Menu

Showing posts with label Love. Show all posts
Showing posts with label Love. Show all posts

Saturday, October 18, 2008

ออกตัวก่อนว่านี่เป็น entry ที่โลเลมากที่สุดอันหนึ่งเท่าที่เคยเขียนมา

ตอนแรกไปเจออะไรบางอย่างมาแล้วก็อยากเขียน

แล้วก็รู้สึกว่าควรปล่อยมันผ่านไป

แล้วก็ดันไปเจออะไรเพิ่มอีกก็เลยอยากเขียนอีก

แต่พอยิ่งดูไปจนรู้มากขึ้นเรื่อยๆความอยากนั้นก็หายไปหมดสิ้น

จนคิดจะไม่เขียนอะไรเลย

แต่สุดท้ายก็คิดว่าถ้าอยากจะเขียนอะไรแล้วก็ควรเขียนสักหน่อย


เริ่มเลยนะ


(เราเขียนของที่ยาวราวๆ 20 บรรทัดไปแล้วก็ลบ แล้วก็เขียนใหม่อีกประมาณ 10 กว่า แล้วก็ลบออกอีก)

อย่าวางใจอนาคต
วันนี้มีความสุขดีอยู่
ไม่รู้ว่าพรุ่งนี้จะเกิดอะไร
ไม่รู้ว่าพรุ่งนี้จะรู้สึกอะไร
คนบางคนความสุขหายไปในวันเดียว
คนบางคนความสุขทั้งชีวิตหายไปในวันเดียว

ใ่ช้เวลากับความสุขให้มาก
ให้เวลากับสิ่งที่ทำให้สุขใจ
ดูแลสิ่งดีๆเหล่านั้น
และะดูแลตัวเองให้ได้อยู่กับสิ่งนั้นไปให้นานที่สุด

Wednesday, August 27, 2008

There are stories within everyone of us


[image by: mosdave @ flickr]

มีสองอาณาจักรที่มีพรมแดนอยู่ชิดติดกัน ในอาณาจักรหนึ่งนั้นนับถือพระอาทิตย์ ขณะที่อีกอาณาจักรหนึ่งนับถือพระจันทร์ เนื่องจากความแตกต่างทางศาสนาทั้งสองอาณาจักรจึงสู้รบกัน ซึ่งต่างฝ่ายต่างยกทหารเป็นกองทัพเข้าห้ำหั่นกัน บรรดานักรบต่างเดินแถวเรียงหน้าเข้ามาเผชิญกันอยู่ตรงบริเวณพรมแดนอันเป็นเขตส่วนกลาง

ต่างฝ่ายต่างตกลงกันว่าจะส่งนักรบของตนเข้าทำการต่อสู้กันแบบตัวต่อตัว ดังนั้นจึงมีการคัดเลือกนักรบผู้มีฝีมือยอดเยี่ยมที่สุด ในที่สุดก็ได้นักรับของทั้งสองฝ่ายที่ต่างก็เดินเข้าหากัน หน้าตาถมึงทึง กระชับดาบไว้มั่นในมือข้างหนึ่ง ส่วนอีกข้างหนึ่งก็ถือโล่ไว้ บนหน้าอกของฝ่ายหนึ่งคือแผงอกรูปพระอาทิตย์ ส่วนอีกฝ่ายเป็นรูปพระจันทร์

เมื่อนักรบทั้งสองเผชิญหน้ากัน ต่างก็ลงมือต่อสู้กันราวปีศาจร้ายสองตน ต่างสู้กันตั้งแต่ยามเช้าขณะที่อาทิตย์ลอยดวงสูงขึ้นไปเรื่อยๆ ต่อสู้กันในท่ามกลางแสงแดดยามเที่ยงที่แผดเผา และยามที่อาทิตย์เริ่มคล้อยดวงลงไปจนกระทั่งตกลงเบื้องทิศตะวันตก แต่ไม่ว่าจะต่อสู้กันนานเท่าไรก็ไม่มีใครเพลี่ยงพล้ำให้แก่ใครเลย ดังนั้นจึงยังคงสู้กันต่อไปขนาดเข้าถึงตัวและถลันเข้ากอดกันเพื่อจะหาทางเอาชนะให้ได้

แต่เมื่อพระอาทิตย์ลับดวงไป ต่างฝ่ายต่างก็เหนื่อยอ่อนจนล้มพับลงกับพื้นดิน หมดสิ้นเรียงแรงแม้แต่จะคลานกลับเข้าแคมป์ของกองทัพแต่ละฝ่าย

“ข้าเกลียดเจ้า!” นักรบฝ่ายบูชาพระอาทิตย์กล่าว
“ข้าก็เกลียดเจ้า!” นักรบฝ่ายบูชาพระจันทร์โต้กลับมา

“ถึงยังไงก็จะต้องฆ่าเจ้าให้ได้” นักรบฝ่ายพระอาทิตย์ว่า “ข้ามีทั้งเมียและลูกที่รักรออยู่ที่บ้าน ข้ามีลูกชายที่อยากจะเป็นนักรบ แต่ข้าก็จะป้องกันมันไม่ให้มาพบเจ้าได้”

“ข้าก็มีเมีย”
นักรบฝ่ายพระจันทร์บอก “แต่ทหารของเจ้าสังหารหล่อนเมื่อครั้งเกิดการสู้รบคราวก่อน และนั่นคือเหตุผลที่ว่าทำไมข้าถึงได้เกลียดเจ้านัก” นักรบฝ่ายพระจันทร์ยืนขึ้น

“รูปร่างหน้าตาเมียเจ้าเป็นอย่างไรหรือ?” นักรบฝ่ายพระอาทิตย์เอ่ยถาม
“นางเป็นคนสวยน่ารักมาก เรารักกันมาตั้งแต่ครั้งยังเด็ก ข้าเคยเป็นเพื่อนวิ่งเล่นกับนางอยู่ในราวป่าใกล้ๆนี่แหละ”

“ฟังดูแล้วรู้สึกว่าเจ้าช่างมีวัยเด็กที่มีความสุขเหลือเกิน” นักรบฝ่ายพระอาทิตย์กล่าว “ไม่เหมือนข้าหรอก พ่อของข้าให้พวกพี่น้องรวมทั้งตัวข้าทำงานในไร่อย่างหนักตลอดเวลา ถ้าเราไม่ทำก็จะถูกตีอย่างรุนแรง”
“ข้าเสียใจด้วยนะที่ได้ยินอย่างนี้” นักรบฝ่ายพระจันทร์พูดอย่างมีอัธยาศัย

จากนั้นนักรบทั้งสองก็เริ่มคุยถึงชีวิตในวัยเด็กและเลยไปถึงเรื่องต่างๆที่เป็นประสบการณ์ในชีวิตของแต่ละฝ่าย ทั้งสองต่างคุยกันอยู่อย่างนั้น แม้ดวงจันทร์จะเคลื่อนขึ้นสู่กลางทองฟ้า แม้ดวงจันทร์จะเคลื่อนสู่ทิศตะวันตกแล้ว นักรบทั้งสองก็ยังไม่ยอมหยุดคุยกันอยู่ดี จนใกล้รุ่งจึงต่างได้หลับไหลไปพร้อมกันโดยทิ้งอาวุธไว้ข้างตัวอย่างไม่สนใจ

ในที่สุด ท้องฟ้าด้านทิศตะวันออกก็เรืองเรื่อด้วยแสงสีชมพูอ่อน ทั้งเสียงและกลิ่นหอมของอาหารต่างโชยมาจากแคมป์ของทั้งสองฝ่าย นักรบทั้งสองต่างตื่นขึ้นด้วยแสงแดดอบอุ่นที่สาดส่องลงต้องใบหน้า ต่างขยับเนื้อตัวด้วยความปวดเมื่อยและเหนื่อยอ่อน แล้วต่างก็มองลึกเข้าไปในดวงตาของกันและกัน ก่อนจะโผเข้ากอดกันไว้ แล้วต่างเดินแยกย้ายกลับเข้าสู่กองทัพของตน โดยทิ้งอาวุธให้อยู่ในที่เดิมของมัน

นักรบทั้งสองไม่อาจสู่กันได้อีกต่อไป ทั้งนี้เพราะท่านไม่อาจต่อสู้กับบุคคลที่ท่านรู้จักประวัติอันแท้จริงของเขาได้ ...

แปลโดย: นาริตะ

Thursday, August 14, 2008

The Town in Memory


[image by: anhalter @ flickr]

เราเคยไปในเมืองในรูปนี้เมื่อนานมาแล้ว และลืมไปนานแล้วด้วย
เมื่อตอนนั้นไปยังเป็นเด็กเล็กๆ ที่เอาแต่วิ่งเล่น
น่าเสียดายที่ตอนนั้นมองไม่เห็นของที่มองเห็นวันนี้
แต่ก็ยังดีที่จำชื่อเมืองนี้ได้ จนทำให้เจอรูปข้างบน

เราบอกคนคนนึงเอาไว้ว่าอีก 3 ปีจะพาไปประเทศนี้
พอตอนนี้นึกถึงเมืองนี้ขึ้นมาได้เลยอยากจะพาไปเมืองๆนี้เลย

... แต่ว่า ... ถ้าจะช้าไปซักปีนึงจะเป็นไรมั้ยนะ?
แค่ขอให้ยังอยู่ใกล้ๆ อย่าไปไหนก่อน

และก็ขอให้เมืองยังไม่ต้องเปลี่ยนไปนะ
Gersau, Switzerland

Tuesday, August 12, 2008

New Family


[image by: boscobridalexpos @ flickr]

เมื่อวันที่ 8 เดือน 8 ปี 08 เราไปร่วมงานแต่งงานของเพื่อนสมัยมัธยม
ในรุ่นมีเพื่อนหลายคนแล้วที่แต่งงานมีครอบครัวไปแล้ว
บางคนก็มีลูกกันไปแล้วด้วย (เข้าใจว่ามีมีคนที่ลูกเข้า ร.ร.ประถมแล้วด้วย)
แต่นี่เป็นงานแต่งงานของเพื่อนในรุ่นคนแรกที่เราไป

เราชอบไปงานแต่งงานเพราะเราชอบดูวิธีที่คนจัดงาน
บางทีก็อยากเก็บไปใช้เอง หรืออยากดูไปแนะนำคนอื่นในอนาคต
งานนี้ก็มีหลายอย่างที่เราชอบ บางอันก็เคยคิดอยากให้มีคนลองทำ

- มี sponsor งานแต่งงาน (รึเปล่าไม่รู้ - แต่มีแม้กระทั่ง mascot ในงานด้วยนะ)
- อัลบั้มภาพหน้างานด้วย Lomo (จริงๆเราเคยคิดว่าอยากไปขอให้ Lomo ช่วย sponsor งานแต่ง)
- เจ้าบ่าวเดินร้องเพลงภาษาต่างประเทศเข้ามาในงาน (อันนี้ไม่เคยคิดทำเอง แต่แปลกดีเหมือนกัน)
- อาหารในงานมาจากร้านข้างนอกโรงแรม (เช่นก๋วยเตี๋ยวลูกชิ้นปลาและเต้าทึง)

ความดีอีกอย่างของงานแต่งงานนี้คือทำให้เพื่อนมัธยมได้กลับมาเจอกัน (เยอะมากๆ)
ขอบคุณเจ้าของงานที่ส่งบัตรเชิญให้เพื่อนทุกกลุ่มจนทำให้เป็นเหมือนงานเลี้ยงรุ่นขนาดย่อม

ขอส่งท้ายด้วยคำอวยพรที่เราเขียนลงในสมุดหน้างาน
"ขอให้ครอบครัวใหม่ โชคดี มีสุข"

ขอแสดงความยินดีกับคุณ หริวงศ์ คุปตะวาณิช และคุณ รุจาภา ธนาคมศักดิ์ ครับ


Note:
- ช่วงนี้ท้องเสียบ่อย
- เนือยอีกแล้ว
- มีแนวโน้มว่ากำลังจะซื้อกล้องวิดีโอตัวแรกในชีวิต (แต่ไม่อยากเป็นหนี้เลยแฮะ)
- เมื่อวานลองตัดผมนอกร้านเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่สมัย ป.1 - - - ชอบแฮะ
- ขอบคุณ โต๊ด ที่เข้ามาอ่านและบอกกล่าวกันให้รู้ในงานแต่งงาน

Monday, March 10, 2008

A Healthy Dose of Bad-ness


[image by: emaghrabi @ deviantART]

(ต่อจากตอนที่แล้ว)

"อะไรก็ตามที่ทำแล้วรู้สึกดี ให้สงสัยไว้ก่อนว่ามันไม่ใช่เรื่องดี"

เราไปพบเห็นได้ยินแนวคิดแบบนี้จากหลายแหล่งและหลายสถานการณ์มาก
โดยรวมๆเราเลยสรุปขึ้นมาเป็นประโยคแบบที่เห็นนี้
เพราะว่าเรื่องที่ทำแล้วรู้สึกดีมันเป็นเพราะสนองความต้องการของเรา
ซึ่งธรรมชาติของความต้องการของเรามักจะไม่ส่งผลดีต่ออย่างอื่นนอกจากใจเราเอง

ตัวอย่างใกล้ตัวคืออาหาร ของที่อร่อยมักจะไม่มีประโยชน์ต่อร่างกาย
ของทอด ของมันๆ ของครีมๆ ของรสจัด ขนมหวานต่างๆนาๆ
เรียนกันมาตลอดว่ามันไม่ดี แต่ก็ยังกินกัน เพราะมันอร่อย
เมื่อได้รสอร่อยนั้นก็เกิดความพึงพอใจ แต่มันก็เป็นแค่ความพอใจกลวงๆ
พออิ่มเราก็ไม่อยากกินอีก และมาเสียใจเมื่อน้ำหนักขึ้นหรือสุขภาพแย่ลง

ข้าวของหลายอย่างก็เหมือนกัน ทำให้เราพยายามหาทางครอบครอง
บางคนเก็บเงิน บางคนหาทางขอเงิน บางคนก็ไปแย่งชิงเงินหรือของมาจากคนอื่น
สุดท้ายเมื่อได้มาก็เกิดความพอใจ แต่มันเป็นความพอใจแบบกลวงๆเหมือนกัน
พอได้มาก็ดีใจ แต่นานไปก็รู้สึกเฉยชา หันไปอยากได้อย่างอื่นแทน
ที่เหลือก็คือของที่ไม่ได้มีค่าอย่างที่คิดไว้ตอนแรก กับปัญหาที่ไปก่อเอาไว้เพื่อให้ได้มา

ที่เยอะมากๆก็คือของที่คนเรียกกันว่าความรัก
เห็นมาเยอะแล้วคนที่บอกว่ารักใครสักคนจริงๆ บอกว่ารักทำให้รู้สึกดี
ถ้ารักแล้วรู้สึกดีทำไมถึงเสียใจที่ไม่ได้รักหรือผิดหวังในรัก
คนที่เสียใจเพราะรักคือคนที่รักตัวเองที่กำลังหลงใหลคนอื่น
เราไม่ได้รักคนนั้น แต่รู้สึกพอใจในความอารมณ์รักของตัวเอง
รักโดยที่เอาความรู้สึกและสภาวะของตัวเองเป็นหลัก
ถึงสุดท้ายจะสมหวังในรัก เมื่อตัวเองออกจากอารมณ์นั้น ความรักที่คิดว่าเคยมีก็หายไป


มันมีอีกทฤษฎีที่ได้มาจากตรรกะความคิดข้างต้น
"ของที่ทำให้เรารู้สึกไม่ดีนั้นมีประโยชน์"

กินผักรสขมๆ
อย่าลืมกินวิตามินทุกเช้า
ประหยัด อดออม
ตั้งใจทำงาน
อดทน
เปิดใจ
ให้น้ำใจ
ให้อภัย

ของพวกนี้ทำยากและไม่น่าทำอย่างยิ่ง
บางอย่างจำเป็นจะต้องขืนใจตัวเองที่จะทำ

... แต่มันก็มีประโยชน์ที่จะทำ


Note:
- รูปข้างบนเป็นรูปวาดนะ

Sunday, February 24, 2008

Love is not the answer ...


[image by dziner @ flickr]

ตั้งแต่เข้าปีนี้มาเราเขียน blog ด้วยอารมณ์ที่แปลกไปหน่อย
และพอเรารู้สึกแปลกๆเราก็เลยต้องมาทบทวนดูอีกที
บางครั้งเราเขียนโดยที่เราไม่ได้อยากเขียนมากขนาดนั้น
บางทีก็แค่เขียนเพราะว่าง เลยดูเหมือนผิดเจตนารมณ์ตอนแรกๆไป
ช่วงหลังๆนี้เลยไม่ได้เขียนถี่มาก แต่จะเขียนแบบตั้งใจมากขึ้น
จะเขียนเมื่อรู้สึกว่ามันสำคัญ ... และมีเวลาให้กับมันมากๆ

หัวข้อ entry วันนี้อาจจะขัดใจใครหลายๆคน โดยเฉพาะคนที่เชื่อในรัก
เราก็ไม่ได้ขวางโลกขนาดที่คิดว่าความรักนั้นไม่ใช่คำตอบของชีวิต
แค่เราคิดว่ารักมันตอบไม่ได้ทุกเรื่อง แม้แต่ในเรื่องความรักเอง

เราคิดและทำให้เขียน entry นี้เพราะไปดู trailer หนังมา
"ปิดเทอมใหญ่ หัวใจว้าวุ่น" โดย GTH
(ส่วนสาเหตุที่ดูจริงๆเพราะได้ยินว่ามีดาราญี่ปุ่นคนหนึ่งมาร่วมแสดง)
ส่วนเนื้อหาที่จะพูดถึงวันนี้ไม่เกี่ยวกับหนังเรื่องนี้เลย
เราไม่รู้เนื้อเรื่องนอกเหนือจากในตัวอย่าง และได้แต่คาดเดาเท่านั้น


มีหลายๆคนรอบตัวเรามีปัญหาเนื่องจากความรักเสมอๆ
คนเหล่านี้มักจะพาตัวเองไปอยู่ในสถานการณ์ที่ทำให้เกิดความรู้สึกรัก (ตามความคิดของแต่ละคน)
และให้ความรู้สึกรักนั้นหล่อเลี้ยงจิตใจตนเอง ทำให้สดชื่น มีชีวิตชีวา และมีเป้าหมาย
เราก็รู้สึกเหมือนกันเวลามีความรักว่าชีวิตมันสดใสกว่าเวลาอยู่แบบไม่มีใคร
ชีวิตที่มีเป้าหมายอาจจะทำให้เจ็บบ้าง ช้ำบ้าง แต่ก็น่าจะดีกว่าชีวิตที่ไม่ขยับไปไหน
โดยทั่วไปหากมีการเคลื่อนไหว สิ่งที่จะเกิดขึ้นคือความก้าวหน้า หรือ progress
แต่ความก้าวหน้าในความรักมันไม่ใช่อย่างที่หลายคนคิดไว้
มันไม่ใช่การเข้าใกล้ความสมหวังในรัก แต่เป็นการเข้าใจผลความเปลี่ยนแปลงจากรักนั้น
ทุกคนที่มีรู้สึกรักใครสักคนย่อมอยากให้คนคนนั้นมาอยู่คู่กับตัวเอง
แต่คนที่ผิดหวังในความรักกลับมีอยู่เสมอ และมักมีการกระทำที่ไม่ค่อยเป็นตรรกะตามมา

แต่เราว่าความรักบางครั้งจำเป็นจะต้องจบลงด้วยความผิดหวัง
เพราะความรู้สึกรักอย่างเดียวมันไม่พอที่จะประคองทุกอย่างเอาไว้ได้
แต่ความผิดหวังก็เป็นคนละเรื่องกับความเสียใจ ผิดหวังแต่ไม่เสียใจก็สามารถเป็นไปได้
รักมันไม่ได้ทำให้เราเจ็บ ตัวเราเองต่างหากที่ไปเจ็บกับความผิดหวัง
คนที่คิดว่าความรักจะทำให้เราแก้ปัญหาทุกอย่างและมอบความสุขให้ได้นั้นไม่ถูกแน่

ธรรมชาติของทุกๆปัญหานั้น ทางแก้คือความเข้าใจในองค์ประกอบของปัญหานั้นต่างหาก
รักสามารถเป็นเครื่องมือได้ แต่จะใช้เครื่องมือนั้นตอบปัญหาได้รึเปล่ามันก็อยู่ที่คนใช้

Wednesday, February 13, 2008

The Big L


[image by: laFada @ deviantART]


ใครต่อใครต่อใครก็พูดเรื่องความรักกันในช่วงนี้ - สัปดาห์วาเลนไทน์
ก็ไม่ใช่เรื่องไม่ดีอะไร เพราะความรักมันก็ทำให้คนรู้สึกดีต่อกัน (ถ้าเป็นความรักจริงๆนะ)
ไม่อยากพูดถึงเรื่องความรัก(ความรู้สึกรัก)เท่าไหร่ เพราะว่าคงมีคนเขียนได้ดีกว่า
และเราเป็นคนที่ชอบด่าคนที่คิดว่าตัวเองมีความรักแต่จริงๆแล้วไม่ใช่อีกด้วย
ดังนั้นเพื่อไม่ให้เสียบรรยากาศก็จะพยายามเลี่ยงเท่าที่ทำได้นะ

จะมา List เรื่องเกี่ยวกับความรักที่เราชอบๆแทนละกัน
ทั้งหนัง ละคร เพลง หนังสือ ประโยค-วลี ร้านอาหาร สิ่งของ
เอาเท่าที่นึกออกก่อน และเจ้าเข้ามาเพิ่มเมื่อนึกได้เพิ่มเรื่อยๆละกัน
(เรียงตามลำดับที่นึกออก ไม่ใช่ตามความชอบ)

1. หนัง: Before Sunrise (1995)

2. เพลง: คู่กัน - Scrubb

3. เพลง: Everything - Michael Buble

4. เพลง: 3มิติ - Paradox

5. ประโยค: "ความรักกับการไอนั้นเหมือนกัน - ยิ่งเราพยายามกลั้นไว้เท่าไหร่มันยิ่งแสดงออกบนสีหน้า" - หนังเรื่องอะไรไม่รู้

6. ประโยค: "Humans can live without love; no one can live without water" - ใครไม่รู้ แถมเกี่ยวกับน้ำมากกว่า แต่ชอบนี่นา

7. ประโยค: "There's a certain orchid look exactly like a certain insect so the insect is drawn to this flower, its double, its soul mate, and wants nothing more than to make love to it. And after the insect flies off, spots another soul-mate flower and makes love to it, thus pollinating it. And neither the flower nor the insect will ever understand the significance of their lovemaking. I mean, how could they know that because of their little dance the world lives?"- Adaptation (2002)

8. ประโยค: "At the center of non-violence stands the principle of love." - Martin Luther King

9. ประโยค: "We are not enemies, but friends. We must not be enemies. Though passion may have strained, it must not break our bonds of affection." - Abraham Lincoln

10. ประโยค: "Darkness can not drive out darkness; only light can do that. Hate cannot drive out hate; only love can do that." - Martin Luther King


Note:
- อยากวาดรูปแบบข้างบนได้ ดูไม่น่ายากนะ แต่ทำไม่ได้

Friday, January 18, 2008

Love Confession


[image by: strany @ deviantART]

เรื่องของเรื่องคือมีเพื่อนเราคนหนึ่งเข้าใจอะไรบางอย่างผิดพลาดไปไกลมาก
เราเลยอยากจะขอแก้ต่างให้ตนเองให้เพื่อนคนนี้ได้เข้าใจ (ตามประสาคนจัญไรชอบแก้ตัว)

เพื่อนคนนี้ (นามสมมุติ ส.ถ.ธ.) เค้าเข้ามา blog ของเราไม่ทราบว่าทางใด
แต่เค้าไปเจอ entry เก่าๆของเราอันหนึ่งที่เขียนถึงเค้า และอาจจะถูกตีความไปในทางที่ไม่ดีได้
สันนิษฐานว่า ส.ถ.ธ. อาจจะไม่พอใจที่เราไปเขียนถึงเค้าแบบนั้น เลยมา comment แบบน้อยใจๆไว้
เราก็คงจะไปโทษอะไรเค้าไม่ได้เพราะถ้าอ่าน entry และ comment ของผู้หวังดีหลายๆคนแล้ว
... มันก็เหมือนไปด่าเค้าเลยนี่หว่า!!

เจตนาแท้จริงของ entry นั้นถูกเขียนขึ้นมาเพื่อแนะนำให้คนรู้จักถึงแง่มุมอ่อนโยนของผู้ชายคนหนึ่งเท่านั้น
อาจจะใช้ภาษาไม่เพราะไปบ้าง แต่ว่าไม่มีเจตนาเชิงดูถูกเหยียดหยามและไม่ได้ไปตำหนิการกระทำใดๆของ ส.ถ.ธ.เลย
อยากให้คนที่เข้ามาใน blog นี้รับรู้ว่า แม้แต่ชายเหนือชายก็อ่อนโยนได้เหมือนกัน เพียงเท่านี้จริงๆ

หลายคนรวมไปถึง ส.ถ.ธ. หากอ่านข้อความนี้อาจจะรู้สึกว่าเราไม่จริงใจหรือกำลังค่อนแขวะ
แต่ถ้าทุกท่านรู้ความจริงในใจของเราแล้ว ย่อมจะเห็นว่าเราไม่มีทางมีเจตนาเยี่ยงนั้นแน่
เพราะว่าเราเป็นคนเพื่อนน้อย และยากนักที่จะเรียกใครสักคนเต็มปากได้ว่า"เพื่อน"
เราคิดว่า ส.ถ.ธ. เป็นคนที่รอบรู้ มีความเป็นตัวของตัวเองสูง เชื่อมั่นในความคิด และมีอุดมการณ์
มันยากมากนะ ที่จะมีลักษณะนิสัยเหล่านี้ตั้งแต่ยังอายุน้อยๆ นั่นทำให้เราประทับใจ ส.ถ.ธ. ตั้งแต่แรกๆ
ที่วิเศษไปกว่านั้นคือ ส.ถ.ธ. ก็ยังเห็นเราเป็นเพื่อนด้วย
และถ้าเราไม่เข้าข้างตัวเองเกินไป เราสองคนคงเคยเป็นเพื่อนที่สำคัญต่อกันในช่วงเวลาหนึ่ง

ถึงแม้ว่าตอนนี้ต่างคนอาจมีภารกิจที่ทำให้มีเวลามาพบปะกันน้อยลง และส.ถ.ธ. อาจมีเพื่อนสนิทใหม่ๆ สังคมใหม่ๆ
แต่เราก็อยากให้ ส.ถ.ธ. รับรู้ไว้ว่าเรายังไม่มีใครมาแทนที่ ส.ถ.ธ. เลย
และพื้นที่ในใจตรงนี้ก็ยังจองไว้ให้ ส.ถ.ธ.เท่านั้น

ขอให้รับรู้ไว้ ณ ที่นี้ด้วย

ขอบคุณมากครับ


Note:
- ทำไมนะ พอเขียนอะไรที่จริงใจมากๆออกมามันถึงได้สบายใจแบบนี้ ... สบายใจและฟังดูไม่จริงใจกว่าเก่า ... อืมมม
- ผมไม่แมนครับ เลยไม่มีมุมอ่อนโยน

Monday, November 5, 2007

The Problem of Love


[image by: minusthe_girl @ flickr]

เพราะอะไรบางอย่างทำให้มีโอกาสพูดคุยกับคนที่มีปัญหาเรื่องความรักอยู่บ่อยๆ
แต่เท่าที่ฟังหลายๆกรณีมักจะเกิดจากความไม่พอดีของอย่างน้อยๆหนึ่งฝ่าย
คำว่าไม่พอดีในที่นี้เกิดจากการกระทำหลุดออกจากภาวะปกติ หรือภาวะที่ตั้งอยู่บนเหตุผล
ในปัญหาของความรักมักจะมีความเห็นแก่ตัว ความไม่พึงพอใจ และความขาดสติ
สิ่งเหล่านี้คงจะไม่มีถ้าทั้งสองฝ่ายรู้ว่าอะไรคือความหมายของคำว่า"ปกติ"

หลายๆครั้งของปัญหาที่ได้ยินมาคือมีฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดกระทำการโดยขาดความยั้งคิด
การที่ทำอะไรโดยใช้ความคิดเพียงชั่ววูบนั้นมันจะทำให้เรามองข้ามผลลลัพธ์ที่จะตามมา
ถ้าหากเราสามารถระลึกได้เสมอว่าของที่มีคุณค่าแท้จริงคืออะไร
เราคงไม่เพียงเอาความพอใจของตนเองเป็นหลัก


บางทีการที่เราฝืนใจตัวเองเพื่อรักษาคุณค่าของอย่างอื่น
มันกลับให้ความรู้สึกที่ดียิ่งกว่าซะอีก


Note:
- เขียนๆไปก็นึกขึ้นมาได้ว่าคำว่าปกติทางพุทธนั้นตรงกับคำว่า "ศีล" ... ผู้ที่รักษาศีลได้ก็คือผู้ที่คงความปกติเอาไว้ได้

Wednesday, October 17, 2007

Bruised



ไอ้ผู้ชายเหี้ย!!!!


เสียงน้องผู้หญิงคนหนึ่งตะโกนขึ้นมาในช่วงบ่ายของการทำงาน
หลังจากเพลงเศร้ากระแสนิยมผ่านไปราวๆ 15 เพลงติดต่อกัน




[image by: SoZeSoZe @ flickr ]



Note:
- ภาพข้างบนมาจาก set ที่ชื่อ Conceptual โดย SoZeSoZe - ชอบมาก แนะนำให้เข้าไปดูทั้ง set เลยครับ
- สำหรับน้องๆที่อายุต่ำกว่า 18 และเข้ามาเจอภาพข้างบน ก็ขอให้ปิดตาข้างนึงอ่าน blog นะครับ
- สำหรับหน่วยงานรัฐบาลที่เข้ามาเจอภาพข้างบนและคิดว่ามันไม่เหมาะสม ขอให้มองมันเป็นศิลปะอย่างที่มันควรจะเป็นนะครับ
- "คงจะมีใครเข้ามา blog มึงหรอกนะ ... " ใครสักคนสบถออกมาเบาๆ

Monday, September 17, 2007

Old Faces, New Love

At first I was going to write about my new project.
Then there was a news that got all my attention.
Not the news of the Phuket plane crash (although that scared me quite a bit).
The news I'm talking about affect a much smaller number of people.
In fact, it doesn't affect me or anyone but the 2 people involved in this story.

So it is the story of two people.
One I do not know much about.
The other is far from the person I once knew.
It seems that they're in love and that they're pretty happy about it.

Then why should I care? A couple I barely know are in love.
There are a lot of other couples in love I barely know out there.
In fact, I should be happy for both of them.
And I am, to some extent.

What really matters is ... the degree of weirdness I feel toward the incident.
Let's just say it's weird and it certainly makes you feel weird.

That's it.

May all be joyful.