Menu

Friday, February 1, 2013

Looking Back, Looking Forth

NEW ROAD LAYOUT AHEAD
[image: Gabriel Thomas @ flickr]

ผมพึ่งนึกอะไรบางอย่างได้ ...

ก่อนจะพูดถึงมัน ขอย้อนกลับไปราว 7 ปีกว่าๆก่อนหน้านี้
ผมกำลังนั่งอยู่กับหญิงสาวที่เป็น 'หัวหน้า' คนแรกของผม
น้ำตาผมไหลแบบควบคุมไม่ได้ จะพูดอะไรก็พูดไม่ออก
เวลาครึ่งปีก่อนหน้านั้นที่ผมคลุกคลีอยู่กับเธอและเพื่อนร่วมงานคนอื่นๆกำลังจะจบลง
ระยะเวลาครึ่งปีที่ผมได้ทำสิ่งที่รู้สึกว่าเป็นงานที่วิเศษที่สุดในชีวิตกำลังจะจบลง

นั่นคือการลาออกครั้งแรกของผม

ตอนนั้นผมรู้สึกเหมือนกำลังจะเสียสิ่งสำคัญในชีวิต
ผมลาออกเพื่อไปทำหน้าที่ที่สังคมและคนรอบตัวคาดหวัง
แต่ผมรู้สึกได้ว่าชีวิตผมคงไม่กลับไปมีช่วงเวลาวิเศษแบบนั้นได้อีกแล้ว
งานออฟฟิศอื่นไหนไม่มีทางมีความหมายเท่ากับที่นี่
เพื่อนร่วมงานที่อื่นก็ไม่มีทางมีเคมีที่เข้ากันได้มหัศจรรย์ขนาดนี้

ผมคิดแบบนั้นจริงๆ แม้ว่าจะไม่เคยทำงานออฟฟิศที่อื่นมาก่อน

ถัดจากวันนั้นมาอีก 3 ปี ผมนั่งตรงข้ามคนที่เป็นหัวหน้าเพื่อลาออกอีก 3 หน
การคุยแต่ละครั้งก็แตกต่างกันไป แต่ไม่มีครั้งไหนที่ผมจะฟูมฟายอย่างครั้งแรก
ส่วนหนึ่งเป็นเพราะผมทำใจไว้ตลอดว่าคงไม่สามารถผูกพันกับที่ไหนได้เท่านั้น
คงจะไม่มีที่ไหนที่เราจะรู้สึกอาลัย อยากทำงานให้ไปตลอดได้ขนาดนั้นอีก
นับจากวันที่ผมนั่งร้องไห้วันนั้น ผมจึงทำงานแต่ละที่เหมือนรอวันที่จะลาออกเท่านั้น

กลับสู่เวลาปัจจุบัน ... ขณะที่ผมพึ่งนึกอะไรบางอย่างได้ ...

ผมนึกออกว่าวันนี้คือวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2556
ผมกำลังทำงานให้กับบริษัทที่ทำธุรกิจประเภทที่ไม่เคยคาดว่าจะได้มามีส่วนเกี่ยวข้อง
ทำงานอยู่ในย่านที่ไม่คิดว่าจะมีคนสไตล์ที่เราคุ้นเคย และจะสนิทด้วยได้
วันที่ผมตัดสินใจทำงานที่นี่ ผมเผื่อใจว่าในไม่นานคงจะได้นั่งคุยกับหัวหน้าอีกแน่
ผมนึกออกว่าวันนี้คือวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2556 -- วันนี้ผมทำงานที่นี่ครบ 4 ปีพอดี

... และหากมีการลาออกครั้งต่อไป ผมอาจจะกลั้นน้ำตาไม่อยู่อีกครั้งก็ได้

Note:
- ขอบคุณเพื่อนร่วมงาน และหัวหน้างานทุกท่านที่อดทนความบ้าบอของผมได้

- ขอบคุณทุกคนในแผนก ที่ร่วมกันสร้างบรรยากาศที่ดีในการทำงานทุกวัน อยากให้รับรู้ว่าสิ่งที่เรามีร่วมกันนี้มันไม่ได้เกิดขึ้นง่ายๆนะครับ
- นึกว่าเขียนยาวแล้วนะ มาย้อนอ่านดูสั้นนิดเดียวเอง ถ้าเทียบกับแต่ก่อน

Monday, February 20, 2012

The Truth Behind This Facade of Mine


[image: Pink-Promise @ deviantART]

สิ่งที่ใครหรือใครเห็นว่าผมได้ทำ พูด เขียน หรือแสดงออกมา
สิ่งเหล่านั้นอาจไม่ใช่สิ่งที่เป็นตัวตนของผมเลยก็ได้

แม้กระทั่งสิ่งที่คุณกำลังอ่านอยู่ในขณะเวลานี้ก็ตาม

สิ่งที่คุณเห็นอาจเป็นเพียงฉากที่ผมทำขึ้นมากันที่อยู่ให้ตนเอง
เป็นภาพสะท้อนของตัวตนในแบบที่คุณต้องการ

หรือผมอาจเป็นเพียงเปลือกของความกระจัดกระจายที่ก่อตัวขึ้นก็เป็นได้

Note:
- ที่มาของชื่อ entry นี้มาจากลิงค์น [LINK] -- เป็นวลีที่ชอบมากและรู้สึกว่าเหมาะกับตัวเองจริงๆ

Wednesday, December 21, 2011

The question that never was



On the edge of the universe,
I stood in the cold darkness,
I stared into the vast emptiness,
I screamed out sheer silence.

On the edge of the universe,
where everything is nothing,
where nothing is everything,
chaos and peace came into existence.



บ่อยครั้งที่เราตั้งคำถามกับเรื่องราวสับสนวุ่นวายในชีวิตต่างๆนาๆ
แล้วเราก็พยายามก้มหน้าก้มตาควานหาคำตอบให้กับมัน

ทำยังไงถึงจะรวย? ทำไมชีวิตกูถึงซวย?
เมื่อไหร่จะเจอคนดีๆ? ต้องทำยังไงคนนั้นถึงจะรักเรา?
บาปบุญมีอยู่มั้ย? อะไรคือเรื่องจริง? เราเกิดมาเพื่ออะไร?

แต่สิ่งที่เราเฝ้าถามมันไม่เคยมีคำตอบ
เพราะมันไม่เคยมีคำถามมาตั้งแต่แรก

โลกนี้สามารถหมุนและดำเนินไปได้โดยปราศจากคำถามเหล่านี้
เราต่างหากที่รู้สึกว่าตนเองไม่สามารถหมุนและดำเนินไปได้หากปราศจากคำตอบ
โดยที่ไม่ทันมองว่าเราก็หมุนและดำเนินอยู่เรื่อยไปไม่ว่าอย่างไร





เพราะเราคือโลก

เพราะโลกคือเรา




ไม่มีคำถาม

ไม่มีคำตอบ



Note:
- ปัญหาใหญ่หลวงจากการว่างเว้นจากการเขียนบล็อกแล้วหันไปใช้บริการเว็บไซต์อย่าง Facebook สำหรับผมแล้ว นอกจากความติดขัดในการเรียบเรียงความคิด จับประเด็นมาเขียนให้ได้ชัดเจน นั่นก็คือการติดความเป็น egocentric ของ Facebook มาด้วย ทั้ง ego ของผมเองและ ego ของท่านอื่นๆ  ผมเสพ ego เหล่านั้นจนกระทั่งเต็มพื้นที่ความคิด และยังไปขุด ego ของตนมาเสริม ซึ่งทำให้เต็มไปด้วยความขุ่นเคืองของใจ ไม่สามารถเกิดความคิดเชิงสร้างสรรค์  ความพยายามของผมในช่วงนี้คือการกำจัดความรู้สึกเหล่านี้ออกไปให้ได้มากที่สุด เพื่อเรียกความรู้สึกดีๆตอนที่สามารถเขียนได้บ่อยๆเหมือนแต่ก่อนกลับมาอีกครั้ง  เพราะช่วงนั้นเป็นช่วงที่จิดใจปลอดโปร่งจริงๆ ... ดังนั้นหากสิ่งที่เขียนในช่วงนี้อาจดูหม่นหมอง หรือแฝงความเกรี้ยวกราดไว้ โปรดเข้าใจว่านั่นคือตัวตนของผมในขณะที่เขียนมันออกมา 

Tuesday, December 20, 2011

Don't Do Drugs


[image: rulebreakr @ deviantART]


ผมไม่ได้เห็นด้วยกับพี่เสกว่าการเสพยามันเป็นเรื่องปกติธรรมดาของคนเป็นศิลปิน
แต่ผมก็ไม่เห็นด้วยกับอีกหลายคนที่ออกมาบอกว่าศิลปินไม่ต้องเสพยาก็สามารถทำงานเพลงได้

จริงๆแล้วจะเสพยาหรือไม่เสพยามันไม่ใช่เงื่อนไขของงานเพลงที่ออกมาเลย
แต่มันเป็นเงื่อนไขของบุคคลที่จะทำงาน ไม่เฉพาะแค่งานเพลงเท่านั้น
หรือพูดให้ชัดๆคือ มันเป็นเงื่อนไขของการใช้ชีวิตของแต่ละบุคคล

ย้ำว่า ของแต่ละบุคคล

ต้องเสพยาถึงจะทำเพลงดีๆได้ ... ก็ถูกของพี่ครับ
ไม่ต้องเสพยาก็ทำเพลงเจ๋งๆได้ ... ก็ถูกของพี่อีกคนครับ

เพราะว่ามันเป็นเรื่องของแต่ละคน ยากับงานมันไม่ได้มีความสัมพันธ์อะไรทั้งนั้น

สำหรับคนที่ไม่ติดยา เขาก็สามารถหาแรงบันดาลใจได้จากแหล่งต่างๆ และคิดงานดีๆออกมาได้
แต่ก็มีบางคนที่รู้สึกว่าต้องอาศัยพึ่งแรงกระตุ้นจากยาเสพติด เพราะมันเป็นเงื่อนไขของใจเขา


ผมเลยไม่เห็นด้วยกับคนที่ตัดสินพี่เสกด้วยการเอาวิถีของตนเองเป็นมาตรฐาน
และผมก็ไม่เห็นด้วยกับพี่เสกที่พูดเหมือนกับว่าวิถีชีวิตอย่างตนเองคือเรื่องปกติ

... เพราะโลกนี้ไม่เห็นจะมีอะไรที่เรียกได้ว่าปกติสักอย่าง

Note:
- ผมเริ่มเขียน เรื่องนี้ด้วยความตั้งใจว่าจะโพสต์เป็น status บน facebook ... แต่ยิ่งเขียนมันยิ่งยาว เลยถือโอกาสหยิบบล็อกขึ้นมาปัดฝุ่นสักหน่อย ... หวังว่าทุกท่านยังสบายดีนะครับ
- หลังๆพื้นที่ตอนท้ายตรงนี้เป็นเหมือนเป็นที่ๆมีไว้ให้ผมตอกย้ำตัวเองว่าไม่ ได้เขียนมานานแสนนานแค่ไหน ... เช่นว่า  entry นี้ห่างจาก entry ก่อนหน้า 229 วัน(!) เป็นต้น

Thursday, May 5, 2011

Finding Comfort in Pain


[image: Ben @ flickr]

อากาศมันช่างร้อนเหลือเกินในช่วงนี้
เมื่อต้องเดินฝ่าแดดก็เหมือนผิวจะถูกเผาจนไหม้
เมื่อขึ้นรถที่ตากแดดไว้ค่อนวันก็เหมือนโดนอบ
เป็นโชคดีแค่ไหนที่ทุกวันนี้มีเครื่องปรับอากาศ
ร้อนเมื่อไหร่ก็เอื้อมมือไปเร่งแอร์
พอความร้อนหาย เริ่มจะหนาวก็ปรับแอร์ให้พอสบาย

... ชีวิตมันง่ายไปมั้ย?

เราถูกรายล้อมไปด้วยอุปกรณ์ให้ความสะดวกจนเคยชิน
จนกระทั่งเราไม่ทันได้สังเกตความไม่สบายที่สัมผัสชั่วครู่
แค่มีอะไรมาระคายความสบายเข้าหน่อย เราก็มีตัวช่วย
มาแก้ทันที

อาาศร้อนก็แค่เร่งแอร์
อากาศหนาวก็มีน้ำอุ่นอาบ
อาหารไม่ร้อนก็เข้าไมโครเวฟ
น้ำไม่เย็นก็เข้าตู้เย็น ... รีบหน่อยก็เข้าช่องฟรีซ
ไม่อยากเดินเมื่อยก็ขึ้นลิฟต์
ไม่อยากเดินก็ใช้รีโมท
ไม่อยากเดินก็โทรศัพท์

... ชีวิตมันง่ายไปมั้ย?

เราอยู่ในสังคมที่เต็มไปด้วยความรู้สึกจำเป็นจะต้องได้ทุกอย่าง "ทันที"
อยากกินอะไรก็โทรสั่ง 'ทันที'
อยากซื้ออะไรก็เปิดเว็บช้อปปิ้ง 'ทันที'
อยากได้อะไรราคาแพงก็ใช้บัตรเครดิตซื้อได้ 'ทันที'
อยากรู้เรื่องอะไรก็รีบกดโทรศัพท์สมาร์ทโฟนหา 'ทันที'
อยากระบายอะไรก็รีบพ่นความในใจออกมาสู่โลกออนไลน์ 'ทันที'

... จน 'บางที' เราก็ลืมเลือนไปว่าขั้นตอนที่เราเคยต้องรอมันหายไป
... จน 'บางที' เราก็ลืมเลือนชีวิตมีเรื่องลำบาก มีเรื่องต้องทน มีเรื่องต้องรอ
... จน 'บางที' เราก็ลืมเลือนว่าจะรับมือกับเรื่องเหล่านี้ได้ยังไง

ทุกวันนี้ผมเห็นคนเป็นทุกข์มากกว่าคนมีความสุข
เห็นคนบ่นเรื่องความรัก บ่นเรื่องการงาน บ่นเรื่องเจอคนน่ารำคาญ

เพราะเรื่องเหล่านี้มันยังไม่มีเครื่องมืออะไร
มาช่วยจัดการให้ได้ทันที

ลองถอยตัวเองออกมาจากความสบายบ้าง
ให้ชีวิตเราได้เจอเรื่องไม่เป็นอย่างใจบ้าง
หาพื้นที่ในใจจัดเก็บและค่อยๆปล่อยเรื่องเหล่านั้นออกไปบ้าง
รู้จักแยกแยะระหว่าง 'ความทุกข์' กับ 'ความรู้สึกเป็นทุกข์' ออกจากกัน

ครั้งต่อไปที่คุณเอื้อมมือไปปรับแอร์คุณอาจจะรู้สึกว่าเราถูกรายล้อมไปด้วยเรื่องดีๆมากมายก็ได้

Note:
- ขอปิดด้วยเพลงที่ผมฟังติดกันมาสองวันแล้วนะครับ 'เช้าที่ไม่ต่างไป' โดยวงดนตรี ภูมิจิต

Tuesday, November 23, 2010

Know


[image: St Stev @ flickr]

เส้นทางที่เราเดินกันอยู่นี้ แม้มันจะมีทิวทัศน์รอบข้างที่เหมือนกัน แม้ว่าจุดหมายปลายทางของเราจะเป็นที่เดียวกัน แต่ก็จงอย่าได้ไปตีความเอาว่าเรากำลังเดินอยู่ด้วยกัน

เวลาที่เราเดินกับเวลาที่เขาเดินอาจเป็นคนละเวลา
จังหวะในการก้าวเท้าของเรากับจังหวะของเขาอาจเป็นคนละจังหวะ
วิธีย่างเท้าของเรากับวิธีของเขาอาจเป็นคนละวิธี


ถ้าเราจะใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันนั่นก็ไม่ได้หมายความว่าเราต้องมีทัศนคติต่อสิ่งต่างๆเหมือนกัน และถ้าเรามีทัศนคติต่างกันก็ไม่ได้หมายความว่าเราไม่ควรที่จะอยู่ด้วยกัน

แม้เราจะชอบอาหารต่างกันแต่เราก็นั่งร่วมโต๊ะด้วยกันได้
แม้เราจะมีประสบการณ์ต่างกันแต่เราก็หัวเราะร่วมกันได้
แม้เราจะมีความฝันต่างกันแต่เราก็เป็นกำลังใจให้กันได้


เหมือน-ต่าง ต่าง-เหมือน
ไม่สำคัญเท่าเข้าใจ
เข้าใจเขา เข้าใจเราเอง


เข้า - ใจ
รู้ ด้วย ใจ
รู้ จัก ใจ

รู้ - ใจ
ใจ - รู้



รู้



Note:
- อย่าหาว่าเขียนไม่บ่อย หรือเขียนได้ไม่ดีเลยนะครับ แค่มาเขียนได้เท่านี้ก็พยายามเต็มที่แล้ว และยังอยากจะเขียนต่อไปครับ

Wednesday, November 17, 2010

One Day in 2010


[image: lerk7]

เคยรึเปล่า - ที่บางวันตื่นนอนขึ้นมาแล้วรู้สึกได้เลยว่ามันจะต้องเป็นวันที่ดีแน่ๆ
วันนี้ผมลืมตาตื่นขึ้นพร้อมกับความมั่นใจว่ามันจะต้องเป็นวันที่ไม่ดีแน่ๆ

ถึงจะฟังดูต่างกันโดยสิ้นเชิงแต่ทั้งสองความคิดนี้มันมีอะไรที่คล้ายกันอยู่
ในกรณีแรก หากคุณตื่นมาพร้อมกับความรู้สึกว่าวันนี้จะเป็นวันที่ดี
ไม่ว่าระหว่างวันคุณจะพบเจออะไร คุณจะไม่รู้สึกว่ามันเลวร้ายมากนัก
แถมเรื่องเล็กๆที่เกิดขึ้นเป็นประจำทุกวันก็สามารถถูกมองเป็นเรื่องดีๆได้

ส่วนกรณีของผมที่ตื่นมาพร้อมความรู้สึกว่าไม่มีทางมีเรื่องดีเกิดขึ้นแน่ๆ
พอเจอเรื่องไม่ว่าเล็กน้อยแค่ไหนก็จะต้องรู้สึกแย่ไปหมด
เศษดินรถบรรทุกกระเด็นใส่ น้ำทิ้งหยดใส่ ของที่อยากกินหมด
และถ้าหากมีเรื่องที่แย่จริงๆเกิดขึ้นเมื่อไหร่ ความคิดแรกที่เข้ามาในหัวก็คือ
... "กูว่าแล้ว"

ถ้าใครรอตอนจบที่ได้แง่คิดสอนใจจากเรื่องนี้อยู่ อย่างที่เมื่ออดีตผมพยายามทำ
วันนี้ผมคงไม่สามารถคิดประดิษฐ์มันขึ้นมาได้ นอกจากบอกทุกคนว่า
"ขอให้นอนหลับสนิทยามค่ำคืน จะได้ตื่นมาพร้อมความสดใส"

... เท่านี้ล่ะครับวันนี้

Note:
- ไม่รู้มีคนรออยู่มั้ย แต่เรื่องงานแฟตของผมไม่มีกำหนดตอนต่อไปนะครับ เพราะอยากลงรูปให้ดูด้วย แต่คนถ่ายรูปหารูปไม่เจอ ... ก็รอไปด้วยกันครับ