Menu

Showing posts with label Communication. Show all posts
Showing posts with label Communication. Show all posts

Friday, June 19, 2009

Riding Facebook Wave



ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าไม่ได้มาอัพเดทนานมาก นั่นเป็นเพราะกำลังอินอยู่กับ facebook มากๆ
อันที่จริงเราสมัคร facebook ไว้นานมากแล้ว ราวๆ 2-3 ปี แต่ก็ไม่ได้เล่นมันเลย
ตอนนั้นรู้สึกว่าระบบ application มันซับซ้อนและรกหน้า profile ของเรามากๆ
นั่นเป็นเพราะเราคุ้นกับการบริหารหน้า profile ส่วนตัวให้เป็นตามที่ต้องการ
ก็เหมือนๆที่ทำกันใน myspace หรือ hi5 นั่นแหละ ทุกคนก็แต่งให้หน้าของตัวเองเป็นตัวเองที่สุด

แต่ facebook มันไม่ใช่แบบนั้น ซึ่งก็ต้องยอมรับว่าตอนนั้นไม่เข้าใจเลย
เราพยายาม 'ควบคุม' ให้หน้า profile เราแสดงข้อมูลอย่างที่เราต้องการเท่านั้น
ซึ่งไปๆมาๆมันทำให้เรารู้สึกว่ามันปรับอะไรยากเหลือเกิน ก็เลยเลิกราไปนาน
จนกระทั่งได้รับ email จาก facebook ถี่ขึ้นเรื่อยๆในช่วงหลัง ทำให้รู้ได้ว่ามันกำลัง 'มา'
ก็เลยคิดว่าจะให้โอกาสมันลองดูอีกซักทีเหมือนกับตอนที่ให้โอกาส hi5 อีกทีเมื่อปีก่อน

ด้วยความที่ facebook ปรับลักษณะการใช้งานให้เข้าใจได้ง่ายขึ้นเยอะ
และเราศึกษาเว็บมามากขึ้นด้วยทำให้เห็นประโยชน์ที่แท้จริงของมัน
หน้าที่สำคัญที่สุดของ facebook ไม่ใช่ profile แต่เป็นหน้า news feed ที่อัพเดทเพื่อนเราต่างหาก
(เราอาจจะเป็นคนสุดท้ายที่รู้ตัวก็ได้นะเนี่ย)
ถ้า hi5 กับ myspace เอาตัวเราเองเป็นที่ตั้ง facebook ก็คือสิ่งตรงกันข้ามที่เอาเรื่องคนอื่นมาใส่ให้เรา
เรามีหน้าที่แค่คอยดูว่าคนอื่นทำอะไรแล้วก็ไปคอมเม้นท์ทักทายเรื่องเหล่านั้นของเค้า
ถ้าอยากอัพเดทตัวเองก็ทำได้แบบง่ายๆ เรียบๆ และให้คนอื่นรับรู้มากกว่าความพอใจของตัวเอง

เทียบแล้ว hi5 อาจจะเหมาะสมกับการทำ branding ให้คนรับรู้ว่าเราคือใคร
แต่ถ้าอยากสื่อสารให้ได้ผล facebook ดูจะเป็นช่องทางที่หวังผลตอบรับได้ดีกว่ามาก
นั่นเพราะว่าผู้รับสารพร้อม(และรอคอยด้วยซ้ำ)ที่จะรับข่าวสารใหม่ๆอยู่เสมอ

สาเหตุที่ผู้ใช้ facebook ชาวไทยมีการเติบโตที่รวดเร็วน่าจะเกิดจาก:
1. กลุ่มคนไทยในต่างประเทศโดยเฉพาะสหรัฐที่เล่นกันเยอะตามคนอื่นในประเทศ ส่งผลให้เพื่อนที่อยู่เมืองไทยลองเล่นตาม และขยายวงกว้างไปในที่สุด
2. การปรับการใช้งานให้ง่ายขึ้นเรื่อยๆ ไม่ซับซ้อนเหมือนแต่ก่อน
3. interface ภาษาไทยที่นับว่าเป็นเว็บที่แปลได้ดีที่สุดเท่าที่เจอมาเลย
4. application การทำ quiz ที่แพร่หลายมากๆจริงๆ
5. จำนวนนักการตลาดที่หันมาใช้ facebook เป็นช่องทางการโฆษณาอย่างชัดเจน เนื่องจากสามารถกำหนดกลุ่มเป้าหมายได้โดยละเอียดมาก (selective communication) และควบคุมงบประมาณการประชาสัมพันธ์ได้อย่างสมบูรณ์

ด้วยเหตุเหล่านี้น่าจะส่งผลให้ปีนี้เป็นปีที่ facebook มีอัตราการเติบโตในประเทศไทยสูงที่สุด
คาดว่าคนไทยที่เล่น hi5 ไม่ต่ำกว่า 30% จะมีบัญชี facebook อยู่ด้วยภายในสิ้นปีนี้

ส่วนตัวเราก็ขอหมกมุ่นอยู่กับมันอีกสักนิดละกัน เพราะเราเจอโอกาสมากมายจริงๆในนั้น

... แล้วเดี๋ยวก็จะกลับมาอีกทีดังเดิม


Note:
- จำนวนผู้ใช้ facebook ที่อยู่ในประเทศไทย 648,800 ราย แบ่งเป็น

เพศ:
ชาย 266,000 ราย
หญิง 359,780 ราย
ไม่ระบุ 23,020
ราย

อายุ:
13-18 ปี 87,800 ราย
19-23 ปี 183,040 ราย
24-30 ปี
216,480 ราย
31-40 ปี
113,240 ราย
41 ปีขึ้นไป 49,340 ราย
ไม่ระบุ 48,240 ราย

ใครจะเอาข้อมูลพวกนี้ไปใช้ทำอะไรก็ยินดีนะ

Monday, May 11, 2009

Suvarnabhumi : Land of Golden Hell

พึ่งกลับจากมาเลย์ เหนื่อยโคตร แต่ขอบ่นหน่อยเถอะ (ช่วงหลังๆเป็นคนขี้บ่นมาก)
ทั้งๆที่ตั้งใจจะเขียนชื่นชมทริปนี้ว่าถึงเหนื่อยแต่ก็สนุกโคตร แต่ก็ต้องยกไปไว้ทีหลัง
เพราะมีวาระเร่งด่วนที่อยากให้ทุกคนรับรู้กัีน ถึงความห่วยของชาติไทยเรา

ถ้าเคยได้คุยกับเราบ่อยๆจะรู้ว่าเราโคตรเกลียดสนามบินสุวรรณภูมิ
ไม่แปลกเพราะหลายๆคนก็เป็นแบบนี้ ทั้งคนไทยเองและต่างชาติไหนๆที่เคยมาเหยียบแผ่นดินทองนี่
เราได้ใช้สุวรรณภูมิบ่อยมากพอสมควร และไม่เคยมีครั้งไหนที่รู้สึกดีเลยจริงๆ
อย่างที่รู้กันว่ามันออกแบบได้แย่และไม่คำนึงถึงการใช้งานของมนุษย์ที่เดินทาง
ทุกอย่างอยู่ไกลหรือไกลมาก ห้องน้ำอยู่ไหนวะ? เคาน์เตอร์เยอะยังไงก็ต้องต่อแถวยาวมาก (แม้แต่ PB Air!)
นี่คิดแค่้เรื่องการใช้งานล้วนๆเลยนะ อย่าเอาเรื่องการเมืองเข้ามาเกี่ยว เดี๋ยวจะยิ่งเซ็ง

เมื่อวานนี้เราเดินทางกลับมาถึงสุวรรณภูมิประมาณ 22:20 พร้อมกับอาการเหนื่อยสูงสุดและกระเป๋า 2 ใบ
เครื่องจอดไกลๆให้ลงแล้วต้องต่อรถ Shuttle (ยืน) มาที่ Terminal ใช้เวลาอีกประมาณเกือบ 10 นาที
จากทางเข้าที่รถจอดต้องเดินย้อนไปอีกด้านของ Terminal เพื่อผ่านจุดตรวจคนเข้าเมือง
และจากนั้นต้องเดินย้อนไปสุดอีกด้านของ Terminal สนามบินที่ใหญ่อันดับต้นๆของโลก (โคตรภูมิใจจริงๆ)
เมื่อรอรับกระเป๋าเสร็จก็เดินออกมาตามปกติ เห็นเลขประตู 9 เลยบอกให้คนที่มารอรับ(พ่อ)ขับมาที่ประตู 9
ปรากฏว่าเดินออกไปแล้วทางเดินไปขึ้นรถทางสุวรรณภูมิแห่งประเทศไทยได้เอารั้วมากั้นไม่ให้คนขึ้นรถ!
มองย้อนไปตามถนนทุกทางข้ามไปขึ้นรถมีรั้วกั้นตลอดแนว เลยขึ้นไปชั้นบนเพื่อให้วนมารับที่ขาออกแทน
ขึ้นไปปุ๊บพ่อโทรกลับมาบอกว่าไม่แน่ใจว่าวนยังไงให้กลับมาเจอที่เดิม - - - อะ หาทางลงกลับไปก็ได้
ใครเคยรู้บ้างว่าถ้าคุณอยู่ขาเข้าประเทศแล้วเดินขึ้นไปขาออกคุณจะไม่มีวันลงมาได้อีก!!!!
บันไดเลื่อนที่ขนานกันตอนขาขึ้นมามันเลื่อนขึ้นทั้งหมด เหลือบไปเห็นอันนึงไกลๆเลื่อนลงอยู่ รีบวิ่งเ้ข้าๆ
ไปถึงมีเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยหนึ่งนายและรั่วกันหนึ่งแผงตั้งขวางอยู่ ไม่ยอมให้ลงง่ายๆ
เราก็ถามว่าแล้วจะให้ลงที่ไหน เจ้าหน้าที่ท่านนั้นก็ชี้ไปทางลิฟต์ที่อยู่ถัดไป เราก็รีบวิ่งไปเข้าลิฟต์
ก็ปรากฏว่าชั้นผู้โดยสารขาเข้ามันไม่สามารถกดหยุดได้ (เหี้ยจริงๆ) ระหว่างนี้พ่อก็โทรมาเร่งไม่หยุด
เราเลยเดินไปหาเจ้าหน้าที่ท่านหนึ่งด้วยความฉุนเฉียวแล้วถามว่า "ขอโทษครับ ตั้งใจจะให้ผมลงไปยังไงครับ"
เจ้าหน้าที่ก็ทำหน้าไม่อยากจะเชื่อว่าเราไม่รู้เลยชี้ไปที่บันไดเลื่อนอีกฟากหนึ่งของ Terminal (Fuck!)
เราก็เลยวิ่ง (โคตรจะเจ็บขาเลยตอนนั้น) ไปขึ้นบันไดเลื่อนนั้น
ระหว่างที่ขึ้นด้วยความฉุนเฉียวอีกแล้วเลยขอเตะบันไดเลื่อนดังกล่าวไปแบบดังๆทีหนึ่งอย่างที่คนหันมามอง

วินาทีที่ลงมาถึงชั้นผู้โดยสารขาเข้าเราก็เข้าใจทันทีว่าทำไมอดีตนายกฯท่านหนึ่งถึงกับต้องกราบพื้น
เพราะเราก็อยากจะทำเช่นนั้นเหมือนกันเมื่อมาถึง

ขอบพระคุณสนามบินแห่งชาติที่ยอมปล่อยให้ได้ลงมาเหยียบชั้นนี้อีกครั้ง


Note:
- เจ้าหน้าที่สนามบินนานาชาติสุวรรณภูมิกรุณาอ่านและทำความเข้าใจด้วยว่าพวกกระผมเป็นนักท่องเที่ยว ไม่ว่าจะเดินทางเยอะแค่ไหนกระผมก็ไม่มีทางมาสนามบินแห่งนี้บ่อยเท่าพวกท่านหรอก ดังนั้นก่อนที่จะปรับปรุ่งเพิ่มเติมอะไรแพงๆ ขอความกรุณาเพิ่มอุปกรณ์อำนวยความสะดวกพื้นฐานอย่างป้ายบอกทางให้พวกกระผมผมหน่อยเถอะ เพราะสนามบินที่ท่านทำงานกันนั้นใหญ่โตสมราคาจริงๆ แค่ป้ายบอกว่า "เดินไปขึ้นรถประตู 1-3" / หรือ "อย่าขึ้นไปชั้นบนยกเว้นว่าจะมีเวลาเหลือเพียงพอให้วิ่งไปอีกฟากของสนามบิน" อะไรแบบนี้ก็พอครับ ขอบพระคุณมากครับ

Thursday, April 2, 2009

Series, Misery, Trends

ขณะนี้ เว็บขายของออนไลน์ Trendyday.com ที่เราทำงานอยู่จะมีการปรับชื่อหมวดสินค้าให้เป็นภาษาไทย
เลยต้องเช็คดูว่าคำบางคำ คนสะกด search หายังไง จะได้หามาเจอเว็บของเราได้
เครื่องมือที่มีประโยชน์มากคือ Google Trends ที่จะบอกให้รู้ได้ว่าtrend ของคำๆนึงที่คน search เป็นยังไง
ดูแล้วก็เศร้าใจว่าทำไมคนไทยเขียนหนังสือกันแย่ลงเรื่อยๆ

ยกตัวอย่างคำว่า Series ที่เราคิดว่ายังไงๆก็ต้องสะกดแบบนี้ --> ซีรี่ส์
แต่โดนเถียงมาว่าต้องสะกดแบบนี้ถึงจะถูก --> ซีรี่ย์
เราก็คิดว่าจะเป็นไปได้ไงฟะ จะเอาย.ยักษ์มาจากไหนในคำว่า series เลยลองมาเช็คดู

ปรากฏว่า ....


เออ ยอมก็ได้



และด้วยความทำตัวว่างงานเลยลอง search ดัชนีความทุกข์ของคนไทยดูเล่นๆ


คนไทยเหนื่อยมากในเดือน ก.ค. ของปีที่ผ่านมา
ในขณะที่ trend ความเบื่อพึ่งจะ peak ไปเมื่อเดือน ก.พ. ของปีนี้
trend ในอนาคตความเหนื่อยกำลังกลับมา
ความเครียดกำลังทรงตัว
ความหิวและความง่วงยังมีไม่เยอะ แต่รักษาระดับไว้ได้ตลอด

จบข่าว

Tuesday, March 24, 2009

Geeky Dilemma

พยายามสร้าง blog ใหม่อยู่หลายหนหลายแห่ง
ไม่ว่าจะเป็น wordpress, livejournal, exteen, หรือ trendyday
แต่ก็ยังไม่ถูกใจซักที่ แม้แต่ใน blogger นี้เองก็เถอะ
เราพยายามหาที่ๆมีความยืดหยุ่น ทำอะไรได้มากๆเท่าที่อยากทำ
หรือทำอะไรที่อาจจะอยากทำในอนาคตต่อไปได้ด้วย
ยังไงๆก็ยังไม่ลงตัว

คิดไปคิดมาก็เลยพาตัวเองไปอีก step นึงซะเลย
นั่นคือจะทำ wiki!

... จะไหวมั้ยเนี่ย (นั่งทำมาทั้งคืนแล้ว อยากลองทำขึ้นให้ได้ภายในสุดสัปดาห์หน้านี้)


Note:
- entry นี้แค่แสดงความ geek เฉยๆ ไม่มีอะไร

Thursday, March 12, 2009

Gump is a Word

ปลายๆปีที่แล้วได้ยินสปอตวิทยุตัวหนึ่งที่สะดุดหูมาก
เป็นโครงการประกวดสิ่งประดิษฐ์เพื่อแก้ปัญหาพลังงานและสิ่งแวดล้อมของ EGCO
คอนเซ็ปต์การประกวดคือ ต้องเป็นของที่ไม่เคยมีมาก่อนบนโลก
และของนี้จะต้องพยายามแก้ปัญหาพลังงานและสิ่งแวดล้อมอย่างดูสนุก
สิ่งที่ทำให้สะดุดหูจริงๆคือชื่อโครงการนี้

"GREEN GUMP GADGET"

ไอ้คำว่า GUMP ที่ทำตัวหนาไว้นี่แหละ
เพราะว่าคำนี้เป็นคำที่ใช้กันอย่างแพร่หลายเฉพาะในกลุ่มเพื่อนโรงเรียนเรา
เราเคยพยายามเอาคำนี้ไปใช้กับคนอื่นเช่นเพื่อนที่มหาลัย
ปรากฏว่าไม่มีคนเข้าใจถึงใจความของคำๆนี้กัน หรือเข้่าใจแบบผิวเผิน

นิยามของคำนี้สำหรับเราคือ
GUMP ต้องตลก
GUMP ต้องไม่อยู่ในตรรกะทั่วไป
GUMP ต้องอยู่เหนือแนวทางของมวลชน
GUMP ต้องไม่เป็นประโยชน์แบบสามัญ

และก็เป็นไปตามคาดเมื่อตอนนี้งานประกวดคัดผู้เข้ารอบ 20 ทีมสุดท้ายมาแล้ว
มันจะมีทั้งผู้เข้าประกวดที่เข้าใจงานนี้จริงๆ และที่ไม่เข้าใจเอาซะเลย

ตัวอย่างคนที่เข้าใจ



และตัวอย่างคนที่ไม่เข้าใจ



ที่น่าสงสัยจริงๆคือ คนคิดโครงการนี้มันเป็นเพื่อนเรารึเปล่าวะ?

Note:
- ช่วยโหวตให้คนที่เข้าใจวิถี Gump กันด้วยนะครับ เพราะคนที่ไม่เข้าใจมันไปเกณฑ์เพื่อนมาโหวตซะเยอะมากไปแล้ว http://www.egco.co.th/GreenGumpGadget/ <--- ไปโหวตที่นี่เลย
- ที่มาของคำนี้ที่เราพูดในกลุ่มเพื่อนคือมีเพื่อนคนหนึ่งที่ทำตัว GUMP เป็นพิเศษในช่วงมัธยม ... ไม่รู้จะอธิบายต่อยังไง คำว่า GUMP มันดูเหมาะสมกับพฤติกรรมของคนๆนี้ แล้วก็ลุกลามกลายเป็นพฤติกรรมกลุ่ม
- ลองไปหาดูว่า GUMP เป็นคำที่ใช้กันจริงๆรึเปล่า ปรากฏว่าเจอดังนี้ GUMP (noun): a dunce, a nitwit --- ก็ถือว่าใกล้เคียงกับที่เราพูดๆกันนะ

Wednesday, February 6, 2008

The Soup Question


[image by: mister bend @ flickr]

เราชอบหนังเรื่อง Finding Forrester และพึ่งดูจบไปอีกรอบเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา
มีหนังอยู่ไม่กี่เรื่องที่เราดูซ้ำเรื่อยๆแล้วยังให้ความรู้สึกดีเหมือนตอนที่ดูครั้งแรก

Finding Forrester พูดถึงหลายอย่างเกี๋ยวกับการหาที่ที่เหมาะสมของตัวเองในสังคม
และมีประโยคหนึ่งที่เราชอบมากๆ ในขณะที่คนจำพวกหนึ่งไม่มีวันเข้าใจมัน
"The object of a question is to obtain information that matters only to us."
ในหนังจะมีคำถามที่ถูกเรียกว่า Soup Question คือคำถามที่มีคุณสมบัติตามที่บอกไว้ข้างบนนี้
เราก็เชื่อแบบนั้นเหมือนกัน อาจจะเพราะว่าเราไม่ชอบการคุยสัพเพเหระเพียงเพื่อให้มีการพูดคุย
เวลาได้ยินคำถามแบบนั้นมันทำให้รู้สึกรำคาญ รังเกียจ และเบื่อหน่ายมากๆ
ที่แย่คือ ในบ้านเรามีคนแบบนี้อยู่ไม่น้อย ทำให้คำถามที่ไม่ใช่ Soup Question อยู่ในชีวิตเยอะมาก
ยกตัวอย่างคำถามที่เราจะได้ยิน - - "ยังจำภาษาเยอรมันได้บ้างมั้ย?"
คำถามแบบนี้จะถูกถามขึ้นมาลอยๆ และพอมีคำตอบไม่ว่าแบบไหนก็จะผ่านไปแบบลอยๆ
ประโยชน์ของคำตอบที่ได้มันคืออะไร รู้แล้วเอาไปทำอะไรต่อได้
ที่แย่ไปกว่านั้นคือเวลาที่ถูกถามจากคนที่ไม่ได้อยู่ในวงจรชีวิตปกติของเรา
พวกคนที่ไม่ได้เจอกันมานาน และอาจจะไม่เจอกันไปอีกนาน

คนพวกนี้ที่ถาม เค้าก็ถามแค่เพราะอยากจะหาทาง connect กับเราแต่ไม่ได้ใส่ใจในคำตอบของคำถาม
เค้าไม่ได้สนใจอยากรู้หรอกว่าคุณกินอะไรมาตอนเที่ยง แต่อยากให้คุณเห็นตัวตนของเค้ามากกว่า

แต่มันก็มีคำถามที่ถามเรื่องของคนอื่น เพราะว่าสนใจที่จะรู้เรื่องราวของคนนั้นจริงๆอยู่เช่นกัน
การถามคนรักของคุณว่าเหนื่อยมั้ย คุณถามออกไปเพราะคุณมีความห่วงใย
การถามความคิดของคนที่คุณชื่นชอบมันก็มีความหมายต่อตัวคุณ เพราะความคิดของเค้ามี value ต่อคุณ

สำหรับเราแล้ว เราอยากให้ในสังคมมี Soup Question เยอะๆ และคำถามแบบแค่ขอให้ได้พูดลดหายไป

... อย่างน้อยเริ่มจากในบ้านก็ยังดี

Monday, December 17, 2007

A Man with a Face of a Rotten Foot


[image by: Sebastian Niedlich (Grabthar) @ flickr]

ขออภัยอย่างสุดชีวิตหากภาพข้างบนทำให้ท่านผู้อ่านทานอาหารไม่ลง
แต่นี่คือภาพเสมือน (จริงๆอาจจะแค่คล้าย) กับใบหน้าของบุคคลที่เรารู้จักเร็วๆนี้

เหตุการณ์สมมุติ ณ สถานที่สาธารณะแห่งหนึ่ง ตัวละครดังต่อไปนี้:
เรา (เพศชาย-นามสมมุติ) เป็นตัวเดินเรื่อง
A (เพศหญิง-นามสมมุติ) เป็นเพื่อนเรา
B (เพศชาย-นามสมมุติ) เป็นแฟน A

เรานัดทำงานกับ A โดย A พา B มาด้วย
เราคุยงานกับ A ได้สักพักก็เห็น B เงียบ
ก็เลยทำสิ่งที่ไม่เป็นตัวเองออกไป นั่นก็คือการเอ่ยทัก B ก่อน
เรา: ชื่ออะไรนะครับ
B: …
A: เค้าชื่อ B … และคนนี้“เรา”นะ
B: …

B: (หลังจากเงียบได้ที่แล้ว) โทษนะครับ นี่รุ่นไหนนะครับ
รา: ... (งงกับคำถาม) ยังไงนะครับ
A: เฮ้ย เค้าเป็นรุ่นพี่เรา
B: ... (หน้ามันถามว่า มึงตอบกูมาสิว่ารุ่นไหน)
เรา: อ่อ รุ่นนี้ๆนั้นๆครับ
B: อ่อ ... งึกๆ(เสียงพยักหน้า)

เราก็เลยทำอย่างอื่นไปซักพัก

เรา: (ไม่เข็ด) ทำงานอยู่ที่เดียวกันรึเปล่าครับ
B: …
A: ใช่แล้ว
B: … แต่อยู่ตรงส่วนนี้ๆนั้นๆ
เรา: อ่อ ถามดูพอดีมีเพื่อนอยู่ที่นั่นเหมือนกัน แต่ทำตรงนู้นๆ
A: อ๋อ .. แต่อันนั้นมันยังงั้นงี้นะ ... “เรา”ไม่ลองไปทำบ้างล่ะ
เรา: ไม่เอาล่ะ มันเข้างานเช้ายังกะไปโรงเรียน
A: ฮ่าๆ

และทุกคนก็ไม่ได้พูดอะไรราว 30 วินาที

B: (เหมือนมันเงียบมานานได้ที่แล้ว) แล้วนี่เคยทำงานรึเปล่าครับเนี่ย
เรา: (กูเข้าใจคำถามถูกรึเปล่านะ ไม่ค่อยแน่ใจ เลยถามไปแบบดีๆ) ว่าไงนะครับ
B: เคยทำงานรึเปล่าครับ
เรา: (จี๊ดเบาๆในตอนนั้น) ฮ่ะๆ ผมไม่เหมือนคนทำงานหรอครับ
B: เปล่าครับ เห็นใส่ยีนส์
เรา: ฮ่ะๆๆ

และโทรศัพท์ก็ดังขึ้นมาพอดี เลยปล่อยให้แฟนมันตอบแทนไป
พอวางโทรศัพท์เราก็ทำเฉยๆปล่อยผ่านๆไป

แต่ในใจได้หยิบยืมคำพูดของไอ้โทรศัพท์โรคจิตมาใช้ว่า:

เหี้ยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย


... ก็จบเท่านี้ละครับ ไม่ต้องบอกหรอกครับว่าเราควรโมโหมั้ย
เพราะตอนนั้นไม่ได้โมโห แต่มาโมโหพอกลับถึงบ้านแล้ว
ถึงขนาดต้องมาเขียนระบายเลยทันที


เหี้ยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย
อารายยยย ของงงงงง มึงงงงงงงงงงงง

Friday, December 14, 2007

An Ordinary Phonecall


[image by: Cpt. Zissou @ flickr]

ช่วงสองสามวันมานี้โดนรังควานทางโทรศัพท์
มีเบอร์แปลกหน้าโทรมาหาแล้วพูดอะไรสักพัก
มีแต่เสียง กอกๆแกกๆ กอกๆแกกๆ และมีเสียงคนจากไกลๆ
ไอ้เราก็คิดว่าใครคงกดโดนแบบไม่รู้ตัวละมั้ง
จังหวะที่กำลังจะวาง ก็มีเสียงคนพูดเข้ามาในโทรศัพท์
คิดว่าตั้งใจนะทีนี้ เพราะเสียงใกล้มากๆ มันพูดว่า:

"เหี้ยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย"

เราก็งงว่าอะไรของมัน ก็เลยปล่อยสายไว้สักพักก่อนจะวางไป
ไม่นานมันก็โทรมาใหม่ แล้วก็อาการเดิม กอกๆแกกๆ .... เหี้ยยยยยย
จนล่าสุดเมื่อวานนี้เราไม่ได้เปิดเสียงมือถือ
พอกลับมาดูพบว่ามี missed call 10 กว่าอัน
เป็นเบอร์ไอ้หมอนี่หมดเลย ที่สำคัญไปยิ่งกว่านั้นคือ
มันฝาก voice mail เอาไว้ด้วยสามอัน!!!!
ใจความของ voice mail แต่ละอันมีดังนี้:

กอกๆ
แกกๆ
กอกๆ
แกกๆ
เหี้ยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย

ก็ไม่รู้จะว่าไงดี เพราะไม่ได้รู้สึกรำคาญหรือว่าถูกคุกคามอะไร
ตลกซะด้วยซ้ำ แต่ถ้ามันรู้ว่าเราขำ มันจะยังอยากโทรมาอีกมั้ย
(หรือแค่อยากแกล้งให้แบตเราหมด)

Note:
- ภาพประกอบนี้เป็นภาพ handset ที่ใช้ต่อกับโทรศัพท์มือถือยุคปัจจุบันจริงๆ ที่ playground! ทองหล่อ มีขาย แต่ที่เห็นในภาพนี้เป็นรุ่นใหม่ใช้ bluetooth ได้ด้วย

Monday, October 22, 2007

In Silence, We Hear


[image by: andy the hobo @ flickr]

ต่อยอดจากส่วนเล็กๆที่เขียนใน Entry ที่แล้ว ตัวอย่างการกระทำที่ Desperate อันหนึ่ง
"พูดสิ่งที่ไม่ค่อยจำเป็นในการสนทนากับคนที่กำลังจีบอยู่
เมื่อไม่อยากให้เกิดความเงียบขึ้น"
สาเหตุที่เรารู้สึกว่าจำเป็นจะต้องพูดอะไรสักอย่างขึ้นมาเพื่อทำลายความเงียบระหว่างบทสนทนานั้น
จริงๆเป็นเพราะเราคิดไปว่าความเงียบนั้นเป็นเรื่องไม่พึงประสงค์ (undesirable)
และคิดว่าในการสื่อสารกับอีกฝ่ายนั้นจำเป็นจะต้องมีถ้อยคำออกมาเสมอ

แต่ความเป็นจริงแล้วมันไม่ได้เป็นแบบนั้นเสมอไป
บางครั้งความเงียบในบทสนทนากลับเป็นเรื่องที่ดีกว่า
มันทำให้เราได้สังเกตบรรยากาศรอบๆตัวคนนั้น
สิ่งเหล่านั้นเป็นตัวบอกเรื่องราวที่ดีไม่แพ้กับคำพูดสวยงาม
และมันทำให้เราเข้าใจคู่สนทนาของเราได้ดีขึ้นไปอีก

แล้วเคยรึเปล่าเวลาที่นั่งอยู่เงียบๆกับใครสักคน
แต่เหมือนกับว่าเราสามารถรับรู้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่
บางทีความเงียบก็เป็นตัวกลางในการสื่อความคิดที่ดีเท่ากับเสียงที่เปล่งออกมา
ความเงียบสามารถใช้แทนความเข้าใจ ความห่วงใยที่เรามีให้กับใครสักคน

เราอาจจะเคยชินกับการที่ต้องคอยหาถ้อยคำมาเพื่อสื่อสารความคิดของตัวเองอยู่ตลอดเวลา
โดยไม่รู้สึกเลยว่า การประหยัดถ้อยคำเหล่านั้นแล้วสื่อสารโดยความเงียบนั้นมันก็ดีไม่แพ้กัน



[image by: RozzieM @ flickr]