Menu

Wednesday, August 27, 2008

There are stories within everyone of us


[image by: mosdave @ flickr]

มีสองอาณาจักรที่มีพรมแดนอยู่ชิดติดกัน ในอาณาจักรหนึ่งนั้นนับถือพระอาทิตย์ ขณะที่อีกอาณาจักรหนึ่งนับถือพระจันทร์ เนื่องจากความแตกต่างทางศาสนาทั้งสองอาณาจักรจึงสู้รบกัน ซึ่งต่างฝ่ายต่างยกทหารเป็นกองทัพเข้าห้ำหั่นกัน บรรดานักรบต่างเดินแถวเรียงหน้าเข้ามาเผชิญกันอยู่ตรงบริเวณพรมแดนอันเป็นเขตส่วนกลาง

ต่างฝ่ายต่างตกลงกันว่าจะส่งนักรบของตนเข้าทำการต่อสู้กันแบบตัวต่อตัว ดังนั้นจึงมีการคัดเลือกนักรบผู้มีฝีมือยอดเยี่ยมที่สุด ในที่สุดก็ได้นักรับของทั้งสองฝ่ายที่ต่างก็เดินเข้าหากัน หน้าตาถมึงทึง กระชับดาบไว้มั่นในมือข้างหนึ่ง ส่วนอีกข้างหนึ่งก็ถือโล่ไว้ บนหน้าอกของฝ่ายหนึ่งคือแผงอกรูปพระอาทิตย์ ส่วนอีกฝ่ายเป็นรูปพระจันทร์

เมื่อนักรบทั้งสองเผชิญหน้ากัน ต่างก็ลงมือต่อสู้กันราวปีศาจร้ายสองตน ต่างสู้กันตั้งแต่ยามเช้าขณะที่อาทิตย์ลอยดวงสูงขึ้นไปเรื่อยๆ ต่อสู้กันในท่ามกลางแสงแดดยามเที่ยงที่แผดเผา และยามที่อาทิตย์เริ่มคล้อยดวงลงไปจนกระทั่งตกลงเบื้องทิศตะวันตก แต่ไม่ว่าจะต่อสู้กันนานเท่าไรก็ไม่มีใครเพลี่ยงพล้ำให้แก่ใครเลย ดังนั้นจึงยังคงสู้กันต่อไปขนาดเข้าถึงตัวและถลันเข้ากอดกันเพื่อจะหาทางเอาชนะให้ได้

แต่เมื่อพระอาทิตย์ลับดวงไป ต่างฝ่ายต่างก็เหนื่อยอ่อนจนล้มพับลงกับพื้นดิน หมดสิ้นเรียงแรงแม้แต่จะคลานกลับเข้าแคมป์ของกองทัพแต่ละฝ่าย

“ข้าเกลียดเจ้า!” นักรบฝ่ายบูชาพระอาทิตย์กล่าว
“ข้าก็เกลียดเจ้า!” นักรบฝ่ายบูชาพระจันทร์โต้กลับมา

“ถึงยังไงก็จะต้องฆ่าเจ้าให้ได้” นักรบฝ่ายพระอาทิตย์ว่า “ข้ามีทั้งเมียและลูกที่รักรออยู่ที่บ้าน ข้ามีลูกชายที่อยากจะเป็นนักรบ แต่ข้าก็จะป้องกันมันไม่ให้มาพบเจ้าได้”

“ข้าก็มีเมีย”
นักรบฝ่ายพระจันทร์บอก “แต่ทหารของเจ้าสังหารหล่อนเมื่อครั้งเกิดการสู้รบคราวก่อน และนั่นคือเหตุผลที่ว่าทำไมข้าถึงได้เกลียดเจ้านัก” นักรบฝ่ายพระจันทร์ยืนขึ้น

“รูปร่างหน้าตาเมียเจ้าเป็นอย่างไรหรือ?” นักรบฝ่ายพระอาทิตย์เอ่ยถาม
“นางเป็นคนสวยน่ารักมาก เรารักกันมาตั้งแต่ครั้งยังเด็ก ข้าเคยเป็นเพื่อนวิ่งเล่นกับนางอยู่ในราวป่าใกล้ๆนี่แหละ”

“ฟังดูแล้วรู้สึกว่าเจ้าช่างมีวัยเด็กที่มีความสุขเหลือเกิน” นักรบฝ่ายพระอาทิตย์กล่าว “ไม่เหมือนข้าหรอก พ่อของข้าให้พวกพี่น้องรวมทั้งตัวข้าทำงานในไร่อย่างหนักตลอดเวลา ถ้าเราไม่ทำก็จะถูกตีอย่างรุนแรง”
“ข้าเสียใจด้วยนะที่ได้ยินอย่างนี้” นักรบฝ่ายพระจันทร์พูดอย่างมีอัธยาศัย

จากนั้นนักรบทั้งสองก็เริ่มคุยถึงชีวิตในวัยเด็กและเลยไปถึงเรื่องต่างๆที่เป็นประสบการณ์ในชีวิตของแต่ละฝ่าย ทั้งสองต่างคุยกันอยู่อย่างนั้น แม้ดวงจันทร์จะเคลื่อนขึ้นสู่กลางทองฟ้า แม้ดวงจันทร์จะเคลื่อนสู่ทิศตะวันตกแล้ว นักรบทั้งสองก็ยังไม่ยอมหยุดคุยกันอยู่ดี จนใกล้รุ่งจึงต่างได้หลับไหลไปพร้อมกันโดยทิ้งอาวุธไว้ข้างตัวอย่างไม่สนใจ

ในที่สุด ท้องฟ้าด้านทิศตะวันออกก็เรืองเรื่อด้วยแสงสีชมพูอ่อน ทั้งเสียงและกลิ่นหอมของอาหารต่างโชยมาจากแคมป์ของทั้งสองฝ่าย นักรบทั้งสองต่างตื่นขึ้นด้วยแสงแดดอบอุ่นที่สาดส่องลงต้องใบหน้า ต่างขยับเนื้อตัวด้วยความปวดเมื่อยและเหนื่อยอ่อน แล้วต่างก็มองลึกเข้าไปในดวงตาของกันและกัน ก่อนจะโผเข้ากอดกันไว้ แล้วต่างเดินแยกย้ายกลับเข้าสู่กองทัพของตน โดยทิ้งอาวุธให้อยู่ในที่เดิมของมัน

นักรบทั้งสองไม่อาจสู่กันได้อีกต่อไป ทั้งนี้เพราะท่านไม่อาจต่อสู้กับบุคคลที่ท่านรู้จักประวัติอันแท้จริงของเขาได้ ...

แปลโดย: นาริตะ

5 comments:

  1. ดีอ่ะ
    ทำให้นึกถึงคนที่เราเคยไม่ชอบ
    แล้วต่อมาเราก็ถูกคอกับเขาหลังจากที่ได้ขุดคุย-ขุดคุ้ยกัน


    ปล.แล้วอย่างนี้ที่เค้ากำลังรบกันอยู่ในดินแดนใกล้ๆ นี่เค้าจะได้พูดคุยกันบ้างรึป่าวนะ
    หรือยิ่งคุยแล้วยิ่งไม่เข้าใจ?

    ReplyDelete
  2. เค้าไม่ได้คุยกันเอง เค้าคุยให้คนที่อยู่ตรงกลางฟัง

    ReplyDelete
  3. อื่มน่าสนใจ...

    ReplyDelete
  4. นาริตะนี่ใครกัน

    ReplyDelete
  5. เป็นนักแปลผู้หนึ่ง รู้แค่นี้เอง

    ReplyDelete