Menu

Showing posts with label Environment. Show all posts
Showing posts with label Environment. Show all posts

Thursday, October 15, 2009

HOME - Blog Action Day 2009


เมื่อวันที่ 5 มิถุนายนที่ผ่านมานี้มีหนังสารคดีที่เปิดฉายพร้อมกัน 181 ประเทศทั่วโลก เป็นสถิติการเปิดตัวหนังที่เข้าฉายพร้อมกันมากที่สุดในโลก สารคดีเรื่องนั้นชื่อว่า 'Home'

Home เป็นสารคดีที่ถ่ายภูมิประเทศต่างๆทั่วโลกจากมุมสูงพร้อมการบรรยายประกอบเกี่ยวกับระบบนิเวศของโลก และผลกระทบที่มนุษย์สร้างให้กับระบบที่สมดุลนั้น ไม่ว่าเป็นผลจากการทำกสิกรรมที่ทำให้วงจรน้ำเสียไป การค้นพบน้ำมัน(ในสารคดีใช้คำเรียกน้ำมันที่ผมชอบมากๆว่า 'pocket of sunlight')ที่ทำให้เกิดการเผาไหม้ในเชิงอุตสาหกรรมหนัก ส่งผลให้เกิดความไม่เสมอภาคทางการเกษตรระหว่างเกษตรกรที่ใช้แรงงานกับเครื่องจักร การทำปศุสัตว์แบบใหญ่มหาศาลที่ต้องใช้ทรัพยากรอาหารราว 50% ของผลผลิตอาหารทั่วโลก (เยอะอย่างไม่น่าเชื่อ ในขณะที่มีผู้คนอดอยากในโลกนี้มากขึ้นเรื่อยๆ) มีภาพของเรือเดินสมุทรที่ทุกวันนี้สามารถแล่นผ่านน้ำแข็งขั้วโลกที่แตกเป็นชิ้นเล็กๆน้อยๆเพราะภาวะโลกร้อน และความเสี่ยงที่น้ำแข็งที่กรีนแลนด์และไซบีเรียละลายจะทำให้ก๊าซมีเทนใต้น้ำแข็งเหล่านั้นถูกปล่อยออกมา ส่งผลหนักหนากว่าคาร์บอน 20 เท่า

ความพิเศษของหนังสารคดีเรื่องนี้คือการที่ผู้ผลิตหนังเลือกที่จะเผยแพร่หนังภายใต้ข้อตกลงของ Creative Commons หรือการไม่มีลิขสิทธิ์แบบเต็มรูปแบบ เพราะต้องการให้หนังเรื่องนี้ได้รับการเผยแพร่ออกไปมากที่สุด ทุกคนสามารถดาวน์โหลด อัพโหลด ไรท์ใส่ดีวีดีแล้วส่งต่อให้เพื่อน เอาไปเปิดฉายตามที่สาธารณะได้เต็มที่ เพราะสาระของมันคือการที่ให้คนหมู่มากได้รับรู้ถึงปัญหาที่ใหญ่หลวงมากกว่าปัญหาผลประโยชน์จากลิขสิทธิ์ (ผมซื้อแผ่นแม่สายมาดู)

ผมดูสารคดีเรื่องนี้จบด้วยความอึ้งมากกว่าดู Inconvenient Truth มากๆ รู้สึกว่าตัวเราเล็กนิดเดียวแต่กลับสร้างปัญหาที่ใหญ่ขนาดที่เชื่อว่าคงไม่มีทางฟื้นฟูกลับสู่สภาพแต่ก่อนได้อีกแล้ว

แต่ความดีของ Home ที่ Inconvenient Truth ไม่มีคือคำตอบในตอนท้ายให้เราได้รู้ว่ายังมีความหวังและควรทำอย่างไรให้เราสามารถอยู่บนโลกนี้ต่อไปได้แบบไม่เดือดร้อนธรรมชาติ

ก็ขอให้หามาดูกัน จะได้รู้ว่าเรื่อง Climate Change ที่เป็นประเด็นที่ชาวบล็อกทั่วโลกจะเขียนกันในวันนี้มันไม่ใช่เรื่องเล่นๆเลย

Link:
http://en.wikipedia.org/wiki/Home_%282009_film%29
http://www.youtube.com/user/homeproject <--- แนะนำให้เริ่มดูจากที่นี่

Thursday, July 9, 2009

Long Weekend of Thoughts


[collage by: lerk7]

Saturday:
  • Nawamin City Avenue บนถนนนวมินทร์อยู่ห่างจาก The Crystal เลียบทางด่วนรามอินทราไม่เกิน 4 กิโลเมตร แต่คนที่ไปเดินเล่นและใช้บริการต่างกันอย่างมาก
  • ทั้งสองที่ที่ว่านี่ห่างจากตลาดปัฐวิกรณ์บนถนนนวมินทร์ราวๆ 7 กิโลเมตร แต่คนที่อยู่ที่นั่นยิ่งต่างออกไปอย่างมาก
  • ตลาดปัฐวิกรณ์คือหลักฐานว่ามีคนจำนวนมากอยากทำอะไรเป็นของตัวเองแต่ไม่ประสบความสำเร็จ
Sunday:
  • ในเวลา 4 ชั่วโมงคุณสามารถโหลดเพลงแบบละเมิดลิขสิทธิ์โดยไม่ต้องวางแผนล่วงหน้าว่าวันนี้อยากได้เพลงอะไรได้ราวๆ 40 อัลบั้ม ด้วยอินเตอร์เนทที่เร็ว 1Mbps
  • ของเล่นที่ชื่อว่าฟิงเกอร์บอร์ด (ไม่ใช่ช่องระหว่างเฟร็ทกีตาร์ที่เรากดคอร์ดกันนะ) กำลังกลับมาฮิตแบบเงียบๆ และเล่นโคตรยากแต่คุ้มค่าที่จะฝึกฝน ส่วนสาเหตุของการกลับมาน่าจะเป็นเพราะมันกลายเป็น app ใน iPhone + iPod Touch ละมั้ง
  • เนื้อที่ร้าน กิว กิว เต้ อร่อยก็จริง แต่ไม่อร่อยขนาดที่เราจะทรมานตัวเองไปร้านนี้อีกเป็นหนที่สอง และสภาพโดยรวมไม่ทำให้รู้สึกยินดีจะจ่ายเงินค่าเนื้อจานละ 2,500 บาทแน่ๆ (ไม่ว่าเนื้อมันจะดีและเยอะแค่ไหน)
  • คนบางคนสามารถเปลี่ยนไปได้อย่างมากเพียงแค่เปลี่ยนสายงานได้ไม่ถึงครึ่งปี
  • คนบางคนกลัวการเป็นคนไม่สำคัญจนต้องพยายามทำทุกวิถีทางให้ถูกสังเกตและมีคนรับฟัง ถ้าต้องการแบบนั้นจริงไปอยู่บน youtube ดีกว่ามั้ย??
  • ความเหี้ยไม่ต้องการเหตุผลมารองรับ คนบางคนรู้ตัวว่าผิดก็ยังสามารถเหี้ยใส่คนที่ไม่ผิดได้หน้าตาเฉย
Monday:
  • อยากแนะนำให้ทุกท่านรู้จัก Lucky ฟิล์มสี 35mm คุณภาพดีราคาถูก 40 บาทต่อม้วนเท่านั้น
  • ถนนจากกรุงเทพไปกาญจนบุรีเป็นถนนที่ขับสบายมากๆ ในบรรดาถนนออกต่างจังหวัดนี่น่าจะเป็นถนนที่เราชอบที่สุด
  • ไม่มีหนังสือแนะนำสถานที่ท่องเที่ยวกาญจนบุรีขายในจังหวัดกาญจนบุรี (จริงๆแล้วมี แต่หายากมากๆ)
  • มีหลายคนบอกว่าผัดไทยที่ร้าน ซุ่นเฮง ณ สี่แยกลาดหญ้า กาญจนบุรี อร่อยมาก (บางคนถึงกับบอกว่าอร่อยที่สุดในโลก) แต่สำหรับเรานี่เป็นอีกหลักฐานว่าโลกนี้มีสื่งที่เหี้ยแบบไม่อายฟ้าดิน เพื่อการเอาใจคน 10 กว่าคน คนอีกราว 30 คนที่มาถึงก่อน ต้องรอมันกินจนเสร็จอิ่มคิดเงินกลับบ้าน -- แน่นอนว่าเราไม่รอและเขวี้ยงเงินค่าเป๊ปซี่ 1 ขวด น้ำแข็ง 1 ถังและค่าหลบฝน 1 ชั่วโมงใส่ร้านมันไป
  • ถึงเราจะไม่ได้กิน เราก็มั่นใจว่านี่ไม่ต่างจากผัดไทยประตูผี ข้าวเหนียวมะม่วงป้าเจือ โรตีตลาดหัวหิน โรตีสายไหมอยุธยา เครปป้าพร หรือร้านไหนๆที่คนไปรอนานๆแบบไม่มีเหตุผล ทั้งๆที่ร้านข้างๆหรือร้านแถวบ้านมันอร่อยเท่ากัน
  • เกิดความสงสัยขึ้นมาว่ามีคนพยายามเดินทางไปสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆเพียงเพื่อดื่มเหล้าและทำลายบรรยากาศคนอื่นๆ แค่นั้นจริงๆหรือ?
  • ตอนนี้เราสามารถถ่ายรูปด้วยกล้อง Fuji Instax Mini 7s ได้โดยไม่ต้องเล็งผ่าน viewfinder อย่างแม่นยำสุดๆ
  • ร้านคีรีธารา ริมแม่น้ำแควอาหารไม่ได้วิเศษเลิศเลอ แต่บริการโคตรจะดีเลยครับ
  • ถ้าอยากลองดูรีสอร์ทที่ไม่ลงทุนเยอะแต่ไม่ขี้เหร่แนะนำให้ไปอินจันทรี (Inchan Tree) ใกล้ๆสะพานข้ามแม่น้ำแคว
Tuesday:
  • ผึ้ง เป็นแมลงที่ไวต่อกลิ่นน้ำหวานมาก แยมส้มมาตั้งบนโต๊ะไม่ถึง 1 นาทีมีผึ้งมารุมที่จานเราแล้วเกือบครึ่งรัง (ถ้ารังนั้นมีแค่ 20 ตัว) และพยายามจะมาเกาะกินคราบแยมบนปากเราด้วย
  • นั่งดู หม่ำ on Stage จากช่องเคเบิ้ลในห้องพัก ได้ฟังน้าแอ๊ดร้องเพลงทะเลใจแล้วน้ำตาซึม คนอื่นว่าไงไม่รู้ แต่ถ้าถึงวันที่จะไม่มีโอกาสได้ฟังได้ดูคาราบาวสดๆอีกเราคงเสียใจมากแน่นอน
  • กาญจนบุรีสามารถพัฒนาให้เป็นจังหวัดที่น่าไปมากๆได้ ขอแค่คนเริ่มไปลงทุนกัน (ไปลงทุนกันเถอะ)
  • หลังจากปตท.ไปเทคโอเวอร์กิจการปั๊ม Jet อรรถรสในการขับรถทางไกลข้ามจังหวัดก็ลดลงไปเยอะมากๆ เพราะคุณจะหมดโอกาสพูดว่า “ขอแวะเจ๊ตหน่อย” กับเพื่อนร่วมทาง
  • Union Mall ลาดพร้าวมีคนไปเยอะขึ้นแล้ว อย่างน้อยๆก็หาที่จอดรถยากขึ้นล่ะ ไม่รู้รถคนมาดูหรือรถคนขาย แต่เราไปหาซื้อแม็กกาซีนเก่าต่างประเทศที่ชั้น 3 (ใครรู้จักว่าที่ไหนมีเยอะๆช่วยบอกด้วย)
  • ยิ่งฟังอัลบั้ม‘ทิงนองนอย’ ของโมเดิร์นด็อกก็ยิ่งชอบ ยิ่งรู้สึกว่ามีอะไรให้คิดต่ออีกเยอะจริงๆ

Thursday, March 12, 2009

Gump is a Word

ปลายๆปีที่แล้วได้ยินสปอตวิทยุตัวหนึ่งที่สะดุดหูมาก
เป็นโครงการประกวดสิ่งประดิษฐ์เพื่อแก้ปัญหาพลังงานและสิ่งแวดล้อมของ EGCO
คอนเซ็ปต์การประกวดคือ ต้องเป็นของที่ไม่เคยมีมาก่อนบนโลก
และของนี้จะต้องพยายามแก้ปัญหาพลังงานและสิ่งแวดล้อมอย่างดูสนุก
สิ่งที่ทำให้สะดุดหูจริงๆคือชื่อโครงการนี้

"GREEN GUMP GADGET"

ไอ้คำว่า GUMP ที่ทำตัวหนาไว้นี่แหละ
เพราะว่าคำนี้เป็นคำที่ใช้กันอย่างแพร่หลายเฉพาะในกลุ่มเพื่อนโรงเรียนเรา
เราเคยพยายามเอาคำนี้ไปใช้กับคนอื่นเช่นเพื่อนที่มหาลัย
ปรากฏว่าไม่มีคนเข้าใจถึงใจความของคำๆนี้กัน หรือเข้่าใจแบบผิวเผิน

นิยามของคำนี้สำหรับเราคือ
GUMP ต้องตลก
GUMP ต้องไม่อยู่ในตรรกะทั่วไป
GUMP ต้องอยู่เหนือแนวทางของมวลชน
GUMP ต้องไม่เป็นประโยชน์แบบสามัญ

และก็เป็นไปตามคาดเมื่อตอนนี้งานประกวดคัดผู้เข้ารอบ 20 ทีมสุดท้ายมาแล้ว
มันจะมีทั้งผู้เข้าประกวดที่เข้าใจงานนี้จริงๆ และที่ไม่เข้าใจเอาซะเลย

ตัวอย่างคนที่เข้าใจ



และตัวอย่างคนที่ไม่เข้าใจ



ที่น่าสงสัยจริงๆคือ คนคิดโครงการนี้มันเป็นเพื่อนเรารึเปล่าวะ?

Note:
- ช่วยโหวตให้คนที่เข้าใจวิถี Gump กันด้วยนะครับ เพราะคนที่ไม่เข้าใจมันไปเกณฑ์เพื่อนมาโหวตซะเยอะมากไปแล้ว http://www.egco.co.th/GreenGumpGadget/ <--- ไปโหวตที่นี่เลย
- ที่มาของคำนี้ที่เราพูดในกลุ่มเพื่อนคือมีเพื่อนคนหนึ่งที่ทำตัว GUMP เป็นพิเศษในช่วงมัธยม ... ไม่รู้จะอธิบายต่อยังไง คำว่า GUMP มันดูเหมาะสมกับพฤติกรรมของคนๆนี้ แล้วก็ลุกลามกลายเป็นพฤติกรรมกลุ่ม
- ลองไปหาดูว่า GUMP เป็นคำที่ใช้กันจริงๆรึเปล่า ปรากฏว่าเจอดังนี้ GUMP (noun): a dunce, a nitwit --- ก็ถือว่าใกล้เคียงกับที่เราพูดๆกันนะ

Friday, December 7, 2007

The Incredible Hotness of Winter Days


[image by: fashi @ deviantART]

สมมุติว่าหลับสลบไสลไปเป็นเดือนๆแล้วตื่นขึ้นมาในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา
ถ้าเกิดมีคนเดินมาบอกว่านี่เข้าฤดูหนาวแล้ว ... คงจะนึกตบหัวมันคนนั้นในจินตนาการ
หน้าหนาวอะไรร้อนแบบนี้กันครับ!

Damn all the carbon-emitting fucks!!!!

Monday, November 26, 2007

Digital Property


[image by: blarygake @ flickr]

Warning: Long and Serious Entry - บทความวันนี้ยาวและจริงจังเป็นพิเศษ หากต้องการความบันเทิงกรุณาอ่านบทความอื่นๆแทน

"Life finds a way"

นี่คือประโยคจาก Jurassic Park และสามารถใช้ได้จริงเสมอตราบที่ยังมีสิ่งมีชีวิตอยู่
เราคิดว่าสิ่งมีชีวิตทุกอย่างอยู่ด้วยปรัชญาของประโยคนี้เหมือนกันหมด
แต่ว่าวันนี้ไม่ได้จะเขียนเรื่องธรรมชาติหรือเรื่องชีวิตหรอก
ตรงข้ามด้วยซ้ำ จะมาเขียนเรื่องของที่ไม่มีชีวิต และไม่มีกระทั่งตัวตน
ต่อยอดบทความของ phir เรื่องทรัพย์สินทางปัญญา (Intellectual Property : IP)

แต่เพราะว่าเราไม่ได้เรียนด้านกฎหมายมาเหมือน phir เราก็จะขอเขียนในแง่มุมที่เราถนัดกว่าแทน
เราอยากจะเสนอมุมมองเกี่ยวกับผลงานสร้างสรรค์ในเชิงบริหารจัดการ (Management) แทน

เรื่องของการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา ว่าด้วยเทคโนโลยีที่มันก้าวหน้าไปมากทำให้ผู้ที่จะทำการละเมิดนั้นสามารถทำได้ง่ายขึ้นเรื่อยๆ ผู้ที่เสียประโยชน์โดยตรงก็คือบริษัทหรือบุคคลที่เป็นผู้สร้างสรรค์ความคิดนั้นขึ้นมา มาตรการตอบโต้หรือป้องกันตนของกลุ่มผู้เสียประโยชน์เหล่านี้ที่จะใช้กันส่วนใหญ่จะมีอยู่สองทางด้วยกันคือ 1.ใช้ข้อได้เปรียบทางกฎหมายของการเป็นเจ้าของสิทธิ์ทางความคิดนั้นเพื่อป้องกันหรือเอาผิดจากผู้ที่มาละเมิด หรือ 2.พัฒนาสินค้าหรือบริการของตัวเองให้ถูกลอกเลียนให้ยากขึ้น เช่นทำให้มันซับซ้อนขึ้นหรือเอาเทคโนโลยีบางอย่างเข้าไปเป็นส่วนประกอบไม่ให้ถูกลอกเลียนหรือทำซ้ำ

ซึ่งทั้งสองวิธีที่ว่านี้ก็ฟังดูสมเหตุสมผลดี เมื่อคิดจากฐานะผู้ผลิตว่าเราเป็นผู้ลำบากพัฒนาความคิดขึ้นมาและมีต้นทุนในการผลักดันความคิดนั้นออกมาสู่ตลาด (Commercialization) มันมีทั้งค่าจ้างผู้วิจัยพัฒนา ค่าวัตถุดิบหรือวัสดุสิ้นเปลืองต่างๆ รวมไปถึงค่าใช้จ่ายในการดำเนินการ และการโฆษณาประชาสัมพันธ์อีกที่เราจะต้องหารายได้มาชดเชย เราย่อมไม่ต้องการให้บุคคลอื่นมาฉกฉวยโอกาสแย่งรายได้ไปจากเราง่ายๆเพียงแค่ทำซ้ำหรือคัดลอกความคิดของเราไปขายในราคาที่ถูกกว่ามากโดยอาจจะมีเพียงแค่ต้นทุนการผลิตเท่านั้น ดังนั้นเราจึงต้องหาทางปกป้องตัวเองจากความเสี่ยงที่จะถูกฉกฉวยโอกาสแบบนี้โดยการใช้ กฎหมาย หรือ เทคโนโลยี ดังกล่าว

เราเห็นด้วยว่าผู้ที่เป็นเจ้าของความคิดย่อมสมควรได้รับการปกป้อง ถ้าหากสินค้านั้นมันเป็นสิ่งของจับต้องได้ (Physical Goods) เช่นกระเป๋าแบรนด์เนมจากยุโรปที่มักถูกผู้ผลิตจากจีนหรือเกาหลีลอกเลียนอยู่เสมอ โดยเฉพาะปัจจุบันนี้ผู้ผลิตของเลียนแบบเหล่านี้สามารถไปหาวัตถุดิบและผู้ผลิตเดียวกับเจ้าของ brand ได้จนทำให้คุณภาพนั้นเรียกได้ว่าแทบจะเหมือนกันเลยทีเดียว แต่ผู้ลอกเลียนจากจีนและเกาหลีนี้ไม่ต้องเสียค่าจ้างนักออกแบบ และค่าใช้จ่ายในการทำ branding เลยแม้แต่นิดเดียว แค่ผลิตออกมาก็มีคนทำการตลาดให้อยู่แล้ว รอแค่ขายอย่างเดียวในราคาที่ถูกกว่ามาก กรณีนี้เราคิดว่าเจ้าของแบรนด์ควรจะได้รับการปกป้อง เพราะว่ากระเป๋าของจริงที่ถูกผลิตขึ้นมาหากไม่สามารถขายได้ก็จะทำให้บริษัทเกิดการขาดทุน (และยังเสียทรัพยากรธรรมชาติไปอีกด้วย)

แต่ว่าในกรณีของสินค้าที่เป็น digital นั้นสภาพแวดล้อมของธุรกิจมันต่างออกไป เนื่องจากต้นทุนในการผลิตเพิ่มต่อหน่วยนั้นแทบจะไม่มีเลย (มีค่าไฟ ค่าเสื่อมของอุปกรณ์ และอาจจะมีค่าสื่อในการจัดเก็บข้อมูล) กลับกัน หากยิ่งผลิต (จริงๆควรใช้คำว่าคัดลอกและกระจาย) ได้มากขึ้นกลับยิ่งทำให้ต้นทุนต่อหน่วยลดต่ำลง (เช่นค่าจ้างพนักงาน นักวิจัย ค่าโฆษณา ค่าเช่าสำนักงาน) ซึ่งสินค้าที่เราจะนับรวมเป็น digital นั้นไม่ใช่แค่สินค้าที่เป็น computer software เท่านั้น แต่รวมไปถึงสื่อชนิดต่างๆที่สามารถแปลงให้เป็น digital format ได้เช่น ภาพถ่าย ภาพยนตร์ ดนตรี หรือหนังสือ

สินค้าเหล่านี้ผู้ผลิตจะรู้สึกว่ามีความเสี่ยงต่อการถูกลอกเลียนมากกว่าสินค้าชนิดอื่นๆ เพราะว่าเมื่อเป็น digital แล้วการลอกเลียนนั้นก็คือการ copy บนคอมพิวเตอร์นั่นแหละ ทำได้ง่ายแค่ไหน? คนที่เข้ามา blog นี้ได้คงทำกันเป็นทุกคน และเพราะว่ามันง่ายขนาดนั้นผู้ผลิตจึงต้องดิ้นรนหาทางป้องกันตนเองจากภัยคุกคามนี้ทั้งจากการใช้กฎหมายคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญา (IP Law) และเทคโนโลยีเพื่อป้องกันการถูก copy รูปแบบต่างๆ ซึ่งอย่างที่บอกว่าคิดในแง่ผู้ผลิตนั้น การป้องกันตนเองก็อาจจะมองว่าถูกต้องแล้ว แต่ว่าหากมองในแง่การพัฒนาธุรกิจแล้วอาจถือได้ว่าเป็นการฝืนกลไกของตลาดแทนก็ได้

มีกลุ่มคนไม่น้อย (ส่วนใหญ่จะเป็น geek และ computer nerd) ที่เชื่อว่า “Bits are made to be copied” นั่นหมายความว่าการที่เรามีการบันทึกข้อมูลลงคอมพิวเตอร์เป็น digital format ลงบน medium ต่างๆนั้น เราทำเพื่อลดต้นทุนของการคัดลอกทั้งในแง่ของเงิน เวลา ทรัพยากร และความพยายาม ดังนั้นหากเราผลิตสินค้าที่เป็น digital ออกมาแต่ว่าห้ามไม่ให้คัดลอกแล้ว นั่นไม่เท่ากับขัดวัตถุประสงค์ของตัวเทคโนโลยีเองหรอกหรือ

เราไม่เถียงว่าคนสร้างสรรค์ผลงานใดๆขึ้นมาควรจะได้รับผลตอบแทนเต็มที่เมื่อผลิตชิ้นงานออกมาสู่ตลาด แต่ว่าโครงสร้างรายได้หรือ Revenue Model ของงานสร้างสรรค์มันไม่ได้จำกัดอยู่ที่การขายต่อหน่วย (per unit sales) เท่านั้น มันยังมีหนทางอีกมากที่จะสร้างรายได้โดยการใช้ประโยชน์จากข้อดีจาก digital distribution นี้อีก

จะขอเจาะไปที่อุตสาหกรรมดนตรีโดยเฉพาะ เนื่องจากมีความรู้ความเข้าใจอยู่บ้าง และกำลังทำรายงานเรื่องนี้พอดี แน่นอนว่าการเข้ามาของ digital distribution รูปแบบต่างๆในวงการเพลง ถูกกฎหมายบ้าง ละเมิดลิขสิทธิ์บ้าง ทั้ง Full-Song Download, File-Sharing, Music Streaming, Online Broadcasting และแน่นอนรวมถึงแผ่นผี แผ่นMP3 มันไปกระทบยอดขายซึ่งเป็นรายได้ทางตรงแบบจังๆ การที่เราหาเพลงฟังฟรีได้มันย่อมทำให้ยอดขายสินค้าลิขสิทธิ์ที่ต้นทุนสูงกว่าและราคาสูงกว่าลดลง แต่บริษัทในอุตสาหกรรมนี้เคยมองรึเปล่าว่าเพราะอะไรคนถึงไม่ซื้อ บางทีเราได้รับของ sample ฟรีที่เค้าแจกๆ เราก็ยังกลับไปซื้ออีกทั้งๆที่ไม่มีใครบังคับ อาจจะเถียงว่าเพราะมันเป็นสินค้า physical ใช้แล้วหมดไป แต่นั่นไม่ใช่เหตุผลหลักอย่างเดียวหรอก

หลักการตลาดพื้นฐานมากๆเลยบอกไว้ว่าในการที่ผู้บริโภคจะซื้ออะไรซักอย่าง Value MUST exceed price หรือมูลค่าที่ผู้ซื้อได้รับนั้นต้องมากกว่าเงินที่จ่ายออกไป หากเราไม่ซื้ออะไรย่อมหมายความว่าเราคิดว่าคุณค่าที่เราได้รับกลับมามันไม่คุ้มค่าเงิน และเราอาจมีทางเลือกอื่นที่ตอบสนอง need เดียวกันนั้นได้ในราคาที่คุ้มค่ากว่า (mp3) ดังนั้นหากคิดว่ายอดขาย CD เป็นเครื่องวัดความสำเร็จหรือเป็นแหล่งรายได้สำคัญที่จะเสียไปไม่ได้เลย ผู้ผลิต(ค่ายเพลง)ก็ต้องหาวิธีเพิ่ม value เข้าไปในตัวสินค้าโดยตรงผ่านขั้นตอนต่างๆใน value chain ที่ทำให้เกิดมูลค่าเพิ่มขึ้นต่อสินค้าสำเร็จนั้น เช่นอาจมี exclusive privilege พิเศษสำหรับผู้ซื้อ CD ของแท้ ซึ่งเป็น value ที่เฉพาะเจ้าของสิทธิจะให้ได้เท่านั้น เช่นสิทธิในตัวศิลปิน (note: packaging อาจมี value contribution โดยตรงต่อตัวสินค้า แต่ว่าไม่ใช่ exclusive value เพราะถ้าคนทำของปลอมอยากทำให้ดีก็ทำได้เหมือนกัน)

อีกแนวทางที่ไม่ค่อยถูกยกขึ้นมาเป็นประเด็นทางออกคือการปรับ business model และ revenue model ของธุรกิจนี้แทน แหล่งรายได้ของบริษัทค่ายเพลงหลักๆนอกจากยอดขาย Tape, CD, VCD, DVD, etc. แล้วก็จะมีรายได้จากการอนุญาตให้ผู้อื่นได้สิทธิในการเผยแพร่ในเชิงพานิชย์ (Publisher's Rights), การบริหารงานจ้างศิลปิน (Artist Management), การจัดกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับศิลปิน (Concerts & Activities), การออกสินค้าต่างๆที่เกี่ยวกับศิลปิน (Merchandising) และหากไม่นับการขาย CD แล้ว ช่องทางรายได้อื่นแทบจะไม่ได้รับผลกระทบในเชิงลบจาก digital distribution เลยด้วยซ้ำ กลับกัน บางช่องทางสามารถใช้ digital distribution ช่วยส่งเสริมได้ซะอีก หากเราไม่คิดเพียงว่าผู้ที่จ่ายเงินให้กับเราคือผู้ที่ฟังเพลงเท่านั้น

จริงๆ value ของเพลงต่อคนที่เป็นคนฟังเพลงทั่วๆไปนั้นมีไม่มากเท่าไหร่นักหรอก มันเป็นแค่ของที่เราอยากได้อยากฟังเมื่อต้องการความผ่อนคลายหรือความสุนทรีย์ value มันอาจจะตีเป็นตัวเลขได้ไม่ชัดเจนแต่ที่แน่ๆเพลงหนึ่งเพลงไม่ใช่สินค้าชนิดเดียวที่จะตอบสนอง need นี้ได้ เพลงอื่นก็สามารถทำได้ และสินค้าอย่างอื่นก็อาจจะทำได้เช่นกัน ดังนั้นหากจะมุ่งหวังขายเพลงให้กับคนฟังเพลงอาจจะเป็นเรื่องยาก แต่ว่าเพลงๆเดียวกันนี้อาจถูกมองโดยคนกลุ่มอื่นๆว่ามี value อื่นที่มากกว่านั้นไปอีก เช่นการนำมาใช้ประกอบโฆษณาหรือละคร หรือการนำศิลปินไปแสดงเพลงนั้นๆในร้านอาหาร ซึ่ง value มันจะมากขึ้นเมื่อเพลงนี้ได้รับความนิยมมากขึ้น และความนิยมจะมากได้ก็ต่อเมื่อมันเข้าถึงคนกลุมใหญ่ สุดท้ายการเข้าถึงคนกลุ่มใหญ่ได้โดยไม่ต้องใช้ต้นทุนสูงมีวิธีอะไรบ้างก็ลองคิดดูเอาเองละกัน

วิธีการหาประโยชน์ในสภาพแวดล้อมของ digital distribution ยังมีอีกมาก แต่ว่าหากเราไปขัดขวางผู้บริโภคไม่ให้ได้รับประโยชน์จากมันไม่ว่าจะโดยการใช้เทคโนโลยีหรือกฎหมายเข้าว่า มันก็เท่ากับไปขัดขวางกลไกการพัฒนาตลาด เราไม่ควรไปริดรอนสิทธิของผู้บริโภค(แม้สิทธินั้นอาจจะมิชอบก็ตาม)โดยไม่มีทางออกที่ดีกว่าหรือเทียบเท่ากับสิทธิปัจจุบันของพวกเขา และไม่ว่าจะห้ามยังไง พวกเขาก็ต้องหาทางเอาสิทธิเก่านั้นกลับมาจนได้ กลุ่มผู้ประกอบการต่างหากที่ต้องหาทางปรับตัวเพื่ออยู่ให้ได้ในสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงไป

อย่างที่บอกไว้ตอนเปิดประเด็นครับ ... Life finds a way

Note:
- ถ้าคิดว่าเราเขียนยาวหรือเครียดไปก็ขอโทษด้วย แต่จริงๆยังยาวและเครียดกว่านี้ได้อีกมาก

Sunday, October 21, 2007

Desesperación


[image by: snipedus @ flickr]

มีคำภาษาอังกฤษอยู่คำหนึ่งที่เรามักจะต้องใช้อยู่บ่อยๆ
แต่ว่าเรากลับหาคำจำกัดความที่มีความหมายตรงตัวเหมาะสมไม่ได้สักที
Desperation (n.) หรือ Desperate (adj.)
มันเป็นคำที่หาทางบรรยายออกมาเป็นภาษาไทยยากมาก
มันคือสภาวะอาการของคนที่เกิดความสิ้นหวัง (Despair)
หรือคนที่กำลังหมดสิ้นหนทาง หรืออยู่ในภาวะคับขัน
ซึ่งภาวะนั้นอาจเกิดขึ้นได้ทั้งทางกาย ทางความคิด หรือทางอารมณ์

ความยากของมันคือมันไม่ได้บ่งบอกถึงสภาวะของคนๆนั้น
แต่บอกถึงลักษณะของการกระทำของเขาแทน
คุณลักษณะหรือคุณสมบัติของการกระทำที่ desperate คือ
- เจ้าของการกระทำนั้นไม่อยู่ในภาวะที่จะตัดสินใจได้ดีที่สุด
- ผู้กระทำไม่คำนึงถึงผลลัพธ์ที่จะตามมากจากการกระทำนั้น
- การกระทำนั้นมักจะนำไปสู่ผลลัพธ์ที่ไม่ค่อยดีนัก
- การกระทำนั้นมักจะไม่เป็นการกระทำที่ทำให้เกิดความหมายใด
- ผู้กระทำมักจะต้องมาสำนึกเสียใจภายหลังที่กระทำลงไปอย่างนั้น

ยกตัวอย่างการกระทำที่ desperate:
- พยายามดับไฟที่ลุกไหม้อย่างหนักด้วยการเป่าหรือเอามือไปรองน้ำมาดับ
- พูดจากลบเกลื่อนแบบไม่แนบเนียนเมื่อถูกเจ้านายทวงงานที่ยังไม่เสร็จเพราะกลัวจะถูกต่อว่า
- พูดสิ่งที่ไม่ค่อยจำเป็นในการสนทนากับคนที่กำลังจีบอยู่ เมื่อไม่อยากให้เกิดความเงียบขึ้น
- ไล่โทรหาทุกๆหมายเลขที่รู้จักในโทรศัพท์เพื่อขอยืมเงิน ไม่ว่าจะไม่ได้คุยกันมานานแค่ไหน
- ฟูมฟายเสียใจกับความผิดหวัง หรือแม้กระทั่งคิดและลงมือฆ่าตัวตาย

ประเด็นที่ตั้งใจจะพูด(เขียน)จริงๆคือ สาเหตุที่มาของอาการ และวิธีป้องกันมัน

ทำไมคนเราถึงทำสิ่งที่ desperate ออกมา?
ถ้ามองตามที่บอกไว้ข้างต้น สาเหตุของมันคือ despair หรือขอเรียกรวมว่าความสิ้นหวัง
แต่สาเหตุลึกๆคือการที่เราไม่สามารถจัดการกับสภาวะความสิ้นหวังนั้นได้
ดังนั้นแล้ว ความบีบคั้นทางความคิดของมันเลยทำให้เราเร่งที่จะตัดสินใจกระทำลงไปโดยไม่ไตร่ตรอง

ทำยังไงเราจึงจะป้องกันอาการ desperate ได้?
ถ้าทฤษฎีที่บอกไว้ข้างบนเป็นจริง วิธีป้องกันก็ควรจะเป็นการหาทางจัดการสภาวะนั้นให้ได้
เราต้องฝึกใจให้เข้มแข็งเมื่ออยู่ในภาวะคับขัน เพื่อให้ความคิดสามารถประมวลผลตัเสินใจได้เต็มที่
หากเราเข้าใจว่าสภาวะของความสิ้นหวังนั้นมันเป็นสิ่งที่อยู่เหนือการควบคุมของเรา
ไม่ว่ามันจะไม่น่ายินดี(undesirable)เท่าใด เราก็ยังจำเป็นต้องเผชิญกับมัน
ในขณะเดียวกันเราก็ต้องมองให้ออกว่ามีตัวแปรใดที่เราสามารถควบคุมเปลี่ยนแปลง(manipulate)ใด้
และใช้สติที่มีอยู่เลือกกระทำในสิ่งที่จะให้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดกลับมาในสภาวะของความสิ้นหวังนั้นๆ

และในทุกๆครั้งที่เกิดสภาพความสิ้นหวังนี้ขึ้นมา
อย่างน้อยสิ่งหนึ่งที่เราสามารถควบคุมได้เต็มที่ที่สุดก็คือ
ความรู้สึกของตัวเราเอง

Note:
- พยายามเขียนให้ชัดเจนที่สุด แต่อาจจะทำให้ฟังดูงง ถ้าจะให้พูดให้สั้นๆก็คือ เวลาที่มีสภาพความ despair เกิดขึ้นต้องไม่ desperate และหัดควบคุมสติอารมณ์ตัวเอง ตัดสินใจอย่างรอบคอบ ... ประมาณๆนี้แหละ

Monday, October 15, 2007

We Blog for a Cause


[image by: Vardhana @ flickr]

วันนี้เป็นวันที่ชาว blogger ทั่วโลกร่วมใจกันพูดถึงเรื่องสิ่งแวดล้อม
เราก็เป็นหนึ่งในผู้ที่เข้าร่วมโครงการนี้กับเขาด้วย
หวังว่าเรื่องที่พวกเราร่วมมือกันป่าวประกาศในวันนี้จะมีผู้รับฟัง และคิดตาม

คงจะมีหลายคนเขียนเรื่องวิธีรักษาสิ่งแวดล้อมไปแล้ว
แต่เราก็อยากจะเขียนเหมือนกัน เพราะเรื่องแบบนี้ยิ่งมีให้คนได้เห็นมากยิ่งดี
จะพยายามไม่เขียนเรื่องที่ไกลตัวเกินไป และเอาไปทำได้จริงละกัน

เรื่องที่เราสามารถทำเพื่อรักษาสิ่งแวดล้อมแบบไม่ยากนักได้ก็คือ
ลดปริมาณขยะ ประหยัดพลังงาน และลดปริมาณคาร์บอน

มาลองดูกันว่าทำอะไรได้บ้าง
- ปิดไฟและเครื่องใช้ไฟฟ้าทุกครั้งเวลาไม่อยู่ในห้อง
- ถ้าขี้เกียจปิดเครื่องใช้ไฟฟ้าทีละชิ้นให้หาปลั๊กรางที่มีสวิตช์หลักมาใช้ จะได้ปิดแค่ปุ่มเดียว
- หรือไม่งั้นก็ติดตั้งสวิตช์หลักของห้อง เพื่อไม่ต้องไล่ปิดไฟทีละดวงด้วย
- เปลี่ยนไปใช้หลอดประหยัดไฟที่เป็นเกลียวๆ (หลอด CFL)
- ปิดคอมพิวเตอร์เมื่อไม่ใช้ เพราะ screen saver ไม่ใช่ energy saver
- ซักผ้าด้วยมือและตากผ้าแทนที่จะใช้เครื่องซักเครื่องอบหรือส่งไปซักรีดที่ร้าน - ตลอดอายุของเสื้อยืดแค่ตัวนึงอาจจะทำให้มีการปล่อยคาร์บอนออกมาได้รวมถึง 9 ปอนด์เลยนะ
- เปิดหน้าต่าง พัดลม แทนเครื่องปรับอากาศ
- จะอาบน้ำอุ่นตอนหน้าร้อนทำไม - จริงๆถ้าไม่ใช่หน้าหนาว ได้อาบน้ำเย็นๆก็สบายดีนะ
- ใส่เสื้อผ้าให้คุ้มค่า อย่าซื้อเพื่อใส่แค่ไม่กี่ที
- บริจาคเสื้อที่ไม่คอยได้ใส่ให้ผู้ด้อยโอกาส (ที่ต่างประเทศมีบริษัทรับซื้อเสื้อเก่าไปรีไซเคิลด้วยนะ)
- หันมาขี่จักรยานกันบ้างก็ดี
- จ่ายค่าบริการต่างๆผ่านทางออนไลน์/หักจากบัญชี/บัตรเครดิต/ATM
- ลดการกินเนื้อ! (ไม่น่าเชื่อใช่มั้ยล่ะ - แต่ยิ่งมีการเลี้ยงสัตว์มากยิ่งทำให้เกิดมูลของเสียมาก และเมื่อของเสียเหล่านั้นย่อยสลายจะเกิดก๊าซมีเทนและไนตรัส ซึ่งทำให้เกิดภาวะโลกร้อนมากกว่าคาร์บอนถึง 23 และ 296 เท่าเชียว)
- ลดการใช้ถุงพลาสติก ไม่จำเป็นก็ไม่ต้องใส่ถุง หรือหาถุงผ้าเป็นของตัวเองไว้ก็ได้
- ถ้าที่บ้านมีพื้นที่สวนให้ลองปลูกไผ่ (ปล่อยให้โตด้วยนะ) เพราะไผ่สามารถดูดซับ CO2 ได้ดี
- ไม่ต้องเชิญแขกมางานแต่งงานเยอะนัก ส่วนใหญ่ก็ไม่ค่อยรู้จักอยู่แล้ว แถมแต่ละคนยังเอารถมากันเองอีก
- ตัดหญ้าด้วยมือ(กรรไกร)แทนเครื่อง - เหนื่อยหน่อยแต่ไม่เหม็น แถมพอตัดเสร็จก็ภูมิใจกว่าด้วยล่ะ
- หัด print เอกสารแบบทั้งหน้า-หลัง
- เอากระดาษหน้าที่ไม่ได้ print มาใช้เขียน note ได้นะ
- ลองเดินขึ้น-ลงบันไดแทนลิฟต์ดู
- เช็คลมยางรถยนต์ - ลมยางอ่อนจะทำให้เปลืองเชื้อเพลิงมากขึ้น
- ถ้าถนนเส้นไหนรถติด เลี่ยงไปทางที่อ้อมแต่ไม่ติดดีกว่า เพราะรถที่อยู่กับที่นั้นปล่อยคาร์บอนเยอะกว่า
- ใช้บริการรับฝากรถ (Valet Parking) ดีกว่าขับวนหาที่จอดเอง (เค้าบอกว่าคาร์บอนที่เกิดจากการหาที่จอดรถในเมืองนั้นมากกว่าการขับรถอีกนะ)

สำหรับคนที่มีอำนาจตัดสินใจอะไรได้บ้างก็นี่เลย
- ให้ลูกน้อง/พนักงานทำงานจากที่บ้านได้เพื่อลดการเดินทาง (ใช้เทคโนโลยีการสื่อสารให้คุ้มค่าหน่อย)
- ลด packaging ที่ไม่จำเป็นในการออกแบบผลิตภัณฑ์ และเลือกใช้วัสดุที่ย่อยสลายง่ายๆ - ประหยัดต้นทุนไปในตัวด้วย
- ลดขั้นตอนงานเอกสารที่ไม่จำเป็นออกจากระบบ


สุดท้ายที่สำคัญมากๆ

Consume Less, Share More, Live Simply

แค่ปรับทัศนคติในการใช้ชีวิต เราก็สามารถช่วยรักษาสิ่งแวดล้อมได้แล้ว

ข้อมูลจาก:
- http://www.time.com/
- ที่เหลือคิดเอง

Friday, October 12, 2007

Unite Our Blogs



เห็นรูปสีเข้มๆด้านบนขวาของ Blog นี้มั้ย (สีดำนะ ไม่ใช่สีแดง)
นั่นเป็น Banner ของ Blog Action Day
มันคือโครงการที่รณรงค์ให้ blogger ทั่วโลกแสดงออกร่วมกัน
ให้ blogger ที่เข้าร่วมโครงการเขียน blog เรื่องเดียวกันในวันเดียวกันของปี
วันนั้นคือ 15 ตุลาคมนี้ และหัวข้อก็คือ สิ่งแวดล้อม
เขียน blog ยังไงก็ได้ให้เกี่ยวกับเรื่องของสิ่งแวดล้อม
จะแถแค่ไหน จะมีวิธีถ่ายทอดยังไง จะเป็นมุมมองไหนประเด็นอะไร
ขอแค่เป็นสิ่งแวดล้อมก็พอ

สาเหตุที่ปีนี้เลือกสิ่งแวดล้อมเป็นหัวข้อก็เพราะเป็นประเด็นเร่งด่วนสำคัญที่สุด
ถ้าหากใครไม่รู้ว่าจะเขียนเกี่ยวกับอะไร เค้าก็เตรียมแหล่งข้อมูลไว้ให้เราไปอ่านดู
สาเหตุและประโยชน์ของมันจริงๆคงเป็นตรงนี้แหละ ที่เลือกให้ blogger เป็นผู้ริเริ่ม
เพราะนิสัยในการจะเขียน blog ที่ดีเราต้องมีการหาข้อมูลเพื่อเอามาคิด-เขียน
โดยหวังว่าเมื่อเราอ่านมากพอเราจะอยากลงมือทำ และบอกต่อให้คนอื่นๆ โดยไม่จำกัดเฉพาะทาง blog เท่านั้น

ดังนั้นแล้ว เรามาค้นคว้าและบอกต่อให้คนรู้กันเถอะ
เริ่มจาก blog ring เล็กๆของพวกเรานี่แหละ

Monday, September 24, 2007

Fine Day


[image by: Chrischang @ flickr]


อากาศดีนะ เช้านี้
:)