Menu

Showing posts with label Stuff. Show all posts
Showing posts with label Stuff. Show all posts

Thursday, April 30, 2009

Seven Intelligence


[image from NIPPONIA]

คิดว่าหลายๆคนอาจจะไม่รู้หรือไม่เคยสังเกตเวลาที่ไปซื้อของในเซเว่น
ก่อนที่จะจ่ายเงิน พนักงานเค้าจะจิ้มปุ่มที่อยู่ขอบเครื่องคิดเงินก่อน
เป็นปุ่มที่แบ่งเป็นสีฟ้ากับชมพู สีละ 4 ปุ่มเรียงรายเป็นแนวตั้ง
ปุ่มที่ว่านี้เอาไว้บันทึกว่าลูกค้าที่ซื้อของเป็นผู้ชายหรือผู้หญิง อายุประมาณเท่าไหร่
เค้าเอาข้อมูลนี้ไปวิเคราะห์ว่าแต่ละช่วงเวลาลูกค้าเพศไหนอายุเท่าไหร่ซื้อสินค้าอะไร

คราวหน้าเวลาไปจ่ายเงินลองดูเล่นๆก็ได้ สนุกดีว่าเค้าจะกดอะไร
สีฟ้าคือผู้ชาย สีชมพูคือผู้หญิง อายุไล่จากบนลงล่างก็มี เด็ก วัยรุ่น 20-35 และ 35ขึ้นไป
วันก่อนพอถึงคิวเราก็ลองแอบดู พนักงานกดเลยทันที สีฟ้าแถวล่างสุด

ดีมาก


Note:
- ก็ยังดีเพราะวันก่อนเพื่อนเราผู้ชายไปซื้อพนักงานก็กดเป็นผู้หญิงอายุ 35 ซะ
- รูปข้างบนคือร้าน 7-11 สาขาแรกในญี่ปุ่นเปิดเมื่อเดือน พฤษภาคม 1974 ในกรุงโตเกียว
- นอกจากเซเว่นแล้ว เดี๋ยวนี้ร้านค้าส่วนใหญ่ก็เก็บข้อมูลพวกนี้เช่นกันนะ ไม่ว่าจะเป็นร้านอาหาร ร้านเสื้อผ้า ร้านขายยา ... ลองแอบดูสิ

Friday, March 13, 2009

Smells Like the Lion City


[Image from Waffar.com]

เมื่อคืนนี้เราเข้านอนแบบหิวมากๆ เพราะข้าวมื้อสุดท้ายที่กินไปคือตอนเที่ยงๆ
เช้าตื่นมาก็ยังหิวมากๆอยู่ เลยคิดว่าต้องฝืนกิจวัตรตัวเองด้วยการกินอาหารเช้า
และไหนๆก็ตื่นเช้าแล้วเลยคิดว่ามีเวลาพอแวะกินระหว่างทางไปออฟฟิศ
ด้วยเหตุผลใดๆก็ตาม เราเลือกที่จะฟุ่มเฟือยด้วยการกินอาหารเช้าของ McDonald's

ชุด Big Breakfast (ราคา 99 บาท) ประกอบไปด้วย:
- แป้งแฮมเบอร์เกอร์ทาเนย 2 ชิ้น
- เนื้อแฮมเบอร์เกอร์ 1 ชิ้น
- ไข่ Scrambled Egg 2 ฟอง
- Hash brown 1 ชิ้น
- กาแฟ 1 ถ้วย (ของประเทศในรูปนั่นเป็นน้ำส้ม -- ประเทศเราเป็นกาแฟ)
- เกลือ / พริกไทย / แยม / ครีมเทียม / น้ำตาล

ประเด็นที่จะบอกไม่ใช่เรื่องคุณค่าทางโภชนาการ (ที่น่ากลัวมาก เดี๋ยวจะบอกด้านล่าง)
พอเรายกอาหารชุดนี้มาที่โต๊ะแล้วเปิดฝาออก
กลิ่นอาหารและกาแฟที่ผสมกันในอากาสทำให้เรานึกถึงสิงคโปร์!
มันเป็นกลิ่นที่คุณจะรู้สึกได้เวลามาถึงสนามบิน Changi
เป็นกลิ่นที่ลอยอยู่ในอากาศของ Orchard Road ตอนสายๆ
เราบอกไม่ได้หรอกว่ามันเป็นกลิ่นเฉพาะของประเทศนี้
เพราะว่าเราก็ไม่ได้ไปประเทศอื่นมานานแล้วเหมือนกัน

กลิ่นอาหารเช้ามื้อนี้มันมีความรู้สึกไม่อยากรีบร้อนเคลือบความเร่งด่วนอยู่
เป็นแค่ชั้นผิวบางๆที่เหมือนทำขึ้นมาหลอกๆให้รู้สึกอุ่นใจในสังคมแบบตะวันตก

เป็นความจอมปลอมที่ทำให้เราเต็มใจที่จะเชื่อ
นั่นก็คงเป็นความเหมือนกันระหว่างอาหารเช้ามื้อนี้กับประเทศที่เราไปมาบ่อยที่สุด



[Image by: night68mare]

Note:
- คุณค่าทางอาหารที่ได้รับจากอาหารมื้อนี้คือ พลังงาน 730 แคลอรี่ (414 แคลอรี่จากไขมัน) ไขมัน 46 กรัม (71% จากปริมาณที่ร่างกายต้องการต่อวัน) ไขมันอิ่มตัว (70%) คลอเรสเตอรอล 465 มิลลิกรัม (155%) โซเดียม 1460 มิลลิกัม (61%) คาร์โบไฮเดรต 53 กรัม (18%) ไฟเบอร์ 3 กรัม (12%) น้ำตาล 2 กรัม โปรตีน 27 กรัม วิตามินเอ 0% วิตามินซี 0% แคลเซียม 2% ธาตุเหล็ก 167%

Tuesday, September 23, 2008

Golden Generation


[image by: lerk7]

วันก่อนเราพูดกับเพื่อนเราว่ารู้สึกโชคดีที่ได้เกิดและโตมาในยุคของเรา
ได้เห็นเทคโนโลยีค่อยๆพัฒนาเร็วขึ้น และเร็วขึ้นเรื่อยๆ
เห็น computer เปลี่ยนจากอุปกรณ์สำนักงานชั้นสูงจนเป็นกลายเครื่องใช้สามัญ
ทันใช้ DOS แล้วเปลี่ยนเป็น Windows จนอีกหน่อยทุกอย่างคงเป็น Surface Computing
ได้ใช้อินเตอร์เนทตั้งแต่ยุคแรก เห็น Dot-Com Boom และ Dot-Com Bust จนฟื้นตัวอีกครั้ง
ผ่านช่วง cycle เศรษฐกิจช่วงรุ่งเรือง ช่วงตกต่ำ ช่วงฟื้นตัว ช่วงวิกฤติการเงินโลก
ทันชีวิตการสอบเอนทรานซ์แบบเก่า (ถึงจะไม่ได้ทำอะไรมาก และไม่รู้ว่าแบบใหม่เป็นยังไง)
ดนตรี alternative และ britpop เข้ามาในช่วงอายุที่ดีที่สุดของการฟังเพลง

แล้วเราก็คิดขึ้นมาว่าคนในทุกยุคก็คงคิดเหมือนๆกันละมั้ง

แต่ถ้าเกิดเร็วกว่านี้คงพลาดความน่าตื่นตะลึงของวิทยาการใหม่ๆ และขอบเขตความคิดมนุษย์
แต่ถ้าเกิดช้ากว่านี้คงไม่มีความรู้สึกตื่นเต้นกับอะไรสักอย่างในโลกนี้ เพราะมันเป็นเรื่องธรรมดาไปหมด


Note:
- งานศิลปะ(?)แบบ collage(?) ที่เห็นด้านบนนี้เราทำเองนะ ช่วยชื่นชมในความพยายามด้วย
- Inspiration ของหัวข้อนี้เกิดจากการดู Back to the Future เมื่อเร็วๆนี้อีกครั้ง

Monday, February 4, 2008

Fakes and Frauds


[image by: Siobhan Curran @ flickr]

เราคิดว่าคำว่า fake ถูกใช้ทับศัพท์อย่างแพร่หลายจนเข้าใจตรงกันในสังคมแล้ว
แต่เราก็ยังสงสัยอยู่ดีว่าจริงๆแล้ว fake เนี่ยคืออะไร และแค่ไหนถึง fake
เราจะเรียกอะไรว่า fake ได้บ้าง และแค่ไหนถึงจะพอไม่ถูกเรียกว่า fake ได้

ขอพูดถึงเรื่องข้าวของใช้รวมไปถึงเสื้อผ้าเครื่องประดับต่างๆสักหน่อย
ยี่ห้อหรือบริษัทใหญ่ๆต่างเสียค่าทำการตลาดไปหลายล้านเพื่อสร้าง brand ของสินค้าขึ้นมา
แต่ว่ามีผู้ฉกฉวยโอกาสทำสินค้าลอกเลียนแบบ (หรือที่เรียกว่า fake) ออกมาวางขายเกลื่อน
แน่นอนว่าของจริงย่อมมีราคาแพงกว่า เนื่องจากมีต้นทุนการทำ branding และการออกแบบ(หรือ พัฒนา)อยู่ด้วย
และส่วนใหญ่สินค้าของจริงก็จะมีคุณภาพดีกว่าทั้งวัสดุและขั้นตอนการผลิต รวมไปถึงบริการหลังการขาย
แต่ข้อได้เปรียบของของปลอมคือราคาที่ต่ำกว่า(มาก) และรูปลักษณ์ภายนอกที่ดูคล้ายคลึงกัน
ผู้บริโภคที่ต้องการมีสินค้าเหล่านั้นไว้ในครอบครองก็เลือกหากันตามอัตภาพไป
คนรวยก็ซื้อของจริงไป รายได้น้อยก็ซื้อของเลียนแบบ - รายได้ปานกลางอาจจะซื้อของเลียนแบบที่เกรดดีหน่อย
(เกรดดี = มีลักษณะใกล้เคียงของจริงมาก)

ความสงสัยจริงๆของเราจากเรื่องนี้ก็คือ เราซื้อสินค้า"ของจริง"เพราะอะไรกัน?
เพราะว่ามันมีคุณภาพที่สูงกว่าของปลอมรึเปล่า?
โดยพื้นฐานแล้วคุณภาพสินค้าที่สูงย่อมให้ความพึงพอใจที่มากขึ้นตามลำดับไป
โอกาสที่สินค้าคุณภาพต่ำกว่าจะให้ความพึงพอใจที่มากกว่าหรือเท่าเทียมกันนั้นแทบเป็นไปไม่ได้

มันมีเรื่องที่เป็นประเด็นอยู่ตอนนี้คือ คุณภาพสินค้าลอกเลียนเหล่านี้นั้นดีขึ้นเรื่อย (ใกล้เคียงมากขึ้น)
นั่นเพราะผู้ผลิตไปซื้อวัตถุดิบเดียวกัน จากแหล่งเดียวกัน ว่าจ้างโรงงานที่มีเครื่องจักรและศักยภาพระดับเดียวกัน
หรือพูดง่ายๆคือ ทุกรายละเอียดของสินค้านั้นเหมือนกันหมด ต่างกันเพียงผู้สั่งผลิตเท่านั้น
ถ้าเป็นแบบนี้แล้วเราซื้อของจริงเพราะอะไร?
เพราะว่าของจริงนั้นได้รับ order การผลิตจากบริษัทเจ้าของ brand หรอ?
ของแบบนั้นมันมี value ตรงไหนกัน?
ถ้ามองในแง่ดี(มากๆ)คือเรายอมจ่ายเงินเพื่อให้ brand เหล่านี้มีเงินไปจ้างนักออกแบบ
เพื่อเราจะได้มีสินค้าสวยๆงามๆใหม่ๆใช้กันไปเรื่อยๆ ตามฤดูกาลในปีหนึ่งๆ
มีกี่คนที่คิดแบบนั้นบ้างตอนที่จ่ายเงินซื้อของ (และคิดว่ามันเป็น value)

ทั้งนี้ทั้งนั้นไม่ใช่บอกว่าซื้อของจริงแล้วโง่หรือซื้อของปลอมแล้วดีเลยนะ
การซื้อของปลอมมันไม่ดีแน่นอนอยู่แล้ว เพราะมันคือการส่งเสริมให้คนเอาเปรียบกัน
แต่ว่าอยากให้ลองหยุดคิดดูกันนิดนึง ว่าเส้นแบ่งของแท้กับของปลอมมันอยู่ตรงไหน
เหตุผลไหนกันแน่ที่ทำให้เราซื้อของจริง และเหตุผลนั้นมันมีคุณค่าต่อเรามากกว่าเงินที่จ่ายออกไปมั้ย
ถ้ายังนึกไม่ค่อยออก ลองตอบคำถามนี้ดูหน่อยก็ได้
- เสื้อยืดของจริงยี่ห้อ AB ราคา 1,500 กับของเลียนแบบยี่ห้อ A8 ราคา 150
- นาฬิกาของจริงราคา 4,000 กับนาฬิกาทำคล้ายมากๆ (วัสดุเข็มวินาทีไม่เหมือนกัน) ราคา 700
- รองเท้าของจริงราคา 11,000 กับรองเท้าทำเหมือนทุกอย่างแต่พิมพ์ข้างกล่องเป็น "Maed in Italy" ราคา 1,000
- กระเป๋าของจริงราคา 60,000 กับของที่โรงงานแอบทำออกมาเกินราคา 13,000 และของที่มีคนไปสั่งทำเหมือนราคา 4,500 เหมือนกันทุกประการ

แค่ไหนล่ะที่จะบอกว่าสิ่งนี้คือปลอมและสิ่งนี้คือแท้?
ถ้าทำให้แค่คล้ายๆเพื่อไม่ให้โดนข้อหาละเมิดลิขสิทธิ์ จะเรียกว่าปลอมมั้ย
ถ้าทำออกมาด้วยวัสดุและกระบวนการเดียวกันแต่ต่างกันที่คนสั่งจะปลอมมั้ย

คุณภาพดีมี brand ถูกต้อง / คุณภาพดีละเมิดลิขสิทธิ์ / คุณภาพดีแถว่าไม่ละเมิดลิขสิทธิ์

แค่ไหนกันถึงจะเรียกว่า fake???

Tuesday, January 8, 2008

Moment of Awkwardness: Reprise


[image by: Barbara L. Slavin @ flickr]

เมื่อวานตอนกินข้าวในกลุ่ม blogger กัน มีคนพูดถึง entry ของเราอันนึง
อันที่เขียนไว้ใน blog ที่เก่าเมื่อปีที่แล้ว และมีคนชอบกัน
วันนี้เลยเอามาลงอวดไว้ให้อ่านกันสำหรับคนที่ยังไม่เคยอ่าน
ส่วนคนที่เข้ามาอ่านประจำน่าจะเคยอ่านกันหมดแล้วมั้ง



Moment of Awkwardness (March 09, 2007)

ไม่อยากจะเชื่อตัวเองเลย เมื่อคืนเราทำอะไรลงไปเนี่ย
มีเพื่อนพ่อ 2 คนมาเยี่ยมบ้าน ซึ่งทั้งคู่พาลูกสาวมาด้วย

และขอบอกว่าสองคนนี้ไม่ใช่ธรรมดาๆเลยนะ
คนนึงเป็นดารานักแสดงรุ่นใหม่ที่บอกชื่อแล้วหลายคนจะรู้จัก
ในขณะที่อีกคนเป็นนางแบบโฆษณาวัยรุ่นที่คุ้นหน้าคุ้นตากัน
พวกพ่อๆเค้านัดกันจะออกไปเที่ยวที่อื่น เลยพาลูกสาวของพวกเค้ามาฝากไว้ที่บ้านเรา
(ทำไมกันวะเนี่ย? เราได้แต่ถามตัวเอง)

เหล่าพ่อๆออกจากบ้านไปแล้ว เหลือแต่เรากับสาวๆสุดฮอตเหล่านี้
ด้วยความเป็นคนอัธยาศัยดีเลิศ และความผ่อนคลายเมื่ออยู่ใกล้คนหน้าตาดี
(แน่นอนว่าไม่เป็นความจริงเลยทั้งสองอย่าง) เราเลยตัดสินใจที่จะไปนั่งเล่นคอมเฉยๆ
ทั้งสองคนคงจะอึดอัดและกลัวเราจะอึดอัดเลยมานั่งใกล้ๆแล้วชวนเราคุย (เอาเข้าไปสิ)
เราก็ถามคำตอบคำไปเรื่อยตามประสาคนขี้เขิน ... ดีจริงๆ

ไม่นานผ่านไปคุณนางแบบคงเบื่อก็เลยเสนอให้ขับรถพาพวกเขาไปข้างนอก
ทั้งคู่อยากจะไปหาอะไรกิน ไอ้เราก็เริ่มหิวแล้วเหมือนกัน
แต่ด้วยสถานะของสองคนนี้เราก็ไม่รู้ว่าจะกินข้างถนนแบบที่เรากินปกติได้มั้ย
เลยตัดสินใจว่าคงต้องไปร้านที่ดูดีๆหน่อยในเมือง ดังนั้นแล้วเราจึงไปเปลี่ยนเสื้อ

ขณะที่เปลี่ยนเสื้อนั้นเอง จู่ๆทั้งคู่ก็เปิดประตูเดินเข้ามาในห้องเราซะนี่!!
แล้วก็มานั่งชวนคุยกันไปมาระหว่างที่เราเปลี่ยนเสื้อซะยังงั้น
ด้วยความตื่นกลัว เรารีบใส่เสื้อ แล้วขับรถพาทั้งคู่ออกไปหาอะไรกิน
ที่ร้านอาหารทั้งคู่ก็ยังพยายามชวนเราคุยต่อไปอย่างไม่ลดละ ช่างทรมานกันจริงๆ
เราว่าถ้าเป็นผู้ชายคนอื่นคงจะมีความสุขดีแน่ๆ เพราะเราเห็นคนโต๊ะอื่นก็มองมาที่โต๊ะเรากันเรื่อยๆ
แต่เรากลับอึดอัดอย่างบอกไม่ถูก ...

อาจจะเข้าข้างตัวเอง แต่เรารู้สึกเหมือนว่าสองคนนี้สนใจเราจังเลย
นั่นยิ่งทำให้เราอึดอัดเพราะตอนนี้เรามีแฟนแล้ว และก็กำลังมีความสุขกันดี
เรากลัวคนอื่นมาเจอแล้วเอาไปพูด เรากลัวแฟนเราโทรมาแล้วเข้าใจผิด
ที่น่ากลัวที่สุดคือเรากลัวใจตัวเอง (เพราะสองคนนี้ช่างฮอตจริงๆ)

เรารีบกินให้เสร็จแล้วรีบกลับบ้าน จะได้พ้นความทุกข์ทรมานครั้งนี้ไป
พอกลับมาถึง พวกพ่อๆก็กลับกันมาพอดี (ขอบคุณมาก)
พอพวกพ่อๆเห็นเหล่าลูกๆเข้ากันได้ดี (เดาเอาจากการที่ออกไปข้างนอกกันมา) ก็หัวเราะกันใหญ่
แต่พวกเขายังคุยกันต่ออีกพักนึง เราเลยต้องไปนั่งเล่นคอมต่อ โดยที่มีสาวสองคนนั้นอยู่ใกล้ๆ
พ่อของน้องนักแสดงกำลังจะกลับแล้วเลยเรียกลูกสาวของเค้าให้ไปสวัสดีพ่อเรา
ก่อนจะลุกไปเธอยิ้มให้เราแปลกๆ แล้วก็บ๊ายบายเรา ก่อนไปลาพ่อเราแล้วพากันกลับไป
และพอพ่อน้องนางแบบจะกลับ เธอก็ขยับเข้ามาใกล้เรา แล้วพูดเบาๆว่า "เดี๋ยวจะโทรหา รับสายด้วยนะ"
เราตกตะลึง ตกใจ และมึนงงไปหมด "แล้วจะไปเอาเบอร์เรามาจากไหน" "พ่อเราให้มาไว้ก่อนแล้ว" เธอตอบทันที
วินาทีนั้นเรายิ่งรู้สึกตื่นกลัวมากอย่างบอกไม่ถูก เรื่องแบบนี้มันน่าจะไปเกิดกับคนที่ต้องการมากกว่านะ
ความคิดวนเวียนอยู่ในสมอง เวลาจริงๆผ่านไปไม่นาน แต่สำหรับเรามันนานเหลือเกิน
เราตัดสินใจครั้งสำคัญก่อนจะเรียกคุณน้องนางแบบนี่ให้เดินกลับมาก่อน
เรามองหน้าเธอ แล้วพูดด้วยสีหน้าจริงจังที่สุด
"อย่าโทรมาเลยนะ เรามีแฟนแล้วล่ะ และเราก็ไม่อยากทำให้แฟนเราเสียใจด้วย"
วินาทีนั้นเรารู้สึกโล่งอย่างบอกไม่ถูก การเป็นคนซื่อสัตย์มันให้ความรู้สึกดีอย่างนี้เชียว
เธอไม่ตอบอะไร แต่สีหน้าร่าเริง และความช่างหยอกล้อลดหายไป ก่อนจะเดินกลับไปกับพ่อของเธอ
... หลายคนคงคิดว่าสิ่งที่เราทำนั้นเป็นหนึ่งสิ่งที่โง่ที่สุดที่ผู้ชายจะทำได้แน่ๆ
แต่เรากลับรู้สึกภูมิใจกับสิ่งที่เราทำ และทำให้รู้ว่าอะไรที่สำคัญกับเรามากกว่า

...

หลังจากเหตุการณ์นี้จบลง เราก็รีบตื่นขึ้นมาทันที
ขอยืนยันว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องจริงแท้แน่นอน ไม่ผ่านการบิดเบือนใดๆทั้งสิ้น



เรื่องก็มีอยู่เท่านี้ละครับ


Note:
- "Apple is the fruit of temptation"
- Inside Joke of the Day: คนที่เข้ามา blog นี้แต่ยังไม่เคยอ่านอาจจะมีแค่คุณ Plop นะครับ
- จริงๆแล้ววันนี้ไม่รู้จะเขียนอะไรดี

Friday, December 21, 2007

Trapped in a Box




วัน-เวลา: 21 ธ.ค. 2550, 12.37
สถานที่: อาคารสำนักงานให้เช่าแห่งหนึ่งบน ถ.วิภาวดี-รังสิต
ผู้อยู่ในเหตุการณ์:
"เรา" (นามสมมุติ/เพศชาย)
"ปอนด์" (นามสมมุติ/เพศชาย)
"กร" (นามสมมุติ/เพศชาย)
"ปลาย" (นามสมมุติ/เพศหญิง)

หลังจากตรากตรำงานหนัก(?)มาได้ครึ่งวัน เราและชาวออฟฟิศก็ตัดสินใจจะลงจากตึกไปกินข้าว
กดลิฟต์ - รอ - รอ - คุย - คุย - ลิฟต์มาถึง - เดินชนประตูที่เปิดช้าผิดปกติเพราะมัวแต่คุย
ประตูเปิดได้ครึ่งทาง - หยุด - ค่อยๆปิดกลับมาอย่างช้าๆ
วินาทีนั้น เราใช้สัญชาตญาณอันว่องไวเสียบตัวเองผ่านเข้าไปในลิฟต์จนได้
และประตูก็ปิดจนสนิท - กดเปิดลิฟต์ - นิ่ง - กดเปิดลิฟต์ - นิ่ง - กดเปิดลิฟต์ - นิ่ง
เสียง ปอนด์-กร-ปลาย ตะโกนแว่วๆจากด้านนอก - เรากดลิฟต์ลงไปชั้นล่าง - นิ่ง
กดเปิดลิฟต์ - กดเปิดลิฟต์ - กดเปิดลิฟต์ - กดเปิดลิฟต์ - นิ่งงงงงงงงงงงงงงง
ลิฟต์ค่อยๆขยับลง ... ได้นิดเดียว .... และหยุดนิ่งอีก ...
เราทุบประตูลิฟต์และตะโกนหาชาวคณะด้านนอก - ยังมีเสียงตอบกลับมา - เรายังอยู่ที่ชั้นเดิม
เริ่มคิดว่ายังไงดี - กดปุ่มฉุกเฉิน - เสียงกริ่งดัง - ไม่มีอะไรเกิดขึ้น
กดปุ่มฉุกเฉิน - เสียงกริ่งดัง - ไม่มีอะไรเกิดขึ้น
กดปุ่มฉุกเฉิน - เสียงกริ่งดัง - ไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ทุบลิฟต์ - ตะโกน - ยังมีเสียงตอบอยู่
พัดลมลิฟต์ไม่ทำงาน - อึดอัด - เริ่มหายใจไม่ค่อยออก
คิดว่าจะทำยังไงดี - นึกถึงหนังสือที่เคยอ่านบอกให้นอนราบลงบนพื้น - นั่นมันวิธีตอนลิฟต์ตกต่างหาก
หายใจไม่ออก - นึกถึงเรื่องพี่ปลิว - . . .
ง้างประตูลิฟต์ - ออกนิดหน่อย - ออกแรงเพิ่ม - ประตูลิฟต์เปิดออก ... เฉพาะด้านใน
ภาพที่เห็นจากบนลงล่าง: ขอบล่างของประตูลิฟต์ - ชั้นคอนกรีตหนาๆ - ขอบบนของประตูลิฟต์
เราคิด: "กูติดอยู่ตรงระหว่างชั้นรึนี่" - เราคิด: "ชั้นไหน?" - ตะโกนเรียก - เสียงตอบจากด้านบน
ขอให้คนข้างนอกช่วยง้างประตู(เพราะเริ่มร้อน) - กรมาช่วยง้างออก - บอกให้คนไปเรียกยามมา
กดปุ่มฉุกเฉิน - เสียงกริ่งดัง - ไม่มีอะไรเกิดขึ้น
กดปุ่มฉุกเฉิน - เสียงกริ่งดัง - ไม่มีอะไรเกิดขึ้น
เราคิด: "จะมุดออกดีมั้ย?" - เราคิด: "เดี๋ยวลิฟต์ขยับตอนตัวอยู่ตรงกลาง" - เราคิด: "สัด"
ยามมาถึง - ดูเฉยๆ - ไม่ทำอะไรใดๆเลยทั้งสิ้น - เราคิด: "เยี่ยม"
ตัดสินใจลองปล่อยประตู - นิ่ง - นิ่ง - นิ่ง - ขยับลง - นิดเดียว - นิ่ง
ร้อน - หายใจไม่ออกอีก - ง้างประตูออกใหม่ - ลงมาจะถึงชั้นต่อไปแล้ว
ปิดประตูอีกที - นิ่ง - ขยับ - ขยับ - นิ่ง - ประตูเปิด - ... Freedom!!!


จริงๆตลอดเวลาที่อยู่ในลิฟต์เราไม่ได้ทำอะไรที่ดูตื่นตระหนกนัก
พยายามหัวเราะเรื่อยๆ จะได้ไม่กลัวมาก และไม่ต้องทำให้ข้างนอกห่วง
(แต่ทำให้ยามมันไม่รู้สึกเดือดร้อนอะไรด้วยนี่สิ)
แต่จริงๆก็กลัวนะ เพราะไม่รู้ว่าจะทำอะไรได้บ้าง
ตอนนึกถึงพี่ปลิวก็ยิ่งกลัว ไม่รู้ว่าจะต้องอยู่ในนั้นอีกนานแค่ไหน

เฮ่อ ... เหนื่อย






Note:
- นี่คือภาพลิฟต์ในเรื่องข้างบน ที่ถ่ายหลังจากออกมาได้แล้ว ... ตอนเข้าไปถ่ายยังหลอนๆอยู่หน่อยๆ
- ขอให้ทุกท่านมีสติเวลาคับขันนะครับ

Thursday, December 6, 2007

Developing Masculinity


[image by: Burcu Avsar @ Popular Mechanics]

Main idea of this entry from an article in Popular Mechanics:

Popular Mechanics ลิสต์รายการ 25 อย่างที่ผู้ชายแมนๆควรจะต้องทำเป็น มาดูกันว่ามีอะไรบ้าง
(ถ้าสนใจอันไหนสามารถคลิกเข้าไปอ่านแต่ละอันได้เลย - เป็น blogger ที่ดีมั้ยล่ะ?)
1. ปะสายหม้อน้ำรถยนต์
2. ป้องกันคอมพิวเตอร์จากไวรัส
3. ช่วยคนจากเรือล่ม
4. ตีฝ้าผนัง
5. รีทัชภาพถ่าย
6. ถอยรถพ่วง
7. ก่อกองไฟ
8. ซ่อมรูปลั๊กไฟ
9. ใช้แผนที่และเข็มทิศ
10. ใช้ประแจขันเกลียว (torque wrench)
11. ลับมีด
12. ทำ CPR (ช่วยชีวิตขั้นพื้นฐาน)
13. แล่ปลา
14. คุมรถที่ส่าย/แหกโค้ง
15. เอารถออกจากหล่ม
16. Back up ข้อมูล
17. ทาสีห้อง
18. ผสมปูน/คอนกรีต
19. ทำความสะอาดกระบอกปืนไรเฟิล
20. เปลี่ยนน้ำมันเครื่องและไส้กรอง
21. ติดตั้ง HD-TV
22. ถ่ายน้ำมันเบรค
23. พายเรือแคนู
24. ซ่อมจักรยานยางแบน
25. ขยายพื้นที่ของ wireless network ในบ้าน


... พออ่านจบแล้วก็รู้สึกว่าตัวเองช่างไม่มีความแมนเอาซะเลย


Note:
- อาจจะไม่เชื่อกัน แต่ว่าเราเคยขับรถตกหล่มแล้วเอาออกมาเองด้วยนะ ถ้ามีโอกาสจะเล่าให้ฟัง
- มีใครพูดอะไรแว่วๆว่า"ไพรเฟิล"รึเปล่านะ
- ตั้งใจไว้ว่าเดือนๆนึงจะเขียนไม่ต่ำกว่า 22 entry แต่ตอนนี้นอกจากคอมจะพังแล้วยังยุ่งมาก ไม่รู้ว่าจะมาเขียนได้บ่อยเท่าที่ผ่านๆมารึเปล่า จะพยายามไม่เว้นเกิน 3 วันครับ

Tuesday, July 10, 2007

Introducing New Niche

GRUMPY-7 : Home of Grumpiness (and other stuff too)

Virtually : Open Soon

Physically : Open Soon Too

Do visit ... often