Menu

Showing posts with label Development. Show all posts
Showing posts with label Development. Show all posts

Monday, September 21, 2009

Tell Me Why


[image by: Daniel Y. Go @ flickr)

หยุดเขียนบล็อกไปพักใหญ่ๆ น่าจะเป็นการห่างหายที่นานที่สุดตั้งแต่เริ่มเขียนเมื่อปี 2005
สาเหตุของการหยุดไปสรุปได้ใจความที่สุดคือความขี้เกียจของเราเอง ไม่เฉพาะเขียนบล็อก แต่เป็นทุกเรื่อง
แต่จะพยายามจะกลับมาเขียนให้ได้บ่อยเท่าๆเดิมอีกครั้ง ตั้งใจว่าอาทิตย์นึงไม่อยากต่ำกว่า 4 entry

เหตุที่คิดจะกลับมาเขียนก็เพราะว่าแผนการที่วางไว้ในอนาคตจะต้องกลับมาเขียน(แบบฉลาด)เยอะมากๆ
ไม่ว่าจะเขียนเป็นบล็อก เขียนเรื่องที่คิด เขียนแสดงความเห็น เขียนรายงานข่าว เขียน เขียน เขียน และ เขียนอีกหลายที
ถ้าไม่ดึงนิสัยและอารมณ์รักการคิดแล้วเขียนให้กลับมาอยู่ในระดับเดิมน่าจะทำให้เกิดปัญหาแน่นอน

ลองเลยละกัน กับหนึ่งในหลายเรื่องที่ draft เอาไว้:

Tell Me Why

ช่วง 2-3 ปีมานี้ผมตั้งคำถามอยู่บ่อยๆว่าทำไมทุกวันนี้วงการดนตรีมันเสื่อมถอยลงทุกวัน
ถ้าถามหลายๆคนก็น่าจะรู้สึกแบบเดียวกัน แต่นี่ไม่ใช่การต่อว่าคนหรือบริษัทไหนนะ
ผมเชื่อว่าเกือบทุกคนที่ทำงานในแวดวงดนตรีรักงานด้านนี้ และให้ใจกับมันเต็มที่
เพราะเอาจริงๆมันไม่ใช่งานที่รายได้ดีกลับมาคุ้มความเหนื่อยเลย -- ถ้าใจไม่รักอยู่ไม่ได้หรอก

ถ้าแกรมมี่เอาเงินที่มีอยู่ทุกวันนี้ไปลงทุนทำอย่างอื่นจะรวยกว่านี้มั้ย? เป็นไปได้มากๆ
ถ้าวันนี้คุณไพบูลย์ ดำรงชัยธรรม พูดออกจากปากมาว่า "ปีนี้เรางดทำเพลงแล้วเอาเงินค่าเพลงค่าโปรโมทไปสร้างคอนโดดีกว่า"
มั่นใจเลยว่ามันจะต้องเป็นคอนโดหน้าตาดีมากๆ(ที่ผมไม่มีปัญญาซื้อได้) ที่จะทำกำไรให้แกรมมี่มหาศาลกว่าที่เพลงทำได้นัก
แน่นอนว่ามันคงไม่มีทางเกิดเหตุการณ์นี้ขึ้น (การงดทำเพลงนะ แต่การไปสร้างคอนโดนั่นก็ไม่แน่ เพราะถึงไม่งดก็มีเงินมากพอ)
เพราะว่าเพลงมันคือตัวผลักดันให้ธุรกิจทุกส่วนในแกรมมี่เดินไปได้ ไม่ว่าจะวิทยุ โทรทัศน์ Digital Content หรือ Artist Management
พูดได้ว่าไม่มีเพลง ก็ไม่มีบริษัท จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ จำกัด (มหาชน) และราคาหุ้นร่วงลงเร็วกว่าคุณจะพูดคำว่า"ตก"จบคำด้วยซ้ำ

แต่อีกเหตุผลนึงที่ผมคิดว่าจะไม่เกิดเหตุการณ์นั้นขึ้นก็เพราะว่าทุกคนที่ทำงานรักวงการนี้
ผมคนนึงล่ะที่รักการเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องกับงานสร้างสรรค์ ถึงจะไม่ได้ทำเองเพราะฝีมือไม่พอ
ชอบการพูดคุยกับคนที่ทำงานด้านนี้เหมือนกัน เพราะเรามีมุมมองที่น่าสนใจมาเล่าให้ฟังกันได้ตลอด
ชอบบรรยากาศการทำงานที่หาไม่ได้จากงานสายอื่นๆเลยจริงๆ
คุณไพบูลย์ คุณเล็ก-บุษบา หรือผู้บริหารไม่ว่าระดับไหนก็คงรู้สึกเดียวกัน ว่ามันเป็นเหมือนบ้านหลังใหญ่
คนที่เราเจอก็คือสมาชิกของครอบครัว งานที่เราทำก็เป็นเหมือนงานดูแลบ้าน
ความสุขของเราคือเวลาเปิดบ้านให้คนอื่นเข้ามาเยี่ยมชมแล้วเค้ามีความสุขเราก็มีความสุขด้วย

แล้วถ้าทุกคนเป็นแบบนั้นจริงๆ(ซึ่งผมคิดว่า 90% เป็นงั้นจริงๆ) ทำไมเวลาเปิดวิทยุถึงได้ฟังแต่เพลงน่าเบื่อขนาดนี้
ศิลปิน นักร้อง นักดนตรี นักแต่งเพลง คนทำเบื้องหลัง คนทำงานก็เก่งขึ้นเรื่อยๆ อุปกรณ์การทำงานก็มีแต่พัฒนาขึ้น
แต่เพลงที่ถูกโปรโมทมันให้ความรู้สึกแห้งๆ แข็งๆ เซ็งๆ ทุกอย่างดูสำเร็จรูปไปหมด
จากประสบการณ์ที่ผมได้สัมผัสมานิดหน่อย ผมให้เหตุผลกับมันว่ามันเป็นเรื่องข้อจำกัดของคำๆเดียวว่า 'ธุรกิจ'

เมื่อเพลงถูกผลักดันจนกลายเป็นอาชีพ เป็นกิจการที่ทำเงินเลี้ยงชีพคนคนนึงหรือหลายพันคนได้
มันก็มีข้อผูกมัดและความกดดันที่จะต้องให้เพลงทุกเพลงที่ทำขึ้นมันทำเงินให้ได้ต่อไปอีกเรื่อยๆ
มีอยู่วันนึงผมนั่งกินข้าวอยู่แถวบ้านและบังเอิญมีโปรดิวเซอร์ท่านนึงนั่งคุยกับนักดนตรีรุ่นน้องโต๊ะติดกันพอดิบพอดี
ความเสือกทำให้ผมได้ยินเค้าคุยกันเรื่องเพลงที่กำลังแต่งอยู่ ยกตัวอย่างประโยคนึงของบทสนทนามาให้ดูกัน:
"ไอ้เพลงนี้นะ ถ้าร้องแบบปกติก็จะเป็น xx-yy-zz
แต่ถ้าตรงคำว่า yy เราใส่เอื้อนเสียงเข้าไปอีกนิด
เหมือนกับที่เพลง ABC ทำ มันก็จะฟังดูมีสเน่ห์ ติดหู และคนชอบได้"

ผมเคยได้ยินประโยคทำนองนี้มาหลายทีแล้วเหมือนกัน แต่วันนั้นผมสงสัยขึ้นมาว่าทำไมต้องพยายามหาทางให้คนชอบตลอด
นิดๆหน่อยๆก็ยังโอเค แต่พอมาทำแบบเป็นล่ำเป็นสัน เก็บทุกเม็ดในทุกเพลง เพลงมันก็เริ่มฟังดูจอมปลอมไปหมด
และส่วนใหญ่โปรดิวเซอร์นักแต่งเพลงพวกนี้นี่แหละที่เขียนเพลงเก็บไว้ใน song bank ของค่ายต่างๆ
พอมีนักร้องที่ร้องเพลงพอได้ หน้าตาดูดี ก็หยิบเพลงที่มีเนื้อหาเหมาะกับบุคลิกเข้ามาสวม ทำดนตรีใหม่ซะหน่อย พร้อมโปรโมททันที

พูดตรงๆผมทำใจยอมรับได้ที่จะมีศิลปินที่ขายหน้าตาที่หาเพลงที่คนอื่นทำไว้มาร้อง เพราะประเทศไหนๆก็ไม่ต่างกัน
แต่ว่าทำไมศิลปินที่มีความสามารถทำเพลงเองได้ถึงทำเพลงที่ออกมาให้ความรู้สึกแบบเดียวกันเลย

... มันเกิดอะไรขึ้นกับดนตรีที่ออกมาจากความรู้สึกจริงๆ บอกผมหน่อย?

Friday, June 19, 2009

Riding Facebook Wave



ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าไม่ได้มาอัพเดทนานมาก นั่นเป็นเพราะกำลังอินอยู่กับ facebook มากๆ
อันที่จริงเราสมัคร facebook ไว้นานมากแล้ว ราวๆ 2-3 ปี แต่ก็ไม่ได้เล่นมันเลย
ตอนนั้นรู้สึกว่าระบบ application มันซับซ้อนและรกหน้า profile ของเรามากๆ
นั่นเป็นเพราะเราคุ้นกับการบริหารหน้า profile ส่วนตัวให้เป็นตามที่ต้องการ
ก็เหมือนๆที่ทำกันใน myspace หรือ hi5 นั่นแหละ ทุกคนก็แต่งให้หน้าของตัวเองเป็นตัวเองที่สุด

แต่ facebook มันไม่ใช่แบบนั้น ซึ่งก็ต้องยอมรับว่าตอนนั้นไม่เข้าใจเลย
เราพยายาม 'ควบคุม' ให้หน้า profile เราแสดงข้อมูลอย่างที่เราต้องการเท่านั้น
ซึ่งไปๆมาๆมันทำให้เรารู้สึกว่ามันปรับอะไรยากเหลือเกิน ก็เลยเลิกราไปนาน
จนกระทั่งได้รับ email จาก facebook ถี่ขึ้นเรื่อยๆในช่วงหลัง ทำให้รู้ได้ว่ามันกำลัง 'มา'
ก็เลยคิดว่าจะให้โอกาสมันลองดูอีกซักทีเหมือนกับตอนที่ให้โอกาส hi5 อีกทีเมื่อปีก่อน

ด้วยความที่ facebook ปรับลักษณะการใช้งานให้เข้าใจได้ง่ายขึ้นเยอะ
และเราศึกษาเว็บมามากขึ้นด้วยทำให้เห็นประโยชน์ที่แท้จริงของมัน
หน้าที่สำคัญที่สุดของ facebook ไม่ใช่ profile แต่เป็นหน้า news feed ที่อัพเดทเพื่อนเราต่างหาก
(เราอาจจะเป็นคนสุดท้ายที่รู้ตัวก็ได้นะเนี่ย)
ถ้า hi5 กับ myspace เอาตัวเราเองเป็นที่ตั้ง facebook ก็คือสิ่งตรงกันข้ามที่เอาเรื่องคนอื่นมาใส่ให้เรา
เรามีหน้าที่แค่คอยดูว่าคนอื่นทำอะไรแล้วก็ไปคอมเม้นท์ทักทายเรื่องเหล่านั้นของเค้า
ถ้าอยากอัพเดทตัวเองก็ทำได้แบบง่ายๆ เรียบๆ และให้คนอื่นรับรู้มากกว่าความพอใจของตัวเอง

เทียบแล้ว hi5 อาจจะเหมาะสมกับการทำ branding ให้คนรับรู้ว่าเราคือใคร
แต่ถ้าอยากสื่อสารให้ได้ผล facebook ดูจะเป็นช่องทางที่หวังผลตอบรับได้ดีกว่ามาก
นั่นเพราะว่าผู้รับสารพร้อม(และรอคอยด้วยซ้ำ)ที่จะรับข่าวสารใหม่ๆอยู่เสมอ

สาเหตุที่ผู้ใช้ facebook ชาวไทยมีการเติบโตที่รวดเร็วน่าจะเกิดจาก:
1. กลุ่มคนไทยในต่างประเทศโดยเฉพาะสหรัฐที่เล่นกันเยอะตามคนอื่นในประเทศ ส่งผลให้เพื่อนที่อยู่เมืองไทยลองเล่นตาม และขยายวงกว้างไปในที่สุด
2. การปรับการใช้งานให้ง่ายขึ้นเรื่อยๆ ไม่ซับซ้อนเหมือนแต่ก่อน
3. interface ภาษาไทยที่นับว่าเป็นเว็บที่แปลได้ดีที่สุดเท่าที่เจอมาเลย
4. application การทำ quiz ที่แพร่หลายมากๆจริงๆ
5. จำนวนนักการตลาดที่หันมาใช้ facebook เป็นช่องทางการโฆษณาอย่างชัดเจน เนื่องจากสามารถกำหนดกลุ่มเป้าหมายได้โดยละเอียดมาก (selective communication) และควบคุมงบประมาณการประชาสัมพันธ์ได้อย่างสมบูรณ์

ด้วยเหตุเหล่านี้น่าจะส่งผลให้ปีนี้เป็นปีที่ facebook มีอัตราการเติบโตในประเทศไทยสูงที่สุด
คาดว่าคนไทยที่เล่น hi5 ไม่ต่ำกว่า 30% จะมีบัญชี facebook อยู่ด้วยภายในสิ้นปีนี้

ส่วนตัวเราก็ขอหมกมุ่นอยู่กับมันอีกสักนิดละกัน เพราะเราเจอโอกาสมากมายจริงๆในนั้น

... แล้วเดี๋ยวก็จะกลับมาอีกทีดังเดิม


Note:
- จำนวนผู้ใช้ facebook ที่อยู่ในประเทศไทย 648,800 ราย แบ่งเป็น

เพศ:
ชาย 266,000 ราย
หญิง 359,780 ราย
ไม่ระบุ 23,020
ราย

อายุ:
13-18 ปี 87,800 ราย
19-23 ปี 183,040 ราย
24-30 ปี
216,480 ราย
31-40 ปี
113,240 ราย
41 ปีขึ้นไป 49,340 ราย
ไม่ระบุ 48,240 ราย

ใครจะเอาข้อมูลพวกนี้ไปใช้ทำอะไรก็ยินดีนะ

Wednesday, April 29, 2009

Only Change is Certain


[image by: จิตต์ จงมั่นคง]

รูปข้างบนนี้มีชื่อว่า "เมื่อพายุโหม" เป็นผลงานชนะเลิศรางวัลถ้วยพระราชทานพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จากนิทรรศการภาพถ่ายศิลปะนานาชาติครั้งที่ 2 โดยสมาคมภาพถ่ายแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ เมื่อปี 2505 ผลงานของอาจารย์จิตต์ จงมั่นคง ศิลปินแห่งชาติ สาขาทัศนศิลป์(ถ่ายภาพศิลปะ) พ.ศ. 2538 ซึ่งถึงแก่กรรมไปเมื่อต้นเดือนที่ผ่านมานี้ และเผอิญว่าหลานของอาจารย์จิตต์เป็นเพื่อนสนิทคนหนึ่งของเรา เลยทำให้เราได้พบเจอร่วมโต๊ะอาหารพูดคุยกับท่านอยู่บ้าง และได้เรียกท่านว่า 'คุณปู่'

ครั้งแรกๆที่เราเจอปู่เราก็ไม่รู้หรอกว่าปู่เป็นปูชนียบุคคลด้านถ่ายภาพของไทย ไม่รู้ว่าเป็นศิลปินแห่งชาติ และไม่รู้ว่าภาพในบ้านเพื่อนเป็นผลงานของปู่เอง จนกระทั่งวันนึงได้ยินคนพูดถึงปู่และรูปที่แขวนอยู่โดดเด่นที่สุดในบ้าน นั่นก็คือรูปที่อยู่ด้านบนนี้เอง เราถึงได้รู้ว่าปู่ที่เรารู้จักเป็นบุคคลระดับตำนานของไทย หลังจากนั้นเลยภูมิใจทุกครั้งที่ได้นั่งกินข้าวกับปู่หรือว่าเวลาที่ปู่ถ่ายรูปให้ (ถึงแม้จะไม่เคยเห็นรูปที่อัดออกมาก็เถอะ)

เรื่องราวของรูปข้างบนนี้แบบสรุปให้ฟังคือ มันเป็นเทคนิคการตัดแต่งภาพ 2 ภาพเข้าด้วยกัน คือรูปคนถ่อเรือที่ถ่ายที่คลองบางรัก ฉากหลังเป็นเพียงบ้านริมคลองเกะกะรกตา กับภาพเมฆฝนอีกภาพหนึ่ง ซึ่งต้องใช้ความละเอียด พยายาม และเทคนิคสูงมากๆในยุคสมัยที่บ้านคนทั่วๆไปยังไม่มีคอมพิวเตอร์ด้วยซ้ำ (Photoshop พึ่งจะเกิดขึ้นในปี 2531)

สิ่งที่อยากจะบอกคือถ้าเด็กสมัยนี้ที่เกิดมาพร้อมกับกล้องดิจิตอลและโปรแกรมปรับแต่งภาพที่ทำมาให้ใช้ได้ง่ายมากๆมาเห็นรูปนี้ อาจจะไม่รู้สึกถึงความยิ่งใหญ่ของมันเลยก็ได้ เพราะคงจะคิดว่าใครก็สามารถทำได้เหมือนๆกัน และนั่นก็ทำให้เราเกิดความสงสัยขึ้นมาว่าความรู้สึกของช่างภาพที่ทำงานในห้องมืดมาตลอดชีวิตที่มีต่อโปรแกรมแต่งภาพบนคอมพิวเตอร์นั้นเป็นยังไง -- จะเป็นความชื่นชมความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี หรือ ความรู้สึกหวั่นใจว่าคุณค่าของผลงานตัวเองจะลดลงไปในอนาคต

ที่เราสงสัยแบบนี้เพราะว่ามีโปรแกรมที่กำลังฮิตขึ้นมาชื่อว่า Poladroid ที่เป็นโปรแกรมแปลงรูปดิจิตอลให้กลายเป็นรูปเสมือนรูปถ่ายจากกล้อง Polaroid ทั้งสี กรอบรูป และ effect ต่างๆเช่นรอยนิ้วมือบนรูป ซึ่่งเราที่พึ่งจะเริ่มเล่นกล้อง instant ของ Fuji อยู่รู้สึกว่า ต่อไปคนจะรู้ได้ยังไงว่ารูปของเราเป็นรูปที่เราถ่ายมาด้วยกล้อง instant จริงๆ ไม่ได้เป็นการแต่งโดยโปรแกรม (มันเป็นเหมือนศักดิ์ศรีนะจะว่าไป เพราะเราก็รู้สึกว่าเราลงทุนกับค่าฟิล์ม instant แต่ละรูปไปไม่น้อยเลย)

ถ้ามาคิดดูดีๆก็คงเหมือนช่างภาพฟิล์มตอนกล้องดิจิตอลพึ่งพัฒนา ซึ่งตอนนั้นคนทั่วไปก็คงรู้สึกดีเพราะมันลดค่าใช้จ่ายในการซื้อฟิล์มไปได้เยอะมาก หรือเหมือนความรู้สึกของ sound engineer ที่ทำงานแบบ analog มาตลอดจนกระทั่งมีการบันทึกเสียงแบบดิจิตอล หรือแม้กระทั่งพ่อครัวทำอาหารที่มาเจอกับอาหารสำเร็จรูปเป็นครั้งแรก ซึ่งเหล่านี้แต่ละคนคงมีคำตอบไม่ต่างกัน เช่นเราเชื่อว่าปู่ หรืออาจารย์จิตต์ คงไม่ได้ต่อต้านกระแส digital processing เท่าไหร่ (อาจจะตื่นเต้นด้วยซ้ำ) แต่ในที่สุดแล้วความเปลี่ยนแปลงนั้นคงไม่สามารถเลี่ยงได้ ไม่ว่าคนทำงานมาก่อนจะรู้สึกยังไงมันไม่ใช่เรื่องสำคัญเลย ไม่ว่าคุณจะเป็นใครมาก่อนก็ตาม ... มันคือความรู้สึกความต้องการของคนใช้งานหมู่มากต่างหากที่จะกำหนดทิศทางของความเปลี่ยนแปลงได้

แค่นั้นเองจริงๆ


Link:
- อ่านเรื่องราวโดยละเอียดของรูป เมื่อพายุโหม ที่นี่
- อ่านบทสัมภาษณ์ อ.จิตต์ จงมั่นคง ที่นี่

Wednesday, April 22, 2009

Flure Therapy


[image from Se-Ed]

ครั้งแรกที่เห็นหนังสือเล่มข้างบนนี้ไม่ได้มีความคิดว่ามันจะเป็นหนังสือที่พูดถึงวงดนตรีชื่อ Flure เลย
เพราะปกกับชื่อหนังสือไม่ได้สื่อถึงอารมณ์ของวงในแบบที่เรารู้จักแม้แต่นิดเดียว

Flure เป็นวงที่เราติดตามแบบไม่ได้ใกล้ชิดมาก แต่สนใจข่าวคราวอยู่เสมอ
เหตุผลสำคัญที่สุดของการติดตามคือ สมาชิกคนหนึ่งของวงเคยเป็นเพื่อนร่วมวงของเรา
และอีกหลายๆคนในวงก็คุ้นๆหน้ากันมาเป็นสิบปี
ส่วนเหตุผลที่รองๆลงมาคือเราชอบเพลงของพวกเค้าบางเพลง
เหตุผลรองลงมาอีกนิดคือมีชื่อเราในปกอัลบั้มแรกด้วย (ลองหากันเอาเอง)

ที่ผ่านมาภาพวง Flure ในแบบที่เรารู้จักคุ้นเคยคืออัลบั้มแรก
เพราะเรารู้ตัวตนของคนที่เรารู้จักว่ามันดิบ มันพล่าน
พออัลบั้มที่สองเรารู้ว่ามันละเมียดขึ้น มันโตขึ้น
แต่มันไม่ใช่ภาพในแบบที่เราคุ้นเคยก็เลยไม่ค่อยสนใจเท่าไหร่
ชุดที่สามยิ่งแล้วใหญ่ ไม่หามาฟังเลย เพราะเพลงที่โปรโมทมันราบเรียบมาก

อยู่มาวันนึงเมื่อปีที่แล้ว (2008) ไม่รู้ทำไมเราถึงหยิบ DDT เล่มเก่า (ปี 2007) ในออฟฟิศมาอ่าน
เป็นเล่มที่สัมภาษณ์ Flure พอดี และด้วยเหตุผลที่พูดๆมาข้างบนก็เลยอ่านแบบทุกตัวอักษร
บทสัมภาษณ์นี้ทำให้เรารู้สึกว่า "พวกมันพูดจาดีว่ะ"
(ขออนุญาตเรียกวงนี้ว่า'มัน'ด้วยความสนิทสนมครั้งก่อนเก่า)
มันมีจุดยืนของวงดนตรีที่ชัดเจน
พวกมันมีที่มา มีการเติบโต
พวกมันจริงจังกับของที่มันทำจริงๆ
เวลามันพูดเรื่องการทำดนตรีมันพูดละเอียดมากแบบไม่แคร์ว่าคนจะไม่อิน
มันไม่ตอบคำถามแบบห่วงลุค แต่มันแคร์ตัวตนของแต่ละคนและของวง

ความรู้สึกลึกๆตอนอ่านจบคือ "เด็กที่กำลังเล่นดนตรีน่าจะได้อ่านอะไรแบบนี้"
เพราะพวกมันมี 'จิตวิญญาณ' (กรุณาอย่าเห็นคำนี้เป็นเรื่องตลก เพราะกำลังพิมพ์ด้วยน้ำเสียงในหัวที่จริงจัง)
อยากให้ความตั้งใจในแบบของพวกมันทำให้เด็กบางคนเอาเยี่ยงอย่างบ้าง

กลับมาที่หนังสือเล่มนี้ ที่ปกกับชื่อหนังสือเหมาะจะเป็นหนังสือของ BrandAge มากกว่า
แต่ว่าเนื้อหาข้างในก็จัดว่าหนักใช้ได้เลย ถึงจะพูดถึงเรื่องราวของวงมากกว่าการทำงาน
(อ่านแล้วจะเหมือนกับอ่านการ์ตูนเรื่อง Beck ที่พูดถึงวงดนตรีที่เต็มไปด้วยปัญหา)
ยังไงซะ อ่านแล้วก็จะรู้อยู่ดีว่าคนพวกนี้เค้าตั้งใจแค่ไหน

ขอแค่มีเด็กที่เล่นดนตรีได้อ่านเรื่องของ Flure ไม่ว่าจะจากที่ไหนก็ตาม
เราเชื่อว่าจะมีคนรู้สึกถึง 'จิตวิญญาณ' ของพวกเค้าและอยากเอาเยี่ยงอย่าง
ขอแค่นั้นแหละ วงการเพลงของเราก็มีทางรอดแล้ว


Note:
- นี่คือ entry ที่ 199 ของ blog แห่งนี้ ... กดดันเลยว่าครั้งหน้าจะเขียนอะไรดี

Tuesday, September 23, 2008

Golden Generation


[image by: lerk7]

วันก่อนเราพูดกับเพื่อนเราว่ารู้สึกโชคดีที่ได้เกิดและโตมาในยุคของเรา
ได้เห็นเทคโนโลยีค่อยๆพัฒนาเร็วขึ้น และเร็วขึ้นเรื่อยๆ
เห็น computer เปลี่ยนจากอุปกรณ์สำนักงานชั้นสูงจนเป็นกลายเครื่องใช้สามัญ
ทันใช้ DOS แล้วเปลี่ยนเป็น Windows จนอีกหน่อยทุกอย่างคงเป็น Surface Computing
ได้ใช้อินเตอร์เนทตั้งแต่ยุคแรก เห็น Dot-Com Boom และ Dot-Com Bust จนฟื้นตัวอีกครั้ง
ผ่านช่วง cycle เศรษฐกิจช่วงรุ่งเรือง ช่วงตกต่ำ ช่วงฟื้นตัว ช่วงวิกฤติการเงินโลก
ทันชีวิตการสอบเอนทรานซ์แบบเก่า (ถึงจะไม่ได้ทำอะไรมาก และไม่รู้ว่าแบบใหม่เป็นยังไง)
ดนตรี alternative และ britpop เข้ามาในช่วงอายุที่ดีที่สุดของการฟังเพลง

แล้วเราก็คิดขึ้นมาว่าคนในทุกยุคก็คงคิดเหมือนๆกันละมั้ง

แต่ถ้าเกิดเร็วกว่านี้คงพลาดความน่าตื่นตะลึงของวิทยาการใหม่ๆ และขอบเขตความคิดมนุษย์
แต่ถ้าเกิดช้ากว่านี้คงไม่มีความรู้สึกตื่นเต้นกับอะไรสักอย่างในโลกนี้ เพราะมันเป็นเรื่องธรรมดาไปหมด


Note:
- งานศิลปะ(?)แบบ collage(?) ที่เห็นด้านบนนี้เราทำเองนะ ช่วยชื่นชมในความพยายามด้วย
- Inspiration ของหัวข้อนี้เกิดจากการดู Back to the Future เมื่อเร็วๆนี้อีกครั้ง

Wednesday, December 26, 2007

Fitting Frenzy


[image from screenshot of "Fashion Fits!" by FunnyPCGames.com]

เมื่อวันเสาร์ไปห้างใหญ่ใจกลางเมืองมา มีร้านลดราคามากมาย
มีร้านเสื้อร้านหนึ่งคนเลือกกันเยอะเลย แฟนเราก็ไปเลือกดูด้วย
พอมาถึงตอนที่เลือกได้แล้วจะลองนี่ล่ะ ที่ต้องไปเจอกับแถวยาวเหยียด
ระหว่างรอเราก็เลยนึกสงสัยขึ้นมาว่า นี่มันน่าจะเป็นเรื่องปกติของฤดูการจับจ่าย
แต่ว่าเวลาเขาออกแบบร้านเสื้อเนี่ย เขาก็น่าจะคิดไว้สิว่าห้องลองเพียงพอรึเปล่า

เราเข้าใจว่าค่าเช่าที่ในห้างนั้นต้องแพง จำเป็นต้องมีพื้นที่สำหรับแสดงและจัดเก็บสินค้าเป็นหลัก
แต่ว่าการลองเสื้อนั้นก็เป็นสาระสำคัญในการตัดสินใจจ่ายเงินนี่นะ
ถ้าหากไม่ได้ลอง คงไม่สามารถตัดสินใจซื้อเสื้อผ้าได้ง่ายๆแน่
(ถ้าคิดว่าไม่จริง ป่านนี้ร้านเสื้อออนไลน์คงรวยกันหมดแล้ว)
ถ้างั้นทำยังไงถึงจะมีทางออกที่พอดีสำหรับทุกฝ่าย

ปัญหานี้นักออกแบบร้านค้าปลีกหรือตัวบริษัทเสื้อผ้าพบนี้น่าจะพบเจอบ่อยๆ
ไม่สามารถจัดสรรพื้นที่เพื่อให้ใช้สอยได้ครบเพียงพอตามต้องการ
แต่ว่าของที่มักจะถูกมองข้ามไปในขั้นตอนการออกแบบหรือวางแผนคือการใช้เทคโนโลยีเข้าช่วย
เอาเท่าที่นึกออกแบบเร็วๆเราว่าน่าจะมีทางแก้ได้โดยวิธีคิดสองหลักด้วยกัน
1. อะไรจะทำให้ลูกค้าลองเสื้อได้ในเวลาที่ลดลง เพื่อลดความยาวของแถวที่รอ
2. อะไรจะทำให้สินค้าถูกแสดงได้ครบในพื้นที่ที่ลดน้อยลง (เพื่อเพิ่มห้องลอง)

ตอบทีละข้อโดยเริ่มจาก 1 ก่อนเลย - -
ลองนึกถึงกระจกอันหนึ่งที่สะท้อนตัวคุณออกมา ... แต่ว่าสวมใส่ชุดที่คุณต้องการลองแทนชุดจริง!
(ไม่ได้หมายความว่าไปเปลี่ยนชุดมาแล้ว แล้วเดินมาส่องกระจกนะ)
คุณสามารถเลือกลองชุดที่ต้องการใส่ได้โดยที่ไม่ต้องเปลี่ยนชุดจริงๆ
และคุณสามารถเห็นตัวคุณเองในอิริยาบถต่างๆได้ตามที่คุณแสดงด้วย (ไม่ใช่แค่ทาบชุด)
นี่ไม่ใช่เพ้อเจ้อ แต่คือเรื่องที่เกิดขึ้นจริง โดยของที่เรียกกันว่า "Virtual Mirror"*
จริงๆแล้วคุณไม่ได้ส่องกระจกของจริงที่ฉาบด้วยเวทมนตร์อะไรทั้งนั้น
คุณจะเห็นตัวคุณเองผ่านเทคโนโลยี real-time simulation ที่มีการคำนวณรูปร่างคุณ
และแสดงออกมาโดยการประมวนผลรูปร่างของคุณในเสื้อผ้าแบบที่ต้องการลองจริงๆ
ด้วยนวัตกรรมนี้ ลูกค้าสามารถที่จะ"ลอง"เสื้อที่ต้องการว่าเข้ากับตัวเองไหมก่อนที่จะลองว่าพอดีรึเปล่า
และน่าจะทำให้เวลาในการลองเสื้อของลูกค้าลดลงได้อย่างเห็นได้ชัด
* บ.Toshiba ร่วมมือกับ บจก. Digital Fashion ร่วมมือกันพัฒนาระบบขึ้นมา [link]

และข้อ 2 คือลดพื้นที่จัดแสดง - -
ถ้าเห็นว่าข้อแรกยังเป็นไปได้จริง ข้อนี้ยิ่งเป็นไปได้ง่ายใหญ่เลย
มันมีของที่เรียกว่า virtual catalog อยู่ (เอาไว้ใช้คู่กับ virtual mirror ก็ได้)
สิ่งนี้มันจะทำให้คุณเลือกแบบเสื้อผ้าผ่านจอคอมพิวเตอร์ทุกรูปแบบได้
พอเลือกแบบที่ต้องการได้แล้วค่อยแจ้งพนักงานให้หยิบแบบที่ต้องการมาให้ก็ได้
เท่านี้ก็สามารถลดพื้นที่ที่จัดแสดงลงไปได้ไม่น้อยแน่ๆ

หยิบยกเรื่องนี้มาพูดถึงเพราะว่าร้านเสื้อผ้าเป็นธุรกิจแบบดั้งเดิมมากๆ
และขั้นตอนในการดำเนินธุรกิจเปลี่ยนไปน้อยมากๆในช่วง 10-20 ปีที่ผ่านมา
ในยุคที่ธุรกิจในหลายๆอุตสาหกรรมเปลี่ยนแปลงไปอย่างมากเพราะความเปลี่ยนแปลงทางสภาพแวดล้อม
ทั้งพฤติกรรมผู้บริโภค ทั้งข้อบังคับทางเศรษฐกิจ กฎหมาย สิ่งแวดล้อม และเทคโนโลยี
ผู้ประกอบการควรต้องหันมามองตนเอง และสิ่งที่ตนเองสามารถปรับปรุงได้ เพื่อพัฒนาโอกาสของตนเอง

อีกอย่างหนึ่งคือ เราชาวไทยต้องปรับเปลี่ยนทัศนคติเรื่องเทคโนโลยีและนวัตกรรม
คนส่วนมากนึกว่ามันเป็นเรื่องไกลตัว เรื่องของต่างชาติ เรื่องล้ำยุคและยากที่จะเข้าใจ
แต่จริงๆทุกคนสามารถเข้าถึงมันได้ เพราะมันมีอยู่เพื่อประโยชน์ของเราทุกคน
เราต้องมองเทคโนโลยีว่าเป็นเรื่องที่เราจัดการเอามาใช้เองได้โดยที่ไม่ต้องพึ่งพาใคร
ไม่ใช่คิดว่าชาวต่างชาติค่าตัวแพงเก่งกว่าเรา และไม่ใช่คิดว่าของแพงคือของดี


Note:
- วันถัดมาก็ไปเลือกตั้ง ต่อแถวยาวเหยียดอีก นี่ก็เป็นอีกเรื่องที่ไม่ปรับปรุง process เป็นระยะเวลาสิบๆปีแล้ว ... เราเห็นคนต่อแถวหลังเรายืนรอลงคะแนนราว 20 นาที (เราก็รอนานเท่านั้นด้วย) จนไปถึงเจ้าหน้าที่ แต่ว่าเค้าลืมลำดับเลขที่ของตนเองไปแล้ว เจ้าหน้าที่น่ารักมาก ชี้ไปที่กระดานท้ายแถวว่าให้ไปดูตรงโน้นและต่อแถวมาใหม่ซะนะ ... ไม่มีวิธีดีกว่านี้แล้วจริงๆหรอ?
- เรื่อง virtual mirror ข้างบนมีการใช้ในร้านเสื้อผ้าจริงๆแล้วด้วยนะ แต่ว่าจำไม่ได้จริงๆว่าที่ไหน (หา web ไม่เจอ)

Tuesday, December 18, 2007

How Old Are You?


[image by: ursulav @ deviantART]

คุณแก่กันแค่ไหนแล้ว? ไม่ได้ถามถึงอายุแต่ถามถึงความคิดอ่าน
ไม่ได้หมายความว่าแก่แล้วดีและเด็กแล้วจะไม่ดีนะ
แต่มันเป็นแค่มุมมองของคนที่มีอายุเยอะขึ้นแล้วเท่านั้นเอง

เด็กผู้ชายมัธยมจนถึงมหา'ลัยรวมตัวกันไปไหนต่อไหนกลุ่มใหญ่ๆ
แต่ก่อนเราก็เคยเป็นเด็กผู้ชายที่ไปไหนมาไหนกับเพื่อน
ตอนนั้นก็รู้สึกว่าเวลาไปเที่ยวเป็นกลุ่มมันมี"พลัง"ดี
แต่ตอนนี้รู้สึกมันเป็นภาพที่รกตาต่อคนที่พบเจอผ่านไปผ่านมา

เห็นคนที่แต่งรถมากมาย ท่อเสียงดัง เครื่องเสียงกังวานไพศาล
อันนี้เราไม่เคยทำ แต่ว่าแต่ก่อนก็รู้สึกโอเคกับบางอย่างอยู่บ้าง
แต่เดี๋ยวนี้รู้สึกว่าเหล่านั้นมันไม่ใช่สาระของรถนี่นา

ผู้หญิงสาวหน้าตามีชาติตระกูลยืนสูบบุหรี่เป็นกลุ่ม 3 คนขึ้นไปหน้าตึก
จริงๆถ้าเป็นคนเดียวเราก็เฉยๆนะ แต่พอเป็นกลุ่มมันดูน่าสลดอย่างบอกไม่ถูก
ผู้หญิงกับบุหรี่มันทำให้ดู cool ได้นะ แต่ไม่ใช่แบบนี้แน่ๆ

คนกินเหล้าแค่เพราะว่ารู้สึกว่าสังคม(เพื่อน)คาดหวังให้กิน
เราไม่เคยเป็นอีกเช่นกัน อาจจะเพราะไม่ค่อยมีสังคมอยู่แล้ว
แต่ถ้าเราไม่ดื่มด่ำกับอารมณ์ของการกินเหล้า มันก็แค่เท่ากับทำร้ายตับตัวเองไปเปล่าๆ

ลองดู list อีกที เหมือนกับว่าเราไม่ชอบการกระทำในลักษณะพฤติกรรมกลุ่มละมั้ง
อะไรที่ทำเพื่อคิดว่าตอบสนองความคาดหวังทางสังคมอย่างผิวเผินมันทำให้เรารำคาญ

แต่ก่อนเห็นพ่อชอบแวะดูร้านต้นไม้ก็เบื่อๆ แต่เดี๋ยวนี้เริ่มเข้าใจแล้วล่ะว่ามันดียังไง
พ่อเคยบอกไว้ว่า คนหนุ่มสาวจะชอบดอกไม้ พอโตขึ้นมาจะชอบดูใบไม้
เมื่อโตอีกหน่อยจะชอบกิ่งก้านของมัน และก็เริ่มดูที่โครงลำต้นของมัน
สุดท้ายสิ่งที่เราดูและชื่นชมก็คือตอของมัน


Note:
- อย่างหนึ่งที่ทำให้รู้สึกว่าโชคดีคือการที่เราโตมาในยุคและสภาพแวดล้อมที่ฟังเพลงเพื่อเล่นดนตรี ไม่ใช่ฟังเพื่อแสดงออกถึงความอยู่ในกระแสนิยม

Saturday, October 6, 2007

Timely Technology


[image by: rutty @ flickr]

"อะไรคือสาเหตุที่ทำให้เกิดเทคโนโลยีใหม่ๆขึ้น?"
ดร. ณัฐสิทธิ์ เกิดศรี ถามขึ้นมาในชั้นเรียนวิชา Management of Innovation
เพราะอะไรคนเราจึงขวนขวายพัฒนาเทคโนโลยีชนิดใหม่ๆขึ้นมาเรื่อยๆ
อาจคิดได้ว่าคนเราไม่เคยพอใจในสิ่งที่ตนเองมีอยู่สักที
หรือมองในแง่ดีคือความฝันและจินตนาการของเราไม่เคยจบลง
แต่คำตอบที่เราบอกออกไปคือ ... เวลา

เราคิดว่าเวลาคือตัวแปรที่ทำให้มนุษย์มีพัฒนาการทางด้านความรู้
เพราะเราไม่ได้มีอายุขัยที่ไม่จำกัด และเรามีเรื่องต่างๆที่ต้องทำมากมาย
นวัตกรรมคือสิ่งที่ทำให้เราใช้เวลาในกิจกรรมหนึ่งๆสั้นลง
และยังสามารถช่วยยืดอายุขัยของเราออกไปได้อีกด้วย
ทั้งหมดนี้ทำให้เรามีเวลาเพื่อนที่จะทำกิจกรรมได้มากขึ้น

เพื่อที่เราจะมีประสบการณ์ที่ได้ใช้ชีวิตอยู่มากขึ้น

... นั่นคงไม่ใช่เหตุผลที่เลวร้ายเกินไปที่จะพัฒนาเทคโนโลยีหรอก

Friday, September 21, 2007

A Troubled Person

วันนี้อยู่ที่ออฟฟิศเล่นเกมทั้งวัน (ซวยแน่ถ้าใครมาอ่านเจอ - ปอนด์รู้นะว่าต้องทำไง?)
เป็นเกมแก้ปริศนาต่างๆที่เจ้าแบม (น้องอีกคนที่ออฟฟิศ) นำเสนอมา

เล่นแล้วก็กลับมาคิดว่า มนุษย์นี่มันดีจริงๆที่มีปัญญาทำอะไรยากๆได้
ไม่ว่าปัญหาซับซ้อนแค่ไหน ถ้าหากให้เวลาศึกษาสักหน่อย ก็น่าจะหาคำตอบได้
และนั่นไม่ได้พูดถึงเฉพาะแค่เกมนะ แต่พูดถึงในชีวิตจริงด้วย

เวลาคนเราเจอปัญหา ถ้ามีเวลาให้กับมันซะหน่อย รับรองว่าย่อมมีวิธีผ่านพ้นจากปัญหานั้นๆไป
แต่หากเราเอาแต่ตื่นตกใจกับสภาวะที่ต้องเจอปัญหา แน่นอนว่าปัญหานั้นมันก็อยู่อย่างนั้นต่อไป

เรื่องน่ายินดีอีกเรื่องที่เกิดเป็นมนุษย์ก็คือ ปัญหานั้นให้เราพัฒนาขึ้นทุกครั้งที่ผ่านมันไปได้
ปัญหาจะทำให้เราฉลาดขึ้น รอบคอบขึ้น ระมัดระวังขึ้น และทำให้เรา "โต" ขึ้น

หากเราสามารถมองปัญหาเป็นบทเรียนหรืออาหารเสริมได้ และพร้อมที่จะเจอมัน
ก็เท่ากับเราพร้อมที่จะบริหารความคิด และเติบโตขึ้นอีกขั้น
แต่หากเราเกลียดปัญหา และหวังว่าจะไม่เจอปัญหาละก็
... มันมีคำกล่าวของไทยอยู่ว่า ... "เกลียดอะไร ได้อย่างนั้น"

Note:
- จริงๆวันนี้ยกเรื่องปัญหาขึ้นมา แค่เพื่อจะแถแล้วบอกว่า ช่วงนี้เจอปัญหาอีกแล้ว (เว้ย!!!!!)