 29, 2007

May the Holidays Begin

เนื่องจากเข้าสู่ช่วงวันหยุดยาวแล้ว ผู้อ่านประจำส่วนใหญ่ดูเหมือนจะแยกย้ายกันไป
คาดว่าจะไม่ค่อยมีคนเข้า blog ในช่วงนี้ อาจจะเพราะอยู่ในที่ๆไม่มีอินเตอร์เนท (ซึ่งเป็นเรื่องที่น่ายินดี)
entry นี้ก็คงเป็น entry สุดท้ายก่อนวันที่ 31 ที่จะมาเขียนอะไรไว้ซักอย่างอีกซักที (ยังคิดไม่ออก)

ปีที่ผ่านมาถือเป็นปีที่ราบเรียบมากสำหรับเรา ไม่มีการเปลี่ยนแปลง ไม่มีเรื่องตื่นเต้น
เรื่องใหญ่ที่สุดที่เกิดกับเราอาจจะเป็นการเริ่มย้ายมาเขียน blog ที่นี่
ขอบคุณทุกๆคนที่แวะเข้ามา comment บ้าง อ่านผ่านๆบ้าง ทั้งๆที่มันไม่ใช่ข้อความที่วิเศษอะไรนัก
แต่เพราะรู้ว่ายังมีคนเข้ามาอ่าน เลยทำให้อยากเขียนต่อไปอย่างนี้
เรารู้ว่าเราบอกหลายทีแล้ว อาจจะเลี่ยนกันบ้าง แต่ยังไงๆก็อยากพูดคำนี้

"ขอบคุณครับ"


May everyone of us out there have a good ending to the year
You may have had a tough time during the year, we all do
But you must have had a good moment too
I hope we remember that moment and remember it well
It may be the time you do something right
It may be the time you complete your tasks
It may be the time you lay your back on a soft bed after a long day
It may be the time you see the face of your lover
It may be the time you hear words of caring
It may be the time you realize the goodness of people
It may be the time you can feel peace


For no amount of difficult time can take away the little joy of that one moment

Happy New Year Everyone

-----------------------------------------------


Update: Dec 31, 2007
- "กลับมาเจอกันหลังปีใหม่ครับ"

Monday, December 10, 2007

To Feel Good is Not Bad


[image by: Rob Gruhl @ flickr]

Is there a selfless good deed?

ใครบางคนอยากรู้ว่ามีความดีอะไรที่ทำแล้วไม่รู้สึกดีรึเปล่า
การกระทำที่ดูเหมือน selfless หรือสละตนเพื่อคนอื่นนั้น
บ่อยครั้งเราก็จะได้ความรู้สึกดีๆบางอย่างตามกลับมา
ไม่ว่าจะเป็นการช่วยเหลือทำงานให้คนอื่นแม้จะเหนื่อยแค่ไหน
หรือการเสียสละเงินทองให้คนอื่น หรือการสละที่นั่งให้คนชรา
ทุกอย่างเหล่านี้เราทำแล้วเราก็รู้สึกดีอยู่ลึกๆในใจอยู่ดี

ถ้าอย่างนั้นอะไรล่ะที่เป็น selfless good deed จริงๆ
ในซีรีส์เรื่อง Friends ก็เคยมีคำถามนี้เหมือนกัน
โดยมีคำตอบที่ให้ไว้ในตอนจบนั่นก็คือ ...
การยอมให้คนที่เรารักได้สมหวังในรักกับคนที่เขารัก
แต่เรามาคิดดูว่านั่นก็ไม่น่าจะใช่คำตอบที่ดีนัก
เพราะสิ่งที่เราทำมันไม่ใช่ good deed ซะทีเดียว
หากเราไปขัดขวางไม่ให้ใครรักใครซักคนน่าจะเป็น bad deed ด้วยซ้ำ
มันก็เลยดูเป็นแค่เรื่องที่ควรจะกระทำแค่นั้นเอง

มาลองตั้งคำถามที่ตัวคำถามเองแทน
ว่ามันจำเป็นแค่ไหนที่ good deed ที่ทำจะต้อง selfless
ขอแค่มันเป็นเรื่องที่ดี ที่ทำให้คนอื่นรู้สึกดี ก็น่าจะพอแล้ว
เราจะรู้สึกดีรึไม่แค่ไหนมันไม่ได้สำคัญหรอก

จริงๆมันเหมือนเป็นเสน่ห์ของการทำดีด้วยซ้ำ
เพราะการสร้างความรู้สึกดีให้คนอื่นมันไม่ต้องหักลบจากความรู้สึกดีของใคร
แถมคนที่รับความรู้สึกดีๆนั้นส่วนมากก็อยากจะทำความดีต่อไปอีก
จนในที่สุดมันน่าจะเกิดเป็นสังคมที่รู้จักการทำ good deed ให้กันเป็นปกติ

... คนทำดีให้กันแล้วรู้สึกดีมันไม่ดียังไงกัน?

Note:
- ภาพข้างบนเป็นตัวอย่างกิจกรรมของ Free Hugs Campaign (เดาส่งๆว่าเป็นที่เกาหลี) เป็นโครงการที่ให้เราส่งผ่านความรู้สึกดีๆให้กับคนแปลกหน้าตามท้องถนนโดยการให้กอด ... ง่ายๆแต่ได้ผลมหาศาล

Monday, September 24, 2007

Fine Day


[image by: Chrischang @ flickr]


อากาศดีนะ เช้านี้
:)

Wednesday, August 15, 2007

Simple Joy

As I was driving back home one day, I got lost. (It sounds bizarre, I know, but I can assure you it is very possible.) Luckily for me, the path I took had no junctions or turns so I didn’t have to decide anything. In other words, there was nothing much I could do but to drive down that road (except for making a U-turn, something I rarely do in a situation like this). It was a long road and I didn’t want to worry too much about the way so my mind pondered many thoughts. Then at one point, it felt as if I hit some spot in my mind – so hard that my eyes almost got tearful. It was the feeling of sudden realization. It was the feeling when you finally figure something out. It was the feeling when all the scattered pieces come together.

It was the feeling of joy.

It would be difficult to elaborate exactly what I was thinking or what I took in at that moment, but I will try to put it in a manner that anyone reading this can imagine what it should be like. Here goes:


Have you ever questioned everything that happens around you? Why you do certain things or what you do them for? Sometimes those questions pull you back and it feels as though you have to drag them along your entire journey. And it gets even worse if you don’t know where you’re heading with that journey! So, simply put, you may have to drag them along endlessly.

I’d felt that. A lot. And when something new came into my life I would feel that, maybe, this is what my life is about. But then it would pass. And these sorts of things would occur repeatedly – they would come and eventually would go. What was left with me was another batch of hollowness. Then I always had a new hope that the next thing coming into my life would be the real thing, that it would be all the answers I had looked for. That it would be, in the word of sport journalists, “it”. In truth, nothing ever became “it”.

Then one thing happened.

It was one thing that I hadn’t planned to do, much less to still be doing now. When it got into my life back then I had a very difficult time handling it and every other series of hardship it brought along. It exhausted me to the point that I saw no reason to keep doing it. I saw no hope, no meaning and no sense in doing it. It tired me out to the point that I wanted to break it off. The only thing kept me going was firm belief. I believed, and very much still do, that this would turn out well – not only for me, but for everyone. I had to endure this and keep believing.

A somewhat long time has passed since and it’s still around me. Many early hardships had faded away. The path seems to be opening and I somehow think that things are going my way. It is a good reward for me to go through all the difficulties. I now feel like a man on a mission. More importantly I now know the purpose of the mission. When I reflected back to the beginning of it, to all problems I had encountered, and to be realizing where I am now, I’m happy. This is big for me because I never much buy the hype of happiness. For all that I had had to go through, this feeling now really worth it.

All because of it.

To be frank, I never had thought that this is “it”. I didn’t feel that this could be the “it” I had looked for. Maybe this is just another one of those things waiting to pass and create yet another void in me. Maybe it is here to stay. I don’t know and don’t even care. For now, I would relish this joy for as long as I could. For now, this is my “it”.


As I got to that point in my mind, I also got to see a familiar sight again. The road took me back to my way home. I was glad. I smiled. And the drive home was as pleasant as ever.

Thank you, whoever read through this entire entry. You have my appreciation.


... and thank “it”, more so than anything else.