tag:blogger.com,1999:blog-47278816024549435832024-03-13T07:23:12.416+07:00Journal of ThoughtsLerk7http://www.blogger.com/profile/09806922997940113883noreply@blogger.comBlogger222125tag:blogger.com,1999:blog-4727881602454943583.post-1759988262938155312013-02-01T05:06:00.000+07:002013-02-01T08:46:32.923+07:00Looking Back, Looking Forth<a href="http://www.flickr.com/photos/39158685@N02/3599997742/" title="NEW ROAD LAYOUT AHEAD by Gabriel Thomas, on Flickr"><img alt="NEW ROAD LAYOUT AHEAD" height="375" src="http://farm4.staticflickr.com/3331/3599997742_52705ec49d.jpg" width="500" /></a><br />
<b><span style="font-size: 85%;">[image: <a href="http://www.flickr.com/photos/39158685@N02/">Gabriel Thomas</a> @ <a href="http://www.flickr.com/">flickr</a>]</span></b><br />
<br />
ผมพึ่งนึกอะไรบางอย่างได้ ...<br />
<br />
ก่อนจะพูดถึงมัน ขอย้อนกลับไปราว 7 ปีกว่าๆก่อนหน้านี้<br />
ผมกำลังนั่งอยู่กับหญิงสาวที่เป็น 'หัวหน้า' คนแรกของผม<br />
น้ำตาผมไหลแบบควบคุมไม่ได้ จะพูดอะไรก็พูดไม่ออก<br />
เวลาครึ่งปีก่อนหน้านั้นที่ผมคลุกคลีอยู่กับเธอและเพื่อนร่วมงานคนอื่นๆกำลังจะจบลง<br />
ระยะเวลาครึ่งปีที่ผมได้ทำสิ่งที่รู้สึกว่าเป็นงานที่วิเศษที่สุดในชีวิตกำลังจะจบลง<br />
<br />
นั่นคือการลาออกครั้งแรกของผม<br />
<br />
ตอนนั้นผมรู้สึกเหมือนกำลังจะเสียสิ่งสำคัญในชีวิต<br />
ผมลาออกเพื่อไปทำหน้าที่ที่สังคมและคนรอบตัวคาดหวัง<br />
แต่ผมรู้สึกได้ว่าชีวิตผมคงไม่กลับไปมีช่วงเวลาวิเศษแบบนั้นได้อีกแล้ว<br />
งานออฟฟิศอื่นไหนไม่มีทางมีความหมายเท่ากับที่นี่<br />
เพื่อนร่วมงานที่อื่นก็ไม่มีทางมีเคมีที่เข้ากันได้มหัศจรรย์ขนาดนี้<br />
<br />
ผมคิดแบบนั้นจริงๆ แม้ว่าจะไม่เคยทำงานออฟฟิศที่อื่นมาก่อน<br />
<br />
ถัดจากวันนั้นมาอีก 3 ปี ผมนั่งตรงข้ามคนที่เป็นหัวหน้าเพื่อลาออกอีก 3 หน<br />
การคุยแต่ละครั้งก็แตกต่างกันไป แต่ไม่มีครั้งไหนที่ผมจะฟูมฟายอย่างครั้งแรก<br />
ส่วนหนึ่งเป็นเพราะผมทำใจไว้ตลอดว่าคงไม่สามารถผูกพันกับที่ไหนได้เท่านั้น<br />
คงจะไม่มีที่ไหนที่เราจะรู้สึกอาลัย อยากทำงานให้ไปตลอดได้ขนาดนั้นอีก<br />
นับจากวันที่ผมนั่งร้องไห้วันนั้น ผมจึงทำงานแต่ละที่เหมือนรอวันที่จะลาออกเท่านั้น<br />
<br />
กลับสู่เวลาปัจจุบัน ... ขณะที่ผมพึ่งนึกอะไรบางอย่างได้ ...<br />
<br />
ผมนึกออกว่าวันนี้คือวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2556<br />
ผมกำลังทำงานให้กับบริษัทที่ทำธุรกิจประเภทที่ไม่เคยคาดว่าจะได้มามีส่วนเกี่ยวข้อง<br />
ทำงานอยู่ในย่านที่ไม่คิดว่าจะมีคนสไตล์ที่เราคุ้นเคย และจะสนิทด้วยได้<br />
วันที่ผมตัดสินใจทำงานที่นี่ ผมเผื่อใจว่าในไม่นานคงจะได้นั่งคุยกับหัวหน้าอีกแน่<br />
ผมนึกออกว่าวันนี้คือวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2556 -- วันนี้ผมทำงานที่นี่ครบ 4 ปีพอดี<br />
<br />
... และหากมีการลาออกครั้งต่อไป ผมอาจจะกลั้นน้ำตาไม่อยู่อีกครั้งก็ได้<br />
<br />
<div class="post-note">
<span style="font-size: 85%;"><b>Note:</b><br />- ขอบคุณเพื่อนร่วมงาน และหัวหน้างานทุกท่านที่อดทนความบ้าบอของผมได้</span><br />
<span style="font-size: 85%;">- ขอบคุณทุกคนในแผนก ที่ร่วมกันสร้างบรรยากาศที่ดีในการทำงานทุกวัน อยากให้รับรู้ว่าสิ่งที่เรามีร่วมกันนี้มันไม่ได้เกิดขึ้นง่ายๆนะครับ</span><br />
<span style="font-size: 85%;">- นึกว่าเขียนยาวแล้วนะ มาย้อนอ่านดูสั้นนิดเดียวเอง ถ้าเทียบกับแต่ก่อน<br />
</span></div>
Lerk7http://www.blogger.com/profile/09806922997940113883noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-4727881602454943583.post-59483463709540529122012-02-20T20:02:00.001+07:002012-02-20T20:03:28.047+07:00The Truth Behind This Facade of Mine<a href="http://pink-promise.deviantart.com/art/too-late-for-truths-or-lies-185563157?q=boost%3Apopular%20facade&qo=454"><img src="http://fc09.deviantart.net/fs71/i/2010/313/c/2/too_late_for_truths_or_lies_by_pink_promise-d32h9g5.jpg" style="width:500px;"/></a><br />
<b><span style="font-size: 85%;">[image: <a href="http://pink-promise.deviantart.com">Pink-Promise</a> @ <a href="http://www.deviantart.com/">deviantART</a>]</span></b><br />
<br />
สิ่งที่ใครหรือใครเห็นว่าผมได้ทำ พูด เขียน หรือแสดงออกมา<br />
สิ่งเหล่านั้นอาจไม่ใช่สิ่งที่เป็นตัวตนของผมเลยก็ได้ <br />
<br />
แม้กระทั่งสิ่งที่คุณกำลังอ่านอยู่ในขณะเวลานี้ก็ตาม<br />
<br />
สิ่งที่คุณเห็นอาจเป็นเพียงฉากที่ผมทำขึ้นมากันที่อยู่ให้ตนเอง<br />
เป็นภาพสะท้อนของตัวตนในแบบที่คุณต้องการ<br />
<br />
หรือผมอาจเป็นเพียงเปลือกของความกระจัดกระจายที่ก่อตัวขึ้นก็เป็นได้<br />
<br />
<div class="post-note"><span style="font-size: 85%;"><b>Note:</b><br />
- ที่มาของชื่อ entry นี้มาจากลิงค์น <a href="http://quizilla.teennick.com/stories/16838172/the-truth-behind-this-facade-of-minetamaki-love-story ">[LINK]</a> -- เป็นวลีที่ชอบมากและรู้สึกว่าเหมาะกับตัวเองจริงๆ
<br />
</span></div>Lerk7http://www.blogger.com/profile/09806922997940113883noreply@blogger.com2tag:blogger.com,1999:blog-4727881602454943583.post-79306915764068690442011-12-21T21:41:00.001+07:002011-12-21T21:42:17.572+07:00The question that never was<iframe width="420" height="315" src="http://www.youtube.com/embed/Dx6qiZTvbFE" frameborder="0" allowfullscreen></iframe><br />
<br />
<i>On the edge of the universe,<br />I stood in the cold darkness,<br />I stared into the vast emptiness,<br />I screamed out sheer silence.<br /><br />On the edge of the universe,<br />where everything is nothing,<br />where nothing is everything,<br />chaos and peace came into existence.</i><br /><br /><br />บ่อยครั้งที่เราตั้งคำถามกับเรื่องราวสับสนวุ่นวายในชีวิตต่างๆนาๆ<br />แล้วเราก็พยายามก้มหน้าก้มตาควานหาคำตอบให้กับมัน<br /><br />ทำยังไงถึงจะรวย? ทำไมชีวิตกูถึงซวย? <br />เมื่อไหร่จะเจอคนดีๆ? ต้องทำยังไงคนนั้นถึงจะรักเรา? <br />บาปบุญมีอยู่มั้ย? อะไรคือเรื่องจริง? เราเกิดมาเพื่ออะไร? <br /><br />แต่สิ่งที่เราเฝ้าถามมันไม่เคยมีคำตอบ <br />เพราะมันไม่เคยมีคำถามมาตั้งแต่แรก<br /><br />โลกนี้สามารถหมุนและดำเนินไปได้โดยปราศจากคำถามเหล่านี้<br />เราต่างหากที่รู้สึกว่าตนเองไม่สามารถหมุนและดำเนินไปได้หากปราศจากคำตอบ<br />โดยที่ไม่ทันมองว่าเราก็หมุนและดำเนินอยู่เรื่อยไปไม่ว่าอย่างไร<br />
<br />
<br />
<br />
<br />
<br />
เพราะเราคือโลก<br /><br />
เพราะโลกคือเรา<br />
<br />
<br />
<br />
<br />
ไม่มีคำถาม<br /><br />
ไม่มีคำตอบ<br />
<br /><br />
<br />
<div class="post-note">
<span style="font-size: 85%;"><b>Note:</b><br />- ปัญหาใหญ่หลวงจากการว่างเว้นจากการเขียนบล็อกแล้วหันไปใช้บริการเว็บไซต์อย่าง Facebook สำหรับผมแล้ว นอกจากความติดขัดในการเรียบเรียงความคิด จับประเด็นมาเขียนให้ได้ชัดเจน นั่นก็คือการติดความเป็น egocentric ของ Facebook มาด้วย ทั้ง ego ของผมเองและ ego ของท่านอื่นๆ ผมเสพ ego เหล่านั้นจนกระทั่งเต็มพื้นที่ความคิด และยังไปขุด ego ของตนมาเสริม ซึ่งทำให้เต็มไปด้วยความขุ่นเคืองของใจ ไม่สามารถเกิดความคิดเชิงสร้างสรรค์ ความพยายามของผมในช่วงนี้คือการกำจัดความรู้สึกเหล่านี้ออกไปให้ได้มากที่สุด เพื่อเรียกความรู้สึกดีๆตอนที่สามารถเขียนได้บ่อยๆเหมือนแต่ก่อนกลับมาอีกครั้ง เพราะช่วงนั้นเป็นช่วงที่จิดใจปลอดโปร่งจริงๆ ... ดังนั้นหากสิ่งที่เขียนในช่วงนี้อาจดูหม่นหมอง หรือแฝงความเกรี้ยวกราดไว้ โปรดเข้าใจว่านั่นคือตัวตนของผมในขณะที่เขียนมันออกมา </span></div>Lerk7http://www.blogger.com/profile/09806922997940113883noreply@blogger.com1tag:blogger.com,1999:blog-4727881602454943583.post-4401839498504629812011-12-20T17:03:00.000+07:002011-12-20T17:19:14.626+07:00Don't Do Drugs<a href="http://rulebreakr.deviantart.com/art/Drugs-I-152105425?q=boost%3Apopular%20%28%28drugs%29%20AND%20%28by%3Arulebreakr%29%29&qo=1"><img src="http://fc08.deviantart.net/fs70/f/2010/028/0/b/Drugs_I_by_rulebreakr.jpg" style="width: 500px;" /></a><br />
<b><span style="font-size: 85%;">[image: <a href="http://rulebreakr.deviantart.com/">rulebreakr</a> @ <a href="http://www.deviantart.com/">deviantART</a>]</span></b><br />
<br />
<br />
ผมไม่ได้เห็นด้วยกับพี่เสกว่าการเสพยามันเป็นเรื่องปกติธรรมดาของคนเป็นศิลปิน <br />
แต่ผมก็ไม่เห็นด้วยกับอีกหลายคนที่ออกมาบอกว่าศิลปินไม่ต้องเสพยาก็สามารถทำงานเพลงได้<br />
<br />
จริงๆแล้วจะเสพยาหรือไม่เสพยามันไม่ใช่เงื่อนไขของงานเพลงที่ออกมาเลย<br />
แต่มันเป็นเงื่อนไขของบุคคลที่จะทำงาน ไม่เฉพาะแค่งานเพลงเท่านั้น<br />
หรือพูดให้ชัดๆคือ <b>มันเป็นเงื่อนไขของการใช้ชีวิตของแต่ละบุคคล </b><br />
<br />
ย้ำว่า <b>ของแต่ละบุคคล </b><br />
<br />
ต้องเสพยาถึงจะทำเพลงดีๆได้ ... ก็ถูกของพี่ครับ<br />
ไม่ต้องเสพยาก็ทำเพลงเจ๋งๆได้ ... ก็ถูกของพี่อีกคนครับ<br />
<br />
เพราะว่ามันเป็นเรื่องของแต่ละคน ยากับงานมันไม่ได้มีความสัมพันธ์อะไรทั้งนั้น<br />
<br />
สำหรับคนที่ไม่ติดยา เขาก็สามารถหาแรงบันดาลใจได้จากแหล่งต่างๆ และคิดงานดีๆออกมาได้<br />
แต่ก็มีบางคนที่รู้สึกว่าต้องอาศัยพึ่งแรงกระตุ้นจากยาเสพติด เพราะมันเป็นเงื่อนไขของใจเขา<br />
<br />
<br />
ผมเลยไม่เห็นด้วยกับคนที่ตัดสินพี่เสกด้วยการเอาวิถีของตนเองเป็นมาตรฐาน<br />
และผมก็ไม่เห็นด้วยกับพี่เสกที่พูดเหมือนกับว่าวิถีชีวิตอย่างตนเองคือเรื่องปกติ<br />
<br />
... เพราะโลกนี้ไม่เห็นจะมีอะไรที่เรียกได้ว่าปกติสักอย่าง<br />
<br />
<div class="post-note">
<span style="font-size: 85%;"><b>Note:</b></span><br />
<span style="font-size: 85%;">- ผมเริ่มเขียน เรื่องนี้ด้วยความตั้งใจว่าจะโพสต์เป็น status บน facebook ... แต่ยิ่งเขียนมันยิ่งยาว เลยถือโอกาสหยิบบล็อกขึ้นมาปัดฝุ่นสักหน่อย ... หวังว่าทุกท่านยังสบายดีนะครับ</span><br />
<span style="font-size: 85%;">-
หลังๆพื้นที่ตอนท้ายตรงนี้เป็นเหมือนเป็นที่ๆมีไว้ให้ผมตอกย้ำตัวเองว่าไม่
ได้เขียนมานานแสนนานแค่ไหน ... เช่นว่า entry นี้ห่างจาก entry ก่อนหน้า
229 วัน(!) เป็นต้น</span><span style="font-size: 85%;"> </span></div>Lerk7http://www.blogger.com/profile/09806922997940113883noreply@blogger.com3tag:blogger.com,1999:blog-4727881602454943583.post-91580235610074468672011-05-05T16:18:00.001+07:002011-05-05T16:21:47.847+07:00Finding Comfort in Pain<a href="http://www.flickr.com/photos/visbeek/3955879855/"><img src="http://farm3.static.flickr.com/2613/3955879855_61ec30d463_z.jpg" style="width:500px;"/></a><br />
<b><span style="font-size: 85%;">[image: <a href="http://www.flickr.com/photos/visbeek/">Ben</a> @ <a href="http://www.flickr.com/">flickr</a>]</span></b><br />
<br />
อากาศมันช่างร้อนเหลือเกินในช่วงนี้ <br />
เมื่อต้องเดินฝ่าแดดก็เหมือนผิวจะถูกเผาจนไหม้<br />
เมื่อขึ้นรถที่ตากแดดไว้ค่อนวันก็เหมือนโดนอบ<br />
เป็นโชคดีแค่ไหนที่ทุกวันนี้มีเครื่องปรับอากาศ<br />
ร้อนเมื่อไหร่ก็เอื้อมมือไปเร่งแอร์<br />
พอความร้อนหาย เริ่มจะหนาวก็ปรับแอร์ให้พอสบาย<br />
<br />
... ชีวิตมันง่ายไปมั้ย?<br />
<br />
เราถูกรายล้อมไปด้วยอุปกรณ์ให้ความสะดวกจนเคยชิน<br />
จนกระทั่งเราไม่ทันได้สังเกตความไม่สบายที่สัมผัสชั่วครู่<br />
แค่มีอะไรมาระคายความสบายเข้าหน่อย เราก็มีตัวช่วย<br />
มาแก้ทันที<br />
<br />
อาาศร้อนก็แค่เร่งแอร์<br />
อากาศหนาวก็มีน้ำอุ่นอาบ<br />
อาหารไม่ร้อนก็เข้าไมโครเวฟ<br />
น้ำไม่เย็นก็เข้าตู้เย็น ... รีบหน่อยก็เข้าช่องฟรีซ<br />
ไม่อยากเดินเมื่อยก็ขึ้นลิฟต์<br />
ไม่อยากเดินก็ใช้รีโมท<br />
ไม่อยากเดินก็โทรศัพท์<br />
<br />
... ชีวิตมันง่ายไปมั้ย?<br />
<br />
เราอยู่ในสังคมที่เต็มไปด้วยความรู้สึกจำเป็นจะต้องได้ทุกอย่าง "ทันที"<br />
อยากกินอะไรก็โทรสั่ง 'ทันที' <br />
อยากซื้ออะไรก็เปิดเว็บช้อปปิ้ง 'ทันที'<br />
อยากได้อะไรราคาแพงก็ใช้บัตรเครดิตซื้อได้ 'ทันที'<br />
อยากรู้เรื่องอะไรก็รีบกดโทรศัพท์สมาร์ทโฟนหา 'ทันที'<br />
อยากระบายอะไรก็รีบพ่นความในใจออกมาสู่โลกออนไลน์ 'ทันที'<br />
<br />
... จน 'บางที' เราก็ลืมเลือนไปว่าขั้นตอนที่เราเคยต้องรอมันหายไป<br />
... จน 'บางที' เราก็ลืมเลือนชีวิตมีเรื่องลำบาก มีเรื่องต้องทน มีเรื่องต้องรอ<br />
... จน 'บางที' เราก็ลืมเลือนว่าจะรับมือกับเรื่องเหล่านี้ได้ยังไง<br />
<br />
ทุกวันนี้ผมเห็นคนเป็นทุกข์มากกว่าคนมีความสุข<br />
เห็นคนบ่นเรื่องความรัก บ่นเรื่องการงาน บ่นเรื่องเจอคนน่ารำคาญ<br />
<br />
เพราะเรื่องเหล่านี้มันยังไม่มีเครื่องมืออะไร<br />
มาช่วยจัดการให้ได้ทันที<br />
<br />
ลองถอยตัวเองออกมาจากความสบายบ้าง <br />
ให้ชีวิตเราได้เจอเรื่องไม่เป็นอย่างใจบ้าง<br />
หาพื้นที่ในใจจัดเก็บและค่อยๆปล่อยเรื่องเหล่านั้นออกไปบ้าง<br />
รู้จักแยกแยะระหว่าง 'ความทุกข์' กับ 'ความรู้สึกเป็นทุกข์' ออกจากกัน<br />
<br />
ครั้งต่อไปที่คุณเอื้อมมือไปปรับแอร์คุณอาจจะรู้สึกว่าเราถูกรายล้อมไปด้วยเรื่องดีๆมากมายก็ได้<br />
<br />
<div class="post-note"><span style="font-size: 85%;"><b>Note:</b><br />
- ขอปิดด้วยเพลงที่ผมฟังติดกันมาสองวันแล้วนะครับ <b>'เช้าที่ไม่ต่างไป'</b> โดยวงดนตรี <b>ภูมิจิต</b><br />
<iframe width="425" height="349" src="http://www.youtube.com/embed/powwIvZEM7I" frameborder="0" allowfullscreen></iframe><br />
</span></div>Lerk7http://www.blogger.com/profile/09806922997940113883noreply@blogger.com5tag:blogger.com,1999:blog-4727881602454943583.post-1848301300184877712010-11-23T23:20:00.002+07:002010-11-23T23:24:16.487+07:00Know<a href="http://www.flickr.com/photos/st-stev/119751211/"><img src="http://farm1.static.flickr.com/37/119751211_4466b2d4a9.jpg" /></a><br />
<b><span style="font-size: 85%;">[image: <a href="http://www.flickr.com/photos/st-stev/">St Stev</a> @ <a href="http://www.flickr.com/">flickr</a>]</span></b><br />
<br />
เส้นทางที่เราเดินกันอยู่นี้ แม้มันจะมีทิวทัศน์รอบข้างที่เหมือนกัน แม้ว่าจุดหมายปลายทางของเราจะเป็นที่เดียวกัน แต่ก็จงอย่าได้ไปตีความเอาว่าเรากำลังเดินอยู่ด้วยกัน <br />
<br />
เวลาที่เราเดินกับเวลาที่เขาเดินอาจเป็นคนละเวลา<br />
จังหวะในการก้าวเท้าของเรากับจังหวะของเขาอาจเป็นคนละจังหวะ<br />
วิธีย่างเท้าของเรากับวิธีของเขาอาจเป็นคนละวิธี<br />
<br />
<br />
ถ้าเราจะใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันนั่นก็ไม่ได้หมายความว่าเราต้องมีทัศนคติต่อสิ่งต่างๆเหมือนกัน และถ้าเรามีทัศนคติต่างกันก็ไม่ได้หมายความว่าเราไม่ควรที่จะอยู่ด้วยกัน<br />
<br />
แม้เราจะชอบอาหารต่างกันแต่เราก็นั่งร่วมโต๊ะด้วยกันได้<br />
แม้เราจะมีประสบการณ์ต่างกันแต่เราก็หัวเราะร่วมกันได้<br />
แม้เราจะมีความฝันต่างกันแต่เราก็เป็นกำลังใจให้กันได้<br />
<br />
<br />
เหมือน-ต่าง ต่าง-เหมือน<br />
ไม่สำคัญเท่าเข้าใจ<br />
เข้าใจเขา เข้าใจเราเอง<br />
<br />
<br />
เข้า - ใจ<br />
รู้ ด้วย ใจ<br />
รู้ จัก ใจ<br />
<br />
รู้ - ใจ<br />
ใจ - รู้<br />
<br />
<br />
<br />
<span style="font-size: xx-small;">รู้</span><br />
<br />
<br />
<br />
<div class="post-note"><span style="font-size: 85%;"><b>Note:</b><br />
- อย่าหาว่าเขียนไม่บ่อย หรือเขียนได้ไม่ดีเลยนะครับ แค่มาเขียนได้เท่านี้ก็พยายามเต็มที่แล้ว และยังอยากจะเขียนต่อไปครับ</span></div>Lerk7http://www.blogger.com/profile/09806922997940113883noreply@blogger.com10tag:blogger.com,1999:blog-4727881602454943583.post-30397794521948925892010-11-17T20:39:00.011+07:002011-02-17T14:44:03.959+07:00One Day in 2010<a onblur="try {parent.deselectBloggerImageGracefully();} catch(e) {}" href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjDUcow3HmxapSgH2va5oGSo2hnZcHzZReQFVlWBhRLmhwRjieSPeBPY2CdSpJABsE5Cew-vJMnGtTzo50GPxd2yNnCXipfEsAFBW1HTg-Vdhqjs2P932ykxxxPwOGOwL2RLzGVggrTaN8/s1600/FML.jpg"><img style="cursor: pointer; width: 400px; height: 266px;" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjDUcow3HmxapSgH2va5oGSo2hnZcHzZReQFVlWBhRLmhwRjieSPeBPY2CdSpJABsE5Cew-vJMnGtTzo50GPxd2yNnCXipfEsAFBW1HTg-Vdhqjs2P932ykxxxPwOGOwL2RLzGVggrTaN8/s400/FML.jpg" alt="" id="BLOGGER_PHOTO_ID_5540518140112423026" border="0" /></a><br />
<span style="font-size:85%;"><span style="font-weight: bold;">[image: <a href="http://lerk7.blogspot.com/">lerk7</a>]</span></span><br />
<br />
<span style="font-weight: bold;">เคยรึเปล่า</span> - ที่บางวันตื่นนอนขึ้นมาแล้วรู้สึกได้เลยว่ามันจะต้องเป็นวันที่ดีแน่ๆ<br />
วันนี้ผมลืมตาตื่นขึ้นพร้อมกับความมั่นใจว่ามันจะต้องเป็นวันที่ไม่ดีแน่ๆ<br />
<br />
ถึงจะฟังดูต่างกันโดยสิ้นเชิงแต่ทั้งสองความคิดนี้มันมีอะไรที่คล้ายกันอยู่<br />
ในกรณีแรก หากคุณตื่นมาพร้อมกับความรู้สึกว่าวันนี้จะเป็นวันที่ดี<br />
ไม่ว่าระหว่างวันคุณจะพบเจออะไร คุณจะไม่รู้สึกว่ามันเลวร้ายมากนัก<br />
แถมเรื่องเล็กๆที่เกิดขึ้นเป็นประจำทุกวันก็สามารถถูกมองเป็นเรื่องดีๆได้<br />
<br />
ส่วนกรณีของผมที่ตื่นมาพร้อมความรู้สึกว่าไม่มีทางมีเรื่องดีเกิดขึ้นแน่ๆ<br />
พอเจอเรื่องไม่ว่าเล็กน้อยแค่ไหนก็จะต้องรู้สึกแย่ไปหมด<br />
เศษดินรถบรรทุกกระเด็นใส่ น้ำทิ้งหยดใส่ ของที่อยากกินหมด<br />
และถ้าหากมีเรื่องที่แย่จริงๆเกิดขึ้นเมื่อไหร่ ความคิดแรกที่เข้ามาในหัวก็คือ<br />
... <span style="font-size:130%;">"กูว่าแล้ว"</span><br />
<br />
ถ้าใครรอตอนจบที่ได้แง่คิดสอนใจจากเรื่องนี้อยู่ อย่างที่เมื่ออดีตผมพยายามทำ<br />
วันนี้ผมคงไม่สามารถคิดประดิษฐ์มันขึ้นมาได้ นอกจากบอกทุกคนว่า<br />
<span style="font-weight: bold;">"ขอให้นอนหลับสนิทยามค่ำคืน จะได้ตื่นมาพร้อมความสดใส"</span><br />
<br />
... เท่านี้ล่ะครับวันนี้<br />
<br />
<div class="post-note"><span style="font-weight: bold; font-style: italic;font-size:85%;" >Note:</span><span style="font-size:85%;"><br />
- ไม่รู้มีคนรออยู่มั้ย แต่เรื่องงานแฟตของผมไม่มีกำหนดตอนต่อไปนะครับ เพราะอยากลงรูปให้ดูด้วย แต่คนถ่ายรูปหารูปไม่เจอ ... ก็รอไปด้วยกันครับ</span><br />
</div>Lerk7http://www.blogger.com/profile/09806922997940113883noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-4727881602454943583.post-15726519886919583112010-11-09T20:07:00.015+07:002010-11-10T14:15:29.353+07:00Fat Impression<a onblur="try {parent.deselectBloggerImageGracefully();} catch(e) {}" href="http://www.facebook.com/deepheaddotcom"><img style="cursor: pointer; width: 500px;" src="http://sphotos.ak.fbcdn.net/hphotos-ak-snc3/hs072.snc3/13938_208070676137_169052126137_4586664_3648846_n.jpg" alt="" border="0" /></a><br /><span style="font-size:85%;"><span style="font-weight: bold;">[image: <a href="http://www.sittichaijittatad.com/">Sittichai Jittatad</a> @ <a href="http://www.facebook.com/deepheaddotcom">deephead.com</a>]</span></span><br /><br />งานแฟตกับผมนับว่ามีความผูกพันกันมายาวนานพอสมควร แม้ว่าผมจะไม่ใช่กลุ่มผู้บุกเบิกที่ไปเทศกาลดนตรีนี้ตั้งแต่หนแรกที่โรงงานยาสูบก็ตาม แต่หากนับจำนวนชั่วโมงที่อยู่ในงานนี้ ผมค่อนข้างมั่นใจว่าไม่น้อยกว่าใครแน่นอน แม้กระทั่งทีมงานก็เถอะ เพราะว่าผมมักจะต้องไปตั้งแต่วัน set up + soundcheck ในวันงานจริงก็จะไปตั้งแต่เช้าของวันแรก <span style="font-size:85%;">(เช้าตรู่ในบางครั้ง)</span> และอยู่กระทั่งปิดงานวันที่สอง จนคนงานเข้ามาเก็บกวาดสถานที่นั่นแหละถึงจะได้กลับ<br /><br />ผมไม่สามารถตอบได้ว่าผมชอบงานแฟตมากน้อยเพียงใด เพราะความรู้สึกที่มีต่อเทศกาลนี้มันเปลี่ยนไปอยู่ตลอด บางมุมผมก็ชอบที่เรามีงานที่ทำให้ได้ดูโชว์ดนตรีแปลกๆจำนวนเยอะๆในงานเดียว ในราคาไม่แพง <span style="font-size:85%;">(หรือฟรีในครั้งแรกๆ)</span> การจัดคอนเสิร์ตพร้อมกันหลายๆเวทีให้เราต้องตัดสินใจเลือกดูได้แค่วงเดียวในช่วงเวลาหนึ่งก็เป็นเสน่ห์อย่างหนึ่ง theme งานและสถานที่ที่เปลี่ยนไปตลอดทุกครั้งก็ทำให้ชื่นชมความพยายามของทีมงาน<span style="font-size:85%;">(ไม่ว่าสุดท้ายจะได้ผลตอบรับที่ดีหรือไม่ก็ตาม)</span> และมีน้อยงานนักที่เราจะได้พบเพื่อนร่วมรสนิยม และพูดคุยกับศิลปินได้อย่างใกล้ชิดอย่างงานแฟต<br /><br />กลับกันในอีกหลายๆมุมก็มีเรื่องที่ไม่ชอบอยู่เช่นกัน เช่นการที่ศิลปินอิสระบางท่านมองว่ามันเป็นงานสำคัญที่สุดประจำปีจนหลายคนที่ผมรู้จักต้องพยายามเร่งให้งานเสร็จทันขายในงานแฟตเหมือนว่าเส้นทางการเป็นศิลปินขึ้นอยู่กับงานนี้งานเดียวเท่านั้น หรือบางทีก็มีคนที่ตั้งหน้าตั้งตาจะมาหาผลกำไรจากงานเพียงอย่างเดียวโดยละเลยความกลมกลืนกับงานไปเสียสนิท รวมไปถึงความตั้งใจของศิลปินหรือค่ายเพลงที่จะมานำเสนอผลงานในเทศกาลนี้ที่ถดถอยลงไป สังเกตได้จากบูธที่ว่างเปล่าหลังประตูเข้างานเปิดแล้ว ต่างจากงานครั้งแรกๆที่ค่ายเพลงดูจะตื่นเต้นกับการได้มาร่วมงานแบบนี้มาก ซึ่งนั่นก็อาจเป็นเพราะปัจจุบันมีสิ่งที่ถูกเรียกว่าเทศกาลดนตรีเกิดขึ้นแทบทุกเดือนจนไม่เหลือความน่าตื่นเต้นแล้วก็เป็นได้<br /><br />และที่คนอย่างผมจะไม่บ่นไม่ได้ก็คือเรื่องของกลุ่มคนจำนวนมากที่เข้ามายังงานเพียงเพื่อแสดงออกถึงอัตตาความ cool ในรูปแบบของตนเองโดยไม่สนใจว่าวัตถุประสงค์หรือกฎเกณ์ภายในงานเป็นอย่างไร<br /><br />หากเหมือนว่าผมเริ่มเข้าสู่วัยกลางคนที่มองอดีตเป็นเรื่องสวยงามกว่าเหตุการณ์ปัจจุบัน และมีมุมมองปฏิเสธค่านิยมและพฤติกรรมของคนรุ่นใหม่ก็ไม่ผิดนัก เพราะผมก็ยังมีความอยากส่วนตัวที่ให้คนรักเรื่องราวของดนตรีให้ถึงแก่นของมันมากกว่าการเสพมันแบบฉาบฉวย ซึ่งมันคงไม่มีวันเป็นความจริงได้เพราะไม่ว่าอย่างไรยุคสมัยใดกระแสความฉาบฉวยนั้นย่อมเป็นกลุ่มเป้าหมายหลักอันเป็นตัวผลักดันทิศทางของธุรกิจต่างๆซึ่งเป็นแหล่งเงินทุนที่ทำให้เกิดงานที่ไม่น่าจะทำเงินจากกลุ่มคนเพียงหยิบมือได้<br /><br />ที่เขียนมาข้างต้นนั้น ความตั้งใจแรกมันควรจะเป็นบทเกริ่นนำของสิ่งที่ผมกำลังจะเขียนต่อไป นั่นก็คือความทรงจำของผมเกี่ยวกับงานแฟตในแต่ละครั้งที่ผ่านมา แต่มองไล่ย้อนกลับขึ้นไปก็รู้สึกว่ามันเริ่มยาวกว่า entry ปกติที่ผมเคยๆเขียน หากเขียนต่อไปมันก็คงจะยาวอย่างมหาศาลเพราะความทรงจำในแต่ละปีนั้นมันช่างเยอะเหลือเกิน ขืนเขียนทั้งหมดไปคงไม่ทำให้ใครรู้สึกดีกับมันแน่ๆ<br /><br />... ก็ขอยกไปไว้โอกาสหน้าละกัน<br /><br /><span style="font-style: italic;">(ยินดีให้ติดตามอ่านตอนต่อไป)</span><br /><br /><div class="post-note"><span style="font-style: italic;font-size:85%;" ><span style="font-weight: bold;">Note:</span></span><br /><span style="font-size:85%;">- ลองทำสิ่งเนิร์ดๆด้วยการนับชั่วโมงที่อยู่ในงานแฟตแต่ละปีดู นับเฉพาะวัน set up และวันงานเท่านั้น (ไม่นับวันสำรวจสถานที่) ผลออกมาดังนี้:<br /></span><br /><span style="font-size:85%;">ครั้งที่ 1 โรงงานยาสูบ<br /><span style="font-style: italic;">ระยะเวลาที่อยู่ในงานโดยประมาณ: 0 ชั่วโมง</span></span><br /><span style="font-size:85%;">ครั้งที่ 2 ห้างอิมพีเรียล ลาดพร้าว<br /><span style="font-style: italic;">ระยะเวลาที่อยู่ในงานโดยประมาณ: 0 ชั่วโมง</span></span><br /><span style="font-size:85%;">ครั้งที่ 3 สวนสยาม<br /><span style="font-style: italic;">ระยะเวลาที่อยู่ในงานโดยประมาณ: 48 ชั่วโมง</span></span><br /><span style="font-size:85%;">ครั้งที่ 4 สนามม้านางเลิ้ง<br /><span style="font-style: italic;">ระยะเวลาที่อยู่ในงานโดยประมาณ: 46 ชั่วโมง</span></span><br /><span style="font-size:85%;">ครั้งที่ 5 แดนเนรมิต<br /><span style="font-style: italic;">ระยะเวลาที่อยู่ในงานโดยประมาณ: 33 ชั่วโมง</span></span><br /><span style="font-size:85%;">ครั้งที่ 6 IMPACT Challenger Hall<br /><span style="font-style: italic;">ระยะเวลาที่อยู่ในงานโดยประมาณ: 35 ชั่วโมง</span></span><br /><span style="font-size:85%;">ครั้งที่ 7 IMPACT Challenger Hall<br /><span style="font-style: italic;">ระยะเวลาที่อยู่ในงานโดยประมาณ: 0 ชั่วโมง</span></span><br /><span style="font-size:85%;">ครั้งที่ 8 IMPACT Challenger Hall<br /><span style="font-style: italic;">ระยะเวลาที่อยู่ในงานโดยประมาณ: 32 ชั่วโมง</span></span><br /><span style="font-size:85%;">ครั้งที่ 9 IMPACT Challenger Hall<br /><span style="font-style: italic;">ระยะเวลาที่อยู่ในงานโดยประมาณ: 31 ชั่วโมง</span></span><br /><span style="font-size:85%;">ครั้งที่ 10 ลานทะเลสาบเมืองทองธานี<br /><span style="font-style: italic;">ระยะเวลาที่อยู่ในงานโดยประมาณ: 12 ชั่วโมง</span></span><br /><br /><span style="font-size:85%;">รวมทั้งสิ้น <span style="font-weight: bold;">237 ชั่วโมง</span> -- เยอะประมาณคนที่ไปงานทั้งสองวันทุกปี และอยู่ในงานตั้งแต่ประตูเปิดจนปิดงาน<br /><br />- ภาพด้านบนเป็นภาพที่ผมชอบมากจากงานแฟตครั้งที่ 9 ถ่ายโดยคุณ <span style="font-weight: bold;">สิทธิชัย จิตตะทัต</span> (ช่างภาพสารคดีของกลุ่มช่างภาพ <span style="font-weight: bold;">Hanuman</span> และเว็บไซต์ <span style="font-weight: bold;">deephead.com</span>) -- เป็นภาพวันซาวด์เช็ค ขณะที่แม่บ้านกำลังทำความสะอาดพื้นที่ และต่างสงสัยว่าศิลปินที่ขึ้นมาซาวด์เช็คคนแล้วคนเล่าเหล่านั้นเป็นใครกัน</span></div>Lerk7http://www.blogger.com/profile/09806922997940113883noreply@blogger.com1tag:blogger.com,1999:blog-4727881602454943583.post-77721134819208323602010-11-09T15:14:00.003+07:002010-11-09T15:30:21.350+07:00A Promise to Return<a onblur="try {parent.deselectBloggerImageGracefully();} catch(e) {}" href="http://www.flickr.com/photos/tudor/520997901/"><img style="cursor: pointer; width: px; height: 500px;" src="http://farm1.static.flickr.com/222/520997901_d8bfbce714_z.jpg?zz=1" alt="" border="0" /></a><br /><span style="font-size:85%;"><span style="font-weight: bold;">[image: </span><a style="font-weight: bold;" href="http://www.flickr.com/photos/tudor/">TheGiantVermin</a><span style="font-weight: bold;"> @ </span><a style="font-weight: bold;" href="http://www.flickr.com/photos/tudor/">flickr</a><span style="font-weight: bold;">]</span></span><br /><br />ผมจะกลับมาเขียนบล็อก<br />ผมจะกลับมาเขียนบล็อก<br />ผมจะกลับมาเขียนบล็อก<br />ผมจะกบลับมาเจขียนบล็อก<br />ผมจะกลับมาเขจียนบล็อก<br />ผมจะกลับมาเขียนบล็อก<br />ผมจขะกดลับมาเขียนบล็อก<br />ผมจะกลับมาเจียนบล็อก<br />ผมจะกบลัมาเขียนบล็อกผม<br />จะกบลับมาเขียนบล็อก<br />ผมจะกลับมาเจัยนบล็อก<br />ผมจะกลับมาเขียนบล็ฏอก<br />ผมจะกลับมาเขียนบลฮอก<br />ผมจะกลับมาเขียนบล้ฮแก<br />ผมจะกลับมาเขียนบลฮฏ<br />ผมจะกละสยมาเขียนหยบลอก<br />ผมจะกบลัยมาเขียนบล็อก<br />ผมจะกลับมาเขียนบลกอกห<br />ผมจะกลับใมาเขียนบล็อก<br />ผมจะกลับมาเขชัยนบลฮฏ<br />ผมจะกลับมาเขียนบลฮฏโ<br />ผมจักลัะยมาเขียนแดบลแ<br />ผมจะหกลัวยมาแกเขียนบล็อก<br />ผมจะปลับมาเขียนบลฮฏ<br />ฟมจะผลับมาเขัยนบลก<br />ผมจะกลับยมแาเชียนบลอก<br />ผมจะลกวยะมาเขียนบลอก<br />ผมจะหกลับมาเขียนบยลอแก<br /><br /><br />...<br />...<br />...<br /><br /><br />ผมจะกลับมาเขียนบล็อก<br /><br /><br />จริงๆ<br /><br /><br />แม้ว่าจะไม่ใช่ทุกวันเหมือนก่อน แต่ก็จะเขียนเรื่อยๆ -- สัญญาLerk7http://www.blogger.com/profile/09806922997940113883noreply@blogger.com2tag:blogger.com,1999:blog-4727881602454943583.post-46189261754023952262010-05-20T01:43:00.001+07:002010-05-20T12:45:48.037+07:00Burned<span style="color: rgb(102, 102, 102);font-size:130%;" ><br /><span style="color: rgb(192, 192, 192);">ผมตื่นมาเห็นกรุงเทพมหานครจมหายไปในกลุ่มควันที่พวยพุ่ง</span><br /><br /><span style="color: rgb(192, 192, 192);">และได้แต่นั่งดูกรุงเทพมหานครมอดไหม้ไปในกองเพลิงยามค่ำคืน</span><br /><br /></span>Lerk7http://www.blogger.com/profile/09806922997940113883noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-4727881602454943583.post-90581764856659057472010-03-01T03:15:00.003+07:002010-03-01T03:18:33.190+07:00The First of the Decadeนี่เป็น draft ที่ผมใช้เวลากับมันมานานที่สุดเท่าที่เคยเขียนมา<br />นานจนพี่พีและคุณพีร์ตัดหน้าผมไปซะแล้ว (เสียหน้ามากๆ)<br />การใช้ภาษาของผมตอนนี้เมื่อเทียบกับอันก่อนๆดูจะต่างกันมาก<br />อาจจะทำให้คุณไม่ชอบ ... หรือคุณอาจจะไม่เคยชอบมาตั้งแต่แรกแล้ว<br />แต่นั่นก็ไม่สำคัญ เพราะคงสามารถใช้นิ้วมือนับจำนวนคนอ่านได้หมด<br /><br />ผมแค่หวังว่าทุกคนจะสบายดี ...<br /><br />........................................................................<br /><blockquote><br />We are not the same persons this year as last; nor are those we love. It is a happy chance if we, changing, continue to love a changed person.<br /><span style="font-style: italic;">W. Somerset Maugham (1874-1965)</span> </blockquote><br /><br />ทุกๆคนต้องมีความเปลี่ยนแปลง ไม่มีใครเหมือนเดิมไปได้ตลอด<br />แค่ปีที่ผ่านมาคนรู้จักคุ้นเคยของผมก็เปลี่ยนงานกันนับสิบราย<br />เพื่อนหลายๆคนแต่งงานมีครอบครัว มีลูกหลานกันไป<br />บางคนอ้วนขึ้น บางคนผอมลง บ้างก็ดูโทรมลงมาก แต่ก็มีคนที่กลับดูดีผิดหูผิดตา<br />หลายๆคนที่เคยเป็นคนน่าเบื่อกลับมีชีวิตที่เต็มไปด้วยสีสัน<br />และหลายคนที่เคยเป็นคนที่น่าสนใจ กลับกลายเป็นคนหม่นหมอง<br /><br />ชีวิตมันไม่ใช่ของแน่นอน<br /><br />ผมเองเคยเป็นคนใจร้อน วันหนึ่งมารู้ตัวอีกทีก็กลายเป็นคนใจเย็น<br />แต่พอไม่ได้โกรธใครมานานหลายปี จู่ๆก็กลายเป็นคนหงุดหงิดง่ายอีกครั้ง<br />ร่างกายที่เคยแข็งแรง คล่องแคล่ว วันนี้กลับรู้สึกอ่อนแอมากๆ<br />เรื่องที่เห็นคนอื่นทำแล้วเคยบ่นด่าคนเอาไว้ คงมีบ้างที่วันนี้กลับทำซะเอง<br />สิ่งที่เคยทำเคยพูดกับคนอื่นไว้ หลายทีพอเจอกับตัวเองแล้วรู้สึกว่าไม่ดีเหมือนกัน<br /><br />ชีวิตมันไม่ใช่ของแน่นอน<br /><br />เวลาที่รู้สึกได้ถึงความเปลี่ยนแปลง เรามักจะตกใจ ประหลาดใจ<br />ทั้งที่จริงๆแล้วทุกอย่างมันมีที่มา ส่วนความเปลี่ยนแปลงก็เป็นที่ไปตามทางของมัน<br />เราไม่ได้เปลี่ยนในชั่วข้ามคืน เราไม่ได้เปลี่ยนกันโดยไร้เหตุ<br />แต่เราเปลี่ยนเพราะทุกอย่างล้วนเปลี่ยน<br /><br /><br />เราเปลี่ยนเพราะเราเป็นผลของความเปลี่ยนแปลง<br />เราเปลี่ยนเพื่อส่งผลให้เกิดความเปลี่ยนแปลง<br /><br />ชีวิตที่บอกว่าไม่แน่นอนมันเป็นผลและเหตุของชีวิตและเหตุการณ์อื่นๆ<br />เรามีเพียงจิตที่รับรู้ถึงความเปลี่ยนแปลงเหล่านั้น ก่อนที่วันหนึ่งจิตของเรานั้นก็จะหายจากไปเช่นกัน<br /><br />เหมือนว่าเราเกิดมาเป็นเพียงกลไกทางธรรมชาติ ที่ทำให้ธรรมชาติเองดำรงอยู่ได้ต่อไป<br /><br />........................................................................<br /><br />ไม่มีคำสัญญาว่าจะกลับมาเมื่อไหร่ แต่หวังว่าจะได้เจอทุกคนอีกครั้ง<br />ไม่ว่าผมหรือคุณจะเปลี่ยนไปแค่ไหนก็ตามLerk7http://www.blogger.com/profile/09806922997940113883noreply@blogger.com5tag:blogger.com,1999:blog-4727881602454943583.post-32303697251702374942009-11-19T13:56:00.004+07:002009-11-19T15:12:47.216+07:00A Quest for Questions<a onblur="try {parent.deselectBloggerImageGracefully();} catch(e) {}" href="http://www.flickr.com/photos/jamuraa/813966437/"><img style="cursor: pointer; width: 500px; height: 375px;" src="http://farm2.static.flickr.com/1206/813966437_11c28ee414.jpg" alt="" border="0" /></a><br />[<span style="font-size:85%;"><span style="font-weight: bold;">image: </span><a style="font-weight: bold;" href="http://www.flickr.com/photos/jamuraa/" title="Link to jamuraa's photostream" rel="dc:creator cc:attributionURL">jamuraa</a><span style="font-weight: bold;"> @ <a href="http://flickr.com/">flickr</a></span></span>]<br /><br /><span style="font-weight: bold;">เคยมีเวลาที่คุณนั่งอยู่เฉยๆแล้วลองมองเรื่องราวต่างๆในชีวิตรึเปล่า?</span><br />ไม่ว่าจะเป็นเรื่องสิ่งที่ทำอยู่ในวันๆ เรื่องความฝันที่ต้องการ เรื่องผู้คนรอบๆตัว<br />มีใครเคยบอกไว้ ซึ่งผมก็จำไม่ได้และวันนี้ก็ไม่อยู่ในอารมณ์ที่จะหาคำตอบนั้นด้วย<br /><span style="font-weight: bold; font-style: italic;">"ยิ่งเราวิ่งเร็วขึ้น สิ่งรอบตัวเราก็จะยิ่งกลายเป็นเพียงภาพเบลอ"</span><br />ถ้าพอมีเวลาก็อยากชวนให้ลองหยุดคิดตั้งคำถามกับตัวเองดูบ้าง แทนที่จะถามคนอื่น<br /><br /><span style="color: rgb(0, 0, 153);">เราทำสิ่งที่ทำอยู่ทุกวันนี้ทำไม?</span><br /><span style="color: rgb(0, 0, 153);">สิ่งที่เราทำมันทำให้ชีวิตเราหรือใครดีขึ้นบ้างมั้ย?</span><br /><span style="color: rgb(0, 0, 153);">ความฝันที่เราเคยอยากทำทุกวันนี้เข้าใกล้หรือยิ่งออกห่างไปไกล?</span><br /><span style="color: rgb(0, 0, 153);">ของที่เราเคยชอบตอนนี้ยังรู้สึกชอบมันรึเปล่า?</span><br /><span style="color: rgb(0, 0, 153);">เพื่อนที่เคยสนิทชอบพอ ทุกวันนี้ยังอยากคุยด้วยบ้างมั้ย?</span><br /><br />คำถามพวกนี้มันอาจจะไมได้เปลี่ยนแปลงชีวิตของเรา<br />แต่อย่างน้อยนานๆทีมันก็ช่วยให้เราจำได้อีกครั้งว่าเราคือใคร<br /><br />ก็อย่างที่บอกว่าถ้าว่างผมก็อยากชวนให้ลองถามตัวเองกันบ้าง<br />บางทีคำตอบที่ได้กลับมาอาจจะทำให้คุณแปลกใจ<br />อย่างน้อยๆผมก็แปลกใจกับตัวเองมาแล้วเหมือนกันLerk7http://www.blogger.com/profile/09806922997940113883noreply@blogger.com2tag:blogger.com,1999:blog-4727881602454943583.post-63919733827680190022009-10-15T21:34:00.003+07:002010-11-09T15:08:15.047+07:00HOME - Blog Action Day 2009<a onblur="try {parent.deselectBloggerImageGracefully();} catch(e) {}" href="http://upload.wikimedia.org/wikipedia/en/a/a7/HOME-SHOT.jpg"><img style="cursor: pointer; width: 500px; " src="http://upload.wikimedia.org/wikipedia/en/a/a7/HOME-SHOT.jpg" alt="" border="0" /></a><br />เมื่อวันที่ 5 มิถุนายนที่ผ่านมานี้มีหนังสารคดีที่เปิดฉายพร้อมกัน 181 ประเทศทั่วโลก เป็นสถิติการเปิดตัวหนังที่เข้าฉายพร้อมกันมากที่สุดในโลก สารคดีเรื่องนั้นชื่อว่า <span style="font-weight: bold; color: rgb(0, 0, 153);">'Home'</span><br /><br />Home เป็นสารคดีที่ถ่ายภูมิประเทศต่างๆทั่วโลกจากมุมสูงพร้อมการบรรยายประกอบเกี่ยวกับระบบนิเวศของโลก และผลกระทบที่มนุษย์สร้างให้กับระบบที่สมดุลนั้น ไม่ว่าเป็นผลจากการทำกสิกรรมที่ทำให้วงจรน้ำเสียไป การค้นพบน้ำมัน(ในสารคดีใช้คำเรียกน้ำมันที่ผมชอบมากๆว่า <span style="color: rgb(255, 102, 0);">'pocket of sunlight'</span>)ที่ทำให้เกิดการเผาไหม้ในเชิงอุตสาหกรรมหนัก ส่งผลให้เกิดความไม่เสมอภาคทางการเกษตรระหว่างเกษตรกรที่ใช้แรงงานกับเครื่องจักร การทำปศุสัตว์แบบใหญ่มหาศาลที่ต้องใช้ทรัพยากรอาหารราว 50% ของผลผลิตอาหารทั่วโลก (เยอะอย่างไม่น่าเชื่อ ในขณะที่มีผู้คนอดอยากในโลกนี้มากขึ้นเรื่อยๆ) มีภาพของเรือเดินสมุทรที่ทุกวันนี้สามารถแล่นผ่านน้ำแข็งขั้วโลกที่แตกเป็นชิ้นเล็กๆน้อยๆเพราะภาวะโลกร้อน และความเสี่ยงที่น้ำแข็งที่กรีนแลนด์และไซบีเรียละลายจะทำให้ก๊าซมีเทนใต้น้ำแข็งเหล่านั้นถูกปล่อยออกมา ส่งผลหนักหนากว่าคาร์บอน 20 เท่า<br /><br />ความพิเศษของหนังสารคดีเรื่องนี้คือการที่ผู้ผลิตหนังเลือกที่จะเผยแพร่หนังภายใต้ข้อตกลงของ <span style="font-weight: bold; color: rgb(51, 0, 153);">Creative Commons</span> หรือการไม่มีลิขสิทธิ์แบบเต็มรูปแบบ เพราะต้องการให้หนังเรื่องนี้ได้รับการเผยแพร่ออกไปมากที่สุด ทุกคนสามารถดาวน์โหลด อัพโหลด ไรท์ใส่ดีวีดีแล้วส่งต่อให้เพื่อน เอาไปเปิดฉายตามที่สาธารณะได้เต็มที่ เพราะสาระของมันคือการที่ให้คนหมู่มากได้รับรู้ถึงปัญหาที่ใหญ่หลวงมากกว่าปัญหาผลประโยชน์จากลิขสิทธิ์ (ผมซื้อแผ่นแม่สายมาดู)<br /><br />ผมดูสารคดีเรื่องนี้จบด้วยความอึ้งมากกว่าดู <span style="font-weight: bold; color: rgb(0, 102, 0);">Inconvenient Truth</span> มากๆ รู้สึกว่าตัวเราเล็กนิดเดียวแต่กลับสร้างปัญหาที่ใหญ่ขนาดที่เชื่อว่าคงไม่มีทางฟื้นฟูกลับสู่สภาพแต่ก่อนได้อีกแล้ว<br /><br />แต่ความดีของ Home ที่ Inconvenient Truth ไม่มีคือ<span style="font-weight: bold;">คำตอบ</span>ในตอนท้ายให้เราได้รู้ว่ายังมีความหวังและควรทำอย่างไรให้เราสามารถอยู่บนโลกนี้ต่อไปได้แบบไม่เดือดร้อนธรรมชาติ<br /><br />ก็ขอให้หามาดูกัน จะได้รู้ว่าเรื่อง Climate Change ที่เป็นประเด็นที่ชาวบล็อกทั่วโลกจะเขียนกันในวันนี้มันไม่ใช่เรื่องเล่นๆเลย<br /><br /><span style="font-style: italic;">Link:</span><br /><span style="font-size:85%;"><a href="http://en.wikipedia.org/wiki/Home_%282009_film%29">http://en.wikipedia.org/wiki/Home_%282009_film%29</a><br /><a href="http://www.youtube.com/user/homeproject">http://www.youtube.com/user/homeproject</a> <--- แนะนำให้เริ่มดูจากที่นี่</span>Lerk7http://www.blogger.com/profile/09806922997940113883noreply@blogger.com2tag:blogger.com,1999:blog-4727881602454943583.post-54913141765508688172009-09-21T11:35:00.003+07:002009-09-21T11:47:42.026+07:00Tell Me Why<a onblur="try {parent.deselectBloggerImageGracefully();} catch(e) {}" href="http://www.flickr.com/photos/danielygo/768320305/"><img style="cursor: pointer; width: 500px; height: 375px;" src="http://farm2.static.flickr.com/1129/768320305_96850310bc.jpg" alt="" border="0" /></a><br /><span style="font-size:85%;">[image by: <b><a href="http://www.flickr.com/photos/danielygo/" title="Link to Daniel Y. Go's photostream" rel="dc:creator cc:attributionURL"><b property="foaf:name">Daniel Y. Go</b></a></b> @ <a href="http://www.flickr.com/">flickr</a>)</span><br /><br />หยุดเขียนบล็อกไปพักใหญ่ๆ น่าจะเป็นการห่างหายที่นานที่สุดตั้งแต่เริ่มเขียนเมื่อปี 2005<br />สาเหตุของการหยุดไปสรุปได้ใจความที่สุดคือความขี้เกียจของเราเอง ไม่เฉพาะเขียนบล็อก แต่เป็นทุกเรื่อง<br />แต่จะพยายามจะกลับมาเขียนให้ได้บ่อยเท่าๆเดิมอีกครั้ง ตั้งใจว่าอาทิตย์นึงไม่อยากต่ำกว่า 4 entry<br /><br />เหตุที่คิดจะกลับมาเขียนก็เพราะว่าแผนการที่วางไว้ในอนาคตจะต้องกลับมาเขียน(แบบฉลาด)เยอะมากๆ<br />ไม่ว่าจะเขียนเป็นบล็อก เขียนเรื่องที่คิด เขียนแสดงความเห็น เขียนรายงานข่าว เขียน เขียน เขียน และ เขียนอีกหลายที<br />ถ้าไม่ดึงนิสัยและอารมณ์รักการคิดแล้วเขียนให้กลับมาอยู่ในระดับเดิมน่าจะทำให้เกิดปัญหาแน่นอน<br /><br />ลองเลยละกัน กับหนึ่งในหลายเรื่องที่ draft เอาไว้:<br /><br /><span style="font-size:130%;">Tell Me Why</span><br /><br /><span style="color: rgb(0, 0, 102);">ช่วง 2-3 ปีมานี้ผมตั้งคำถามอยู่บ่อยๆว่าทำไมทุกวันนี้วงการดนตรีมันเสื่อมถอยลงทุกวัน</span><br /><span style="color: rgb(0, 0, 102);">ถ้าถามหลายๆคนก็น่าจะรู้สึกแบบเดียวกัน แต่นี่ไม่ใช่การต่อว่าคนหรือบริษัทไหนนะ</span><br /><span style="color: rgb(0, 0, 102);">ผมเชื่อว่าเกือบทุกคนที่ทำงานในแวดวงดนตรีรักงานด้านนี้ และให้ใจกับมันเต็มที่</span><br /><span style="color: rgb(0, 0, 102);">เพราะเอาจริงๆมันไม่ใช่งานที่รายได้ดีกลับมาคุ้มความเหนื่อยเลย -- <span style="font-weight: bold;">ถ้าใจไม่รักอยู่ไม่ได้หรอก</span></span><br /><br /><span style="color: rgb(0, 0, 102);">ถ้าแกรมมี่เอาเงินที่มีอยู่ทุกวันนี้ไปลงทุนทำอย่างอื่นจะรวยกว่านี้มั้ย? เป็นไปได้มากๆ</span><br /><span style="color: rgb(0, 0, 102);">ถ้าวันนี้<span style="color: rgb(204, 0, 0);">คุณไพบูลย์ ดำรงชัยธรรม</span> พูดออกจากปากมาว่า <span style="font-style: italic;">"ปีนี้เรางดทำเพลงแล้วเอาเงินค่าเพลงค่าโปรโมทไปสร้างคอนโดดีกว่า"</span></span><br /><span style="color: rgb(0, 0, 102);">มั่นใจเลยว่ามันจะต้องเป็นคอนโดหน้าตาดีมากๆ<span style="font-size:85%;">(ที่ผมไม่มีปัญญาซื้อได้)</span> ที่จะทำกำไรให้แกรมมี่มหาศาลกว่าที่เพลงทำได้นัก</span><br /><span style="color: rgb(0, 0, 102);">แน่นอนว่ามันคงไม่มีทางเกิดเหตุการณ์นี้ขึ้น <span style="font-size:85%;">(การงดทำเพลงนะ แต่การไปสร้างคอนโดนั่นก็ไม่แน่ เพราะถึงไม่งดก็มีเงินมากพอ)</span></span><br /><span style="color: rgb(0, 0, 102);">เพราะว่าเพลงมันคือตัวผลักดันให้ธุรกิจทุกส่วนในแกรมมี่เดินไปได้ ไม่ว่าจะวิทยุ โทรทัศน์ Digital Content หรือ Artist Management</span><br /><span style="color: rgb(0, 0, 102);">พูดได้ว่าไม่มีเพลง ก็ไม่มีบริษัท จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ จำกัด (มหาชน) และราคาหุ้นร่วงลงเร็วกว่าคุณจะพูดคำว่า"ตก"จบคำด้วยซ้ำ</span><br /><br /><span style="color: rgb(0, 0, 102);">แต่อีกเหตุผลนึงที่ผมคิดว่าจะไม่เกิดเหตุการณ์นั้นขึ้นก็เพราะว่าทุกคนที่ทำงานรักวงการนี้</span><br /><span style="color: rgb(0, 0, 102);">ผมคนนึงล่ะที่รักการเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องกับงานสร้างสรรค์ ถึงจะไม่ได้ทำเองเพราะฝีมือไม่พอ</span><br /><span style="color: rgb(0, 0, 102);">ชอบการพูดคุยกับคนที่ทำงานด้านนี้เหมือนกัน เพราะเรามีมุมมองที่น่าสนใจมาเล่าให้ฟังกันได้ตลอด</span><br /><span style="color: rgb(0, 0, 102);">ชอบบรรยากาศการทำงานที่หาไม่ได้จากงานสายอื่นๆเลยจริงๆ</span><br /><span style="color: rgb(0, 0, 102);">คุณไพบูลย์ <span style="color: rgb(204, 0, 0);">คุณเล็ก-บุษบา</span> หรือผู้บริหารไม่ว่าระดับไหนก็คงรู้สึกเดียวกัน ว่ามันเป็นเหมือนบ้านหลังใหญ่</span><br /><span style="color: rgb(0, 0, 102);">คนที่เราเจอก็คือสมาชิกของครอบครัว งานที่เราทำก็เป็นเหมือนงานดูแลบ้าน</span><br /><span style="color: rgb(0, 0, 102);">ความสุขของเราคือเวลาเปิดบ้านให้คนอื่นเข้ามาเยี่ยมชมแล้วเค้ามีความสุขเราก็มีความสุขด้วย</span><br /><br /><span style="color: rgb(0, 0, 102);">แล้วถ้าทุกคนเป็นแบบนั้นจริงๆ<span style="font-size:85%;">(ซึ่งผมคิดว่า 90% เป็นงั้นจริงๆ) </span>ทำไมเวลาเปิดวิทยุถึงได้ฟังแต่เพลงน่าเบื่อขนาดนี้</span><br /><span style="color: rgb(0, 0, 102);">ศิลปิน นักร้อง นักดนตรี นักแต่งเพลง คนทำเบื้องหลัง คนทำงานก็เก่งขึ้นเรื่อยๆ อุปกรณ์การทำงานก็มีแต่พัฒนาขึ้น</span><br /><span style="color: rgb(0, 0, 102);">แต่เพลงที่ถูกโปรโมทมันให้ความรู้สึกแห้งๆ แข็งๆ เซ็งๆ ทุกอย่างดูสำเร็จรูปไปหมด</span><br /><span style="color: rgb(0, 0, 102);">จากประสบการณ์ที่ผมได้สัมผัสมานิดหน่อย ผมให้เหตุผลกับมันว่ามันเป็นเรื่องข้อจำกัดของคำๆเดียวว่า <span style="color: rgb(204, 0, 0);">'ธุรกิจ'</span></span><br /><br /><span style="color: rgb(0, 0, 102);">เมื่อเพลงถูกผลักดันจนกลายเป็นอาชีพ เป็นกิจการที่ทำเงินเลี้ยงชีพคนคนนึงหรือหลายพันคนได้</span><br /><span style="color: rgb(0, 0, 102);">มันก็มี<span style="color: rgb(204, 0, 0);">ข้อผูกมัด</span>และ<span style="color: rgb(204, 0, 0);">ความกดดัน</span>ที่จะต้องให้เพลงทุกเพลงที่ทำขึ้นมันทำเงินให้ได้ต่อไปอีกเรื่อยๆ</span><br /><span style="color: rgb(0, 0, 102);">มีอยู่วันนึงผมนั่งกินข้าวอยู่แถวบ้านและบังเอิญมีโปรดิวเซอร์ท่านนึงนั่งคุยกับนักดนตรีรุ่นน้องโต๊ะติดกันพอดิบพอดี</span><br /><span style="color: rgb(0, 0, 102);">ความเสือกทำให้ผมได้ยินเค้าคุยกันเรื่องเพลงที่กำลังแต่งอยู่ ยกตัวอย่างประโยคนึงของบทสนทนามาให้ดูกัน:</span><br /><span style="color: rgb(0, 0, 102); font-style: italic;">"ไอ้เพลงนี้นะ ถ้าร้องแบบปกติก็จะเป็น xx-yy-zz</span><br /><span style="color: rgb(0, 0, 102); font-style: italic;">แต่ถ้าตรงคำว่า yy เราใส่เอื้อนเสียงเข้าไปอีกนิด</span><br /><span style="color: rgb(0, 0, 102); font-style: italic;">เหมือนกับที่เพลง ABC ทำ มันก็จะฟังดูมีสเน่ห์ ติดหู และคนชอบได้"</span><br /><br /><span style="color: rgb(0, 0, 102);">ผมเคยได้ยินประโยคทำนองนี้มาหลายทีแล้วเหมือนกัน แต่วันนั้นผมสงสัยขึ้นมาว่าทำไมต้องพยายามหาทางให้คนชอบตลอด</span><br /><span style="color: rgb(0, 0, 102);">นิดๆหน่อยๆก็ยังโอเค แต่พอมาทำแบบเป็นล่ำเป็นสัน เก็บทุกเม็ดในทุกเพลง เพลงมันก็เริ่มฟังดูจอมปลอมไปหมด</span><br /><span style="color: rgb(0, 0, 102);">และส่วนใหญ่โปรดิวเซอร์นักแต่งเพลงพวกนี้นี่แหละที่เขียนเพลงเก็บไว้ใน song bank ของค่ายต่างๆ</span><br /><span style="color: rgb(0, 0, 102);">พอมีนักร้องที่ร้องเพลงพอได้ หน้าตาดูดี ก็หยิบเพลงที่มีเนื้อหาเหมาะกับบุคลิกเข้ามาสวม ทำดนตรีใหม่ซะหน่อย พร้อมโปรโมททันที</span><br /><br /><span style="color: rgb(0, 0, 102);">พูดตรงๆผมทำใจยอมรับได้ที่จะมีศิลปินที่ขายหน้าตาที่หาเพลงที่คนอื่นทำไว้มาร้อง เพราะประเทศไหนๆก็ไม่ต่างกัน</span><br /><span style="color: rgb(0, 0, 102);">แต่ว่าทำไมศิลปินที่มีความสามารถทำเพลงเองได้ถึงทำเพลงที่ออกมาให้ความรู้สึกแบบเดียวกันเลย</span><br /><br /><span style="color: rgb(0, 0, 102); font-weight: bold;">... มันเกิดอะไรขึ้นกับดนตรีที่ออกมาจากความรู้สึกจริงๆ <span style="color: rgb(204, 0, 0);">บอกผมหน่อย?</span></span>Lerk7http://www.blogger.com/profile/09806922997940113883noreply@blogger.com4tag:blogger.com,1999:blog-4727881602454943583.post-35430827805823560582009-08-31T16:40:00.003+07:002009-08-31T16:46:09.498+07:00Very Odd!<a onblur="try {parent.deselectBloggerImageGracefully();} catch(e) {}" href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEj87UI3OJFxjp4I5BCMyTx-c1VgACIv93W3MavOaF0sua82xJmnfl2pqgCCXEE2R3F9CDT0Ew6f-XnONEmK_X5uVhsuvSFRxwWHDNrUa5CN5TvBIkqT6NZM2lm6maxiHiQisss-Nkwhb8o/s1600-h/odd.jpg"><img style="cursor: pointer; width: 550px; height: 366px;" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEj87UI3OJFxjp4I5BCMyTx-c1VgACIv93W3MavOaF0sua82xJmnfl2pqgCCXEE2R3F9CDT0Ew6f-XnONEmK_X5uVhsuvSFRxwWHDNrUa5CN5TvBIkqT6NZM2lm6maxiHiQisss-Nkwhb8o/s400/odd.jpg" alt="อ๊อด อ๊อด!" id="BLOGGER_PHOTO_ID_5376060530597462882" border="0" /></a><br /><br />สละเวลางานประมาณ 10 นาทีเพื่อเพลงแห่งวินาทีนี้ ขอบคุณ <span style="font-weight: bold;">The Richman Toy</span> ที่เป็นแรงบันดาลใจให้ผม publish อะไรบนบล็อกนี้อีกครั้งหลังจากเอาแต่ draft มานาน<br /><br /><span style="font-style: italic;">Note:</span><br /><span style="font-size:85%;">- upload รูปเข้า blogger ตรงๆนี่ทำให้รูปแย่ลงเยอะเลยแฮะ</span>Lerk7http://www.blogger.com/profile/09806922997940113883noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-4727881602454943583.post-80754449308862093482009-07-09T10:20:00.006+07:002009-07-10T10:26:32.643+07:00Long Weekend of Thoughts<a onblur="try {parent.deselectBloggerImageGracefully();} catch(e) {}" href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEg5dkkUHNyxpdpIRNgOPVsotb6GW4If80omazFMvKrkpT7ITylJffm2SylVvWXFbblyZUmQhfkm-xkrO4r3ja9BSuLV_8XehAD_bMj9tS2OPkJEl44g_NJmX2jVONIGcGqJtjh7oJKajPU/s1600-h/jot_weekend.jpg"><img style="cursor: pointer; width: 389px; height: 500px;" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEg5dkkUHNyxpdpIRNgOPVsotb6GW4If80omazFMvKrkpT7ITylJffm2SylVvWXFbblyZUmQhfkm-xkrO4r3ja9BSuLV_8XehAD_bMj9tS2OPkJEl44g_NJmX2jVONIGcGqJtjh7oJKajPU/s400/jot_weekend.jpg" alt="" id="BLOGGER_PHOTO_ID_5356338345588161810" border="0" /></a><br /><span style="font-size:85%;">[collage by: lerk7]</span><br /><br /><span style="font-weight: bold;">Saturday:</span><br /><ul><li><span style="font-weight: bold;">Nawamin City Avenue</span> บนถนนนวมินทร์อยู่ห่างจาก <span style="font-weight: bold;">The Crystal</span> เลียบทางด่วนรามอินทราไม่เกิน 4 กิโลเมตร แต่คนที่ไปเดินเล่นและใช้บริการต่างกันอย่างมาก</li><li>ทั้งสองที่ที่ว่านี่ห่างจาก<span style="font-weight: bold;">ตลาดปัฐวิกรณ์</span>บนถนนนวมินทร์ราวๆ 7 กิโลเมตร แต่คนที่อยู่ที่นั่นยิ่งต่างออกไปอย่างมาก</li><li>ตลาดปัฐวิกรณ์คือหลักฐานว่ามีคนจำนวนมากอยากทำอะไรเป็นของตัวเองแต่ไม่ประสบความสำเร็จ</li></ul><span style="font-weight: bold;">Sunday:</span><br /><ul><li>ในเวลา 4 ชั่วโมงคุณสามารถโหลดเพลงแบบละเมิดลิขสิทธิ์โดยไม่ต้องวางแผนล่วงหน้าว่าวันนี้อยากได้เพลงอะไรได้ราวๆ 40 อัลบั้ม ด้วยอินเตอร์เนทที่เร็ว 1Mbps</li><li>ของเล่นที่ชื่อว่า<span style="font-weight: bold;">ฟิงเกอร์บอร์ด</span> (ไม่ใช่ช่องระหว่างเฟร็ทกีตาร์ที่เรากดคอร์ดกันนะ) กำลังกลับมาฮิตแบบเงียบๆ และเล่นโคตรยากแต่คุ้มค่าที่จะฝึกฝน ส่วนสาเหตุของการกลับมาน่าจะเป็นเพราะมันกลายเป็น app ใน iPhone + iPod Touch ละมั้ง</li><li>เนื้อที่ร้าน <span style="font-weight: bold;">กิว กิว เต้</span> อร่อยก็จริง แต่ไม่อร่อยขนาดที่เราจะทรมานตัวเองไปร้านนี้อีกเป็นหนที่สอง และสภาพโดยรวมไม่ทำให้รู้สึกยินดีจะจ่ายเงินค่าเนื้อจานละ 2,500 บาทแน่ๆ (ไม่ว่าเนื้อมันจะดีและเยอะแค่ไหน)</li><li>คนบางคนสามารถเปลี่ยนไปได้อย่างมากเพียงแค่เปลี่ยนสายงานได้ไม่ถึงครึ่งปี</li><li>คนบางคนกลัวการเป็นคนไม่สำคัญจนต้องพยายามทำทุกวิถีทางให้ถูกสังเกตและมีคนรับฟัง ถ้าต้องการแบบนั้นจริงไปอยู่บน youtube ดีกว่ามั้ย??</li><li>ความเหี้ยไม่ต้องการเหตุผลมารองรับ คนบางคนรู้ตัวว่าผิดก็ยังสามารถเหี้ยใส่คนที่ไม่ผิดได้หน้าตาเฉย</li></ul><span style="font-weight: bold;">Monday:</span><br /><ul><li>อยากแนะนำให้ทุกท่านรู้จัก <span style="font-weight: bold;">Lucky</span> ฟิล์มสี 35mm คุณภาพดีราคาถูก 40 บาทต่อม้วนเท่านั้น</li><li>ถนนจากกรุงเทพไปกาญจนบุรีเป็นถนนที่ขับสบายมากๆ ในบรรดาถนนออกต่างจังหวัดนี่น่าจะเป็นถนนที่เราชอบที่สุด</li><li>ไม่มีหนังสือแนะนำสถานที่ท่องเที่ยวกาญจนบุรีขายในจังหวัดกาญจนบุรี (จริงๆแล้วมี แต่หายากมากๆ)</li><li>มีหลายคนบอกว่าผัดไทยที่ร้าน <span style="font-weight: bold;">ซุ่นเฮง</span> ณ สี่แยกลาดหญ้า กาญจนบุรี อร่อยมาก (บางคนถึงกับบอกว่าอร่อยที่สุดในโลก) แต่สำหรับเรานี่เป็นอีกหลักฐานว่าโลกนี้มีสื่งที่เหี้ยแบบไม่อายฟ้าดิน เพื่อการเอาใจคน 10 กว่าคน คนอีกราว 30 คนที่มาถึงก่อน ต้องรอมันกินจนเสร็จอิ่มคิดเงินกลับบ้าน -- แน่นอนว่าเราไม่รอและเขวี้ยงเงินค่าเป๊ปซี่ 1 ขวด น้ำแข็ง 1 ถังและค่าหลบฝน 1 ชั่วโมงใส่ร้านมันไป</li><li>ถึงเราจะไม่ได้กิน เราก็มั่นใจว่านี่ไม่ต่างจากผัดไทยประตูผี ข้าวเหนียวมะม่วงป้าเจือ โรตีตลาดหัวหิน โรตีสายไหมอยุธยา เครปป้าพร หรือร้านไหนๆที่คนไปรอนานๆแบบไม่มีเหตุผล ทั้งๆที่ร้านข้างๆหรือร้านแถวบ้านมันอร่อยเท่ากัน</li><li>เกิดความสงสัยขึ้นมาว่ามีคนพยายามเดินทางไปสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆเพียงเพื่อดื่มเหล้าและทำลายบรรยากาศคนอื่นๆ แค่นั้นจริงๆหรือ?</li><li>ตอนนี้เราสามารถถ่ายรูปด้วยกล้อง <span style="font-weight: bold;">Fuji Instax Mini 7s</span> ได้โดยไม่ต้องเล็งผ่าน viewfinder อย่างแม่นยำสุดๆ</li><li>ร้าน<span style="font-weight: bold;">คีรีธารา</span> ริมแม่น้ำแควอาหารไม่ได้วิเศษเลิศเลอ แต่บริการโคตรจะดีเลยครับ</li><li>ถ้าอยากลองดูรีสอร์ทที่ไม่ลงทุนเยอะแต่ไม่ขี้เหร่แนะนำให้ไป<span style="font-weight: bold;">อินจันทรี (Inchan Tree)</span> ใกล้ๆสะพานข้ามแม่น้ำแคว</li></ul><span style="font-weight: bold;">Tuesday:</span><br /><ul><li><span style="font-weight: bold;">ผึ้ง</span> เป็นแมลงที่ไวต่อกลิ่นน้ำหวานมาก แยมส้มมาตั้งบนโต๊ะไม่ถึง 1 นาทีมีผึ้งมารุมที่จานเราแล้วเกือบครึ่งรัง (ถ้ารังนั้นมีแค่ 20 ตัว) และพยายามจะมาเกาะกินคราบแยมบนปากเราด้วย</li><li>นั่งดู <span style="font-weight: bold;">หม่ำ on Stage</span> จากช่องเคเบิ้ลในห้องพัก ได้ฟัง<span style="font-weight: bold;">น้าแอ๊ด</span>ร้องเพลงทะเลใจแล้วน้ำตาซึม คนอื่นว่าไงไม่รู้ แต่ถ้าถึงวันที่จะไม่มีโอกาสได้ฟังได้ดู<span style="font-weight: bold;">คาราบาว</span>สดๆอีกเราคงเสียใจมากแน่นอน</li><li>กาญจนบุรีสามารถพัฒนาให้เป็นจังหวัดที่น่าไปมากๆได้ ขอแค่คนเริ่มไปลงทุนกัน (ไปลงทุนกันเถอะ)</li><li>หลังจากปตท.ไปเทคโอเวอร์กิจการปั๊ม Jet อรรถรสในการขับรถทางไกลข้ามจังหวัดก็ลดลงไปเยอะมากๆ เพราะคุณจะหมดโอกาสพูดว่า <span style="font-weight: bold;">“ขอแวะเจ๊ตหน่อย”</span> กับเพื่อนร่วมทาง</li><li><span style="font-weight: bold;">Union Mall</span> ลาดพร้าวมีคนไปเยอะขึ้นแล้ว อย่างน้อยๆก็หาที่จอดรถยากขึ้นล่ะ ไม่รู้รถคนมาดูหรือรถคนขาย แต่เราไปหาซื้อแม็กกาซีนเก่าต่างประเทศที่ชั้น 3 (ใครรู้จักว่าที่ไหนมีเยอะๆช่วยบอกด้วย)</li><li>ยิ่งฟังอัลบั้ม<span style="font-weight: bold;">‘ทิงนองนอย’</span> ของโมเดิร์นด็อกก็ยิ่งชอบ ยิ่งรู้สึกว่ามีอะไรให้คิดต่ออีกเยอะจริงๆ</li></ul>Lerk7http://www.blogger.com/profile/09806922997940113883noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-4727881602454943583.post-77801080074888703342009-07-05T11:50:00.008+07:002009-07-05T12:00:46.887+07:00A Bum's Life<p><em>Entry นี้ตั้งใจไว้นานแล้วว่าจะลองเขียนด้วยวิธีการใหม่ๆบ้าง<br />ก็คือจะใช้ภาพจาก <strong>Google Earth </strong>บรรยายด้วยการคำพูดโดย <strong>Illustrator</strong><br />และอัพขึ้นให้คนอ่านด้วย <strong>Windows Live Writer</strong></em><strong> </strong></p> <p>ประมาณปีที่แล้วเราได้พบเจอคนไร้บ้านคนหนึ่งขณะขับรถอยู่บ่อยๆ<br />อาจจะไม่ได้ฟังดูแปลกหรือน่าติ่นเต้นเท่าไหร่ที่เราจะเจอใครซ้ำๆ<br />แต่ที่มันน่าสนใจสำหรับเรื่องนี้ก็คือสถานที่ๆเราเจอเค้าแต่ละทีนี่มันดูไกลกันมาก<br />และสภาพของเค้าก็เด่นสะดุดตามากๆ</p> <p>คุณคนไร้บ้านคนนี้เค้าเป็นชายอายุราวๆ 30 ผมเผ้ารุงรังตามประสา เนื้อตัวก็ดำสกปรก<br />และเค้ามักจะเดินอยู่ริมถนนมืดๆตอนกลางคืนแบบเสี่ยงให้รถเฉี่ยวชน โดยไม่ใส่เสื้อผ้าซักชิ้น<br />เราไปเจอเค้าใน 4 สถานที่ต่างกันตอนกลางคืน แต่กี่ครั้งๆก็คือยังอยู่ในสภาพที่ว่านี่</p> <p>จุดแรกที่เจอตอเลิกงานประมาณ 1 ทุ่ม ที่ 5 แยกลาดพร้าว<br /><a onblur="try {parent.deselectBloggerImageGracefully();} catch(e) {}" href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEie1BlLatytUGDPAN4yZZ-_ijep3xlj63oOvKfxnv7AwdmC795d1jMo5vT1X_Ba4BD6QVL-oVyh833Bn95U7sYARqLcOxb2aRSy0cFUwjjKuOQ-4e9TYQdnpSV_zq08GNyjnwqWBVyE6mU/s1600-h/Bum01.jpg"><img style="cursor: pointer;" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEie1BlLatytUGDPAN4yZZ-_ijep3xlj63oOvKfxnv7AwdmC795d1jMo5vT1X_Ba4BD6QVL-oVyh833Bn95U7sYARqLcOxb2aRSy0cFUwjjKuOQ-4e9TYQdnpSV_zq08GNyjnwqWBVyE6mU/s400/Bum01.jpg" alt="" id="BLOGGER_PHOTO_ID_5354834207352201106" border="0" /></a><br /></p>จุดที่ 2 ตอนกลับจากมหา’ลัย ประมาณ 4 ทุ่มครึ่ง แถวพระราม 9<br /><a onblur="try {parent.deselectBloggerImageGracefully();} catch(e) {}" href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhHqLkt47uRsxZCu8ZCsFHGUJVOCCLZaWSTYZUw7H4FtqgOYPamqxZkBkQ1-zhpD_JQ-6yib1mLYhs4RehJq9jHoWdk3Adrydz6McjnbejqWl7BIhtNGN21QdaS0wUJNBew5V4P6MqLFGI/s1600-h/Bum02.jpg"><img style="cursor: pointer;" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhHqLkt47uRsxZCu8ZCsFHGUJVOCCLZaWSTYZUw7H4FtqgOYPamqxZkBkQ1-zhpD_JQ-6yib1mLYhs4RehJq9jHoWdk3Adrydz6McjnbejqWl7BIhtNGN21QdaS0wUJNBew5V4P6MqLFGI/s400/Bum02.jpg" alt="" id="BLOGGER_PHOTO_ID_5354834319532240866" border="0" /></a><br /><br />จุดที่ 3 กลับจากมหา’ลัยอีกแล้ว 5 ทุ่มกว่าๆ ถนนใต้ทางด่วนซอยหมอเหล็ง<br /><a onblur="try {parent.deselectBloggerImageGracefully();} catch(e) {}" href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEi3REG3Yyu3nnf3Mc51_-QVC7WDr__GaTgVVQuK3bKwMYfcCaRuEW1Y9U1PeyRqiWNkQm-fTtEcm9dEvvNwGqCafOYuhxssWRXlW3IF1ODEdzvf4cD4tq88kI5gNgLyk0IATIGLpxFo7cw/s1600-h/Bum03.jpg"><img style="cursor: pointer;" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEi3REG3Yyu3nnf3Mc51_-QVC7WDr__GaTgVVQuK3bKwMYfcCaRuEW1Y9U1PeyRqiWNkQm-fTtEcm9dEvvNwGqCafOYuhxssWRXlW3IF1ODEdzvf4cD4tq88kI5gNgLyk0IATIGLpxFo7cw/s400/Bum03.jpg" alt="" id="BLOGGER_PHOTO_ID_5354834385621762930" border="0" /></a><br /><br />จุดที่ 4 ไปไหนจำไม่ได้ราวๆ 3 ทุ่ม แยกสุทธิสาร<br /><a onblur="try {parent.deselectBloggerImageGracefully();} catch(e) {}" href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEj0ZqfdyDOAow5WfFib61QEdxZXw8hnR0D1OTIWNsEEoTxpNQj6iU6FFFUPB7grUExDaVHy0Ll8kq-HULVrJIXr58DtGOoawYFRQ7rzGNJH1NtX6ck8UkiVFFhDU-A4XGVmWrWZ7RdJMPk/s1600-h/Bum04.jpg"><img style="cursor: pointer;" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEj0ZqfdyDOAow5WfFib61QEdxZXw8hnR0D1OTIWNsEEoTxpNQj6iU6FFFUPB7grUExDaVHy0Ll8kq-HULVrJIXr58DtGOoawYFRQ7rzGNJH1NtX6ck8UkiVFFhDU-A4XGVmWrWZ7RdJMPk/s400/Bum04.jpg" alt="" id="BLOGGER_PHOTO_ID_5354834466888095058" border="0" /></a><br /><br />ทั้งหมดนี้เจอภายใน 2 สัปดาห์ แต่ให้ดูแบบนี้อาจจะงงๆว่าที่ไหนคือที่ไหน<br />ไม่เป็นไร Google Earth ช่วยคุณได้<br /><a onblur="try {parent.deselectBloggerImageGracefully();} catch(e) {}" href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhi_wzoqt-fJuJKn3Mls2TsMAjsXEoL9sag8SxzdKKyJ92XlaZClqFmfE62tPGJCoftJXi2C3yLLThMo9MxP2U-Tm2XjbjSLILkPd07LG2OMZfj5a4nBOVMgxpykLX7HvrCZl2eMZlp7yM/s1600-h/Bum05.jpg"><img style="cursor: pointer;" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhi_wzoqt-fJuJKn3Mls2TsMAjsXEoL9sag8SxzdKKyJ92XlaZClqFmfE62tPGJCoftJXi2C3yLLThMo9MxP2U-Tm2XjbjSLILkPd07LG2OMZfj5a4nBOVMgxpykLX7HvrCZl2eMZlp7yM/s400/Bum05.jpg" alt="" id="BLOGGER_PHOTO_ID_5354834546569638754" border="0" /></a><br /><br /><p>ทุกครั้งที่เจอเค้าจะต้องอยู่ในมุมอับแบบที่ถ้าไม่มีสติคงชนแน่ๆ และยืนนิ่งเหมือนโพสให้คนวาดรูป<br />ครั้งแรกยืนเกาะรั้วใต้สะพาน ครั้งที่สองยืนนิ่งริมถนน<br />ครั้งที่สามยืนถือไม้อะไรไม่รู้ใต้ทางด่วน ครั้งที่สี่สวมหูฟังที่ไม่ได้เสียบกับอะไร<br /><br />เจ๋งจริงๆให้ตายเถอะ</p> <p><br /><em>Note:</em><br /><span style="font-size:85%;">- Windows Live Writer เหมือนจะดี แต่อัพโหลดรูปขึ้น blogger ไม่ได้<br />- เสียเวลามากๆ การทำอะไรแบบนี้</span><br /></p>Lerk7http://www.blogger.com/profile/09806922997940113883noreply@blogger.com5tag:blogger.com,1999:blog-4727881602454943583.post-24525124390707121652009-06-26T01:31:00.004+07:002009-06-26T04:21:46.132+07:00Dark Side Story<a onblur="try {parent.deselectBloggerImageGracefully();} catch(e) {}" href="http://www.flickr.com/photos/phildowsing/2048405854/"><img style="cursor: pointer; width: 500px; height: 351px;" src="http://farm3.static.flickr.com/2399/2048405854_f9ff98133e.jpg?v=0" alt="" border="0" /></a><br />[image by: <a href="http://www.flickr.com/photos/phildowsing/">eco-photography</a> @ <a href="http://www.flickr.com/">flickr</a>]<br /><br /><span style="font-size:100%;"><span style="font-family:trebuchet ms;"><span style="font-weight: bold;">ธีรดล แกสตั้น</span> เคยบอกเอาไว้ในหนังสือ <span style="font-weight: bold;">Flure Therapy</span> ใจความคร่าวๆคือ</span><br /><span style="font-family:trebuchet ms;">การที่เขาไปร่วมงาน(คอนเสิร์ต)กับ<span style="font-weight: bold;">อรอรีย์ จุฬารัตน์</span>เป็นเสมือนการปลดปล่อยความบ้าในตัว<br /></span><span style="font-family:trebuchet ms;">ชำระด้านมืดของตัวเองเพื่อให้สามารถกลับมาทำเพลงกับฟลัวร์ได้อย่างเป็นฟลัวร์เต็มที่</span><br /><br /><span style="font-family:trebuchet ms;">เราว่าทุกคนก็มีด้านมืดในใจทั้งนั้น มากบ้างน้อยบ้าง เก็บอยู่บ้างไม่อยู่บ้าง</span><br /><span style="font-family:trebuchet ms;">ซึ่งคำว่าด้านมืดนั้นไม่ได้แปลว่าด้านที่เลวร้าย หรือน่าหวาดกลัวเสมอไปหรอก</span><br /><span style="font-family:trebuchet ms;">สำหรับเราด้านมืดคือความเป็นตัวของตัวเอง ที่ฝืนกับภาระหน้าที่ที่รับผิดชอบอยู่</span><br /><span style="font-family:trebuchet ms;">ทุกคนมีความฝัน มีอุดมคติ แต่บทบาทของตนในสังคมมักไม่เปิดโอกาสให้แสดงออกมา</span><br /><span style="font-family:trebuchet ms;">ดังนั้นถ้ามีโอกาสที่สามารถทำแบบนั้นได้ ก็ย่อมอยากจะระบายปลดปล่อยมันออกมาให้สุด</span><br /><span style="font-family:trebuchet ms;">ก่อนที่จะต้องกลับไปสวมหมวกบทบาทที่สังคมคาดหวังไว้อีกครั้งหนึ่ง</span><br /><br /><span style="font-family:trebuchet ms;">ในชั้นเรียนวิชาการตลาด อาจารย์ท่านหนึ่งได้พูดเอาไว้ว่า<br />คนเราส่วนใหญ่จะมีรองเท้าอยู่สามคู่</span><br /><span style="font-family:trebuchet ms;">คู่แรกเป็นรองเท้าที่ใส่ไปทำงานเป็นประจำ</span><br /><span style="font-family:trebuchet ms;">คู่ที่สองเป็นรองเท้าสวยๆไว้ใส่เฉพาะเวลาไปออกงาน</span><br /><span style="font-family:trebuchet ms;">และคู่ที่สามคือรองเท้าแบบห่วยๆใส่สบายๆในวันว่าง</span><br /><span style="font-family:trebuchet ms;">ความหมายของรองเท้าคู่แรกก็คือบุคลิกของเราที่เป็นไปตามบทบาททางสังคม</span><br /><span style="font-family:trebuchet ms;">รองเท้าคู่ที่สองคือภาพลักษณ์ที่เราอยากจะแสดงให้คนอื่นเชื่อว่าเราเป็นอย่างไร</span><br /><span style="font-family:trebuchet ms;">และคู่ที่สามคือตัวตนจริงๆอย่างที่เราเป็น โดยไม่ได้คำนึงว่าคนอื่นคิดอย่างไร</span><br /><br /><span style="font-family:trebuchet ms;">สัดส่วนความบ่อยในการใส่รองเท้าแต่ละแบบของแต่ละคนย่อมไม่เท่ากัน</span><br /><span style="font-family:trebuchet ms;">บางคนใช้เวลาอยู่กับรองเท้าคู่แรก อีกคนนึงก็พยายามจะใส่คู่ที่สองตลอดเวลา</span><br /><span style="font-family:trebuchet ms;">อาจจะมีคนกลุ่มนึงที่โชคดีที่สามารถใส่คู่ที่สามได้บ่อยๆ หรือแม้แต่สามารถใส่ไปทำงานได้</span><br /><span style="font-family:trebuchet ms;">หลายๆคนอาจจะคิดว่านั่นน่าอิจฉา (ในแวบแรกเราก็คิดเหมือนกัน) แต่พอมาคิดดูดีๆแล้วไม่เลย</span><br /><span style="font-family:trebuchet ms;">เพราะถ้างั้นก็ต้องพยายามทำบุคลิกให้เข้ากับรองเท้าบ้านๆคู่นั้นอยู่ดี<br />เพราะกลายเป็นว่าสังคมคาดหวังให้เราใส่คู่นั้นอยู่ตลอด</span>เวลา<br />ไม่ว่ารองเท้าแบบไหนใส่นานๆโดยไม่เปลี่ยนเลยมันก็คงจะไม่ดีทั้งนั้น<br /><br /><span style="font-family:trebuchet ms;">พอคิดยังงี้แล้ว คนที่น่าอิจฉาน่าจะเป็นคนอย่างธีรดลนี่แหละ</span><br /><span style="font-family:trebuchet ms;">รองเท้าคู่แรกก็สบายเท้าดี แต่ก็ยังมีโอกาสให้ใส่รองเท้าคู่ที่สามได้บ่อยๆด้วย<br /><br /><br /><span style="font-style: italic;">Note:</span><br /><span style="font-size:85%;">- ไม่เข้ามาเขียนนานๆ เล่นเอาเกือบลืมวิธีใส่รูปประกอบแน่ะ</span><br /></span> </span>Lerk7http://www.blogger.com/profile/09806922997940113883noreply@blogger.com4tag:blogger.com,1999:blog-4727881602454943583.post-75697438807695845822009-06-19T04:33:00.004+07:002009-06-19T05:18:49.838+07:00Riding Facebook Wave<a onblur="try {parent.deselectBloggerImageGracefully();} catch(e) {}" href="http://www.facebook.com"><img style="cursor: pointer; width: 360px; height: 360px;" src="http://www.ashorten.com/wp-content/uploads/2009/04/facebook-small-logo.png" alt="" border="0" /></a><br /><br />ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าไม่ได้มาอัพเดทนานมาก นั่นเป็นเพราะกำลังอินอยู่กับ facebook มากๆ<br />อันที่จริงเราสมัคร facebook ไว้นานมากแล้ว ราวๆ 2-3 ปี แต่ก็ไม่ได้เล่นมันเลย<br />ตอนนั้นรู้สึกว่าระบบ application มันซับซ้อนและรกหน้า profile ของเรามากๆ<br />นั่นเป็นเพราะเราคุ้นกับการบริหารหน้า profile ส่วนตัวให้เป็นตามที่ต้องการ<br />ก็เหมือนๆที่ทำกันใน myspace หรือ hi5 นั่นแหละ ทุกคนก็แต่งให้หน้าของตัวเองเป็นตัวเองที่สุด<br /><br />แต่ facebook มันไม่ใช่แบบนั้น ซึ่งก็ต้องยอมรับว่าตอนนั้นไม่เข้าใจเลย<br />เราพยายาม 'ควบคุม' ให้หน้า profile เราแสดงข้อมูลอย่างที่เราต้องการเท่านั้น<br />ซึ่งไปๆมาๆมันทำให้เรารู้สึกว่ามันปรับอะไรยากเหลือเกิน ก็เลยเลิกราไปนาน<br />จนกระทั่งได้รับ email จาก facebook ถี่ขึ้นเรื่อยๆในช่วงหลัง ทำให้รู้ได้ว่ามันกำลัง 'มา'<br />ก็เลยคิดว่าจะให้โอกาสมันลองดูอีกซักทีเหมือนกับตอนที่ให้โอกาส hi5 อีกทีเมื่อปีก่อน<br /><br />ด้วยความที่ facebook ปรับลักษณะการใช้งานให้เข้าใจได้ง่ายขึ้นเยอะ<br />และเราศึกษาเว็บมามากขึ้นด้วยทำให้เห็นประโยชน์ที่แท้จริงของมัน<br />หน้าที่สำคัญที่สุดของ facebook ไม่ใช่ profile แต่เป็นหน้า news feed ที่อัพเดทเพื่อนเราต่างหาก<br />(เราอาจจะเป็นคนสุดท้ายที่รู้ตัวก็ได้นะเนี่ย)<br />ถ้า hi5 กับ myspace เอาตัวเราเองเป็นที่ตั้ง facebook ก็คือสิ่งตรงกันข้ามที่เอาเรื่องคนอื่นมาใส่ให้เรา<br />เรามีหน้าที่แค่คอยดูว่าคนอื่นทำอะไรแล้วก็ไปคอมเม้นท์ทักทายเรื่องเหล่านั้นของเค้า<br />ถ้าอยากอัพเดทตัวเองก็ทำได้แบบง่ายๆ เรียบๆ และให้คนอื่นรับรู้มากกว่าความพอใจของตัวเอง<br /><br />เทียบแล้ว hi5 อาจจะเหมาะสมกับการทำ branding ให้คนรับรู้ว่าเราคือใคร<br />แต่ถ้าอยากสื่อสารให้ได้ผล facebook ดูจะเป็นช่องทางที่หวังผลตอบรับได้ดีกว่ามาก<br />นั่นเพราะว่าผู้รับสารพร้อม(และรอคอยด้วยซ้ำ)ที่จะรับข่าวสารใหม่ๆอยู่เสมอ<br /><br />สาเหตุที่ผู้ใช้ facebook ชาวไทยมีการเติบโตที่รวดเร็วน่าจะเกิดจาก:<br />1. กลุ่มคนไทยในต่างประเทศโดยเฉพาะสหรัฐที่เล่นกันเยอะตามคนอื่นในประเทศ ส่งผลให้เพื่อนที่อยู่เมืองไทยลองเล่นตาม และขยายวงกว้างไปในที่สุด<br />2. การปรับการใช้งานให้ง่ายขึ้นเรื่อยๆ ไม่ซับซ้อนเหมือนแต่ก่อน<br />3. interface ภาษาไทยที่นับว่าเป็นเว็บที่แปลได้ดีที่สุดเท่าที่เจอมาเลย<br />4. application การทำ quiz ที่แพร่หลายมากๆจริงๆ<br />5. จำนวนนักการตลาดที่หันมาใช้ facebook เป็นช่องทางการโฆษณาอย่างชัดเจน เนื่องจากสามารถกำหนดกลุ่มเป้าหมายได้โดยละเอียดมาก (selective communication) และควบคุมงบประมาณการประชาสัมพันธ์ได้อย่างสมบูรณ์<br /><br />ด้วยเหตุเหล่านี้น่าจะส่งผลให้ปีนี้เป็นปีที่ facebook มีอัตราการเติบโตในประเทศไทยสูงที่สุด<br />คาดว่าคนไทยที่เล่น hi5 ไม่ต่ำกว่า 30% จะมีบัญชี facebook อยู่ด้วยภายในสิ้นปีนี้<br /><br />ส่วนตัวเราก็ขอหมกมุ่นอยู่กับมันอีกสักนิดละกัน เพราะเราเจอโอกาสมากมายจริงๆในนั้น<br /><br />... แล้วเดี๋ยวก็จะกลับมาอีกทีดังเดิม<br /><br /><br /><span style="font-style: italic;">Note:</span><br /><span style="font-size:85%;">- จำนวนผู้ใช้ facebook ที่อยู่ในประเทศไทย 648,800 ราย แบ่งเป็น<br /><br />เพศ:<br />ชาย 266,000 ราย<br />หญิง <span id="audience_number" class="audience_number">359,780 ราย<br />ไม่ระบุ 23,020</span> ราย<br /><br />อายุ:<br />13-18 ปี 87,800 ราย<br />19-23 ปี <span id="audience_number" class="audience_number">183,040 ราย<br />24-30 ปี </span><span id="audience_number" class="audience_number">216,480 ราย<br />31-40 ปี </span><span id="audience_number" class="audience_number">113,240 ราย<br />41 ปีขึ้นไป 49,340 ราย<br /></span><span id="audience_number" class="audience_number">ไม่ระบุ 48,240</span> ราย<br /></span><span id="audience_number" class="audience_number"><span style="font-size:85%;"><br />ใครจะเอาข้อมูลพวกนี้ไปใช้ทำอะไรก็ยินดีนะ </span><br /></span>Lerk7http://www.blogger.com/profile/09806922997940113883noreply@blogger.com2tag:blogger.com,1999:blog-4727881602454943583.post-7098452397582869162009-06-13T23:01:00.003+07:002009-06-13T23:23:59.211+07:00Home of Our Fatherขอออกตัวอย่างแรงก่อนเลยว่า Entry นี้มิได้มีเจตนาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพหรือเจตนาในทางไม่ดีใดๆทั้งสิ้น<br />คือว่าวันนี้ไปร้านศึกษาภัณฑ์ที่ชั้น 3 ห้าง Future Park รังสิตมา (ต้องบอกให้ละเอียดเพราะเดี๋ยวจะได้ไม่เข้าใจว่าเป็นเรื่องแต่ง)<br />สายตาเหลือบไปสะดุดเข้ากับหนังสือเล่มหนึ่ง ซึ่งกลับบ้านมาหาข้อมูลเพิ่มเพื่อมาเขียนถึงทันที ได้ความดังนี้<br /><br /><br /><p class="MsoNormal" style="margin: 0in 0in 0pt;"><span style="font-size:180%;"><b><span style=";font-family:Verdana;color:olive;" >“</span></b><b><span style=";font-family:AngsanaUPC;color:olive;" lang="TH">บ้านพ่อ</span></b><b><span style=";font-family:Verdana;color:olive;" >”</span></b></span></p><p class="MsoNormal" style="margin: 0in 0in 0pt;"><span style="font-size:180%;"><b><span style="color: rgb(51, 51, 51);font-family:AngsanaUPC;" lang="TH">วังสวนจิตรลดา</span></b></span></p><p class="MsoNormal" style="margin: 0in 0in 0pt;"><span style="font-size:180%;"><b><span style=";font-family:AngsanaUPC;color:red;" lang="TH"><span style=""> </span></span></b><b><span style=";font-family:Verdana;color:red;" >“</span></b><b><span style=";font-family:AngsanaUPC;color:red;" lang="TH">......ไม่มีพระราชวังไหนในโลก<span style=""> </span>เหมือนพระตำหนักจิตรลดา</span></b></span></p><p class="MsoNormal" style="margin: 0in 0in 0pt;"><span style="font-size:180%;"><b><span style=";font-family:AngsanaUPC;color:red;" lang="TH"><span style=""> </span>และ บริเวณ..สวนจิตรลดา ที่เต็มไปด้วยบ่อเลี้ยงปลา และไร่นาทดลอง</span></b></span></p><p class="MsoNormal" style="margin: 0in 0in 0pt;"><span style="font-size:180%;"><b><span style=";font-family:AngsanaUPC;color:red;" lang="TH"><span style=""> </span>อีกทั้งผองโคนม<span style=""> </span>ผสมด้วยโรงสี และ โรงงานหลายหลาก ..</span></b></span></p><p class="MsoNormal" style="margin: 0in 0in 0pt;"><span style="font-size:180%;"><b><span style=";font-family:AngsanaUPC;color:red;" lang="TH">จึงพูดได้อย่างเต็มปากว่า...ในประเทศไทย ไม่มีช่องว่าง</span></b></span></p><p class="MsoNormal" style="margin: 0in 0in 0pt;"><span style="font-size:180%;"><b><span style=";font-family:AngsanaUPC;color:red;" lang="TH">ระหว่าเกษตรกรกับพระมหากษัตริย์<span style=""> </span>ผู้ทรงทำงานอย่าง...</span></b></span></p><p class="MsoNormal" style="margin: 0in 0in 0pt;"><span style="font-size:180%;"><b><span style=";font-family:AngsanaUPC;color:red;" lang="TH">หลังสู่ฟ้าหน้าสู่ดิน...ด้วยพระองค์เอง......</span></b><b><span style=";font-family:Verdana;color:red;" >”</span></b></span></p><br />หนังสือ <span style="font-weight: bold;">"บ้านพ่อ"</span> เป็นหนังสือ 3 มิติที่จัดทำขึ้นเนื่องในวโรกาสพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ วันที่ 5 ธันวาคม ปีพุทธศักราช 2542 โดยโครงการ ส่วนพระองค์สวนจิตรดา ร่วมกับ บริษัท ศิริวัฒนาอินเตอร์พริ้นท์ จำกัด (มหาชน) ; ออกแบบ, เรียบเรียงเนื้อเรื่องโดย นพรัตน์ ศิลาเณร ; ภาพประกอบโดย ธงชัย วาษ์วานิชขจร, ธรรมรัตน์ ธรรมรงค์รัตน์, พีรธร สุขหนองบึง<br /><br /><span style="font-style: italic;">Link แหล่งข้อมูลอ้างอิง:</span><br /><a href="http://www.oknation.net/blog/uthai/2008/06/16/entry-3/comment">OK Nation</a><br /><a href="http://library.swu.ac.th/ipac20/ipac.jsp?session=1241K078F13U6.4371&profile=swu&uri=link=3100007@%211656644@%213100001@%213100002&aspect=basic_search&menu=search&ri=1&source=10.1.117.3@%21hzndb&term=%E0%B8%9A%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%9E%E0%B9%88%E0%B8%AD+%3A+%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%AA%E0%B8%A7%E0%B8%99%E0%B8%88%E0%B8%B4%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B8%A5%E0%B8%94%E0%B8%B2+%2F&index=">สำนักหอสมุดกลาง มหาวิทยาลัยศรีนครินทร์วิโรฒ</a><br /><a href="http://search.library.tu.ac.th/ipac20/ipac.jsp?session=1UG13L5277013.137274&profile=pridi&uri=full%3D3100001%40%21322705%40%210&booklistformat=">สำนักหอสมุด มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์</a><br /><br /><br />ขอย้ำว่าจำเป็นต้องบอกให้ละเอียดเพราะไม่งั้นคนจะคิดว่าเราแต่งเรื่องนี้ขึ้นมาเอง<br /><br /><br /><br />สงสัยว่าเรื่องอะไรนะหรอ?? ก็สาเหตุที่เราสะดุดกับหนังสือเล่มนี้มันเป็นเพราะปกของหนังสือดังต่อไปนี้<br /><br /><br /><br /><img style="cursor: pointer; width: 400px;" src="http://photos-a.ak.fbcdn.net/hphotos-ak-snc1/hs105.snc1/4900_107550996638_522746638_2693928_7545640_n.jpg" alt="" border="0" /><br /><br /><br /><img style="cursor: pointer; width: 400px;" src="http://photos-b.ak.fbcdn.net/hphotos-ak-snc1/hs085.snc1/4900_107551001638_522746638_2693929_8300385_n.jpg" alt="" border="0" /><br /><br /><br />... คือเราคิดมากไปหรือคนทำหนังสือเค้าคิดน้อยไปน่ะ ...Lerk7http://www.blogger.com/profile/09806922997940113883noreply@blogger.com2tag:blogger.com,1999:blog-4727881602454943583.post-6089301398204055502009-05-11T11:39:00.003+07:002009-05-11T17:53:17.639+07:00Suvarnabhumi : Land of Golden Hellพึ่งกลับจากมาเลย์ เหนื่อยโคตร แต่ขอบ่นหน่อยเถอะ (ช่วงหลังๆเป็นคนขี้บ่นมาก)<br />ทั้งๆที่ตั้งใจจะเขียนชื่นชมทริปนี้ว่าถึงเหนื่อยแต่ก็สนุกโคตร แต่ก็ต้องยกไปไว้ทีหลัง<br />เพราะมีวาระเร่งด่วนที่อยากให้ทุกคนรับรู้กัีน ถึงความห่วยของชาติไทยเรา<br /><br />ถ้าเคยได้คุยกับเราบ่อยๆจะรู้ว่าเรา<span style="font-weight: bold;">โคตรเกลียดสนามบินสุวรรณภูมิ</span><br />ไม่แปลกเพราะหลายๆคนก็เป็นแบบนี้ ทั้งคนไทยเองและต่างชาติไหนๆที่เคยมาเหยียบแผ่นดินทองนี่<br />เราได้ใช้สุวรรณภูมิบ่อยมากพอสมควร และไม่เคยมีครั้งไหนที่รู้สึกดีเลยจริงๆ<br />อย่างที่รู้กันว่ามันออกแบบได้แย่และไม่คำนึงถึงการใช้งานของมนุษย์ที่เดินทาง<br />ทุกอย่างอยู่ไกลหรือไกลมาก ห้องน้ำอยู่ไหนวะ? เคาน์เตอร์เยอะยังไงก็ต้องต่อแถวยาวมาก (แม้แต่ PB Air!)<br />นี่คิดแค่้เรื่องการใช้งานล้วนๆเลยนะ อย่าเอาเรื่องการเมืองเข้ามาเกี่ยว เดี๋ยวจะยิ่งเซ็ง<br /><br />เมื่อวานนี้เราเดินทางกลับมาถึงสุวรรณภูมิประมาณ 22:20 พร้อมกับอาการเหนื่อยสูงสุดและกระเป๋า 2 ใบ<br />เครื่องจอดไกลๆให้ลงแล้วต้องต่อรถ Shuttle (ยืน) มาที่ Terminal ใช้เวลาอีกประมาณเกือบ 10 นาที<br />จากทางเข้าที่รถจอดต้องเดินย้อนไปอีกด้านของ Terminal เพื่อผ่านจุดตรวจคนเข้าเมือง<br />และจากนั้นต้องเดินย้อนไปสุดอีกด้านของ Terminal สนามบินที่ใหญ่อันดับต้นๆของโลก (โคตรภูมิใจจริงๆ)<br />เมื่อรอรับกระเป๋าเสร็จก็เดินออกมาตามปกติ เห็นเลขประตู 9 เลยบอกให้คนที่มารอรับ(พ่อ)ขับมาที่ประตู 9<br />ปรากฏว่าเดินออกไปแล้วทางเดินไปขึ้นรถทางสุวรรณภูมิแห่งประเทศไทยได้เอารั้วมากั้นไม่ให้คนขึ้นรถ!<br />มองย้อนไปตามถนนทุกทางข้ามไปขึ้นรถมีรั้วกั้นตลอดแนว เลยขึ้นไปชั้นบนเพื่อให้วนมารับที่ขาออกแทน<br />ขึ้นไปปุ๊บพ่อโทรกลับมาบอกว่าไม่แน่ใจว่าวนยังไงให้กลับมาเจอที่เดิม - - - อะ หาทางลงกลับไปก็ได้<br />ใครเคยรู้บ้างว่าถ้าคุณอยู่ขาเข้าประเทศแล้วเดินขึ้นไปขาออกคุณจะไม่มีวันลงมาได้อีก!!!!<br />บันไดเลื่อนที่ขนานกันตอนขาขึ้นมามันเลื่อนขึ้นทั้งหมด เหลือบไปเห็นอันนึงไกลๆเลื่อนลงอยู่ รีบวิ่งเ้ข้าๆ<br />ไปถึงมีเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยหนึ่งนายและรั่วกันหนึ่งแผงตั้งขวางอยู่ ไม่ยอมให้ลงง่ายๆ<br />เราก็ถามว่าแล้วจะให้ลงที่ไหน เจ้าหน้าที่ท่านนั้นก็ชี้ไปทางลิฟต์ที่อยู่ถัดไป เราก็รีบวิ่งไปเข้าลิฟต์<br />ก็ปรากฏว่าชั้นผู้โดยสารขาเข้ามันไม่สามารถกดหยุดได้ (เหี้ยจริงๆ) ระหว่างนี้พ่อก็โทรมาเร่งไม่หยุด<br />เราเลยเดินไปหาเจ้าหน้าที่ท่านหนึ่งด้วยความฉุนเฉียวแล้วถามว่า "ขอโทษครับ ตั้งใจจะให้ผมลงไปยังไงครับ"<br />เจ้าหน้าที่ก็ทำหน้าไม่อยากจะเชื่อว่าเราไม่รู้เลยชี้ไปที่บันไดเลื่อนอีกฟากหนึ่งของ Terminal (Fuck!)<br />เราก็เลยวิ่ง (โคตรจะเจ็บขาเลยตอนนั้น) ไปขึ้นบันไดเลื่อนนั้น<br />ระหว่างที่ขึ้นด้วยความฉุนเฉียวอีกแล้วเลยขอเตะบันไดเลื่อนดังกล่าวไปแบบดังๆทีหนึ่งอย่างที่คนหันมามอง<br /><br />วินาทีที่ลงมาถึงชั้นผู้โดยสารขาเข้าเราก็เข้าใจทันทีว่าทำไมอดีตนายกฯท่านหนึ่งถึงกับต้องกราบพื้น<br />เพราะเราก็อยากจะทำเช่นนั้นเหมือนกันเมื่อมาถึง<br /><br />ขอบพระคุณสนามบินแห่งชาติที่ยอมปล่อยให้ได้ลงมาเหยียบชั้นนี้อีกครั้ง<br /><br /><br /><span style="font-style: italic;">Note:</span><br /><span style="font-size:85%;">- เจ้าหน้าที่สนามบินนานาชาติสุวรรณภูมิกรุณาอ่านและทำความเข้าใจด้วยว่าพวกกระผมเป็นนักท่องเที่ยว ไม่ว่าจะเดินทางเยอะแค่ไหนกระผมก็ไม่มีทางมาสนามบินแห่งนี้บ่อยเท่าพวกท่านหรอก ดังนั้นก่อนที่จะปรับปรุ่งเพิ่มเติมอะไรแพงๆ ขอความกรุณาเพิ่มอุปกรณ์อำนวยความสะดวกพื้นฐานอย่างป้ายบอกทางให้พวกกระผมผมหน่อยเถอะ เพราะสนามบินที่ท่านทำงานกันนั้นใหญ่โตสมราคาจริงๆ แค่ป้ายบอกว่า <span style="font-weight: bold;">"เดินไปขึ้นรถประตู 1-3"</span> / หรือ <span style="font-weight: bold;">"อย่าขึ้นไปชั้นบนยกเว้นว่าจะมีเวลาเหลือเพียงพอให้วิ่งไปอีกฟากของสนามบิน"</span> อะไรแบบนี้ก็พอครับ ขอบพระคุณมากครับ</span>Lerk7http://www.blogger.com/profile/09806922997940113883noreply@blogger.com6tag:blogger.com,1999:blog-4727881602454943583.post-65096001309777750302009-05-01T22:38:00.003+07:002009-05-01T22:42:17.458+07:00The Real Thingขอโทษแฟน blog ทุกคนถ้าทำให้รู้สึกว่าวันนี้เราเขียนบ่อยเกินไป<br />เชื่อเถอะว่าไม่ได้คิดจะเขียนเยอะขนาดนี้ แต่พอดีมันมีเรื่องด่วนเข้ามา<br />เรื่องที่ว่านั่นก็คือเราเสือกไปเจอดาราคนหนึ่งมาเมื่อกี๊นี้เลย<br /><br />สื่อมักกล่าวถึงดาราคนนี้ในเรื่องๆหนึ่งอยู่อย่างไม่ขาดช่วง<br />ผู้คนที่ไม่เคยเจอตัวจริงก็อาจจะคล้อยตามไปด้วย เพราะสื่อกรอกหูเหลือเกิน<br />จนกระทั่งวันนี้เราได้เจอตัวจริงในระยะใกล้ชิด ขอยืนยันเลยว่าที่สื่อพูดๆกันน่ะ ...<br /><br /><br /><br /><br /><br /><br /><br /><br /><br /><br /><br /><br /><br /><br /><br /><br /><br />ไม่เกินเลยความจริงเลยแม้แต่นิดเดียว สมราคาจริงๆ<br /><a onblur="try {parent.deselectBloggerImageGracefully();} catch(e) {}" href="http://www.newsdara.com/bbs/photo/468468.jpg"><img style="cursor: pointer; width: 337px; height: 450px;" src="http://www.newsdara.com/bbs/photo/468468.jpg" alt="" border="0" /></a><br /><br />ขอพูดด้วยความมั่นใจเลยว่า คนนี้น่ะ <span style="font-weight: bold;">"ของจริง"</span>Lerk7http://www.blogger.com/profile/09806922997940113883noreply@blogger.com2tag:blogger.com,1999:blog-4727881602454943583.post-50419946709272839272009-05-01T14:39:00.004+07:002009-05-01T22:43:50.275+07:00The Next Big Thing<a onblur="try {parent.deselectBloggerImageGracefully();} catch(e) {}" href="http://www.blackbookmag.com/article/james-franco/5252"><img style="cursor: pointer; width: 450px; height: 599px;" src="http://www.blackbookmag.com/ee/images/uploads2/pf_main_james1.jpg" alt="" border="0" /></a><br /><span style="font-size:85%;">[image from <a href="http://www.blackbookmag.com/"><span style="font-weight: bold;">BlackBook (www.blackbookmag.com)</span></a>]</span><br /><br />ดูหนังเรื่อง <span style="font-weight: bold; color: rgb(0, 102, 0);">Milk</span> ไปเมื่อคืนนี้หมาดๆ พอจบปุ๊บคิดทันทีว่าจะต้องมีคนคิดเหมือนเรา<br />คือคิดว่า <span style="font-weight: bold; color: rgb(153, 0, 0);">James Franco</span> คือนักแสดงที่จะขึ้นมาแทนที่ <span style="font-weight: bold; color: rgb(153, 0, 0);">Heath Ledger</span> ได้ในอนาคต<br />ไม่ใช่แค่เพราะบทคู่รักเกย์ในเรื่อง Milk เทียบได้กับบทคู่รักเกย์ใน <span style="font-weight: bold; color: rgb(0, 102, 0);">Brokeback Mountain</span> (ซึ่งเราไม่ได้ดู)<br />แต่ด้วย range ความสามารถในการแสดงที่กว้างมากๆ (ลองดู <span style="font-weight: bold; color: rgb(0, 102, 0);">Pineapple Express</span> สิ แล้วจะเข้าใจ)<br />ด้วยความขยันศึกษาคาแรกเตอร์และพยายามอินกับบทถึงแก่น ไม่ว่าจะเป็นตัวละครเด่นแค่ไหน<br />ด้วยความหลากหลายของหน้าตาที่อาจทำให้คนไม่ติดกับภาพจากหนังเรื่องเดียว<br />ทั้งหมดนี้คงไม่ยากที่จะเกิดความคิดแบบเดี่ยวกันนี้ขึ้นมาหรอก<br /><br />ถ้าอยากรู้ว่ามีคนคิดแบบนี้เหมือนกันมั้ยก็ลอง search ชื่อสองคนนี้พร้อมกันดูนะLerk7http://www.blogger.com/profile/09806922997940113883noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-4727881602454943583.post-88611887197315979122009-05-01T13:34:00.004+07:002009-05-01T14:39:01.815+07:00Around the Blog<a href="http://vazzup.spaces.live.com/">พี่โอ๋</a>เป็นรุ่นพี่ที่ได้รู้จักกันเป็นเวลาสั้นๆประมาณสองเดือนตอนทำงานที่หนึ่ง<br />ถึงจะได้ทำงานด้วยกันไม่นานแต่เราก็แอบอ่าน blog พี่โอ๋อยู่เรื่อยๆ<br />พี่โอ๋เล่าเรื่องได้สนุกและแอบใช้ภาษาหยาบคายสลับเพื่อเพิ่มความแมน (เดาเอา)<br />แต่ทุกเรื่องที่เล่ามีแง่คิดดีๆเสมอ ไม่เชื่อจะลอง copy เอามาให้ลองอ่านกัน<br /><br /><p align="center"><span style="font-size:180%;"><strong></strong></span></p><blockquote style="color: rgb(0, 0, 102);"><p align="center"><span style="font-size:180%;"><strong>100 บาท กับความสุขเกินร้อย</strong></span> </p><p align="center"> </p><p align="center"><span style="font-size:100%;">วันนี้ไปกินข้าวฟู้ดคอร์ท<br /></span><span style="font-size:100%;">ที่โลตุ๊ดบางนา</span> </p><p align="center"> </p><p align="center"><span style="font-size:100%;">หาที่นั่งไม่ได้ คนเต็มไปหมด</span> </p><p align="center"> </p><p align="center"><span style="font-size:100%;">อ่ะนั่น คนกำลังลุกเลย</span> </p><p align="center"><span style="font-size:100%;">พอเค้าลุกป๊าบ<br />ผมพาแอนเข้าไปเสียบปุ๊บ</span> </p><p align="center"><span style="font-size:100%;">จัดแจงโอนย้ายซากจานและอาหารที่เหลือ<br />ไปวางริมโต๊ะทันที</span> </p><p align="center"><span style="font-size:100%;">บอกให้แอนจองโต๊ะไว้ ผมไปออกไปล่าอาหาร</span> </p><p align="center"><span style="font-size:100%;">ระหว่างนั้นโต๊ะข้างๆ ก็ลุกพอดี</span> </p><p align="center"><span style="font-size:100%;">ก็เลยเอาซากอาหารคนเก่าไปกองๆ รวมๆ กัน</span> </p><p align="center"> </p><p align="center"><span style="font-size:100%;">พอยกอาหารกลับมา<br />กำลังจะกินข้าวเข้าปาก<br /><br />เอ๊ะ เสียงก๊อกแก๊กๆ ข้างหลัง<br />โต๊ะที่เอาซากอาหารไปกองรวมๆ ไว้</span> </p><p align="center"><span style="font-size:100%;">หันไปใจหล่นตุบทันที</span> </p><p align="center"><span style="font-size:100%;">ยายแก่ชรามากๆ หิ้วถุงเน่าๆ มาด้วย<br />นั่งกินเศษอาหารที่ผมเอาไปวางกองไว้ตะกี้</span> </p><p align="center"><span style="font-size:100%;">ยายตั้งใจกินมาก ของเหลือมีเศษข้าว 3-4 คำ<br />น้ำแกง มีเต้าหู้กับผักเหลือนิดหน่อย<br />และที่สำคัญ เศษอาหารหลายๆ อย่างผสมอยู่กับทิชชู่ที่ใช้แล้ว</span> </p><p> </p><p align="center"><span style="font-size:100%;">ผมควัก 100 บาทแอบไปหย่อนลงถุงเน่าแก<br /><br />และตั้งใจกินข้าววันนั้นไม่ให้เหลือ</span> </p><p align="center"><span style="font-size:100%;">100 บาทไม่ได้มากถึงกับให้แกไปกินของดีๆ ได้</span><span style="font-size:100%;"> <p align="center"><br /><strong>แต่ก็คงทำให้แกยิ้มได้หลังอาหาร</strong></p></span> </p><p align="center"><span style="font-size:100%;">----------------------------------------------</span> </p><p align="center"> </p><p align="center"><span style="font-size:100%;"><strong><span style="font-size:180%;">หลายวันก่อน</span></strong> </span></p><p align="center"><span style="font-size:100%;"><br /></span> </p><p align="center"><span style="font-size:100%;">ผมกำลังเดินกลับห้อง</span> </p><p align="center"><span style="font-size:100%;">เดินผ่านหน้าการไฟฟ้า</span> </p><p align="center"><span style="font-size:100%;">ตาคนนึงแต่งตัวสกปรกมอมแมม<br />เค้าเก็บขยะบริเวณแถวตึกออฟฟิคประจำ<br /></span><span style="font-size:100%;">อายุไม่ต่ำกว่า 70 ปี<br />ไม่เคยเห็นลูกหลานเค้ามาช่วยเข็นรถขยะ</span> </p><p align="center"><span style="font-size:100%;">เค้าเดินช้าๆ ตัวเปล่าๆ ข้างหน้าผม</span> </p><p align="center"><span style="font-size:100%;">สูตรเดิม</span> </p><p align="center"><span style="font-size:100%;">ผมควัก 100 บาท<br />แล้วสาวเท้าเดินไปให้ทันแก</span> </p><p align="center"><span style="font-size:100%;">สะกิดๆ</span> </p><p align="center"><span style="font-size:100%;">"ตาๆ ทำตังตกอ่ะ"</span> </p><p align="center"><span style="font-size:100%;">ตาแกเงอะงะๆๆ ทำท่าจะพูดว่าไม่ใช่ของแก</span> </p><p align="center"><span style="font-size:100%;">ผมจับยัดใส่กระเป๋าเสื้อแก แล้วเดินชิ่งอย่างรวดเร็ว</span> </p><p> </p><p align="center"><span style="font-size:100%;">ผมเดินไปยิ้มไป คิดมุขนี้ได้ไงวะกู<br /><br /><strong>แต่ความสุขผมเกิด</strong></span> </p><p align="center"> </p><p align="center"><span style="font-size:100%;">---------------------------------------------------------------</span> </p><p align="center"> </p><p align="center"><span style="font-size:100%;"><strong>เมื่อวาน</strong></span> </p><p align="center"><span style="font-size:100%;">ผมทำธุระแถวอนุสาวรีย์<br />เดินข้ามสะพานลอยฝั่งโรงบานราชวิถี</span> </p><p align="center"><span style="font-size:100%;">ผมเดินผ่านขอทาน 4-5 คนโดยไม่สนใจ</span> </p><p align="center"><span style="font-size:100%;">แต่สักพักผมต้องนั่งหยุดริมบันได</span> </p><p align="center"><span style="font-size:100%;">ยายกับหลานตัวเล็กๆ ขายตุ๊กตาถักตัวละ 20 บาท</span> </p><p align="center"><span style="font-size:100%;">"ขอพี่ตัวนึงคับ"</span> </p><p align="center"><span style="font-size:100%;">ผมควักแบ็งค์ร้อยส่งให้ตัวน้อย<br />แล้วทำเป็นโทรศัพท์เข้ามาพอดี<br /></span><span style="font-size:100%;">ลุกออกมาโดยไม่รอตังทอนกับตุ๊กตา</span> </p><p align="center"><span style="font-size:100%;">ไกลพอควรจึงค่อยหันไป </span> </p><p align="center"> </p><p align="center"><span style="font-size:100%;"><strong>หาเรื่องอมยิ้มอีกแล้วกู</strong></span> </p><p align="center"> </p><p align="center"><span style="font-size:100%;">-----------------------------------------------------</span> </p><p align="center"> </p><p align="center"><span style="font-size:100%;"><strong>เรื่องมันก็นานมาแล้ว</strong></span> </p><p align="center"> </p><p align="center"><span style="font-size:100%;">แม่ลูกคู่นึงนอนข้างฟุตบาท</span> </p><p align="center"><span style="font-size:100%;">แน่นอนแบ็งค์ร้อยถูกควักออกมาในทันที</span> </p><p align="center"><span style="font-size:100%;">ให้แอนเป็นคนเอาไปให้</span> </p><p align="center"><span style="font-size:100%;">กะจะไปมันเอาไปวางไว้เฉยๆ</span> </p><p align="center"><span style="font-size:100%;">ดันไปปลุกเค้าตื่น</span> </p><p align="center"><span style="font-size:100%;">เค้าก็ตกใจว่ามันจะมาทำอะไร<br />เค้าคงกลัวว่าไอ้แอนจะไปขโมยรองเท้าแตะเค้าละมั๊ง</span> </p><p align="center"><span style="font-size:100%;">เลยรีบๆ ให้แล้วรีบวิ่งออกมาแบบหน้าแหกๆ</span> </p><p align="center"> </p><p align="center"><span style="font-size:100%;">ของแบบนี้มันอยู่ที่ศิลปะเฉพาะตัวจริงๆ<br /></span> </p><p align="center"><span style="font-size:100%;"><strong>แต่ก็ทำให้ผมยิ้มได้เหมือนกัน</strong></span> </p><p align="center"><strong></strong> </p><p align="center"><strong><span style="font-size:100%;">------------------------------------------</span></strong> </p><p align="center"><span style="font-size:100%;">เรามักจะหาสิ่งรอบๆ ตัวเพื่อใช้เป็นสิ่งบันเทิงเสมอ</span> </p><p align="center"><span style="font-size:100%;">บางครั้งเราก็ยอมจ่ายมันเพื่อผ่อนคลาย</span> </p><p align="center"><span style="font-size:100%;">ไม่ว่าจะเป็นดูหนัง ร้องเพลง กินเบียร์ชิวๆ</span> </p><p align="center"><span style="font-size:100%;">100 บาทมากสำหรับคนที่ขาด<br />แต่น้อยนิดสำหรับคนที่เหลือ</span> </p><p align="center"><span style="font-size:100%;">ผมไม่ได้มาเล่าความดีของตัวเองให้โลกฟัง<br />แต่อยากจะเชิญชวนเข้าสมาคม 100 บาท<br /></span><span style="font-size:100%;">ซื้อสิ่งบันเทิงอีกรูปแบบหนึ่ง เดือนละครั้งเหมือนดูหนังแจ่มๆ สักเรื่อง</span> </p><p align="center"><span style="font-size:100%;">แล้วกลับมาเล่าให้ฟังกันหน่อยว่า</span> </p><p align="center"><span style="font-size:100%;">แต่ละคนมีมุกอะไรมาโชว์กัน<br />คนชนะจะได้รับการสรรเสริญเยินยอจนหน้าบานกันเลยทีเดียว</span> </p><p align="center"> </p><p align="center"><span style="font-size:100%;">ขอรับรองว่า 100 บาทที่จ่ายไป</span> </p><p align="center"> </p><p align="center"><span style="font-size:100%;"><strong>ผ่อนคลายเกินร้อยจริงๆ สาบาน</strong></span> </p><p align="center"><strong></strong> </p><p align="center"> </p><p align="center"><span style="font-size:100%;"><strong>-------------------<br /></strong></span><span style="font-size:85%;">ไม่จริงให้กระโปกผมมีอันเป็นไปในสามวันเจ็ดวัน</span></p></blockquote><p align="center"><span style="font-size:85%;"></span> </p><br />ข้อเสียของ blog พี่โอ๋คือมันคือ MSN Spaces ซึ่งช้ามากและ comment โคตรลำบาก<br />อีกอย่างคืออัพเดทไม่สม่ำเสมอมากๆ บางทีหายไปเป็น 2-3 เดือน<br />แต่ล่าสุดตั้งแต่พี่โอ๋แต่งงาน ไม่รู้เป็นไงอัพถี่เหลือเกิน ... มีปัญหาไรป่าววะพี่? 555<br /><br /><br />Note:<br />- ใครสนใจตามไปอ่านต่อก็เข้าไปดูที่ <a href="http://vazzup.spaces.live.com/">http://vazzup.spaces.live.com/</a><br />- ส่วนถ้าอยากดูรูปงานแต่งงานพี่โอ๋ก็ดูที่ <a href="http://ann-oh.com/">http://ann-oh.com/</a>Lerk7http://www.blogger.com/profile/09806922997940113883noreply@blogger.com1tag:blogger.com,1999:blog-4727881602454943583.post-32714524148130155012009-04-30T11:12:00.006+07:002009-05-01T13:27:08.244+07:00Seven Intelligence<a href="http://web-japan.org/nipponia/nipponia19/en/feature/feature03.html" onblur="try {parent.deselectBloggerImageGracefully();} catch(e) {}"><img style="cursor: pointer; width: 450px; height: 335px;" src="http://web-japan.org/nipponia/nipponia19/images/feature/8_1.jpg" alt="" border="0" /></a><br /><span style="font-size:85%;">[image from <a href="http://web-japan.org/nipponia/nipponia19/en/index.html"><span style="font-weight: bold;">NIPPONIA</span></a>]</span><br /><br />คิดว่าหลายๆคนอาจจะไม่รู้หรือไม่เคยสังเกตเวลาที่ไปซื้อของในเซเว่น<br />ก่อนที่จะจ่ายเงิน พนักงานเค้าจะจิ้มปุ่มที่อยู่ขอบเครื่องคิดเงินก่อน<br />เป็นปุ่มที่แบ่งเป็นสีฟ้ากับชมพู สีละ 4 ปุ่มเรียงรายเป็นแนวตั้ง<br />ปุ่มที่ว่านี้เอาไว้บันทึกว่าลูกค้าที่ซื้อของเป็นผู้ชายหรือผู้หญิง อายุประมาณเท่าไหร่<br />เค้าเอาข้อมูลนี้ไปวิเคราะห์ว่าแต่ละช่วงเวลาลูกค้าเพศไหนอายุเท่าไหร่ซื้อสินค้าอะไร<br /><br />คราวหน้าเวลาไปจ่ายเงินลองดูเล่นๆก็ได้ สนุกดีว่าเค้าจะกดอะไร<br />สีฟ้าคือผู้ชาย สีชมพูคือผู้หญิง อายุไล่จากบนลงล่างก็มี เด็ก วัยรุ่น 20-35 และ 35ขึ้นไป<br />วันก่อนพอถึงคิวเราก็ลองแอบดู พนักงานกดเลยทันที สีฟ้าแถวล่างสุด<br /><br /><span style="font-weight: bold;">ดีมาก</span><br /><br /><br /><span style="font-style: italic;">Note:</span><br /><span style="font-size:85%;">- ก็ยังดีเพราะวันก่อนเพื่อนเราผู้ชายไปซื้อพนักงานก็กดเป็นผู้หญิงอายุ 35</span> <span style="font-size:85%;">ซะ<br />- รูปข้างบนคือร้าน 7-11 สาขาแรกในญี่ปุ่นเปิดเมื่อเดือน พฤษภาคม 1974 ในกรุงโตเกียว<br />- นอกจากเซเว่นแล้ว เดี๋ยวนี้ร้านค้าส่วนใหญ่ก็เก็บข้อมูลพวกนี้เช่นกันนะ ไม่ว่าจะเป็นร้านอาหาร ร้านเสื้อผ้า ร้านขายยา ... ลองแอบดูสิ<br /></span>Lerk7http://www.blogger.com/profile/09806922997940113883noreply@blogger.com2